เมืองขาวของชาวเซิร์บ

เมืองขาวของชาวเซิร์บ

โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ

Loading

“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น

อากาศยามเช้าในหมู่บ้านบนเนินเขาเล็กๆ เมืองโบเลช ยังค่อนข้างหนาวแม้ว่าจะเลยกลางเดือนพฤษภาคมมาแล้ว ผมมีอาการน้ำมูกไหลและจามหลายครั้งจนทำท่าว่าจะแย่ เมื่อได้ไข่คนแสนอร่อยและกาแฟที่ต้มแบบตุรกี (ขออนุญาตอธิบายในตอนหน้า) ของมาดามยาวอร์ก้าเป็นมื้อเช้าแล้วก็รีบกินวิตามินซีชนิดเม็ดขนาด 1,000 มิลลิกรัมทันที แม้ว่าการกินวิตามินซีกับกาแฟจะทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น

โกรันให้ผมจองที่พักในกรุงเบลเกรดโดยใช้อินเตอร์เน็ตแบบ HDMI แฟลชไดรฟ์ ที่มีเครดิตเหลืออยู่จากการมาเยี่ยมบ้านครั้งก่อน ผมเลือกอพาร์ตเมนต์ให้เช่าชื่อ Apartment Baroque ไม่ไกลจากเขตเมืองเก่า เมื่อเสร็จมื้อเที่ยงซึ่งมีซุปผัก สลัด และไก่อบกับมันฝรั่งแล้วก็กินวิตามินซีขนาด 1,000 มิลลิกรัมตามเข้าไปอีกเม็ด ไม่นานต่อมาอาการน้ำมูกไหลและจามก็จากไป

ผมจัดเสื้อผ้าสำหรับพักในกรุงเบลเกรด 3 คืนใส่กระเป๋าสะพายหลังใบเล็ก โกรันก็จัดไปไม่มาก ที่ทำอย่างนี้เพราะโกรันจะจอดรถไว้ที่บ้านแล้วนั่งรถเมล์เข้าเมือง เนื่องจากว่าจะทำให้เราเดินทางได้คล่องตัวกว่า อีกทั้งที่จอดรถในเมืองนั้นหายากและความเสี่ยงเรื่องการถูกโจรกรรมก็มีอยู่ เมื่อลาแม่และญาติๆ ที่บ้านอยู่ถัดลงไปซึ่งติดถนนแล้ว โกรันก็รีบวิ่งออกไปทันรถเมล์สาย 305 เขาถ่วงเวลารถเมล์ไว้จนผมวิ่งตามไปขึ้นทันก่อนรถจะขับออกไป

ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงรถเมล์สาย 305 ก็มาถึงย่านชุมทางรถเมล์ของกรุงเบลเกรด โกรันคุ้นเคยกับสถานที่ตรงนี้มาตั้งแต่เด็ก เขาย้ายตามพ่อแม่จากตัวเมืองเบลเกรดไปอยู่โบเลชตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เรียนชั้นประถมได้ 4 ปีก็เข้ามาเรียนระดับมัธยมต้นในกรุงเบลเกรดอีก โดยต้องนั่งรถเมล์สายนี้เป็นประจำทุกวันจนกระทั่งเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ก่อนจะได้รับการเกณฑ์เป็นทหารแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียซึ่งถูกส่งไปฝึกในโครเอเชีย เมื่อปลดประจำการได้ไม่กี่ปีก็หนีบ้านเกิดไปเสี่ยงโชคยังกรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก เวลานั้นเช็กเพิ่งผ่านพ้นระบอบคอมมิวนิสต์จากการปฏิวัติกำมะหยี่ที่ไร้การนองเลือดมาหมาดๆ

