อรุณแสงรัก บทที่ 3 : สามวันจาก…นารีเป็นอื่น

อรุณแสงรัก บทที่ 3 : สามวันจาก…นารีเป็นอื่น

โดย : SUDA

Loading

อรุณแสงรัก โดย  SUDA นวนิยายอ่านฟรีที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องของ “นวล” หญิงสาวจากสวรรคโลก ที่ชีวิตพลิกผันจนต้องมาใช้ชีวิตในกรุงศรีอยุธยาและได้ร่วมหัวจมท้ายกับชายหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงที่ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากความสงสาร เพียงแค่อยู่ร่วมกันแต่ไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนแบบนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่

แม้ทั้งสองคนจะตกลงกันไว้อย่างนั้น แต่ยังไม่ทันข้ามวันนวลก็กลับมาหาพ่อกล้าอีกจนได้ เมื่อเธอยังมุ่งมั่นจะปั้นเครื่องสังคโลกขาย ชายหนุ่มจึงต้องอธิบายให้เข้าใจว่าในละแวกนี้ล้วนผลิตแต่เครื่องปั้นดินเผากันเท่านั้น กระเบื้องเคลือบเขียนลายนั้นไม่มีใครเขาทำกัน ที่เคยเห็นก็ล้วนส่งมาจากสวรรคโลกหรือเป็นเครื่องลายครามจากสำเภาจีนทั้งสิ้น

แต่นวลก็ยังดื้อรั้นจะลองทำให้ได้ และหากเขากล่าวปฏิเสธไม่ยอมช่วยก็นึกสงสารเธอนัก แม่นวลเป็นหญิงตัวคนเดียวใช้ชีวิตตามลำพัง หากปล่อยให้เผชิญชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยวก็เกรงจะถูกรังแกเข้า

วันนี้พ่อกล้าจึงพาเธอไปดูแหล่งขายเครื่องปั้นดินเผาที่ตนขายของอยู่ ทั้งสองพายเรือเลียบลำคลองไปเพียงไม่กี่อึดใจก็ถึงที่หมาย เขาจึงผูกเรือไว้กับท่าน้ำแล้วพาเดินสำรวจโดยรอบ

“ที่นี่คือคลองสระบัว…เป็นย่านขายเครื่องปั้นดินเผาแห่งใหญ่ของกรุงศรี”

พ่อกล้าเอ่ยอธิบายพลางชี้ไปยังปากคลอง “ริมคลองฝั่งทิศตะวันตกนับจากปากคลองไปถึงหน้าวัดจงกรม ล้วนขายกระเบื้องมุงหลังคาทั้งสิ้น มีทั้งกระเบื้องเกล็ดเต่า กระเบื้องเชิงชาย กระเบื้องชายพับ กระเบื้องกาบกล้วย ส่วนฝั่งตะวันออกจักขายพวกหม้อดินเผา เตาเชิงกราน ตุ๊กตาแลของใช้ดินเผาอื่นๆ ”

นวลพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามเข้ามาในตลาด เห็นชาวบ้านตั้งเพิงขายของวางเรียงรายตามทาง มีทั้งเพิงขายของจากไม้ไผ่อย่างง่าย บางส่วนก็วางขายอยู่ใต้ถุนเรือนของตนเอง โดยสินค้าส่วนมากก็เป็นอย่างที่พ่อกล้าบอกไว้ นอกจากมีชาวบ้านมานั่งขายของแล้ว…ก็ยังมีชายฉกรรจ์ล้อมวงร่ำสุราอยู่หน้าตลาดด้วย

นวลสังเกตว่ามีชาวบ้านกล่าวทักทายพ่อกล้าเมื่อทั้งสองเดินผ่านไป แต่เธอก็ไม่แปลกใจนักเพราะพ่อกล้าก็ขายหม้อดินเผาอยู่ที่นี่….คงคุ้นเคยกับพ่อค้าแม่ขายเป็นอย่างดี

“พ่อกล้า นั่นเมียเอ็งรึ”

หญิงชราคนหนึ่งกล่าวถาม เขาจึงพานวลเข้าไปทักทายหญิงชรารวมถึงชาวบ้านที่นั่งขายของอยู่ตรงนั้น “เมียเอ็งนี่หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราเสียจริง งามสมกันนัก”

“เอ่อ…ข้ามิใช่…”

“นางชื่อแม่นวล เพิ่งย้ายมาอยู่กับข้าเมื่อวานนี้เอง”

