
A MIND จิตอริยะ บทที่ 13 : การกลับมาของฆาตกร
โดย : ไข่เจียวหมูสับ
A MIND จิตอริยะ โดย ไข่เจียวหมูสับ กับเรื่องราวซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของระบบสลับจิตที่นำมาทั้งการตามล่า บททดสอบทางศีลธรรมและความรักที่อาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา และนี่คือนวนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับเลือกจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 ที่จะถูกนำไปสร้างเป็นละครและเป็นนวนิยายที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์บนเว็บไซต์ anowl.co
ผมตระหนักได้ว่าความรู้สึกปลื้มปลาบหลังการฆ่ามันช่างต่างไปจากเดิม ภายหลังจากได้เจอพิณเพลงในครั้งแรก จากที่รู้สึกปลดปล่อยและปลอดภัย มันกลายเป็นความรู้สึกหนักอึ้งในอก ในเวลาเดียวกันก็ราวกับว่าด้านในมีรูกลวงที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อชดเชย อยากจะเติมรูกลวงนั้นให้กลับมาเต็มดังเดิม
มันคล้ายความรู้สึกช่วงที่ถูกแม่ตบหน้า…มันคือความรู้สึกผิดบาปหรือเปล่านะ
“สายตานั่นมัน…อะไรวะ” อลิน ริช ไม่ใช่สิ ฆาตกรโทษประหารกำลังมองมาทางผมอย่างโกรธเกรี้ยว มีดในมือของมันยังอยู่ และอันตรายมาก ผมอ้อมมาหาพิณเพลงที่เริ่มรู้สึกตัวและกันเธอไปทางด้านหลัง
ถึงตายก็ต้องปกป้องให้ได้
“อย่าทำท่าเหมือนตัวเองเป็นพระเอก แกมันก็นักโทษเหมือนกันละวะ”
ผมไม่เถียงด้วย แต่มองซ้ายขวา ค่อยๆ หาทางออกจากสถานการณ์นี้อย่างช้าๆ
“ฉันเห็นสายตาของแก แกไม่ใช่ปกป้องแล้ว ไม่จำเป็นต้องปกป้องนังนั่นหรอกนะ”
“คุณก็ไม่ใช่อลิน ริชเหมือนกันครับ…เป็นแค่ซุปเหลวๆ ที่เกิดจากการปนกันมั่วๆ ของสองจิตเท่านั้น”
อลินถลึงตาใส่ด้วยความแค้น มองขึ้นฟ้าพลางเอามือถูใบหน้าอย่างรุนแรง “แสงกับเงา ความดีกับความชั่ว ผู้ฟื้นสติด้านสว่างเจอกับผู้ฟื้นสติด้านมืด ฉันกลายเป็นตัวร้ายไปตั้งแต่เมื่อไรวะ”
“ตั้งแต่ที่คุณคิดจะฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยการส่งคลื่นนั่นให้ผู้ฟื้นสติคนอื่นๆ ไงครับ” ผมชี้ไปที่กระเป๋ากางเกงของมัน ในนั้นมีมือถือมรณะอยู่
“บอกว่าอย่าใช้น้ำเสียงกับท่าทางแบบนั้น แกมันก็ฆาตกรที่ถูกทางการจับประหารเหมือนกัน”
“เราต่างกันตรงที่ผมยอมให้ถูกจับได้ต่างหาก”
เท่านั้นเองที่ความรอบคอบของมันขาดผึง และพุ่งเข้าใส่ราวกับผีบ้า
พริบตาเดียวผมก็เบี่ยงตัวและเตะขัดขามัน พาร่างของอลินคว่ำลงกับพื้นในท่าหมอบ มันพลิกตัวหวังจะลุกขึ้น แต่ถูกผมยันเต็มแรงเข้าที่หลังซี่โครงซ้าย แรงของเท้าบวกกับแผลที่พิณเพลงฝากไว้ส่งให้อลินไม่มีปัญญาดิ้นอีกต่อไป ได้แค่เพียงร้องครวญอย่างน่าทุเรศเท่านั้น