โกรันนำเงินยูโรออกมาแลกเป็นเงินดินาร์ (Dinar) หากคิดเป็นเงินไทย  1 บาท ก็จะเท่ากับ 3 ดินาร์กว่าๆ ส่วนผมไม่มีเงินยูโรติดตัว ตั้งใจจะไปกดเอทีเอ็มในเขตเมือง โกรันใช้บัตรโดยสารแบบสมาร์ทการ์ดที่ยังมีเครดิตเหลือจากการกลับบ้านครั้งที่แล้วจ่ายค่าโดยสารสำหรับ 2 คน ถึงที่หมายบนถนน Kralja Milana เดินนิดเดียวก็ถึงอาคารที่ตั้งอพาร์ตเมนต์ที่จองไว้ ประตูตึกไม่ได้ล็อก ขึ้นลิฟต์รุ่นบุโรทั่งไปยังชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นบนสุด เจ้าของอพาร์ตเมนต์ชื่อ “ลาซาร์” รออยู่แล้ว ห้องครัวและห้องน้ำก็กว้างขวาง ห้องนอนมี 2 ห้องแต่เขาเปิดให้เราเพียง 1 ห้องเพราะผมเข้าใจผิดจองมาห้องเดียว อีกห้องที่ผมพยายามมองดูผ่านทั้งกระจกและม่านเห็นแล้วหรูหราและขนาดใหญ่กว่ามาก โชคยังดีที่มีโซฟาให้นอนได้ เมื่อเทียบกับค่าเช่า 27 ยูโรที่โกรันจ่ายไปในสกุลดินาร์แล้วก็ถือว่าคุ้มค่ามาก เราจะขออยู่ต่ออีกคืนหนึ่งแต่มีคนจองไปแล้ว ลาซาร์บอกว่าห้องพักของเขาไม่ค่อยว่าง บางครั้งแขกเข้าพักเป็นถึงระดับนักการทูตจากต่างประเทศ

โบสถ์เซอร์เบียนออร์โธดอกซ์ Church of St. Mark กรุงเบลเกรด

เวลาบ่ายแก่ๆ โกรันเดินนำทำหน้าที่ไกด์ไปบนถนน Resavska ผ่านโบสถ์เซอร์เบียนออร์โธดอกซ์ Church of St. Mark และโบสถ์รัสเซียนออร์โธดอกซ์ขนาดเล็กของกลุ่มชาวรัสเซียที่หนีภัยการปฏิวัติของพรรคบอลเชวิกเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่แล้ว ห่างไปไม่ไกลคือสำนักงานใหญ่ของ Radio Television of Serbia (RTS) หรือองค์การวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติเซอร์เบียที่ถูกกองกำลังทางอากาศขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ทิ้งระเบิดใส่ในระหว่างสงครามโคโซโว เมื่อวันที่ 23 เมษายน 1999 ทำให้มีผู้ปฏิบัติงานในอาคารเสียชีวิต 16 คน นาโตอ้างว่าเป็นสถานที่ออกอากาศโฆษณาชวนเชื่อ ยุยงปลุกปลั่นให้ชาวเซิร์บเกลียดชังชาวบอสเนียนในโคโซโวซึ่งเป็นอดีตยูโกสลาเวียด้วยกัน

ซากอาคารองค์การวิทยุโทรทัศน์ ฝีมือของนาโตที่เซอร์เบียอนุรักษ์ไว้อย่างดี

นอกจากสำนักงานใหญ่ของ RTS แล้ว กองกำลังนาโต ที่นำโดย สหรัฐฯ อังกฤษ และหลายประเทศยุโรป แม้กระทั่งกองทัพอากาศเยอรมนีก็ยังได้มีปฏิบัติการทางทหารหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นครั้งแรก ร่วมด้วยช่วยถล่มหลายสถานที่สำคัญๆ อาทิ โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ สะพาน สำนักงานและเสาส่งสัญญาณการสื่อสารโทรคมนาคม แม้แต่สถานทูตจีนในกรุงเบลเกรดก็ยังถูกทิ้งระเบิดเป็นเหตุให้สื่อมวลชนจีนเสียชีวิต 3 ราย นาโตระบุว่าเป็นสถานที่ช่วยส่งสัญญาณการสื่อสารให้กับกองทัพเซอร์เบียหลังจากที่พวกเขาถล่ม RTS ไปแล้ว

สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อมีกลุ่มชาวแอลเบเนียนในโคโซโว (เมืองทางภาคใต้ด้านตะวันตกของเซอร์เบีย มีพรมแดนติดกับมอนเตเนโกร อัลแบเนีย และนอร์ธมาซิโดเนีย) กลุ่มหนึ่งจัดตั้งกองทัพปลดปล่อยโคโซโว (KLA) ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1991 เพื่อแยกตัวออกจากยูโกสลาเวียที่ต่อมาเหลือเพียงเซอร์เบียประเทศเดียว ได้ลอบโจมตีสถานีตำรวจและสถานที่ราชการหลายครั้งทำให้ฝ่ายรัฐบาลเซอร์เบียโดยกองกำลังทั้งปกติและพิเศษจัดการเอาคืนและกวาดล้างกันยกใหญ่ในปี ค.ศ. 1998 จนนาโตเข้ามาแทรกแซง โดยเริ่มจากการขอมติจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อปฏิบัติการทางทหารแต่ถูกยับยั้งโดยจีนและรัสเซีย นาโตจึงเข้าจัดการเซอร์เบียโดยปราศจากมติขององค์การสหประชาชาติเป็นครั้งที่ 2 โดยก่อนหน้านี้คือปฏิบัติการทิ้งระเบิดใส่กองกำลังเซิร์บใน “บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา” ระหว่างสงครามเชื้อชาติ เมื่อปี ค.ศ. 1995

