พระเอกเกาหลี..และคนที่ได้เจอในชีวิตจริง

พระเอกเกาหลี..และคนที่ได้เจอในชีวิตจริง

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

When We Met โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราวหลากรส ของผู้คนอันหลากหลาย ที่เราได้มีโอกาสพบปะเจอะเจอกัน ไม่ว่าจะเป็นความเปรี้ยวนิดๆ  หวานหน่อยๆ  หรืออาจขมบ้างเป็นบางเวลา ที่พร้อมแบ่งปันให้ผู้อ่านได้จดจำนึกถึงและสุขสำราญไปด้วยกัน

ถ้าใครเป็นสายซีรีส์เกาหลี คงจะรู้กันดีว่า นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูหล่อ สะอาด เหมือนอาบน้ำวันละหลายๆ รอบ อย่างที่วัยรุ่นเจนนี้ชอบใช้เรียกกันแล้ว ภาพลักษณ์ภายในที่สะท้อนผ่านจอของพระเอกเกาหลีที่ต้องมีให้เห็น ก็คือการกระทำและนิสัยใจคอที่เต็มไปความอ่อนโยน ความช่างคอยเทคแคร์ดูแลเอาใจใส่ ที่สำคัญต้องมีสายตาสำหรับมองมาที่นางเอกคนเดียว  ขนาดบางเรื่องหลายคนบ่นว่าไม่สนุก อยากจะเท แต่สุดท้ายก็ยังยอมทนดูต่อจนจบ เพราะหน้าตาและคาเรคเตอร์ที่โดนใจของพระเอกที่ทำให้คนดูอย่างเราๆ  จิกหมอนฟินวนไป  ฟินในแบบที่รู้ทั้งรู้โดยไม่ต้องให้ใครมาบอกด้วยว่า ในชีวิตจริงจะหาคนที่เพอร์เฟค แบบพระเอกเกาหลีนั้นมันยาก…

เวลาใครถามรุจีว่าเธอกับโอป้าเจอกันได้อย่างไร  รุจีจะบอกทุกคนเสมอๆ ว่า เราเจอกันที่สนามบินอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ เพราะกระเป๋าเดินทางของเธอมาช้า ในขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นๆ ได้กระเป๋ากันไปหมดแล้ว และเธอก็เข้าใจไปเองว่าเขาคือเจ้าหน้าที่สนามบิน เพราะเห็นใส่เสื้อกั๊กคล้ายๆ เจ้าหน้าที่ ทั้งๆ ที่เขาเป็นวิศวกรคนหนึ่งที่แค่บังเอิญเดินผ่านมา… 

หลายปีก่อนหน้านั้นในช่วงที่รุจีลาออกจากงาน เพราะรู้สึกหมดไฟ เธอนั่งคิดนอนคิด คุยกับสิริอยู่เป็นเดือนว่าจะทำอะไรต่อกับชีวิต สุดท้ายก็ตัดสินใจไปสมัครเรียนภาษาเกาหลีที่ประเทศเกาหลีใต้ เพราะเห็นว่าตัวเองก็พอมีพื้นฐานจากที่เคยเรียนมาอยู่แล้วบ้าง ตอนสมัยตามกระแสซีรีส์และดนตรี  K-POP เธอก็คิดง่ายๆ ว่ามันคงน่าสนุกและท้าทายกว่าการเอาเงินเก็บไปเรียนภาษาอังกฤษในยุโรป หรืออเมริกา เพราะขนาดเรียนในเมืองไทยมาเป็นสิบๆ ปี เรียนไปเท่าไหร่ๆ ก็เอาความรู้ที่ได้คืนครูไปเกือบหมด ลองภาษาเกาหลีนี่ละ เผื่อวันนึงอาจจะมีประโยชน์กับการทำงานบ้างอะไรบ้าง 