จากนั้นผมขึ้นคร่อมร่างมันจากด้านหลัง ขณะเดียวกันก็เห็นพิณเพลงลุกขึ้นมา ใช้สองมือสั่นเทาของเธอนั้นหยิบมีดของอลินที่อยู่บนพื้นแล้วส่งมาให้ ผมกล่าวขอบคุณ
แค่ฉึกเดียวเท่านั้นที่หลังท้ายทอย เรื่องก็จะจบ พิณเพลงกับปกป้องจะปลอดภัย ยอมรับว่าที่ไม่ออกมาแต่แรกเพราะไม่อยากฆ่าใครอีก แต่คงปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว
ยังไม่ทันลงมือ อลินก็กระซิบ “ฆ่าฉันสิ แล้วปกป้องจะถูกเคลียริงแน่นอน”
ประโยคนั้นเล่นเอาผมกับพิณเพลงชะงัก นั่นสินะ มัวแต่คิดจะจบเรื่องเลยลืมประเด็นนี้ไป
ผมหันไปส่งสายตาถามพิณเพลง เธอคงทราบดีแล้วว่าชายตรงหน้าคือผม
ไม่จำเป็นต้องให้คำตอบ เราสองคนไม่กล้าเสียปกป้องไปหรอก
“มันคือส่วนดีส่วนเดียวในตัวของมึง จะให้มันตายไปพร้อมกันงั้นหรือ” ฆาตกรที่หน้าแนบกับพื้นหัวเราะเยาะ
มันพูดถูก หากพิณเพลงคือคนที่สอนให้รู้สึกผิดบาป ปกป้องคือคนที่สอนให้รู้สึกถึงความดีของคนคนหนึ่ง…คือป้อมปราการคุ้มภัยของธาดาร์ โพ้นวิไสยคนนี้
เมื่อผมอาศัยอยู่ด้านในตัวปกป้อง ผมก็กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
ไม่ใช่ปีศาจร้ายอย่างที่เคย…
พริบตานั้นที่มันพลิกตัวขึ้นด้วยท่วงท่าประหลาด คงไม่สนว่าข้อต่อหรือกระดูกตัวเองจะหัก และนั่นก็ทำให้ผมเสียหลักหน้าคว่ำไปอยู่กับพื้นแทน มีดในมือถูกปัดออก ในขณะที่มันเริ่มบีบคอผมด้วยแรงมหาศาล
หายใจไม่ออก…แต่นั่นไม่ทรมานเท่ากับเห็นอะไรบางอย่างที่หางตา พิณเพลงกำลังหยิบมีดนั่นขึ้นมา คงตั้งใจจะแทงมันแทนผม
ไม่เอา แบบนี้ไม่เอา…ไม่อยากให้เธอเป็นฆาตกรเหมือนผม
แต่ก่อนที่พิณเพลงจะได้ทำในสิ่งที่จะเสียใจไปตลอดชีวิต หัวของอลินก็สะบัดไปด้านข้าง แทบจะพร้อมๆ กับที่เสียง “ปัง” ดังลั่น
ความเงียบกลับมาหลังจากนั้น ร่างของอลินร่วงลงกับพื้น ตาเบิกค้าง เลือดไหลจากรูตรงขมับทั้งสองด้าน ไม่นานก็กองท่วมไปหมด
หันไปมองด้านตรงข้ามที่มันล้มลง เจ้าของเสียงปืนคือชายร่างท้วมในชุดจัมป์สูทผ้าเดนิม หน้าตาดุดันและมีเครา ชายคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมเหงื่อที่ท่วมกาย ขาขวาที่เดินกะเผลกนิดๆ นั้นดูคุ้นเคย
“มาช่วยแล้วคู่หู” เสียงนั้นกังวานและสดใส ปอดที่ใหญ่คงช่วยให้เสียงดังได้ขนาดนั้น
“มินเมือง…” เสียงที่ออกจากปากนั้นแหบแห้งไปหมด ผมค่อยๆ ชันตัวขึ้น เวลาเดียวกับที่พิณเพลงวิ่งมาพยุงทันที แผลที่ขาของเธอยังมีเลือดไหลอยู่ ความรู้สึกผิดเริ่มถาโถม เพราะไม่เคยต้องการให้เธอบาดเจ็บแม้สักนิด แต่ตอนนี้มีเรื่องให้กังวลมากกว่าแผลแล้ว
ท่าทางของพิณเพลงนั้นดูหวาดกลัว ใช่แล้ว เพราะชายที่ถือปืนในมือนั้น คือคนเดียวกับโจรร้ายที่เคยกระชากลากถูเธอหวังจะพาไปทำร้ายในซอยเปลี่ยว