สงครามโคโซโวจบลงหลังปฏิบัติการทางอากาศอย่างหนักหน่วงต่อเนื่องของนาโตระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1999 จน “สโลโบดาน มิโลเซวิซ” ผู้นำเซอร์เบียยอมจำนน เปิดทางให้กองกำลังสันติภาพเข้าประจำการในโคโซโว นำไปสู่การประกาศอิสระภาพของโคโซโว ซึ่งมีทั้งประเทศที่ให้การยอมรับและไม่ยอมรับ

ภายหลังสงครามจบลง นาโตยอมชดใช้ค่าเสียหายให้กับการทิ้งระเบิดใส่อาคารของ RTS ทางการเซอร์เบียก็สร้างขึ้นมาใหม่บนสถานที่เดิมโดยคงอาคารส่วนที่ถูกระเบิดไว้เป็นอนุสรณ์ โกรันบอกว่านอกจากรัสเซียและจีนแล้วไม่ต้องสงสัยเลยว่าชาวเซิร์บมองมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ อย่างไร และอาจอยู่ในดีกรีของความเป็นศัตรูมากกว่าด้วยซ้ำ เขาว่าขนาดสโลวีเนีย แอลเบเนีย โครเอเชีย หรือแม้แต่มอนเตเนโกรก็ยังได้เข้าเป็นประเทศในกลุ่มนาโตทั้งที่เป็นประเทศเกิดใหม่ไม่กี่ปี ในขณะที่เซอร์เบียแค่สมาชิกสหภาพยุโรปหรือ EU ก็ยังไม่ได้เป็นเพราะการกีดกันจากจากสหรัฐฯ และกลุ่มมหาอำนาจยุโรป

และนี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งสำหรับผมในการใช้อินเตอร์เน็ตจากซิมการ์ดโทรศัพท์จองที่พักในเซอร์เบียเพราะไม่สามารถโรมมิ่งสัญญาณได้ เนื่องจากผมซื้อซิมการ์ดมาจากโรมาเนียที่เป็นประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป

ข้อความประณามกองกำลังนาโตที่หน้าอาคารรัฐสภาเซอร์เบีย

ออกจากอาคาร RTS เราก็เดินผ่านสวนสาธารณะเลี้ยวขวาไปยังถนน Takovska ด้านซ้ายมือคือสำนักงานไปรษณีย์กลาง เดินไปอีกหน่อยเลี้ยวขวาเข้าถนน Trg Nikole Pasica อาคารขนาดใหญ่โอ่อ่าตั้งอยู่ด้านขวาตรงมุมถนนคือรัฐสภาแห่งเซอร์เบีย มีป้ายไวนิลยาวหลายสิบเมตร แสดงภาพชาวเซิร์บที่เสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดถล่มของนาโตและข้อความที่ว่าพวกเขาจะไม่ให้อภัย และต้องการให้นำผู้สังหารเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นอกอาคารติดกับถนนมีกลุ่มผู้ชุมนุมสิบกว่าคนรวมตัวกัน เมื่อรถยนต์คันหนึ่งแล่นออกจากอาคารรัฐสภาพวกเขาก็ชูป้ายข้อความดักหน้าดักหลังรถคันนั้น แต่รถก็ขับผ่านไปได้โดยไม่มีเหตุรุนแรง

“เราจะไม่ให้อภัยพวกคุณที่ได้สังหารเด็กๆ ของเรา” อีกหนึ่งข้อความหน้าอาคารรัฐสภาเซอร์เบีย