 3 เดือนของการพาตัวเองออกไปจากโลกเดิมๆ เพื่อเรียนภาษาเกาหลีในประเทศแม่ นอกจากทักษะในการพูดได้ ฟังออกบ้าง อ่านได้เล็กน้อย และเขียนได้อีกนิดหน่อยที่เพิ่มขึ้นในแบบที่ไม่ขี้เหร่นัก รุจีก็ยังได้เพื่อนร่วมชั้นจากเกาหลีและต่างชาติอีกหลายต่อหลายคน ที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิท และต่างคนก็ต่างก็พยายามหาเวลาว่างจากการทำงานไปเที่ยวประเทศของอีกฝ่ายเสมอๆ   

ในวันที่รุจีบินไปหาเพื่อนที่เคยเรียนร่วมชั้นที่เกาหลี และพบว่ากระเป๋าเดินทางของเธอที่ควรออกมาพร้อมกระเป๋าของผู้โดยสารคนอื่นๆ พลัดหลงไปที่ไหนสักแห่ง เธอก็เริ่มร้อนใจ จนต้องหันซ้ายหันขวาเพื่อหาความช่วยเหลือ พอเห็นชายคนหนึ่งที่แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่สนามบิน รุจีก็พุ่งตรงไปเอ่ยปากขอความช่วยเหลือแบบไม่รอช้า รุจีจำได้ว่าเขามองหน้าเธอด้วยความประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอกว่าไม่เป็นไร พร้อมทั้งอาสาพาเธอไปเคาน์เตอร์ lost and found ระหว่างเดินไปด้วยกัน เธอก็คิดในใจว่าโชคดีแล้วที่เขาพามา  เพราะสนามบินใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้บอกทางเธอคงหลง กลายเป็นของ lost and found อีกชิ้นแน่ๆ   

รุจีจำได้ขึ้นใจว่าระหว่างเดินไปด้วยกันเขาพยายามชวนเธอคุย “เป็นคนไทยหรือ”  “มาทำอะไรที่เกาหลี”  “มาเที่ยวกี่วัน”  “ไปเที่ยวที่ไหนบ้าง” และอีกหลายหลากคำถามที่เธอรู้สึกว่าผู้ชายข้างตัวจะถามเก่งอะไรเบอร์นี้ ถามยิ่งกว่า ตม. แถมภาษาเกาหลีเธอก็ไม่ได้ดี ภาษาอังกฤษก็แค่ระดับสื่อสาร ซึ่งรุจีมารู้ทีหลังว่าที่เขาชวนคุย ก็เป็นเพราะอยากให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย ไม่อยากให้เธอกระวนกระวายใจกับกระเป๋าที่หายไป เพราะอย่างไรเสียเจ้าหน้าที่ก็สามารถติดตามกระเป๋ากลับมาให้เธอได้ พอไปถึงเคาน์เตอร์เขาก็ช่วยดำเนินการทุกอย่างให้  และก่อนจากเขาก็เอ่ยปากขอ Kakao Talk ซึ่งเป็นแอพลิเคชั่นสนทนาของเธอไว้  โดยให้เหตุผลว่าระหว่างนี้หากเธอมีปัญหาใดๆ ก็สามารถติดต่อเขาได้ เพราะเขาทำงานอยู่ข้างในนี้

รุจีเคยถูกเพื่อนๆ ถามว่าทำไมถึงกล้าให้แชทสนนากับคนแปลกหน้า เธอก็สารภาพกับเพื่อนตรงๆ ว่า “แหม..หน้าตาดีขนาดนี้ ช่วยขนาดนี้ ใครจะปฏิเสธลง”  และอย่างที่ใครๆ ก็คาดเดาความสัมพันธ์ต่อได้  หลังจากวันนั้นเขาก็ทักมาคุยกับเธอบ่อยๆ บ้างก็วิดีโอคอลคุยกัน ผ่านไปเกือบปีเขาลาพักร้อนมาเที่ยวในเมืองไทย บางช่วงเวลาที่มีวันหยุดยาวรุจีก็บินไปหาเขา สลับกันไปมา แม้ช่วงระยะเวลาของการอยู่ด้วยกันในแต่ละปีจะน้อย แต่มันก็เป็นรักทางไกลที่ทำให้รุจีรู้สึกได้ถึงความจริงใจ และการยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น