ชายชั่วร่างท้วมคนนี้ชื่อมินเมือง เขาเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของผม เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ทางการต้องการตัวมาตลอด
และยังเป็นคนร้ายหลบหนีที่สังหารปกป้องในร่างเดิมด้วย
ร.ต.ท.พิศวัติไม่รู้ว่าตนมาทำอะไรในห้องผู้กำกับการ แต่ทราบว่าเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนทางสถานีเพิ่งจัดประชุมด่วนไป เห็นว่าทางฝ่ายผู้บัญชาการมีคำสั่งพิเศษมาอีกต่างหาก ส่วนเขานั้นถูกกันไม่ให้เข้าร่วม ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร แต่หลังจากนั้นกลับถูกสารวัตรสั่งให้มาพบผู้กำกับเป็นการด่วน
และพอมาถึงก็ถูกถามความคืบหน้าทุกอย่างเกี่ยวกับโครงการ A MIND และอลิน ริช…
รองผู้กำกับวิเธียรนั่งนิ่งไม่ไหวติงตรงหน้า ส่วนผู้กำกับมาวิชย์นั้น กำลังออกไปคุยโทรศัพท์กับใครสักคนนอกห้องอยู่ บรรยากาศตึงเครียดทีเดียว
“ไม่น่ามาเกิดเหตุในพื้นที่นี้เลย” รอง ผกก.วิเธียรบ่นพลางมองเหม่อ ท่าทางเหนื่อยล้าแต่ดูขบคิดหนักในเวลาเดียวกัน ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วนับจากเริ่มงานตามหาตัวปกป้อง ปักษ์ดนู ทางผู้กำกับเปลี่ยนแผนไปแล้วถึงสามครั้ง
“ผมเล่าเรื่องงานพิเศษของผมให้ฟังทั้งหมดแล้ว จะบอกได้หรือยังว่าทำไมถึงต้องจำกัดการเข้าออกเมืองอย่างเข้มข้นขนาดนี้ด้วย เรากำลังเผชิญการก่อการร้ายหรือไงครับ”
“เป็นคำถามที่ไร้สัมมาคารวะจริงๆ” ผกก.มาวิชย์เปิดประตูเดินเข้ามาพอดีพลางส่งมือถือให้พิศวัติ “คำตอบอยู่ในนี้”
เขาเห็นว่าหน้าจอกำลังฉายคลิปที่ถูกอัดไว้ และเมื่อเริ่มดู เลือดในกายก็เย็นเยียบ สันหลังวาบในทันที
“อลิน ริช ฆ่าวิริยะ…”
ทั้งสองผงกหัว ราวกับจะบอกว่า ‘คราวนี้มึงเข้าใจแล้วสินะ’
“กล้องวงจรปิดในบ้านพักส่วนตัวของนายวิริยะถูกคลื่นรบกวนทั้งหมด ตั้งแต่ก่อนที่ทั้งคู่จะนัดคุยกันแล้ว อลินคงเตรียมตัวมาอย่างดี และพยายามจะอำพรางคดีโดยคิดโบ้ยความผิดไปให้ปกป้อง ปักษ์ดนู…เห็นได้ชัดจากรอยนิ้วมือของนายปกป้องที่มีอยู่ทั่วบ้าน ดูท่าคงเอาสำเนาลายนิ้วมือมาจากในประวัติโครงการสลับจิต รวมถึงเรื่องหลักฐานในคดีวางระเบิดด้วย” ผู้กำกับกล่าวหน้าเคร่งเหมือนเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ซึ่งก็ไม่เกินจริงนักหรอก
“ยังดีที่ตัววิริยะเตรียมใจว่าตนจะต้องถูกฆ่ามาก่อนแล้ว จึงติดกล้องขนาดจิ๋วที่กระดุมเสื้อสูท มันเป็นรุ่นที่ไม่โดนรบกวนด้วยคลื่นทั่วไป จึงอัดคลิปนี้เอาไว้ได้ และถูกกำหนดให้ส่งมาที่กองบัญชาการของเราโดยอัตโนมัติ”
“งั้นเท่านี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่านายปกป้องไม่ใช่คนร้าย เราจะ…”
“เปล่าเลย” ผกก.มาวิชย์แทรก “เรายิ่งต้องตามล่าทั้งสองคนโดยเร็ว ทางกองบัญชาการอนุญาตให้จับตายได้แล้ว”