หญิงสาวพลันนิ่งชะงักเมื่อได้ยินคำตอบจากปากเขา นึกแปลกใจว่าเหตุใดพ่อกล้าไม่ปฏิเสธว่าเธอไม่ใช่เมีย แล้วยังบอกว่าเธอย้ายมาอยู่กับเขา…ทั้งที่ความจริงเธอแค่ปลูกเรือนใกล้ๆ กันเท่านั้น คำตอบของพ่อกล้าต้องทำให้คนเข้าใจผิดแน่

หญิงชราได้ยินเช่นนั้นจึงเรียกนวลเข้าไปนั่งข้างๆ ก่อนจะเอื้อมมือลูบหัวไหล่บางด้วยความเมตตา “เอ็งนี่งามน่ามองเสียจริง รูปร่างอ้อนแอ้น ผิวพรรณขาวนวลมิคล้ายคนที่นี่…เอ็งเป็นใครมาจากไหนรึ”

“ข้ามาจากสวรรคโลกจ้ะ”

นวลก้มหน้าตอบคำถามโดยดี แม้อยากปฏิเสธถ้อยคำพ่อกล้านัก แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงยืนฟังเขาเอ่ยอธิบายเท่านั้น “หลังจากนี้แม่นวลจักมาขายของอยู่กับข้า หากวันใดข้าไม่อยู่…ฝากยายแลป้าช่วยดูแลนางทีเถิดหนา”

พ่อกล้าพาเธอไปทำความรู้จักกับชาวบ้านรอบตลาด จนกระทั่งตะวันเริ่มคล้อยลงปลายไม้เขาจึงพาเธอกลับเรือน เย็นวันนั้นนวลจึงขอแบ่งดินเหนียวจากเขามาลองปั้นถ้วย โดยเลือกเอาดินที่พ่อกล้าหมักไว้แล้ว และยังขอก้อนดินเหนียวแห้งอีกกระบุงใหญ่

เธอนำก้อนดินมาทุบละเอียดแล้วกรองเอาเศษหินออกให้หมด ทำเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่ตะวันยังไม่ลับแสงจนกระทั่งความมืดเริ่มเข้ามาเยือน ชายหนุ่มจึงจุดคบไฟให้แสงสว่างรอบเรือนก่อนจะเดินเข้ามาถาม

“เหลือแค่ผงดินเหนียวแล้วกระมังแม่หญิง จักทำถ้วยสักใบ เอ็งต้องใช้ดินละเอียดเพียงนี้เชียวรึ”

“ใช่จ้ะ”

นวลพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มให้ ร่างเล็กเริ่มมีเหงื่อซึมทั่วกายเพราะออกแรงทุบดินตั้งแต่ยามเย็นจนกระทั่งฟ้ามืด “ต้องใช้ดินละเอียดมากจนไม่เหลือเศษก้อนกรวดใดๆ แล้วข้าจักนำไปหมักในโอ่งราวครึ่งเดือนจึงนำมาปั้นถ้วย ปั้นเสร็จเมื่อใดพี่เผาให้ทีเถิดหนา”

“แล้วต้องเผาอย่างไรบ้างเล่า”

“การเผารอบแรกให้ทำเหมือนเผาหม้อไหทั่วไป หลังจากได้ถ้วยดินเผาแล้วข้าจึงจักนำกลับมาเขียนลาย เขียนเสร็จจึงชุบน้ำเคลือบแล้วค่อยเผาซ้ำอีกรอบ”

พ่อกล้าได้ฟังก็นึกกังวลใจอยู่ไม่น้อย แม้จากคำอธิบายของหญิงสาวนั้นดูเหมือนง่ายเพราะการเผารอบแรกนั้นทำอย่างหม้อดินปกติ แต่การเผาครั้งที่สองนั้นเล่า…จะต้องเผาให้ร้อนเท่าใดน้ำเคลือบของเธอจึงจะหลอมเป็นแก้วใส

แม่นวลหาเรื่องยุ่งยากให้เขาแท้ๆ

 

แม้นวลจะเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว…แต่ชายหนุ่มจากสวรรคโลกที่เดินทางมาพร้อมกันก็ยังซ่อนตัวอยู่ท้ายป่าช้าที่เก่า รักษาแผลกว่าครึ่งเดือนจนกระทั่งอาการทุเลาลง เขาเริ่มมีกำลังมากพอจะกลับไปพบนวลอีกครั้ง…แต่เมื่อไถ่ถามจากสัปเหร่อก็ยังเห็นคนแปลกหน้าวนเวียนอยู่ หากจะปรากฏตัวในเวลานี้ก็คงไม่ปลอดภัยนัก

“หากพวกนั้นเป็นโจรป่าที่ไล่ฆ่าเอ็งจริง ข้าว่าก็แปลกนัก…ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วเหตุใดพวกมันยังไม่ยอมกลับสวรรคโลก จักรีรอด้วยเหตุใด”

