
วิสกี้ ซิการ์ บูดาเปสต์
โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ
“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น
เวลาสายๆ ได้เวลาลงจากอพาร์ทเมนต์ที่พัก เดินไปยังย่านสถานีรถไฟบูดาเปสต์ตะวันออก (Budapest Keleti) เพื่อหาซื้อปากกามาจดบันทึกการเดินทาง เพราะที่เตรียมมา 2 ด้ามหล่นหายไปหมดแล้ว หาอยู่นานก็ไม่เจอร้านเครื่องเขียน เสี่ยงเดินเข้าไปในร้านขายของชำที่มองออกว่าเป็นของชาวเวียดนาม ทั้งหัวหน้าและลูกน้องพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย กว่าจะสื่อสารกันเข้าใจเล่นเอาเมื่อยมือพอสมควร เห็นว่าราคาไม่แพงผมจึงซื้อมาจำนวนครึ่งโหล ก่อนออกจากร้านก็กล่าว “ก๋าม เอิน” ขอบคุณ พวกเขาแปลกใจแล้วก็ “ก๋าม เอิน” กลับมา
ได้ปากกาแล้วผมเดินเข้าร้านรองเท้าที่เขียนว่า “ลดราคา” เลือกได้คู่หนึ่งมีลักษณะสำหรับการใช้งานแบบทรหด พื้นหนา ระบุว่า “หนังแท้” ผลิตในประเทศจีน ลดราคา 40 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 7,200 โฟรินต์ หรือประมาณ 900 บาทเท่านั้น ผมจึงสงสัยว่าจะเป็นหนังแท้จริงไหม (เวลานี้ทราบแล้วว่าหนังแท้) แต่อย่างไรเสียก็ดีกว่ารองเท้าผ้าใบพื้นบางที่ใส่อยู่เป็นแน่ เพราะการเดินนานๆ ทำให้ปวดฝ่าเท้าอย่างมาก อีกทั้ง “โกรัน” เพื่อนชาวเซิร์บของผม ผู้ตั้งรกรากอยู่ในสาธารณรัฐเช็ก ที่กำลังขับรถมาพบในวันนี้ บอกว่าจะพาเดินป่าในบ้านเกิดที่เซอร์เบียด้วย
ใกล้ๆ ที่พักมีร้านอาหารฮังกาเรียน เป็นแบบที่ทำใส่กระบะเตรียมไว้แล้ว ผมชี้ไปที่ข้าวอบด้วยผักหลายอย่าง ผสมเนื้อวัวสับ และชีส กินกับซุปกะหล่ำดอกแบบเข้มข้นซึ่งคงจะใส่พริกปาปริก้าและอาจเติมนมลงไปด้วย พนักงานตักไปอุ่นให้ด้วยไมโครเวฟ ส่วนเครื่องดื่มผมสั่งเบียร์ Borsodi มา 1 ขวดใหญ่
แม้ว่าอาหารจะถูกกวาดเรียบลงท้องไปหมดแล้วแต่ผมก็ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในร้านต่ออีกพักใหญ่จนอาการง่วงถามหาจึงกลับขึ้นอพาร์ทเมนต์ไปต้มน้ำ ชงกาแฟแบบ French Press ดื่มอีกรอบ เวลาประมาณบ่าย 3 โมง โกรันก็โทรศัพท์เข้ามาบอกว่าตอนนี้อยู่ในกรุงบูดาเปสต์แล้ว ให้ไปเจอกันที่สถานีรถไฟตะวันออก
เดินไปรอแถวสถานีรถไฟไม่นานโกรันก็โทรศัพท์มาอีกครั้งบอกว่าจอดรถในที่จอดของสถานีอยู่ด้านซ้ายมือหากผมหันหน้าเข้าหาตัวสถานี ผมวิ่งไปยังจุดที่เขาว่า ชายวัยสี่สิบกลางๆ เปิดประตูออกมาจากรถยนต์ Skoda Octavia สีบรอนซ์ สวมหมวกแบบ Flat Cap อันเป็นเอกลักษณ์ ยิ้มร่าอ้าแขนรับสวมกอดทักทาย แล้วบอกให้รีบขึ้นรถเพราะเจ้าหน้าที่อนุญาตให้จอดได้เพียงครู่เดียว โกรันขับออกไปหมายจะจอดริมอุทยาน City Park อยู่ไม่ไกลจากที่พักซึ่งผมดูทำเลไว้ให้ก่อนแล้ว แต่ทางเดินรถบังคับไม่ให้เลี้ยวไปทางนั้น จึงตัดสินใจจอดแบบเสียเงินหน้าที่พัก ซึ่งระหว่าง 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็นจะต้องจ่ายชั่วโมงละ 0.6 ยูโร ส่วนกลางคืนจอดฟรี