“ทำไมล่ะครับ” พิศวัติหน้าตื่น ในขณะเดียวกัน ผกก.มาวิชย์ส่งสายตาตั้งข้อสงสัย
“คุณยังไม่เข้าใจอีกหรือ เพื่อป้องกันความบรรลัยน่ะสิ อันที่จริงคุณเคยร่วมมือกับอลินเพื่อไล่ต้อนปกป้องกับธาดาร์ด้วยซ้ำ ทำไมถึงมาเชื่อใจพวกนั้นเอาเวลานี้”
คราวนี้ผู้หมวดเถียงไม่ออก
“ทางกองบัญชาการแจ้งเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เรามีเหตุอันควรที่จะเชื่อว่าผู้ฟื้นสตินั้นมีแนวโน้มจะเป็นอันตรายใหญ่หลวง และให้เร่งร่วมมือกับหน่วยปราบปรามของฝ่ายตรวจสอบส่วนกลางของประเทศ อีกไม่นานก็คงเริ่มออกเอกสารเรียกตัวผู้ฟื้นสติที่เหลือทั้งหมดมาตรวจสอบและคุมตัว หรือหากไม่มาก็คงต้องบุกเข้าจับกุมด้วยกำลัง”
“บ้าไปแล้วครับ พวกเขาไม่มีความผิด ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยด้วยซ้ำ”
“เราจะไม่รอให้พวกเขาทำความผิด มันพิสูจน์ได้แล้วจากสองเคสนี้ รวมถึงรายงานของตัวคุณเองด้วย ว่าพวกผู้ฟื้นสติจะกลับมาเป็นพวกชั่วๆ เมื่อไรก็ได้”
“อย่าขึ้นเสียงสิ หมวดเขาไม่ได้ทำอะไรผิด”
รอง ผกก.วิเธียรกล่าวขอโทษผู้กำกับ ก่อนหันมาเตือนพิศวัติว่าที่เรียกเขามาคุยก็เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับอลิน ริช และถือโอกาสแจ้งข่าวให้รู้เท่านั้น ไม่ได้ขอความเห็น
ผู้กำกับกระแอมให้วิเธียรหยุดไว้แค่นั้น ก่อนจะหันมาทางผู้หมวด สายตานั้นดุดันกว่ารองผู้กำกับเสียอีก “ออกไปได้แล้ว คุณไม่มีประโยชน์อะไรในภารกิจนี้แล้ว ไปนั่งรอคำสั่งจากรองสารวัตรก็แล้วกัน”
หมวดพิศวัติทำอะไรไม่ได้ ฝืนใจทำความเคารพและเตรียมออกจากห้องผู้กำกับ ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวออกไปกลับมีนายตำรวจอีกรายเดินเปิดประตูเข้ามารายงานเรื่องด่วน
“ผู้กำกับครับ เราได้รับแจ้งเหตุ มีคนพบเห็นคนที่มีลักษณะคล้ายปกป้อง ปักษ์ดนู และพิณเพลง ที่อาคารร้าง แขวง A ครับ”
พวกนั้นหนีออกไปจากโซนนี้ไม่ทันจริงๆ ด้วย หมวดพิศวัติไม่แปลกใจ
“ให้ผมไปด้วยเถอะครับ”
“ในฐานะอะไรล่ะ” ผู้กำกับหัวเราะ “ถ้าอยากจะไปก็ตามสบาย แต่คุณอาจไม่ต้องทำอะไร เพราะเรามีหน่วยพร้อมเคลื่อนที่อยู่แล้ว พวกฝ่ายปราบปรามของหน่วยสอบสวนกลางก็มา”
“แต่คงทำอะไรไม่เป็นหรอก พวกนั้นไม่เคยทำงานด้วยซ้ำ ตอนนี้ทุกอย่างถูกบีบมาที่ส่วนเล็กๆ อย่างเราหมดแล้ว” รอง ผกก.เสียดสีตัวเองด้วยน้ำเสียงขมขื่น แต่พิศวัติไม่สน ก้มหัวให้ผู้ใหญ่ทั้งสอง จากนั้นจึงออกมาเตรียมตัวทันที
ผมรู้จักมินเมืองครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน ก่อนจะได้พบกับพิณเพลงเสียอีก สถานที่คือลานกีฬาในร่มที่ร้างไร้ผู้คนซึ่งตั้งอยู่ตรงชานเมือง ทีแรกผมนั่งทานข้าวที่ตลาดแถวนั้น แต่พอเดินออกมาสักพักจึงถูกพวกนักเลงวัยรุ่นแถวนั้นล็อกตัวเข้ามาที่ลานกีฬาเพื่อหวังทำร้ายและช่วงชิงของมีค่า เหมือนที่พวกมันทำกับเหยื่อรายอื่นๆ
