รักที่ยังคงอยู่

รักที่ยังคงอยู่

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

When We Met โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราวหลากรส ของผู้คนอันหลากหลาย ที่เราได้มีโอกาสพบปะเจอะเจอกัน ไม่ว่าจะเป็นความเปรี้ยวนิดๆ  หวานหน่อยๆ  หรืออาจขมบ้างเป็นบางเวลา ที่พร้อมแบ่งปันให้ผู้อ่านได้จดจำนึกถึงและสุขสำราญไปด้วยกัน

เชื่อว่านักอ่านหลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “โลกหมุนด้วยความรัก”  กันมาบ้าง ซึ่งหากจะว่าไปหลายเรื่องราวในชีวิตที่ทำให้เราได้เรียนรู้ และเติบโตในบางเรื่องก็ไม่ได้มาจากความเศร้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังมีจุดเริ่มต้นมาจากความรักด้วยเช่นกัน และในเดือนแห่งความรักแบบนี้ เราก็อยากชวนเพื่อนๆ นักอ่าน มาอ่านเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นจากความรักที่ยังอิ่มเอมอยู่ในหัวใจ 

ย้อนกลับไปความรักของมีนาเป็นรักครั้งแรก และครั้งสุดท้ายที่เริ่มต้นในวัยเกือบ 30 จะเรียกว่าเป็นเป็นความบังเอิญก็ได้ เพราะวันนั้นเธอกับเพื่อนชวนกันมาทานข้าวในร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ ขณะที่ปอนด์แวะมาสั่งกาแฟในร้าน แล้วกวาดสายตามาเจอเพื่อนเธอพอดี  หลังจากทักทายกันไม่นาน เพื่อนเธอก็ตัดสินใจชวนให้เขาร่วมโต๊ะพร้อมแนะนำให้ทั้งมีนาและปอนด์ได้รู้จักกัน

ตลอดระยะเวลากว่า 2 -3  ชั่วโมงบนโต๊ะอาหารมีนานั่งฟังเขาและเพื่อนอัพเดทชีวิตกันและกัน จนเธอแทบจะรู้ประวัติเขาทั้งชีวิต  หลายเรื่องที่เขาเล่าให้เพื่อนเธอฟัง  เธอแอบคิดในใจเงียบๆ ว่า เป็นเธอ..เธอคงผ่านมันไปได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียพ่อ การต้องออกจากงานมาดูแลแม่ที่ป่วยและจากไปในเวลาไล่เรี่ยกัน  การไม่สามารถอยู่ในบ้านหลังเดิมคนเดียวได้หลังจากทุกคนจากไปจนต้องขายบ้าน แล้วย้ายไปอยู่คอนโด ในช่วงเวลาที่เพื่อนทำหน้าสำนึกผิดที่ถามไปโดยไม่เจตนา และเธอมัวแต่เหวอไปกับเรื่องราวหนักๆ ในชีวิตที่เขาเจอ เขาก็ตอบกลับง่ายๆ ว่า

“ไม่เป็นไร มันผ่านไปแล้ว..ชีวิตมันก็อย่างนี้ คนที่อยู่ก็ต้องใช้ชีวิตตัวเองต่อไป..”

ประโยคง่ายๆ ที่ดูจริงในทุกความหมายของปอนด์ ทำให้มีนาแอบรู้สึกนิยมชมชอบในความคิดที่ดูเข้าอกเข้าโลกของเขา ก่อนแยกย้ายจากกันในเย็นวันนั้นทั้งหมดก็แลกไลน์กันรวมทั้งเธอด้วย  

มีนาโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างและแยกย้ายกันไปมีครอบครัวใหม่ตั้งแต่เธอยังเรียนไม่จบชั้นมันธยมต้น โดยแม่พาพี่ชายกลับไปอยู่บ้านเกิดที่ต่างจังหวัด  เธอถูกพ่อพามาอยู่บ้านย่าร่วมกับบรรดาอาๆ อีก 3 คน ที่เป็นพี่น้องพ่อ ซึ่งทุกคนรวมทั้งพ่อของมีนา ต่างก็ต้องช่วยกันบริหารงานในโรงงานเพื่อกินเงินกงสีของครอบครัว  แต่ในวันที่พ่อมีครอบครัวใหม่ พ่อก็เริ่มขยับขยายตัวเองออกไปเปิดบริษัทกับแม่เลี้ยง แล้วก็ทิ้งเธอให้ย่าและอาๆ ช่วยดูแลเป็นการถาวร นานๆ พ่อถึงจะแวะมาหามีนาและย่าสักครั้ง 