ผมช่วยโกรันถือกระเป๋าขึ้นที่พัก 1 ใบ เขาถือ 2 ใบ ซึ่งมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กด้วย บอกว่าไม่กล้าทิ้งไว้ในรถ เพราะในยุโรปอันตรายเท่าๆ กันทุกเมือง เหตุการณ์คนทุบกระจกหยิบของมีค่าไปจากรถเกิดขึ้นในกรุงปรากที่เขาทำมาหากินอยู่ออกจะบ่อย
เบียร์ Dreher อีกหนึ่งกระป๋องที่เหลืออยู่จากเมื่อคืนได้ทำหน้าที่เป็นเวลคัมดริงค์ให้กับผู้ที่ขับรถมาเป็นเวลา 5 ชั่วโมง โกรันเล่าสาเหตุที่มาช้าไป 1 วันว่าเมื่อวานนี้พนักงานที่ร้านขายของที่ระลึกกลางกรุงปรากของเขามาขอลาออกและจะออกหลังสุดสัปดาห์นี้เลย เขาจึงต้องหาคนใหม่มาแทนโดยการไปฝากธุระไว้กับเพื่อนๆ อีกหลายคน และอีกกรณีคือผู้ผลิตของที่ระลึกที่อินเดียได้เปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจด้วยการให้เขาโอนเงินไปก่อนจึงจะเริ่มผลิตให้ ทั้งที่ผ่านมาเป็น 10 ปี ของผลิตเสร็จแล้วค่อยส่งเงินให้ทีหลัง จึงต้องเสียเวลาไปทำธุรกรรมทางการเงินดังกล่าว
โกรันโทรศัพท์แจ้งภรรยาแล้วก็ชวนผมออกตะลุยบูดาเปสต์ แม้ว่าเมืองหลวงมากเสน่ห์แห่งนี้จะอยู่ระหว่างเส้นทางเช็กและเซอร์เบีย ซึ่งเขาขับรถกลับบ้านปีละหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยแวะเชยชมเป็นจริงเป็นจังสักที

เราเดินไปที่สถานีเมโทร Keleti Palyauvar ที่ติดกับสถานีรถไฟบูดาเปสต์ตะวันออก ผมซื้อตั๋วเมโทรจากเจ้าหน้าที่ในห้องขายมา 4 ใบ เผื่อไว้สำหรับขากลับที่พักด้วย (ใบละ 350 โฟรินต์ หรือประมาณ 45 บาท ในการใช้ตั๋ว 1 ครั้งจะไม่จำกัดจำนวนสถานี) ใช้ตั๋วสอดเข้าเครื่องเพื่อปั๊มวันเวลา หลังเครื่องนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ยืนดูอยู่เพราะคงมีคนลักไก่ไม่ปั๊มตั๋วมาแล้วหลายราย (หากไม่ปั๊มตั๋วก็ยังสามารถเดินเข้าไปได้อยู่ดี และเอาไว้ใช้ใหม่ได้อีก) หลังเจ้าหน้าที่คือบันไดเลื่อนสำหรับลงไปโดยสารรถไฟใต้ดิน
ที่สถานีปลายทาง Deak Ferenc Ter ตอนที่เราออกจากรถไฟเพื่อจะขึ้นบันไดเลื่อนออกจากสถานีก็มีคนมาสะกิดไหล่ ผมนึกว่ารู้จักกัน ที่ไหนได้เป็นเจ้าหน้าที่มาสุ่มตรวจตั๋ว โกรันถึงกับหัวเราะแล้วเยาะเย้ยว่าผมดูมีพิรุธและมีลักษณะของคนชอบลักไก่เพราะตัวเขาเองไม่โดนตรวจ ผมจึงเดาว่านักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวเอเชียน่าจะลักไก่บ่อยจนเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบต้องมาสุ่มตรวจตั๋วเอาอย่างนี้
สถานีเมโทร Deak Ference Ter อยู่ใกล้ๆ กับสวน Elizabeth บรรยากาศยามเย็นครึกครื้น เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาว โกรันบอกว่าเดินดูอะไรเสียหน่อยแล้วค่อยกลับมาที่นี่ ผมจึงเดินนำเขาไปยัง St.Stephen Basilica โบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาธอลิกที่มีความสำคัญของกรุงบูดาเปสต์และประเทศฮังการี ซึ่งได้กล่าวถึงไปแล้วเมื่อวันก่อน