จำได้ว่าลานนั้นปิดล้อมด้วยรั้ว มีตั้นไม้ขึ้นสูงแทบทุกทิศ แลคล้ายกรงในสวนสัตว์ทีเดียว…
ผมฆ่าไปสอง อีกสองวิ่งหนีไปที่ทางเข้าออกซึ่งเป็นช่องเล็กๆ ระหว่างรั้ว เพราะเพิ่งทานอิ่มมาจึงลังเลว่าจะตามไปดีไหม ใจจริงไม่อยากให้อาหารเสียของ แต่กลายเป็นว่ามีคนเดินสวนเข้ามาจากช่องนั้นพอดี เป็นชายร่างท้วมที่สวมชุดเสื้อเดนิมสีฟ้า เหงื่อท่วมออกมาถึงเสื้อนอกทีเดียว ดูภายนอกน่าจะอายุมากกว่าผมสักสองถึงสามปี
จังหวะที่เหล่านักเลงตะโกนสั่งให้ชายคนนั้นหลบ พลันปลายมีดก็พุ่งผ่านลำคอหนึ่งในนั้น อีกหนึ่งยืนนิ่ง ตะลึงงันในขณะที่ถูกเสียบเข้าที่กลางอก ไม่ช้าก็ลงไปกับพื้น หมดลมอย่างรวดเร็ว
ผมยอมรับว่าตกใจในฝีมือ แต่ที่ตกใจกว่าคือสีหน้าของชายคนดังกล่าว มันไม่เชิงว่ายิ้ม แต่ก็ไม่ใช่บูดบึ้ง เรียกว่าบรรยายไม่ถูกเลยทีเดียว
ฝ่ายนั้นมองมาที่ผลงานของผม คราวนี้ยิ้มออกมาอย่างแท้จริง
“นายชื่ออะไร” เขาถามผมด้วยเสียงดังกังวาน
“ธาดาร์ แล้วคุณล่ะครับ”
“ฉันชื่อมินเมือง” อีกฝ่ายยิ้มให้อย่างจริงใจแต่กลับดูสุภาพเกินควร และน่าขยะแขยงในเวลาเดียวกัน “มาหาที่นั่งคุยกันเถอะ…”
นั่นคือวันแรกที่เราสองคนได้รู้จัก จากคนแปลกหน้าที่มีรสนิยมคล้ายคลึงกลายมาเป็นคู่หูที่ดี แม้ไม่ถึงขั้นตายแทนกันได้ แต่ก็ไม่ใช่แบบที่จะทรยศกันอย่างแน่นอน
หากจะมีสิ่งใดที่เราสองคนต่างกัน คงเป็นที่มินเมืองนั้นสังหารเพราะความสนุก ไม่ได้ต้องการป้องกันตัว และไม่มีปมในอดีตแม้เพียงนิด ทั้งหมดเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น บางครั้ง…หากเหยื่อทำให้มินเมืองพึงใจมากพอก็จะถูกปล่อยไป บางครั้งก็… ช่างมันเถิด มันไม่น่านึกถึงสักนิด แต่ผมจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งมันเลือกที่จะปล่อยเหยื่อผู้ชายวัยกลางคนไป เพียงเพราะเหยื่อคนนั้นเพิ่งโดนไล่ออกจากงานมา โดยให้เหตุผลว่าการฆ่าคนประเภทนี้ไม่สนุกสักนิด แถมยังหัวเราะเยาะชายผู้น่าสงสารคนนั้นอีกต่างหาก
แม้จะมีนิสัยอันคาดเดาลำบากและอันตราย แต่แน่นอนว่าผมไม่เคยอยากฆ่ามินเมือง ตัวมินเมืองเองก็เช่นกัน เราสองคนมีบางส่วนคล้ายกันเกินไป หากขาดใครไปสักคนชีวิตคงน่าเบื่อไปเยอะ
แต่ใครจะไปคาดคิดเล่า ว่าวันหนึ่งเราสองคนจะโคจรมาพบกันภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
“ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอกันอีกครั้ง คิดว่านายตายไปแล้วเสียอีก” มินเมืองทำท่าจะวิ่งเข้ามากอด แต่ผมยกมือห้ามไว้ อีกฝ่ายก็เลยจ๋อยไปอย่างเห็นได้ชัด แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นหน้าสดใสทันควัน ชายร่างหนามองไปที่พื้นของอาคารร้าง ที่นั่นมีศพกองอยู่