แรกๆ มีนาก็เคยนึกน้อยใจที่พ่อเห็นครอบครัวใหม่ดีกว่าเธอ แต่นานวันเข้ามันก็กลายเป็นความเคยชิน แถมข้อดีของการอยู่กับย่าและอาๆ  ก็คือ ทุกคนตามใจและไม่ค่อยเข้มงวดกับเธอนัก เพราะกลัวว่าจะทำเธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเป็นปมด้อยเพิ่มขึ้นจากเดิมที่พ่อแม่ทิ้งไปมีครอบครัวใหม่ ยังจะต้องกลายเป็นเด็กที่แม้แต่ญาติก็เหลียวแลให้ความรัก มีนาเลยมีชีวิตที่ค่อนข้างสบาย พอเรียนจบก็มาช่วยทำงานในกงสี  หน้าที่ของเธอก็ไม่ยาก แค่ช่วยดูแลเอกสารเข้าออกในบริษัท บางครั้งก็ทำหน้าที่เป็นแมสเซ็นเจอร์ไปส่งเอกสารสำคัญให้ลูกค้าตามที่ต่างๆ  เช้าไปทำงาน เย็นก็กลับบ้าน มีมอเตอร์ไซค์ 1 คันไว้ขี่จากบ้านไปโรงงานที่อยู่ไม่ไกลกัน กลับบ้านก็มีคนทำกับข้าวให้กินทุกมื้อ เธอไม่เคยคิดอยากมีรถ มีบ้าน หรือมีมีความฝันคิดอยากจะทำอะไรเป็นของตัวเองแบบคนอื่นๆ  เพราะที่มีอยู่มันก็ดี เงินเดือนจากกงสีก็เข้าบัญชีทุกเดือน

หลังจากวันที่แลกไลน์กัน..เช้าวันรุ่งขึ้นปอนด์ก็เริ่มทักไลน์มาหาเธอ ทำทีเป็นสอบถามเรื่องงานเอกสาร เพราะเพื่อนของเธอบอกว่าเธอเก่งเรื่องเอกสารสัญญา บางครั้งปอนด์ก็ชวนเธอและเพื่อนไปกินข้าวดูหนังด้วยกัน นานวันเข้าก็กลายเป็นความสนิทสนมเหมือนเขาเป็นเเพื่อนเธออีกคน และตอนไหนก็ไม่รู้ที่เพื่อนตัวดีของเธอหายไป หัวข้อสนทนาก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่นๆ จนกลายเป็นเรื่องส่วนตัว ที่บอกเล่าชีวิตตัวของกันและกันแทบจะทุกเรื่อง มีนาและปอนด์คบกันอยู่ 5-6 ปี ก็ตัดสินใจแต่งงาน และเป็นครั้งแรกที่มีนาออกจากบ้านของย่าไปสร้างครอบครัวของตัวเอง หลังแต่งานได้ 5 ปี ทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกัน

การมีลูกในวัย 40 คือสิ่งที่มีนาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ด้วยอายุที่เยอะ..ช่วงตั้งครรภ์ในระยะแรกเธอเต็มไปด้วยความกังวลว่าลูกจะมีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น แม้หมอยืนยันให้เธอสบายใจว่าครรภ์เธอปกติ  แต่มันก็เป็นความสบายใจแค่ส่วนหนึ่ง เพราะจากคนที่อยู่ไปวันๆ เธอเริ่มคิดไปไกลถึงอนาคต หากเธอเป็นอะไรไปแล้วต้องตายก่อน เหมือนที่หลายคนบอกว่ายังไม่ทันได้เห็นลูกโต เธอจะทำยังไง ลูกจะอยู่กับใคร เวลาลูกเจ็บไข้ได้ป่วยใครจะดูแล เธอไม่อยากให้ลูกอยู่กับความรู้สึกของการถูกทิ้งเหมือนเธอเคยรู้สึกในวัยเด็ก  ตรงข้ามกับปอนด์เมื่อรู้ว่ามีลูกสิ่งแรกที่เขาทำคือการเลิกสูบบุหรี่ และเฝ้านับวันรอด้วยความดีใจที่จะได้เจอหน้าลูก พร้อมทั้งคอยดึงสติเธอให้กลับมาจากโลกอนาคตที่เธอมัวแต่ไปคิดถึงมันทั้งๆ ที่ยังมาไม่ถึง  