เดินต่อกันไปยัง Szabadsag Ter (Liberty Square) หรือจัตุรัสเสรีภาพ เป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ ปลูกต้นหญ้าเขียวทั่วพื้นที่ มุมหนึ่งเป็นที่ตั้งของแบงก์ชาติฮังการี ไม่ไกลกันคือสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำฮังการี มีรูปปั้นของ “แฮรี แบนด์โอลต์ซ” อดีตผู้แทนสหรัฐอเมริกาประจำกองกำลังภารกิจสัมพันธมิตรระหว่างประเทศในฮังการีเมื่อปี ค.ศ. 1919 ตั้งอยู่ด้านหน้าสถานทูต ตรงทางเดินที่จะออกจากจัตุรัสยังมีรูปปั้นของ “โรนัลด์ เรแกน” อดีตประธานาธิบดีคนที่ 40 ของสหรัฐฯ
ตรงกลางจัตุรัสคืออนุสาวรีย์การปลดปล่อยฮังการีจากการยึดครองของนาซีเยอรมันโดยกองทัพสหภาพโซเวียตในตอนปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 โกรันบอกว่าไม่บ่อยนักที่จะพบอนุสาวรีย์คอมมิวนิสต์ในประเทศที่ได้เปลี่ยนไปปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว
ในอดีตสถานที่แห่งนี้คือค่ายและคุกทหาร เคยใช้เป็นที่ประหารด้วยการยิงเป้า “ลายอส บาธเธียนี” (Lajos Batthyany) อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของฮังการี เมื่อปี ค.ศ. 1849 หลังจากความพยายามในการปฏิวัติเพื่อประกาศเอกราชจากจักรวรรดิออสเตรียในปีก่อนหน้านั้นประสบความล้มเหลว ต่อมาทั้งสองชาติได้ประนีประนอมกัน ราชวงศ์ฮับบวร์กของจักรวรรดิออสเตรียยอมทำลายค่ายและคุกทหารนี้ลงในปี ค.ศ. 1897 และเริ่มสร้างจัตุรัสขึ้นมาแทน

ระหว่างทางเดินไปยังอาคารรัฐสภาซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน มีรูปปั้นของ “อิมแร นอจ” (Imre Nagy) อดีตประธานสภารัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนฮังการี (เทียบเท่านายกรัฐมนตรี) ในสมัยที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ การดำรงตำแหน่งในสมัยที่ 2 ต้องสิ้นสุดลงเพราะรัฐบาลของเขาเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้รับการหนุนหลังจากโซเวียต และถูกโซเวียตส่งกองทัพเข้ามาควบคุมหลังเหตุการณ์การปฏิวัติฮังการีที่ล้มเหลว (อีกครั้ง) ในปี ค.ศ. 1956 ส่งผลให้เขาถูกตั้งข้อหาเป็นกบฏ และรับโทษประหารในอีก 2 ปีต่อมา
ทั้งนี้ การปฏิวัติฮังการีในปี 1956 เป็นการลุกฮือขึ้นทั่วทั้งประเทศต่อต้านรัฐบาลคอมมิวนิสต์และการใช้นโยบายต่างๆ กับพลเมืองฮังกาเรียนที่ถูกกำหนดโดยรัฐบาลโซเวียต ถือเป็นการท้าทายโซเวียตครั้งแรกที่เป็นเรื่องเป็นราวหลังจากโซเวียตได้ขับไล่นาซีเยอรมันออกไปในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2
ด้านข้างฝั่งทิศใต้ของอาคารรัฐสภาไม่สวยสง่าเหมือนด้านหน้า (หลัก) ที่จะต้องข้ามแม่น้ำดานูบไปมองมาจากฝั่งบูดา ส่วนด้านหน้าที่ใช้เป็นประตูทางการและสำหรับนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมเราไม่ได้เดินไปเพราะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่าอาคารรัฐสภากำลังปิดพอดี จึงเดินมุ่งหน้าริมแม่น้ำ เห็นรูปปั้นคนนั่งบนบันไดที่จะลงไปยังถนนเลียบแม่น้ำ บันไดนี้เชื่อมกับลานด้านข้างฝั่งทิศใต้ของอาคารรัฐสภา วัยรุ่นสาว 2 คน คาดว่าจะเป็นคนเยอรมัน คนหนึ่งขึ้นขี่คอรูปปั้นอย่างแก่นแก้ว ผมขอถ่ายรูปเธอทั้งคู่ก็ให้ถ่ายแต่โดยดี แถมยังยิ้มให้อีกต่างหาก