“ของเล่นของมันน่าสนใจทีเดียว” มินเมืองกล่าวในขณะที่หยิบสมาร์ตโฟนออกจากร่างไร้วิญญาณของ อลิน ริช
“นายคือคนที่ทำร้ายผู้หญิงคนนั้นหรือ” ผมถามถึงหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่ชั้นล่าง สังหรณ์ใจว่ายังไม่ตาย
มินเมืองได้ยินแล้วก็เอียงคอยิ้ม ชี้ไปที่ทิศทางที่ร่างนั้นทอดกายจมกองเลือด “สาวน้อยที่นอนอยู่ข้างล่างตรงโน้นใช่ไหม เปล่านะเพื่อน ว่าจะทำอยู่แต่ไม่ทัน ไอ้รูปงามคนนี้มันชิงผลักไปก่อน” ว่าแล้วก็ใช้เท้าเขี่ยร่างของอลินไปมา
มินเมืองไม่โกหก หน้าตาของมันฟ้องถึงความเสียดาย
“ฉันแอบเข้ามากบดานแถวนี้ตั้งหลายเดือนแล้ว ฆ่าไปบ้างแต่ก็ไม่เยอะ ว่าจะพักผ่อนเก็บตัวน่ะ แล้วก็มาเห็นน้องสาวคนนี้ที่น่าสนใจพอจะเชือด แต่ก็ดันถูกคู่หูห้ามไว้” มันยิ้มให้พิณเพลง ไม่มีท่าทีอยากจะทำร้ายแล้ว “น้องเขาเป็นแฟนคู่หูสินะ โทษที คราวก่อนเกือบตบหน้าไปแล้ว”
พิณเพลงกลืนน้ำลายด้วยความหวาดระแวง ผมก็เช่นกัน ปกป้องในร่างนี้ช่วยเธอเอาไว้ทั้งที่ไม่รู้หน้าค่าตาว่ามินเมืองเป็นใคร จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นคนที่เคยปลิดชีพเขามาก่อน ส่วนผมในเวลานั้นยังไม่มีสติมากนัก
ที่ผ่านมาผมควรพยายามหาทางเตือนคุณปกป้อง แต่กลับเลือกจะหลอกตัวเองมาตลอดว่า อีกไม่นานมินเมืองก็คงออกจากเมืองนี้ไป ไม่คิดเลยว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น
“อย่าทำหน้าโกรธสิ ฉันแค่ดึงผมเธอเองนะ พอคู่หูมาห้ามฉันก็รีบถอยเลย ฉันไม่ทำร้ายคนรักของคู่หูหรอก แถมยังให้เวลาอยู่ด้วยกันโดยไม่เข้าไปเป็นก้างขวางคอตั้งนาน ถ้าไม่วิกฤติจริงๆ ก็ไม่ออกมาเสนอหน้าแบบนี้หรอก”
ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ มินเมือง พิณเพลงตามหลังมา
“แล้วที่ผ่านมา…”
“ก็ตั้งแต่ได้ข่าวว่าคู่หูถูกจับ ฉันก็ร่อนเร่ไปเรื่อย เสียใจแบบสุดๆ เลยละ แต่ก็รู้นะว่าระดับคู่หูแล้วคงไม่พลาดหรอก น่าจะจงใจถูกจับเองมากกว่า ฉันเองเคารพการตัดสินใจก็เลย…ทำอะไรไม่ได้” มินเมืองทำแก้มป่อง “แต่ก็เสียใจสุดๆ จริงๆ นะ…จากนั้นก็ดันไปยิงหนึ่งในทายาทของการ์ด แอนด์ ลิงก์เดี้ยงไปหนึ่ง เลยตั้งใจจะย้ายมาแถวนี้เพื่อกบดานไปเรื่อย ความจริงกบดานในเมืองใหญ่มันดีกว่าชานเมืองอีกนะ”
มินเมืองยังคงหัวเราะไปพลางพูดไปพลาง ยังเป็นคนที่เดาทางไม่ได้เหมือนเดิม “แล้วเมื่อวานก็เจอเรื่องน่าสนใจพอดี”
“หญิงสาวคนนั้นสินะ” เขาหมายถึงวาววา
“ช่าย…” มันลากเสียง “ถือสมาร์ตโฟนรุ่นที่ไม่รู้จักเดินไปมากลางถนน ใครเห็นก็ต้องเดินตามอยู่แล้ว”