เราเดินไปถึงจัตุรัสสาธารณรัฐ หรือ Republic Square เหมือนเป็นจุดที่บอกว่าได้ถึงเขตเมืองเก่าแล้ว มีอนุสาวรีย์ “เจ้าชายมิไฮโล” ทรงม้าตั้งเด่นอยู่กลางจัตุรัส เจ้าชายผู้กลายมาเป็นกษัตริย์ที่ทรงปรีชาสามารถในยุคปลายของการต่อสู้เพื่อเอกราชจากจักรวรรดิออตโตมันและได้รับมาอย่างสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1867 ก่อนที่จะถูกลอบปลงพระชนม์ในปีต่อมา อนุสาวรีย์นี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1882 เป็นอนุสาวรีย์บนหลังม้าแห่งแรกของผู้ปกครองเซอร์เบีย

อนุสาวรีย์ Prince Milohai เจ้าชายและกษัตริย์คนสำคัญของเซอร์เบีย

ในเขตเมืองเก่าห้ามรถยนต์ผ่านอย่างเด็ดขาด ผู้คนออกมารับอากาศเย็นสบายกันอย่างคึกคัก ร้านอาหาร-ร้านกาแฟนำโต๊ะออกมาตั้งด้านนอกร้านเป็นแบบที่เรียกว่า “เทอเรซ” คู่รักจับจองนั่งกันเกือบเต็มทุกพื้นที่ เด็กๆ เดินตามพ่อแม่พร้อมไอศกรีมในมือ ร้านขายของที่ระลึกหลายร้านมีกลุ่มนักท่องเที่ยวสนใจจับจ่าย เสื้อยืดมีภาพของ “วลาดิเมียร์ ปูติน” ผู้นำรัสเซียกำลังใช้กล้องส่องทางไกล เขียนข้อความว่า “สหรัฐฯ ฉันกำลังดูพวกแกอยู่นะ” โกรันบอกว่าเสื้อแบบนี้จะเห็นที่ไหนได้อีกถ้าไม่ใช่ในรัสเซียและเซอร์เบีย

โกรันเดินนำไปยังป้อมปราการแห่งเบลเกรด (Belgrade Fortress) ซึ่งเป็นป้อมที่สร้างขึ้นบนเนินเขาทางด้านทิศตะวันออกของแม่น้ำซาวาซึ่งไหลไปรวมกับแม่น้ำดานูบที่ไหลผ่านทางด้านทิศเหนือ ส่วนที่สูงสุดของป้อมตั้งอยู่บนเนินที่มีลักษณะคล้ายหน้าผาสูง 125.5 เมตร ป้อมนี้เป็นที่ตั้งค่ายของชาวเคลติก เผ่าสกอร์ดิสซี มาตั้งแต่เมื่อ 3 ศตวรรษก่อนคริสตกาลหลังจากเข้ามาขับไล่ชาวทราเชียนและดาเชียนที่อาศัยอยู่ก่อนออกไปได้ก่อนจะพ่ายให้แก่กองทัพโรมันในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามค่ายนี้ถูกทำลายโดยผู้บุกรุกอยู่บ่อยครั้ง จนมีการสร้างป้อมปราการขึ้นอย่างจริงจังในสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 แห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ หรืออาณาจักรโรมันตะวันออก ราวๆ ปี ค.ศ. 535 ชาวเซิร์บและสลาฟเผ่าอื่นๆ ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ป้อมนี้มีสีขาวจึงได้ชื่อว่า “ป้อมขาว” หรือ “เมืองขาว” ซึ่งก็คือ Beograd ในภาษาเซอร์เบีย หรือ Belgrade ในภาษาอังกฤษนั่นเอง

หลายชนชาติสลับสับเปลี่ยนกันมาเป็นเจ้าของป้อมปราการแห่งนี้เนื่องจากการศึกสงครามที่ผลัดแพ้ชนะกันในอดีต ทั้งชาวบัลแกเรียน ชาวโรมัน ชาวเติร์กแห่งจักรวรรดิออตโตมันที่อยู่ปกครองอย่างยาวนานรวมเกือบ 500 ปี หรือแม้แต่ชาวออสเตรียนและฮังกาเรียนที่เข้ามาขับไล่กองทัพเติร์กออกไปได้ในบางช่วง

ในปัจจุบันนอกจากป้อมปราการแล้วก็ยังมีส่วนที่เป็นสวนสาธารณะ เรียกว่า Kalemegdan Park ที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์กองทัพ พิพิธภัณฑ์การทรมาน สวนสัตว์ สนามเด็กเล่น โบสถ์ออร์โธดอกซ์ หรือแม้แต่ร้านอาหาร

