
เมืองไม้และรถไฟสายเลข 8
โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ
“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น
โมกราโกรา (Mokra Gora) ตั้งอยู่ในเขตสลาติบอร์ เมืองอูซิเซ ภาคตะวันตกของสาธารณรัฐเซอร์เบีย ห่างจากชายแดนสาธารณรัฐบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาประมาณ 10 กิโลเมตร แม้จะมีสถานะเป็นเพียงหมู่บ้านแต่ก็ถือว่าเป็นหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่ ถูกโอบล้อมด้วยภูเขารอบด้าน ไม่กี่ปีหลังมานี้เริ่มเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวด้วยสองสิ่งหลักๆ ที่ผมกำลังจะพูดถึง
หลังมื้อเย็นที่ร้านของสถานีรถไฟโมกราโกรา เราเดินขึ้นเนินเขาและเข้าทางด้านหลังของ ‘ดราเวนกราด’ (Drvengrad) ที่หมายถึงเมืองไม้ สถานที่แห่งนี้เจ้าของคือ ‘เอเมียร์ คูซตูริซา’ (Emir Kusturica) ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวเซิร์บ ปัจจุบันอายุ 70 ปี ตั้งชื่อให้ว่า Küstendorf ซึ่ง Dorf ในภาษาเยอรมันแปลว่าหมู่บ้าน ส่วน Küsten มาจาก Kusta ชื่อเล่นของคูซตูริซา และในภาษาเยอรมัน Küste แปลว่า ‘ชายฝั่ง’ นอกจากนี้ยังเรียกว่า ‘เมชาฟนิค’ (Mecavnik) ก็ได้อีก ซึ่งน่าจะมาจากชื่อเดิมของย่านนี้
เวลาตอนที่เราขึ้นไปถึงนั้นเกือบ 2 ทุ่มแล้ว ฟ้ายังไม่มืดแต่อากาศเริ่มหนาว เดินดูเมืองไม้ได้ไม่นานจึงหลบเข้าร้านอาหารและบาร์ชื่อ Visconti ของเมืองไม้ มีแขกอยู่เพียง 2 โต๊ะ เราเลือกนั่งริมกระจกหน้าต่างด้านที่มองเห็นภูเขา โกรันสั่ง ‘รักเคีย’ (Rakija) ซึ่งก็คือบรั่นดี ในเมนูมีให้เลือกชื่อผลไม้หลายชนิดที่นำมาทำบรั่นดี เขาสั่งวอลนัทเพราะไม่เคยลอง ส่วนผมสั่งไวน์แดงขวดเล็กจากองุ่นพันธุ์ Vranac ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อของมอนเตเนโกร บริกรสาวรินไวน์ใส่แก้วให้เหลือติดก้นขวดอยู่อีกหน่อย ปรากฏว่ารสชาติไม่น่าพอใจเท่าไหร่ เมื่อดื่มหมดจึงเปลี่ยนเป็นรักเคียพลัมซึ่งเสิร์ฟมาในแก้วช็อตทรงสูงก้นป่อง โกรันดื่มหมดแก้วแล้วก็สั่งผลไม้ชนิดอื่นไล่ไปเรื่อยๆ ผมเองเมื่อร่างกายอุ่นขึ้นหน่อยแล้วก็ขอออกไปเดินเล่นรอบๆ เมืองไม้อีกครั้ง

Küstendorf เป็นเหมือนหมู่บ้านจริงๆ มีทุกอย่างครบตามองค์ประกอบของหมู่บ้าน ทำด้วยไม้ในแบบฉบับของบ้านและอาคารเก่าๆ ของชาวเซิร์บแต่ย่อขนาดให้เล็กลง คูซตูริซาสร้างขึ้นสำหรับเป็นฉากในภาพยนตร์เรื่อง Life is a Miracle ของเขาเมื่อปี ค.ศ. 2004 แต่ความคิดของคูซตูริซาไม่ได้ต้องการให้เป็นแค่ฉากในหนังเท่านั้น เขาระบุว่า