เพื่อนๆ ทุกคนรู้ดีว่ารุจีทำงานบ้านไม่เก่ง ถึงขั้นที่เรียกว่าไม่เป็นเลยก็ว่าได้ และเธอก็โดนโอป้าจับโป๊ะได้ตลอด  เช่นว่า เธอพับผ้าไม่เป็น เพราะอยู่บ้านมีคนคอยทำให้ เวลาไปเที่ยวเธอจัดกระเป่าเองได้ แต่เวลาต้องเก็บเสื้อผ้ากลับ เธอจะจับมันยัดๆ ลงกระเป๋า ครั้งแรกที่โอป้าเห็นวิธีเก็บกระเป๋าของเธอ และความพยายามที่จะรูดซิปปิดปากกระเป๋าให้ได้ เขายืนจ้องเธอเหมือนตัวประหลาด ก่อนจะช่วยรื้อเอาเสื้อผ้าที่ใช้แล้วทั้งหมดของรุจี ออกมาพับเก็บใส่กระเป๋ากลับไปให้ใหม่   ณ โมเม้นท์นั้นเธอแทบจะเอาหน้าหมุดแผ่นดินด้วยความอาย และคิดในใจว่า “จบกัน”  หรือ ในวันที่ไปบ้านเขาเพื่อทำความรู้จักกับพ่อแม่เขาเป็นครั้งแรก เธออาสาช่วยเขาล้างจาน ซึ่งคนเกาหลีส่วนใหญ่นิยมใส่ถุงมือล้างจาน และจานทุกใบที่เธอล้างทิ้งคราบมันไว้ครบทุกใบ เมื่อเขามาเห็น เธอก็ให้เหตุผลว่าประเทศฉันไม่ใส่ถุงมือล้างจาน มันก็เลยไม่รู้ว่าสะอาดไหม เธอเห็นโอป้ายิ้มๆ อย่างรู้ทัน ก่อนจะมาช่วยเธอล้างจานทุกใบใหม่ พร้อมกับสอนวิธีการล้างจานให้เด็กโข่งอย่างเธอ    

ตลอด  7 ปี ของการเรียนรู้กันและกัน แม้จะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เหมือนคู่รักอื่นๆ แต่รุจีรู้ตัวเองดีว่าเธอเริ่มตกหลุมรักในความเสมอต้นเสมอปลายของความเขา คนที่บอกรักเธอทุกวันทั้งทางการกระทำและคำพูด  เขาไม่เคยลืมวันสำคัญ จำได้ทุกอย่างว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไร ขณะที่เธอจำอะไรเกี่ยวกับเขาได้น้อยมาก และจากวันแรกที่พบกัน จนถึงวันนี้ไม่มีครั้งไหนของการเจอกันที่เขาจะไม่เซอร์ไพรส์เธอ ด้วยของฝากที่ทำให้เธอยิ้มได้เสมอ 

ในวันที่ถูกขอแต่งงานรุจีตอบตกลงแทบจะทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะเธอวางแผนไว้ในใจไว้แล้วว่า ถ้าเขาไม่ขอเธอแต่งงาน เธอจะเป็นคนขอเอง เพราะชีวิตนึงมันคงไม่ง่ายที่จะได้เจอคนที่คิดว่าใช่ผ่านเข้ามาในชีวิตและยอมรับในข้อดีข้อเสียทั้งหมดที่เรามีได้ งานแต่งงานของรุจีเป็นงานแต่งเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความเรียบง่ายและอบอุ่นไปด้วยพ่อแม่พี่น้องอันเป็นที่รัก 

ทุกวันนี้เธอกับโอป้าก็ยังไปๆ มาๆ ระหว่างไทยกับเกาหลี  แต่อีกไม่นานเธอก็จะบินไปอยู่กับเขาและสร้างครอบครัวเล็กๆ ร่วมกัน และทุกครั้งที่เครื่องลงจอดที่สนามบินอินชอน หรือบังเอิญให้ต้องเดินผ่านเคาน์เตอร์ lost and found เธอจะยิ้มให้ตัวเองเสมอ เมื่อนึกถึงวันแรกที่ได้เจอกัน…พ่อพระเอกเกาหลีในชีวิตจริงของฉัน

Don`t copy text!