“คงเพราะยังมิเห็นศพข้ากระมัง” ชายหนุ่มเอ่ยตอบเสียงเครียด “มันคงกลัวข้าตามพรรคพวกไปล้างแค้น แต่มิต้องห่วงดอก กลับถึงสวรรคโลกเมื่อใด…ข้าทำแน่”

“เอ็งใกล้จักกลับสวรรคโลกแล้วรึ”

“ยังดอก…คงต้องรอให้แผลสมานกันกว่านี้ก่อน” พ่อขวัญกล่าวตอบเมื่อเห็นความเป็นห่วงในสายตา “ข้าจักพาแม่นวลกลับไปด้วยจึงต้องแข็งแรงกว่านี้ เพราะหากเกิดเรื่องร้ายกลางทางข้าจักได้คุ้มครองนางได้ ว่าแต่แม่นวลเป็นอย่างไรบ้างรึ อยู่กับแม่ชีสุขสบายดีหรือไม่”

“อยู่กับแม่ชีกระไรกัน ออกไปปลูกเรือนอยู่กับผัวเสียตั้งนานแล้ว”

เมื่อได้ยินสัปเหร่อกล่าวเช่นนั้นพ่อขวัญก็ชะงักไปทันที “เมื่อครู่ลุงว่ากระไร  ข้าฟังมิถนัดหู”

“นางไปอยู่กับผัวตั้งนานแล้ว” สัปเหร่อกล่าวย้ำคำเก่า “ก็แม่ชีปลูกเรือนให้ท้ายคลองติดกับเรือนไอ้กล้า แต่เห็นชาวบ้านเขาลือกันว่าอยู่คืนเดียวก็ได้ไอ้กล้าเป็นผัว…ก็เห็นรักกันดีเป็นปกติ”

“แม่นวลมีผัวรึ! มันจักเป็นไปได้อย่างไร”

“แล้วเหตุใดจักเป็นไปมิได้เล่า ก็นางเป็นหญิงสาวถึงวัยออกเหย้าออกเรือนแล้ว แลไอ้กล้าก็ยังไม่มีลูกเมียที่ไหน หนุ่มสาวปลูกเรือนข้างกันเช่นนี้หากพึงใจกันย่อมมิใช่เรื่องแปลก เผลอๆ ข้าว่าเป็นแผนของแม่ชีเสียด้วยซ้ำ ที่อยากให้ไอ้กล้ามันมีเมียสักที”

“เป็นไปมิได้…เป็นไปมิได้เด็ดขาด!”

พ่อขวัญนิ่งชะงักเป็นหุ่นปั้น ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืนอย่างคนไร้สติก่อนจะรีบเดินออกไปข้างนอก

“ไอ้ขวัญ! เอ็งจักไปที่ใด แผลเอ็งยังมิหายดีเลยหนา”

สัปเหร่อรีบห้ามไว้เพราะเกรงจะทำให้บาดเจ็บขึ้นมาอีก แต่กระนั้นพ่อขวัญก็ไม่ฟังคำเลยสักนิด ร่างสูงเดินกลับมาหาพลางเอ่ยถามเสียงสั่น “ข้าจักไปหาแม่นวล…ข้าจักไปถามนางให้รู้เรื่อง…”

“เรือนนางอยู่ที่ใด…ลุงบอกข้ามาเถิด”

 

เมื่อห้ามปรามพ่อขวัญอย่างไรก็ไม่เป็นผล สัปเหร่อจึงต้องบอกเส้นทางไปเรือนของนวลโดยดี พ่อขวัญจึงเดินฝ่าความมืดในยามราตรีลัดเลาะไปตามทางอย่างรวดเร็ว ในอกร้อนรนเสียจนแทบทนไม่ไหว เขากับเธอเป็นคู่หมายกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร…จากกันเพียงครึ่งเดือนเช่นนี้ นารีจะเป็นอื่นได้เชียวหรือ

ชายหนุ่มเดินเลียบลำคลองมาไกลโข จนกระทั่งถึงเรือนของแม่หญิงอันเป็นที่รัก…ร่างสูงก็พลันหยุดนิ่งชะงักอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ นัยน์ตาคมมองเข้าไปใต้ถุนเรือนทั้งน้ำตา

เพราะภาพเหตุการณ์ตรงหน้า…ทำให้เขาเจ็บยิ่งกว่าถูกมีดกรีดลงกลางอก

“พี่กล้า…ตักดินที่เหลือมาให้ข้าที”