“ผมสูญเสียเมืองของผมซึ่งนั่นก็คือซาราเยโวไปในระหว่างสงคราม (ยุคต้นคริสต์ทศวรรษที่ 90) จึงเป็นสาเหตุทำให้ผมอยากสร้างหมู่บ้านของตัวเองขึ้นมา มันมีชื่อเป็นภาษาเยอรมันว่า Küstendorf ผมจะจัดสัมมนาที่นี่สำหรับคนที่ต้องการเรียนการทำหนัง คอนเสิร์ต เซรามิก ภาพเขียน มันจะเป็นสถานที่ที่ผมจะอยู่อาศัยและผู้คนสามารถมาเยี่ยมเยียนได้ แน่นอนว่าจะมีผู้อื่นอยู่อาศัยด้วยซึ่งก็คือคนที่จะทำงานที่นี่ ผมฝันถึงสถานที่เปิดสำหรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านโลกาภิวัฒน์”
ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2008 คูซตูริซาก็ได้จัดเทศกาลภาพยนตร์และดนตรีที่ไม่มีพรมแดงต้อนรับดาราดังขึ้นที่เมืองไม้แห่งนี้ ใช้ชื่อว่า Küstendorf Film and Music Festival โดยมีการเปิดตัวหุ่นขี้ผึ้งของ ‘จอห์นนี เด็ปป์’ ดาราที่เคยร่วมงานกับคูซตูริซาในภาพยนตร์ปี 1993 เรื่อง Arizona Dream ซึ่งเป็นภาพยนตร์อเมริกันเพียงเรื่องเดียวในชีวิตของเขา วันนั้นเด็ปป์ได้นั่งเฮลิคอปเตอร์มาร่วมงาน หลังจากนั้นเป็นต้นมาในเดือนมกราคมของทุกปีก็จะมี Küstendorf Film and Music Festival ขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้

เมืองไม้ Küstendorf มีจัตุรัส ถนน ร้านอาหาร เบเกอรี โรงหนัง โรงยิม สระว่ายน้ำ สนามเทนนิส ซาวน่า โบสถ์ออร์โธดอกซ์ บ้านพัก ห้องสมุด แกลเลอรี ร้านเสริมสวย ฯลฯ โดยทั้งหมดถูกตั้งชื่อตามบุคคลที่คูซตูริซาให้ความนิยมยกย่อง อาทิ นิโกลา เทสลา ยอดนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์, อีโว อันดริช นักเขียนรางวัลโนเบล, สแตนลีย์ คูบริก และเฟเดริโก เฟลลินี ผู้กำกับภาพยนตร์, ดีเอโก มาราโดนา นักฟุตบอลจอมมหัศจรรย์, ฟิเดล คาสโตร และ เช เกวารา คู่หูปฏิวัติคิวบา, บรูซ ลี ยอดนักแสดงหนังลีลากังฟู, โนม ชอมสกี นักปรัชญาและนักภาษาศาสตร์, กัฟริโล ปรินซิป อดีตเด็กหนุ่มชาวบอสเนียน-เซิร์บ ผู้ปลิดชีพมกุฏราชกุมารแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ฯลฯ

ระหว่างเดินถ่ายรูปอยู่ก็เจอหมาตัวสีดำขนฟูยาวดูแล้วยังเป็นเด็กเข้ามาผูกมิตรด้วย ไม่ทราบว่าเป็นพันธุ์อะไร ผมหยอกล้อกับมันครู่หนึ่งก็กลับเข้าไปนั่งดื่มต่อกับโกรัน เวลาเกือบเที่ยงคืนเรากลับออกมาจากร้านอาหารและบาร์ Visconti ก่อนออกจากประตูเมืองไม้ เจอหมาน้อย 2 ตัว ตัวหนึ่งคือเจ้าดำขนฟูตัวเดิม อีกตัวขนฟูพันธุ์เดียวกันแต่สีออกน้ำตาล พวกมันเดินตามผมและโกรันมาเรื่อยๆ โดยเราเดินกลับทางถนนปกติ ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร มีเสียงหมาตัวอื่นเห่ามาจากบ้านริมทางแต่เจ้า 2 ตัวนี้ไม่เกรงกลัว เดินตามเรามาจนลงถนนใหญ่ ผมนึกว่าพวกมันจะกลับเมื่อถึงถนนใหญ่ก็ยังไม่กลับ เวลารถผ่านมาก็กังวลว่าจะโดนชน แต่ทั้งสองรีบหลบลงข้างทางอย่างคล่องแคล่วว่องไว มีเสียงหมาเห่าให้ได้ยินอยู่ตลอด สองตัวนี้ก็ไม่ถอย