เราได้ที่นั่งมุมดีเยี่ยมสำหรับการดูพระอาทิตย์ตกของร้านอาหารชื่อ Kalemegdanska Terasa ในส่วนที่เป็นเทอเรซ ผมยินดีนั่งหันหลังให้ดวงอาทิตย์ ส่วนโกรันใส่แว่นดำประจันแสงที่ยังส่องจ้าแม้เวลาจะปาเข้าไปทุ่มครึ่ง เบื้องหน้าของเขานอกจากแม่น้ำซาวาที่ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำดานูบแล้ว ก็ยังมี Great War Island ซึ่งเป็นเกาะที่เพิ่งเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 15 จากการที่แม่น้ำดานูบไหลโอบออกมาจากเส้นหลักเพื่อร่วมสายกับแม่น้ำซาวาก่อนที่แม่น้ำซาวาจะไหลไปถึงดานูบเส้นใหญ่ หากมองดูจากมุมสูงก็จะเหมือนวงเวียนที่มีถนนน้ำ 3 สายโดยมีเกาะอยู่ตรงกลาง เกาะแห่งนี้ในอดีตคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ใช้เป็นที่มั่นสำหรับการโจมตีป้อมปราการแห่งเบลเกรด ปัจจุบันไม่มีผู้คนอาศัยอยู่

อนุสาวรีย์ The Victor บนป้อมปราการเบลเกรด

ผมสั่ง Krusovice เบียร์จากเช็ก โกรันสั่ง Alexandria ไวน์แดงขวดเล็กจากมาซิโดเนียมารินใส่แก้วแล้วหยิบซิการ์คิวบาขึ้นมา เขาไม่ได้พกที่ตัดปลายซิการ์มาจึงใช้ฟันแทะไปแทะมาจนได้รูป แล้วจุดไม้ขีดลนจนทั่วพื้นผิวของปลายซิการ์ เมื่อไฟติดดีแล้วก็สูดควันเข้าปากแล้วพ่นออกมาทันทีตามหลักการสูบซิการ์

หมดเบียร์ขวดแรก ผมเรียกหญิงสาวคนเดินโต๊ะมารับออร์เดอร์ Lasko เบียร์จากสโลวีเนีย โกรันยังคงสั่งไวน์แดงยี่ห้อเดิมต่อ หลังจากเบียร์ขวดที่สองและพระอาทิตย์ที่ลับหายไปทางทิศตะวันตกผมรู้สึกง่วงผิดปกติจึงสั่ง “รักเคีย” (Rakija) หรือบรั่นดีพลัม ฉุดให้ประสาทตื่นตัวขึ้นมานั่งดูนั่งฟังเหตุการณ์โต๊ะข้างๆ

Hotel Moskva โรงแรมเก่าแก่กลางกรุงเบลเกรด สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1908

สาวใหญ่ 2 คนนั่งดื่มค็อกเทล คุยกันอย่างออกรสสลับกับการหัวเราะสนุกสนาน คนหนึ่งฉีดริมฝีปากเสียหนายิ่งกว่าแองเจลีนา โจลี จนออกไปทางพาเมลา แอนเดอร์สัน อีกทั้งเน้นความหนานั้นให้ชัดขึ้นไปอีกขั้นด้วยลิปสติกสีแดงสด เธอมากับหนุ่มรูปร่างล่ำบึ้กคะเนอายุไม่น่าจะเกิน 30 เขานั่งคนเดียวก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถืออยู่ที่โต๊ะติดกันด้วยอาการที่ออกเซ็งๆ คงเพราะอายที่สาวใหญ่คู่ควงพูดคุยและหัวเราะเสียงดัง บางครั้งต้องหยิบสิ่งของจากกระเป๋าถือส่งให้เธอตามคำขอ เมื่อสาวใหญ่อีกคนลุกจากไปสาวใหญ่ริมฝีปากแดงหนาก็แสดงอาการเมาหนักขึ้นมาทันที ทำท่าเหมือนจะอาเจียนแต่ฝืนเอาไว้ได้ ชายหนุ่มปล่อยให้คู่ควงนั่งฟุบกับโต๊ะอยู่สักพักแล้วจึงค่อยประคองเดินออกไป

โกรันพ่นควันซิการ์ออกมา พูดกับผมว่า “รู้มั้ย ไอชอบนั่งมองอะไรแบบนี้แหละ”

Don`t copy text!