นวลยังไม่รู้ตัวว่าถูกมองอยู่ หญิงสาวมัวเอาดินออกมาผึ่งลมเสียจนเกือบหมดโอ่งโดยมีพ่อกล้าเป็นลูกมือให้ แม้มีเพียงแสงจากคบไฟก็มิอาจเป็นอุปสรรคเลยแม้แต่น้อย

พ่อกล้าเดินไปตักดินตามคำสั่ง ร่างสูงถือถ้วยไปยังโอ่งใต้บันไดก่อนจะนิ่งชะงักเมื่อสบตาพ่อขวัญเข้า ชายหนุ่มสองคนยืนมองกันอยู่นานโข… แต่พ่อกล้าก็ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา เพราะกำลังงุนงงที่เห็นอีกฝ่ายมีน้ำตารื้น

“พี่กล้า เป็นกระไรไป”

นวลเงยหน้าถามด้วยความงุนงง แต่เมื่อเขาไม่ตอบจึงหันมองตามไปที่พุ่มไม้ และเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ตรงนั้น…นวลก็รีบวิ่งไปหลบหลังเสาเรือนทันที

“พะ…พี่ขวัญ! นั่นพี่ขวัญรึ!”

นวลกรีดร้องพร้อมกับวิ่งหนีไปกอดเสาเรือนไว้แน่น ร่างเล็กตัวสั่นสะท้านด้วยความตื่นตระหนก “พี่ขวัญ…พี่ตายไปแล้วรู้ตัวหรือไม่! พี่ไปดีเถิดหนา…ขอดวงวิญญาณพี่อย่าเร่ร่อนวนเวียนอยู่ในภพภูมินี้อีกเลย ข้าจักทำบุญไปให้”

“พี่มิต้องเป็นห่วงข้า…ข้าอยู่ได้…ข้ามิเป็นไร…พี่ไปสู่สุคติเถิดหนา”

นวลร่ำไห้จนฟังไม่ได้ศัพท์ พ่อขวัญจึงทำได้เพียงยืนมองภาพตรงหน้าทั้งน้ำตา เสียงร่ำไห้ด้วยความกลัวของแม่หญิงอันเป็นที่รักทำให้เขาเจ็บราวกับถูกมีดกรีดลงกลางอก ยิ่งเห็นพ่อกล้าอยู่กับเธอยามค่ำคืนเช่นนี้…เขายิ่งนึกถึงคำที่สัปเหร่อเคยว่าไว้

แม่นวลคงคิดว่าเขาตายจากไปแล้ว…จึงลืมคำสัญญาหมั้นหมาย มีใครใหม่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น

แม้ใจจะอยากเดินเข้าไปหานัก แต่ก็กลัวแม่นวลจะเป็นลมไปเหมือนคราวก่อน และต่อให้บอกความจริงไปก็ไร้ประโยชน์ แม่นวลเป็นของชายอื่นไปแล้ว…เขาคงเยื้อแย่งกลับคืนมามิได้

นึกได้เช่นนั้นพ่อขวัญจึงหันหลังกลับทั้งน้ำตา…ก่อนจะเดินลับหายไปในความมืด

 

ชายหนุ่มเดินเลียบลำคลองมาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าคมมีน้ำตาหยดอาบหน้าด้วยความเจ็บช้ำ อยากให้เรื่องราวที่ผ่านมาเป็นเพียงฝันร้าย แต่เหตุใดหนอเขาจึงไม่ตื่นจากฝันเสียที แม่หญิงที่เขารักดังแก้วตาดวงใจ เหตุใดจึงแปรเปลี่ยนได้ง่ายถึงเพียงนี้

ราตรีนี้รอบกายเขาเริ่มเงียบสงัดลงทุกที ยิ่งเดินห่างออกมาบรรยากาศก็ยิ่งวังเวงขึ้นเท่านั้น พ่อขวัญเดินเลียบข้างลำคลองหมายจะกลับไปหาสัปเหร่อท้ายวัด แต่อยู่ๆ ร่างสูงก็พลันนิ่งชะงักเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าคนอยู่รอบกาย เมื่อเงี่ยหูฟังดูจนแน่ใจแล้วจึงชักมีดพกออกมาต่อสู้

“ออกมา…”

พ่อขวัญเอ่ยเสียงเรียบ สิ้นเสียงชายหนุ่มพวกโจรก็ปรากฏตัวออกมาในทันที แม้มีผ้าโพกหัวปิดบังใบหน้า…แต่เขาก็รู้ดีว่าพวกมันเป็นใคร นายสินหัวหน้าโจรถือดาบไว้มั่นแล้วค่อยเดินเข้ามาหา

“กูนึกแล้วว่ามึงยังมิตาย”

“คนอย่างกูมิตายง่ายๆ ดอก” พ่อขวัญเอ่ยตอบ พวกโจรเดินเข้ามาล้อมชายหนุ่มไว้ทุกทิศ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย “คนอย่างกูมิทำใครก่อน แต่ใครมาทำกู…กูมิเอาไว้แน่”

“อย่างนั้นรึ…”

นายสินพลันหัวเราะในลำคอ “ก็ดี…เช่นนั้นกูคงปล่อยมึงไว้มิได้!”