เมื่อถึงบ้านพักที่เราเช่าไว้ ผมจัดการให้ทั้งสองอยู่ตรงบริเวณชานนอกตัวบ้าน เจ้าสีน้ำตาลแสดงอาการเหมือนอยากกลับหรือจะไปที่อื่น แต่เจ้าดำยืนยันจะอยู่ เพราะเข้าประจำโซฟาที่นั่งนอกบ้าน ผมแบ่งมันฝรั่งแผ่นสำหรับความเพียรและความมีน้ำใจของพวกมัน เจ้าสีน้ำตาลไม่กิน ส่วนเจ้าดำกินแล้วกินอีกจนหมดถุง และพยายามจะเข้าบ้าน ผมต้องใจแข็งไม่ให้เข้า ก่อนจะขึ้นนอนแอบแหวกผ้าม่านดูไปที่ชานนอกบ้านก็พบว่ายังใจสู้ไม่หนีไปไหน แม้มีหมาตัวอื่นมาท้าทาย และเหมือนจะวิ่งไล่กับเจ้าสีน้ำตาล แต่มองไม่เห็นว่าวิ่งหนีหรือวิ่งไล่กันแน่ ส่วนเจ้าดำนอนขดหนีหนาวไม่สนใจเพื่อน

ตื่นมาตอนประมาณ 8 โมง หมาเด็ก 2 ตัวนี้ก็ยังอยู่ พวกมันกระดิกหางและวิ่งเข้าใส่ทักทายอย่างอารมณ์ดี ผมกับโกรันอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็วแล้วรีบเดินไปยังสถานีรถไฟโมกราโกรา เพราะทัวร์เส้นทางรถไฟสายเลข 8 จะออกเดินทางเวลา 10 โมงครึ่ง หมาน้อยเดินตามอย่างเบิกบานไปจนถึงสถานีรถไฟ เจอกับนักท่องเที่ยวที่รอขึ้นรถไฟก็เข้าไปเล่นด้วย จึงรู้สึกดีใจกับพวกมันและคิดว่าน่าจะหากินแถวนี้ได้ไม่อดตาย โกรันเดินไปซื้อตั๋วปรากฏว่าไม่มีที่นั่งแต่สามารถยืนได้ เมื่อกลับมาถามผมก็ตอบไปว่า “ยืนนั่นแหละดี ตรงข้อต่อระหว่างตู้รถไฟจะทำให้เราเห็นวิวและถ่ายรูปได้ดีกว่า” ก็ตกลงกันตามนั้น ค่าตั๋วคนละ 600 ดินาร์ หรือประมาณ 200 บาท
เรามีเวลาเหลือครึ่งชั่วโมงสำหรับอาหารเช้า ผมสั่งกาแฟ และไข่เจียวใส่เบคอน โกรันสั่งไข่เจียวใส่แฮม ขนมปัง และชาร้อน ไข่เจียวของที่นี่รูปร่างและรสชาติไม่ต่างจากไข่เจียวไทยมากนัก กินเสร็จเราก็ขึ้นรถทันที มีนักเรียนกลุ่มใหญ่ ระดับมัธยมต้นมาจากเมืองนีส (Nis) ตอนใต้ของประเทศเป็นผู้โดยสารจำนวนประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของทั้งขบวน พวกเด็กมากับคณะครู ที่เหลือก็เป็นคนหนุ่มสาวจากต่างเมือง กลุ่มคนรุ่นเกษียนอายุจากเยอรมนี และนักท่องเที่ยวจากจีนที่มาเป็นกลุ่มอีกห้าหกคน
เมื่อเราขึ้นไปยืนตรงข้อต่อของตู้โดยสารก่อนตู้สุดท้าย (มีทั้งหมด 4 ตู้) รถไฟโบราณก็เปิดหวูดออกเดินทางจากสถานีโมกราโกราไปบนรางขนาดความกว้างเพียง 76 เซนติเมตร ให้ความรู้สึกคล้ายอยู่ในพิพิธภัณฑ์รถไฟที่มีชีวิต