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกสะอิดสะเอียนในตัวมินเมือง ที่ผ่านมาผมอยู่กับมันมาได้อย่างไรนะ อยากจะหยุดมันจัง อยากจะฆ่ามันตรงนี้เลย
“แอบมองอยู่ห่างๆ จนกระทั่งรู้ทั้งรหัสการเข้าเครื่อง รู้ทั้งข้อมูลคร่าวๆ เพราะนางเล่นโทรไปฝากข้อความเสียงให้คนชื่อประธานวิริยะตลอด” มันเปิดหน้าจอเลื่อนไปมาพักหนึ่ง
“ต้องใช้เวลาสักสามชั่วโมงกับอีกสิบห้านาทีจึงจะประมวลผลสัญญาณสำหรับการส่งต่อเสร็จสิ้น หากรีบร้อนจะไม่สมบูรณ์สินะ…” มินเมืองอ่านข้อความบนหน้าจอและหัวเราะ “อีกแป็บเดียวเองนะคู่หู ดูสิ…ด้วยเครื่องนี้ เราจะทำตามที่เคยสัญญากันไว้ได้ง่ายๆ เลย”
“สัญญาอะไรน่ะ” พิณเพลงดึงชายเสื้อของผมอย่างแรง ส่วนผมนั้นได้แต่กลืนน้ำลาย…
สัญญาในตอนนั้นงั้นหรือ…
“แต่เราจะไม่ทำกันในอาคารร้างแบบนี้หรอก มันน่าเบื่อเกินไปใช่ไหม แถมพวกตัวขัดขวางก็มาแล้ว” มินเมืองชี้ไปที่นอกอาคาร มีเสียงรถกำลังแล่นเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ตำรวจแน่นอน ก่อนหน้าที่จะกลับมาช่วย พิณเพลงคงไปติดต่อขอความช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว
- READ บทส่งท้าย A MIND จิตอริยะ
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 17 : บิดเบี้ยว
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 16 : ความสัมพันธ์ที่ไร้คำร่ำลา
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 15 : สองจิต
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 14 : มินเมืองผู้ชั่วร้าย
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 13 : การกลับมาของฆาตกร
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 12 : สู่การหลบหนี
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 11 : ความถี่ปริศนา
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 10 : การเตรียมใจของปกป้อง
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 9 : ช่องโหว่ของระบบ
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 8 : สัญญาของดอกไม้ไฟ
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 7 : จุบจบที่เริ่มตั้งเค้า
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 6 : ความสุขที่โหยหา
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 5 : พบกันอีกครั้ง
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 4 : ผู้ฟื้นสติ
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 3 : สำนึกสุดท้ายของปกป้อง
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 2 : โครงการสลับจิต
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 1 : วาระสุดท้ายของธาดาร์ โพ้นวิไสย