นายสินพุ่งเข้ามาหาพร้อมฟันดาบเข้ามาทันที พ่อขวัญเบี่ยงตัวหลบก่อนจะหมุนตัวเตะข้อมือมันเต็มแรงจนดาบกระเด็นหลุดลงพื้น แต่คนร้ายอีกคนมันถีบเข้ากลางหลังเขาจนเสียหลัก แต่เมื่อจะใช้ดาบฟันซ้ำพ่อขวัญก็กลิ้งตัวหลบได้ ชายหนุ่มจึงพุ่งตัวเข้าหานายสินจากด้านหลังก่อนจะใช้แขนรัดคอมันไว้แน่น

“ไอ้ขวัญ! ปล่อยกูประเดี๋ยวนี้!

“ปล่อยอย่างนั้นรึ” พ่อขวัญเหยียดยิ้มหยัน มีดพกจ่อข้างลำคอไว้อย่างนั้น เมื่อเห็นนายสินเริ่มดิ้นขัดขืนจึงรีบลงมือทันที

“ตายเสียเถอะมึง!”

พ่อขวัญกำลังจะเชือดคอปลิดชีวิต แต่นายสินรีบกระทุ้งศอกเข้ากลางท้องชายหนุ่มเต็มแรงเพื่อหลบหนี เพราะแผลเก่ายังไม่สมานเมื่อถูกกระแทกเต็มแรงพ่อขวัญจึงทรุดตัวลงทันที นายสินได้โอกาสจึงหมุนตัวเตะเข้ากลางลำคอจนพ่อขวัญล้มลงกับพื้น

แผลปริจนเลือดไหลออกมา…ความเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้นจนแทบหมดสติ

“แผลเก่ายังมิทันหาย มึงก็ดิ้นรนหาที่ตายเสียแล้ว” นายสินเหยียดยิ้มมุมปากพลางหายใจหอบ แต่เมื่อจะปักดาบเสียบกลางอกเพื่อปลิดชีวิต อยู่ๆ ก็มีมีดพุ่งเข้าใบหน้า

“เฮ้ย! ใครวะ”

นายสินอุทานด้วยความตื่นตระหนก หันกลับไปมองมีดพกที่ตกอยู่จึงเห็นว่าไม่ใช่มีดธรรมดา แต่เป็นมีดเรียวเล็กแหลมที่มักซ่อนอยู่ในปิ่นของหญิงสาว เมื่อหันกลับไปลำคลองก็เห็นเรือประทุนของชาวจีนกำลังเข้ามาใกล้ พร้อมชายฉกรรจ์ชาวจีนกำลังชักดาบชี้หน้า

“พวกเอ็งจักทำกระไร จักฆ่าคนอย่างนั้นรึ!”

นายสินบาดเจ็บเพราะปลายมีดพุ่งเฉือนใบหน้าจนเลือดไหลทะลัก และเห็นว่าในเรือนั้นมีชายฉกรรจ์ชาวจีนหลายคนเกรงว่าจะสู้ไม่ไหว จึงพาพรรคพวกวิ่งหนีไปทันที

“พ่อหนุ่ม! พ่อหนุ่มเป็นอย่างไรบ้าง”

ชายชาวจีนขึ้นจากเรือมาดูพ่อขวัญทันที เมื่อเห็นเขายังหายใจอยู่จึงประคองให้ลุกขึ้นนั่ง บัดนี้พ่อขวัญบาดเจ็บสาหัส รอยแผลฉกรรจ์กลางท้องมีเลือดไหลซึมเป็นวงกว้าง

“ช่วยข้าด้วยเถิด…”

พ่อขวัญอ่อนแรงจนแทบเอ่ยคำใดออกมาไม่ได้…ชายชาวจีนจึงช่วยกันพยุงเข้ามาในเรือโดยเร็ว

 

“เจ้าเป็นใครกัน”

เสียงเล็กๆ ที่กล่าวถามทำให้พ่อขวัญฝืนเงยหน้ามองด้วยความอ่อนล้า ข้างนอกเรือลำนี้แม้ดูใหญ่โต แต่เมื่อเข้ามาด้านในกลับรู้สึกคับแคบ บนเรือมีเพียงแม่หญิงคนหนึ่งมาพร้อมสาวใช้ และทาสหนุ่มอีกสี่คนคอยพายเรือให้เท่านั้น