รถไฟสายนี้เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1915-1916 โดยจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เพื่อลำเลียงอาวุธและกำลังพลจากเมืองวาร์ดิสเต (Vardiste) ในบอสเนีย ไปยังเมืองอูซิเซ (Uzice) ในเซอร์เบีย ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยแรงงานเชลยศึกกว่า 3,000 คน แต่สร้างได้เพียง 9 กิโลเมตร อุโมงค์ชื่อ Budim ถล่มลงทำให้แรงงานเชลยศึกจากรัสเซียและอิตาลีประมาณ 200 คนถูกฝังทั้งเป็น และหยุดการสร้างลงเพียงแค่นั้นด้วยมีอีกเหตุผลคือออสเตรีย-ฮังการี กำลังเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
ผู้ชนะสงคราม ได้รวบรวมดินแดนในสลาวิกใต้ที่เคยเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นยูโกสลาเวีย ได้ก่อสร้างรถไฟสายนี้ขึ้นใหม่ระหว่างปี ค.ศ. 1921-1925 เพื่อเชื่อมกรุงเบลเกรดออกสู่ทะเลเอเดรียติค ช่วงหนึ่งของเส้นทางก่อนจะขึ้นเทือกเขาชื่อ ‘ซาร์กัน’ (Sargan) ด้วยความชันที่สูงมาก คือในระยะทาง 3.5 กิโลเมตร ความสูงต่างกันถึง 300 เมตร จึงต้องก่อสร้างรางเป็นวงก้นหอยซึ่งเป็นปกติในการสร้างทางรถไฟบนเส้นทางที่มีความชัน แต่เส้นทางรถไฟสายนี้วงก้นหอยขดเดียวไม่เพียงพอที่จะไปถึงความสูงที่สถานีต่อไปคือ Sargan-Vitasi ได้ ต้องมีถึง 2 ขด หากว่าเราขึ้นเฮลิคอปเตอร์มองลงมาก็จะเห็นเป็นรูปเลข 8 เส้นทางรถไฟบริเวณนี้จึงได้ชื่อว่า Sargan Eight
ในเวลาต่อมา การเดินทางด้วยรถไฟจากสถานีเมืองอูซิเซไปยังเมืองวาร์ดิสเตหมดความสำคัญลง รัฐบาลยูโกสลาเวียก็เลิกใช้เส้นทางนี้ในปี ค.ศ. 1974 แต่หลังจาก 25 ปีผ่านไป (ยูโกฯ ล่มสลายลงแล้ว) รัฐบาลเซอร์เบียก็สั่งบูรณะในระหว่างปี ค.ศ. 1999-2003 ใช้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เท่านั้น และเส้นทางการท่องเที่ยวนี้ก็มีระยะทางเพียง 15 กิโลเมตร ให้บริการวันละ 3 เที่ยว (บางช่วงของปีมี 2 เที่ยว) ใช้ระยะเวลาประมาณเที่ยวละ 2 ชั่วโมง เมื่อส่งกลุ่มหนึ่งกลับถึงสถานีโมกราโกราเรียบร้อย ก็รับกลุ่มถัดไปขึ้นขบวนต่อทันที

รถไฟสายเลข 8 วกเลี้ยวไปตามสภาพของภูเขา ทัศนียภาพเป็นหุบเขา ป่าไม้ และแม่น้ำสายเล็กๆ นานๆ ครั้งจึงจะเห็นอาคารบ้านเรือนซึ่งอยู่ไกลออกไปดูเล็กจิ๋ว ลอดอุโมงค์จำนวน 22 อุโมงค์ และข้ามอีก 5 สะพาน รถไฟวิ่งไปจอดที่สถานี Sargan-Vitasi ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง แวะให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำ ซื้อขนม น้ำดื่ม ในร้านค้าของสถานี ดูสิ่งแสดงกลางแจ้งเกี่ยวกับรถไฟในอดีต ชมวิว และนั่งเล่น ก่อนจะเดินทางย้อนกลับและแวะที่สถานี Jatare ซึ่งมีกิจกรรมให้ทำคล้ายๆ กับสถานี Sargan-Vitasi