เราเลี้ยวซ้ายเดินเลียบแม่น้ำไปทางทิศของสะพานแขวน บนพื้นของตลิ่งริมน้ำมีรองเท้าทำจากเหล็กจำนวน 60 คู่วางอยู่เรียงกันไปตามแนวยาว อีกทั้งแท่งปูนใกล้ๆ กันมีรูปดาวสัญลักษณ์ของชาวยิว (Star of David) นี่คือประติมากรรม “รองเท้าริมตลิ่งดานูบ” (Shoes on the Danube Bank) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2005 รำลึกถึงเหตุการณ์ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กองกำลังของ “พรรคศรไขว้” (Arrow Cross Party) แนวร่วมรัฐบาลนาซี ขนชาวยิวฮังกาเรียนจำนวนมากมายังริมตลิ่งแม่น้ำดานูบ ในกรุงบูดาเปสต์ บังคับให้พวกเขาถอดรองเท้าออก แล้วจัดการลั่นไกปืนเพื่อให้ร่างเหยื่อหล่นลงน้ำและถูกพัดพาออกไป ส่วนรองเท้าก็นำไปใช้หรือขายต่อในตลาดมืดเพราะช่วงเวลาแห่งความโหดเหี้ยมนี้เกิดขึ้นปลายปี ค.ศ. 1944 ถึงต้น ค.ศ. 1945 ตรงกับหน้าหนาวพอดี รองเท้ากำลังเป็นที่ต้องการ

โกรันเสริมว่าในโครเอเชียช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นาซียึดครอง ก็มีปฏิบัติการกำจัดชาวยิวคล้ายๆ กันนี้
เราแวะดื่มที่ร้านแบบระเบียงริมน้ำ ติดกับหัวสิงโตของสะพานแขวน สั่งเบียร์สด Krusovice ซึ่งเป็นเบียร์เช็กมาคนละไพต์ ราคาไพต์ละ 990 โฟรินต์ ราคาสูงกว่าร้านทั่วไปเพราะทำเลดี เมื่ออากาศเริ่มเย็นลงเราจึงเดินไปยังสวน Elizabeth ตอนนี้กำลังออกร้านขายเครื่องดื่มกันอย่างคึกคัก

ผมซื้อเบียร์ Kronenbourg เบียร์ฝรั่งเศส แต่ปัจจุบันเจ้าของเป็นเดนมาร์กมา 1 แก้วพลาสติกขนาดครึ่งลิตร รสชาติออกหวานนิดๆ โกรันซื้อวิสกี้ชีวาสมา 1 ช็อต ใส่แก้วพลาสติกเช่นกัน แล้วไปหาโต๊ะว่างนั่ง เขาหยิบซิการ์ชนิดดีจากคิวบาขึ้นมาจุดสูบ หมายความว่าจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงกว่าเราจะไปจากที่นี่ได้ จนต้องซื้อเครื่องดื่มที่เหมือนกับชุดแรกมาอีกคนละชุด
เครื่องดื่มหมดได้จังหวะกับที่ซิการ์หดเหลือแต่ก้น เราจึงเดินออกจากเบียร์การ์เด้น หมายจะลงเมโทร Deak Ference Ter ปรากฏว่าปิดทำการเสียแล้ว โกรันไม่เกี่ยงเมื่อผมเสนอให้เดินกลับอพาร์ทเมนต์ วัดจากแผนที่กูเกิลได้ 2.6 กิโลเมตร
โกรันเจอร้านขนมปังข้างทาง เห็นขนมปังอบชีส “บูเร็ค” (Burek) อาหารโปรดวัยเด็กของเขา ซื้อมากิน 2 ชิ้นยังบอกว่าอยากกินอีก ส่วนผมกินชิ้นเดียวก็รู้สึกเลี่ยนเต็มที
เวลายิ่งดึก อากาศยิ่งหนาว แถมมีลมแรงพัดมา ทำให้หน่วยตาที่สัมผัสกับความเย็นต้องผลิตน้ำตาส่วนเพิ่มเติมขึ้นมาชโลมปกป้อง
หากมีคนเดินสวนมองมา คงคิดว่าผมร้องไห้
- READ วิสกี้ ซิการ์ บูดาเปสต์
- READ คอยเพื่อนที่บูดาเปสต์
- READ ปวดบาทาที่บูดาเปสต์
- READ ทิมิชัวรา – บูดาเปสต์
- READ จาก ‘ซีบีอู’ สู่ ‘ทิมิชัวรา’
- READ มื้อเช้าของนักเดินทางและสะพานคนลวง
- READ ดวงตาซีบีอู
- READ เสน่หา บราชอฟ
- READ รถไฟสายทรานซิลเวเนีย
- READ เชาเชสคูและบูคาเรสต์
- READ บูนา บูคาเรสต์
- READ ผู้ควบอาชาแห่งเมืองบราชอฟ