หญิงสาวตรงหน้านี้คงอายุอ่อนกว่าเขาไม่กี่ปี รูปร่างเพรียวบาง ผิวพรรณขาวเนียนอย่างชาวจีนทั่วไป แต่ผ้าแพรที่ห่มกายอยู่นั้นก็เป็นผ้าเนื้อดีอย่างคนมีฐานะ แตกต่างจากสาวใช้และบรรดาทาสชายในเรืออย่างเห็นได้ชัด

“ข้าชื่อขวัญขอรับ”

เมื่อเห็นเธอยังจ้องมองอยู่พ่อขวัญจึงเอ่ยตอบอย่างเสียมิได้ สายตาคมเหลือบมองปิ่นที่เหลือเพียงปลอกเสียบมวยผม เขาจึงมั่นใจว่ามีดที่ปักเฉียดหัวคนร้ายต้องเป็นฝีมือเธอแน่ คงเป็นแม่หญิงไม่กี่คนกระมัง ที่จะกล้าหาญถึงขั้นใช้ปิ่นซ่อนมีดไว้ด้านในอย่างนี้

“ขอบน้ำใจแม่หญิงนัก ที่ช่วยชีวิตข้า”

“แล้วเจ้าเป็นใครมาจากไหน” หญิงสาวไม่ได้สนใจความซาบซึ้งเลยแม้แต่น้อย นัยน์ตาคู่ใสยังจ้องมองเขาแน่วแน่ “หากเป็นผู้ร้ายหนีมา…ข้าจักจับเจ้าโยนทิ้งน้ำประเดี๋ยวนี้”

“ข้ามิใช่คนร้ายดอกขอรับ”

พ่อขวัญกล่าวตอบ มือกุมแผลของตนไว้เพราะความเจ็บเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี “ข้าเป็นช่างปั้นถ้วยชามมาจากเมืองสวรรคโลก ถูกโจรดักปล้นจนเรือล่มจึงกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว หากแม่หญิงพอมีเมตตา…ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถิด”

หญิงสาวชาวจีนนั่งคิดใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมช่วยเพราะคิดว่าพ่อขวัญเป็นเพียงชาวบ้านที่กำลังบาดเจ็บ คงไม่ใช่คนร้ายที่ไหน อีกอย่างเรือนของเธอก็ใหญ่โตกว้างขวางและมีทาสคอยเวรยามใกล้ชิด ไม่มีทางที่พ่อขวัญจะคิดทำร้ายคนในเรือนได้

เรือลำใหญ่ของเธอล่องมาตามลำน้ำก่อนจะจอดเทียบท่าหน้าเรือน หญิงสาวจึงผุดลุกออกจากเรือแล้วเดินลับหายไปทันที ปล่อยให้พ่อขวัญนั่งพิงประทุนเรือเพราะยังเจ็บแผลไม่หาย ชายฉกรรจ์ข้างหลังจึงวางไม้พายแล้วช่วยพยุงเขาด้วย

“ไหวหรือไม่…”

พ่อขวัญพยักหน้ารับพลางก้าวขึ้นมาบนท่าน้ำ “ไหวจ้ะ ขอบน้ำใจพี่นัก ”

“มิเป็นไรดอก” ทาสหนุ่มชาวจีนกล่าวตอบพลางส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร แม้จะออกเสียงไม่ชัดนักเพราะเป็นคนต่างภาษา แต่พ่อขวัญก็ยังพอฟังเข้าใจได้

“ข้าชื่อชิงหลัว…หรือเรียกอาหลัวก็ได้”

ขึ้นมาบนท่าน้ำแล้วพ่อขวัญจึงพยายามยืนทรงตัวให้ได้ แต่ด้วยความเจ็บที่แผลจึงทำให้ยืนได้ยากเย็นนัก แต่เมื่อมองหาแม่หญิงเจ้าของเรือนที่เดินลับหายไป ชิงหลัวจึงเอ่ยอธิบายอีกครั้ง “นางคือคุณหนูของพวกข้าเอง แม่นางหลี่เฟยหง เป็นลูกสาวคนเดียวของเศรษฐีสกุลหลี่ มีกิจการนำเครื่องลายครามจากสำเภาจีนมาขายที่นี่ นอกจากขายให้ขุนนางแล้วยังได้ส่งเข้าไปขายในวังหลวงด้วย”

“ขายเครื่องลายครามรึ…”

“อย่าเพิ่งถามกระไรให้มากความ เข้าไปข้างในก่อนเถิด”