ผมแยกกับโกรันเดินขึ้นเขาไปถ่ายรูป ดูตาน้ำ กับพวกเด็กๆ จากเมืองนีส แล้วเดินลงมาเจอกับกลุ่มคนหนุ่มสาวจากประเทศจีน พวกเขาชวนให้ผมนั่งในร้านไอศกรีมและเครื่องดื่มของสถานี สาวจีนหนึ่งในคณะนั้นเล่าให้ฟังว่าพวกเขาเช่ารถตู้พร้อมคนขับเที่ยวกันเอง เสร็จจากที่นี่แล้วก็จะไปเที่ยวเมือง Uvac ห่างโมกราโกราไปราว 100 กิโลเมตร แล้วต่อไปที่เมือง Milanovac ทางตะวันออกของประเทศ

รถไฟจอดที่สถานีที่ 3 คือสถานี Gobulici ซึ่งเอเมียร์ คูซตูริซา สร้างขึ้นเป็นหนึ่งในฉากของหนังเรื่อง Life is a Miracle เช่นกัน จากนั้นก็จอดจุดชมวิวอีก 2 แห่ง หนึ่งในนั้นนอกจากมีเฉลียงยื่นออกไปจากรางรถไฟสำหรับชมทิวทัศน์หุบเขาและทิวเขาที่สลับซับซ้อนอยู่เบื้องหน้าแล้วตรงกลางของเฉลียงใกล้ๆ รางรถไฟมีหินก้อนใหญ่โผล่ขึ้นมา ใครคนหนึ่งเล่าขึ้นว่าหากใครได้กอดหินก้อนนี้แล้ววางเหรียญหรือธนบัตรไว้จะได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ก็มีผู้โดยสารเข้าไปกอดกันใหญ่ ทั้งคนหนุ่มสาวจากต่างเมือง กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน ผู้สูงอายุจากเยอรมนี และเด็กๆ ที่เพิ่งเรียนมัธยมต้น กอดแล้วก็หัวเราะขำขันให้กันทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ในกองเหรียญกองนั้นผมเจอเหรียญ 1 บาทไทยรวมอยู่ด้วย

เด็กๆ นักเรียนชั้นมัธยมต้นที่ดูเงียบขรึมกันตอนแรกๆ เริ่มออกอาการเริงร่ากันมากขึ้นเมื่อการเดินทางผ่านไป จากที่นั่งกันอย่างเรียบร้อยบนเก้าอี้ไม้ในตู้รถไฟก็ออกมาห้อยโหนตามข้อต่อของตู้ ทั้งหญิงและชายส่งเสียงหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน บางคนโดนคุณครูสั่งให้มาคุยกับผมเป็นภาษาอังกฤษ พวกเขาก็ถามว่ามาจากไหน ผมตอบแล้วต้องเสริมไปด้วยว่า “ภาษาอังกฤษของเธอดีมาก” เพื่อให้กำลังใจทั้งเด็กและครู
โกรันซึ่งเป็นชาวเซิร์บเหมือนพวกเขา ถามว่าจริงๆ แล้วพูดภาษาอังกฤษกันได้ไหม คนหนึ่งตอบว่า “จาก 5 ระดับ พวกเราอยู่แค่ระดับ 2 เท่านั้นแหละ”
แล้วก็หัวเราะยอมรับกับเกรดของตัวเองกันอย่างเฮฮา
- READ เมืองไม้และรถไฟสายเลข 8
- READ บนเส้นทางสู่ “โมกราโกรา”
- READ กีฬา กาแฟ แก๊ส เกาะ
- READ เมืองขาวของชาวเซิร์บ
- READ โร้ดทริปสู่เซอร์เบีย
- READ วิสกี้ ซิการ์ บูดาเปสต์
- READ คอยเพื่อนที่บูดาเปสต์
- READ ปวดบาทาที่บูดาเปสต์
- READ ทิมิชัวรา – บูดาเปสต์
- READ จาก ‘ซีบีอู’ สู่ ‘ทิมิชัวรา’
- READ มื้อเช้าของนักเดินทางและสะพานคนลวง
- READ ดวงตาซีบีอู
- READ เสน่หา บราชอฟ
- READ รถไฟสายทรานซิลเวเนีย
- READ เชาเชสคูและบูคาเรสต์
- READ บูนา บูคาเรสต์
- READ ผู้ควบอาชาแห่งเมืองบราชอฟ