“..ถ้าเราสองคนเลี้ยงเขาให้ดี สอนให้เขาดูแลตัวเองให้เป็น วันข้างหน้าถ้าเราไม่อยู่ ปอนด์เชื่อว่าลูกก็เอาตัวรอดได้..”  นั่นคือคำพูดที่ปอนด์มักพูดกับเธอตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้อง และในวันที่ลูกเกิดมีนาก็รู้ว่าสิ่งที่ปอนด์พูดมันคือสิ่งที่แม้แต่คนเป็นพ่อแม่ต้องฝึก และต้องยอมอดทนพร่ำสอนลูกซ้ำๆ ตั้งแต่ยังเล็ก  ทุกครั้งที่เธอสปอยล์ลูก เช่นเรื่องง่ายๆ อย่างช่วยลูกเก็บของเล่น เธอก็จะถูกปอนด์ดุไปด้วยเสมอ  จนบางครั้งมีนาก็รู้สึกเหมือนว่าเธอเป็นลูกของปอนด์อีกคน

ถ้าครั้งหนึ่งเธอเคยกลัวว่าตัวเองจะตายก่อนที่จะได้เห็นลูกโต แต่ในชีวิตจริงปอนด์กลับเป็นคนที่จากเธอและลูกไปก่อนด้วยโรคหัวใจโต พิธีศพตามวิถีมุสลิมถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายภายในวันเดียวและฝังไว้ที่สุสานไม่ไกลจากบ้าน  ในช่วงเวลาที่ต้องบอกลากัน เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกถึงความน่ากลัวและความรู้สึกอุ่นใจของการจากลาไปพร้อมกัน เมื่อเด็กชายวัยไม่ถึง 5 ขวบข้างตัวที่เห็นพ่อนอนหลับตานิ่งอยู่เป็นนาน พูดออกมาด้วยความไร้เดียงสาว่า

ป๋าเขาคงกำลังฝันดีเนอะแม่…”

และเธอยังจำคำพูดตัวเองที่ตอบลูกได้ดี  

“..ไว้ถ้าตอนไหนเราคิดถึงป๋า เราก็ค่อยขับรถมาหาป๋ากันนะ..” 

“..ป๋าครับ..วันนี้ข้าวปั้นจบอนุบาล 3 แล้วนะครับ”  น้ำเสียงเจื้อแจ้วเปล่งออกมาด้วยความลิงโลดพร้อมอวดประกาศนียบัตรแผ่นเล็กๆ ในมือ บอกกับแผ่นป้ายหินรูปทรงบัวสีขาวเหนือหลุมศพของชายผู้เป็นพ่อ  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กชายตัวน้อยชวนเธอมาหาปอนด์  ทุกวันนี้ไม่ว่าเธอจะมีเรื่องไม่สบายใจ หรือเด็กชายตัวน้อยจะโกรธแม่ งอนแม่ หรือได้ของเล่นอะไรใหม่ๆ ทั้งคู่ก็จะขับรถมาหาปอนด์และบอกเล่าเรื่องราวให้เขาฟังอยู่เป็นนิจ 

แม้ปอนด์จะไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อเห็นลูกเติบโต แต่ลึกๆ ในใจเธอปรารถนาให้ปอนด์ได้รับรู้ว่า เธอและลูกไม่เคยลืมเขาเลยในสักวัน และความรักของเขาก็ยังคงเป็นพลังในการใช้ชีวิตให้เธอและลูกอยู่เสมอ

Don`t copy text!