ชิงหลัวกับสาวใช้ช่วยกันพยุงพ่อขวัญเข้ามาในอาคารหลังใหญ่ ซึ่งสร้างจากไม้เนื้อแข็งอย่างดี ตกแต่งศิลปะอย่างชาวจีน จากนั้นจึงพาเดินลัดเลาะไปเรือนสาวใช้เพื่อทำแผลและให้หมอมาดูอาการให้

“ข้าอยู่ที่นี่ได้จริงหรือ…”

“ได้อยู่แล้วๆ” อาหลิวสาวใช้รีบกล่าวตอบ “คุณหนูยอมให้เจ้ามาถึงเรือนเช่นนี้ ย่อมมิใจร้ายให้ออกไปตายริมถนน อยู่พักฟื้นเสียที่นี่ก่อนเถิด…หายดีแล้วค่อยว่ากันใหม่”

“แล้วแม่หญิง…”

“คุณหนูคงอยู่ในห้องหนังสือกระมัง”

เมื่อช่วยกันทำแผลเรียบร้อยแล้วสาวใช้จึงเดินตัวปลิวลับหายไปด้านหลัง ส่วนชิงหลัวออกไปตามหมอจีนมาช่วยดูอาการให้ ในบริเวณนั้นจึงเหลือเพียงพ่อขวัญที่นั่งกุมแผลอยู่เงียบๆ

ชายหนุ่มนั่งมองบรรยากาศรอบกายที่กลับมาเงียบสงบ เพียงกวาดสายตามองสิ่งปลูกสร้างด้านใน เขาก็พอรู้ว่าเจ้าของเรือนนี้ไม่ใช่ธรรมดา ทั้งเป็นตระกูลใหญ่ฐานะร่ำรวยและยังมีเรือส่งสินค้าเช่นนี้ ย่อมเป็นตระกูลที่มีอำนาจค้าขายในราชสำนัก…ทั้งของฝั่งจีนและฝั่งกรุงศรีอยุธยาด้วย

 

อีกฝั่งของเรือนพ่อค้าจีนบรรยากาศก็เงียบสงบเช่นเดียวกัน ด้านในห้องเล็กยังมีแสงตะเกียงเล็ดลอดออกมาให้มองเห็น หลี่เฟยหงนั่งเงียบอยู่บนโต๊ะหนังสือที่เก่า ตรงหน้าเป็นกองสมุดบันทึกภาษาจีนวางเรียงราย ข้างกายมีหมึกจีนที่วางทิ้งไว้จนเกือบแห้ง

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอยู่นาน ก่อนจะเผลอถอนหายใจด้วยความหวาดวิตก มือบางเก็บสมุดบัญชีตรงหน้าให้เรียบร้อย…แต่อีกสักพักก็เปิดมันกลับขึ้นมาอีกครั้ง

ในใจเธอว้าวุ่นนักเพราะถ้อยคำของบิดายังก้องอยู่ในหัว เธอเป็นบุตรเพียงคนเดียวจึงมีสิทธิ์ได้สืบทอดกิจการของบิดา แต่เพราะเกิดมาเป็นหญิงบิดาจึงดูหมิ่นเธอนัก นอกจากไม่สนับสนุนแล้วยังหาทางให้เธอแต่งงานไปเสีย แล้วใช้ชีวิตอย่างที่กุลสตรีควรกระทำ

แต่หลี่เฟยหงไม่ต้องการชีวิตดังนกน้อยในกรงทองเช่นนั้น เป็นหญิงแล้วอย่างไร…จะต้องมัวนั่งปักผ้าไปวันๆ กระนั้นหรือ ไม่ว่าหญิงหรือชายหากตั้งใจสืบทอดวิชาค้าขายก็ย่อมทำได้ทั้งสิ้น กิจการที่บิดาริเริ่มขึ้นมา…จะไม่มีทางสิ้นสุดที่เธอเป็นอันขาด

หญิงสาวนั่งเงียบอยู่นานโข สายตามองออกไปในสวนดอกไม้ด้วยความเหนื่อยล้า

แสงจันทร์ยามราตรีคืนนี้ชวนให้เงียบเหงาเหลือเกิน อยากลงไปเดินชมจันทร์สักหน่อย…ก่อนจะกลับมาตรวจบัญชีสินค้าอีกครั้ง

ราตรีนี้แสงจันทร์นวลสว่างดูงดงามตา ร่างเล็กแหงนหน้าชมจันทร์พลางก้าวเดินในสวนอย่างเชื่องช้า กลิ่นหอมของดอกไม้เหล่านี้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เห็นพวกบ่าวหลังเรือนเข้านอนกันหมดแล้วบรรยากาศจึงเงียบสงัด…สายลมพัดพาไอเย็นมาให้เริ่มรู้สึกหนาว

“นั่นแม่หญิงหรือขอรับ…”

หญิงสาวหันขวับไปทางต้นเสียงทันที ร่างสูงของบุรุษนั่งพิงต้นไม้แล้วหันมองมา รอยแผลฉกรรจ์กลางลำตัวถูกผ้าพันไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งการแต่งกายยังเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมและกางเกงขายาวอย่างชาวจีนอีกด้วย

“หายดีแล้วรึ”

“ดีขึ้นแล้วขอรับ” พ่อขวัญกล่าวตอบเสียงเบา “เป็นบุญของข้านักที่ได้มาพึ่งบารมี…”

“ไม่เป็นไร” หลี่เฟยหงตอบเสียงเรียบ แม้เป็นหญิงงามน่ามอง แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งตามประสาคุณหนูตระกูลใหญ่ “เพียงช่วยลูกหมาข้างทางให้พ้นอันตราย ข้ามิถือเป็นบุญคุณกระไรดอก”

พ่อขวัญเผลอยิ้มละมุนเมื่อได้ยินถ้อยคำ สำหรับบุตรีพ่อค้าตระกูลใหญ่แล้วเขาคงเป็นลูกหมาข้างทางอย่างที่เธอว่า เพราะจากชิงหลัวเล่าให้ฟังเขาก็พอรู้ว่าเธอสูงส่งมากเพียงใด แต่หากบ่าวรับใช้ในเรือนอยู่อย่างสุขสงบและมีน้ำใจ…ย่อมสะท้อนว่าคนเป็นนายนั้นมีเมตตาอยู่ไม่น้อย

“ว่าแต่เจ้าเถิด หายดีแล้วจักไปที่ใด”

“คงกลับสวรรคโลกขอรับ ข้าเป็นช่างปั้นเครื่องสังคโลก…ย่อมกลับไปทำมาค้าขายอย่างที่เคยทำ”

หลี่เฟยหงยกยิ้มมุมปากเบาๆ เมื่อนึกถึงถ้วยกระเบื้องสีเขียวไข่กาที่ตนเองเคยเห็น เครื่องสังคโลกคือเครื่องกระเบื้องสีเขียวและเคลือบใสเขียนลาย ซึ่งเคยเป็นที่นิยมในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่เครื่องลายครามจะเข้ามาแทนที่

“เครื่องสังคโลก มันยังขายได้อยู่อีกรึ”

“แม้มิได้ขายดีเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็พอเลี้ยงชีพได้ขอรับ”

พ่อขวัญกล่าวตอบ เขารู้ดีว่าเหตุที่เครื่องสังคโลกขายได้น้อยลงเป็นเพราะเครื่องลายครามของพวกชาวจีนทั้งสิ้น แต่วันนี้โชคชะตากลับเล่นตลกนัก…เพราะในยามคับขันกลับเป็นชาวจีนเหล่านี้ที่มาช่วยชีวิตเขา จากควรเป็นศัตรูคู่แค้น…วันนี้กลับกลายเป็นผู้มีพระคุณเสียได้

พ่อขวัญถอนหายใจเสียงเบา สายตามองแสงจันทร์ยามราตรีด้วยความหม่นหมอง

“ทำอย่างไรได้เล่าขอรับ ข้าเติบโตมากับเครื่องสังคโลกจึงย่อมใช้วิชานี้หาเลี้ยงชีพตนเอง แม้ใครไม่นิยม…แต่ข้าก็รักในวิชาของข้า หากแผลหายดีเมื่อใดข้าคงกลับไปที่เก่า ไปสะสางความแค้นกับพวกคนชั่วที่มันทำกับข้า ก่อนจักไปเริ่มต้นชีวิตใหม่”

ชายหนุ่มเอ่ยอธิบายพลางทอดสายตามองความงามในยามราตรี เมื่อกล่าวถึงพวกคนร้าย…ในหัวก็พลันผุดภาพแม่นวลขึ้นมาอีกครั้ง พ่อขวัญจึงเผลอน้ำตาเอ่อขึ้นมาอีกหน คืนนี้เขาเจ็บปวดนักที่เห็นเธออยู่ร่วมเรือนกับชายอื่น เหตุใดหนอใจแม่หญิงจึงแปรเปลี่ยนง่ายดายเช่นนี้

แต่อีกใจหนึ่งก็นึกโกรธตนเองเหลือเกินที่มันโง่งมนัก แม้บัดนี้เธอมีชายอื่นคอยดูแลแล้ว…แต่เหตุใดหนอใจเจ้ากรรมยังเฝ้าคะนึงหา และยังคิดถึงเธอทุกลมหายใจ…



Don`t copy text!