อรุณแสงรัก บทที่ 4 : น้ำใจ

อรุณแสงรัก บทที่ 4 : น้ำใจ

โดย : SUDA

Loading

อรุณแสงรัก โดย  SUDA นวนิยายอ่านฟรีที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องของ “นวล” หญิงสาวจากสวรรคโลก ที่ชีวิตพลิกผันจนต้องมาใช้ชีวิตในกรุงศรีอยุธยาและได้ร่วมหัวจมท้ายกับชายหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงที่ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากความสงสาร เพียงแค่อยู่ร่วมกันแต่ไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนแบบนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่

“พี่ขวัญ! พี่ไปดีเถิดหนา…ข้าจักรีบทำบุญไปให้…”

นวลกอดเสาเรือนไว้แน่นพลางร้องไห้คร่ำครวญแทบฟังไม่ได้ศัพท์ เหตุเพราะความมืดในยามราตรี เธอจึงเห็นเพียงเงาใบหน้าพ่อขวัญที่สะท้อนแสงคบไฟเท่านั้น บวกกับยังไม่ทันมองดูให้ดีจึงคิดว่าเขาเป็นผีมาหลอกเหมือนครั้งก่อน หญิงสาวเอาแต่กอดเสาร้องไห้จนพ่อกล้าต้องเดินเข้ามาหา

“แม่นวล ตั้งสติก่อนเถิด!”

พ่อกล้าเดินมาแกะวงแขนเล็กออกจากเสาเรือน เมื่อนวลหยุดกรีดร้องและลืมตาขึ้นมาจึงเห็นว่าพ่อขวัญหายไปแล้ว “พี่ขวัญมาหาข้า…พี่ขวัญมาหาข้าอีกแล้ว! เขามาหาข้าตั้งแต่คืนแรกที่ตาย แต่นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เหตุใดเขาจึงมิไปผุดไปเกิด”

“แล้วทำไมเอ็งคิดว่าเป็นผี…ข้ามองอย่างไรก็ว่าเป็นคนหนาแม่นวล”

“มิใช่คนดอกจ้ะ” นวลก้มหน้าตอบเสียงสั่น เมื่อตั้งสติได้จึงเดินกลับไปนั่งบนแคร่ใต้ถุนเรือน เนื้อตัวสั่นเทาน้ำตาไหลอาบหน้า “พี่ขวัญตายไปแล้วจริงๆ ถูกโจรฆ่าตายพร้อมกับพ่อข้าในคืนเรือล่ม หรือเพราะเขายังเป็นห่วงข้า…ดวงวิญญาณจึงยังมิไปไหน”

“เขาเป็นพี่ชายเอ็งรึ”

“มิใช่พี่ชายดอกจ้ะ…พี่ขวัญเป็นคู่หมายของข้า”

“คู่หมาย?”

“ใช่จ้ะ” หญิงสาวพยักหน้าพลางเอ่ยอธิบายเสียงสั่น “พี่ขวัญเป็นคู่หมายของข้า…อีกไม่กี่เดือนก็จักถึงฤกษ์มงคลของเราแล้ว แต่ก็มาเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน ข้ากับพ่อพาแม่วาดมาเยี่ยมญาติที่กรุงศรี พี่ขวัญเห็นว่าเดินทางไกลนักจึงนึกเป็นห่วง เขาจึงตามข้ามาด้วย…”

“เช่นนั้นพ่อขวัญคงถูกน้ำพัดเข้าฝั่งจนรอดตาย”

“มิใช่ดอกจ้ะ เขาตายไปแล้วจริงๆ”

นวลส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง นัยน์ตาคู่ใสเริ่มมีน้ำตารื้นด้วยความโศกเศร้า “คืนนั้นข้าเห็นกับตา…พี่ขวัญมาหาข้าในสภาพเลือดท่วมตัว กลางตัวมีรอยแผลเหวอะหวะเสียจนมิอาจเป็นคนได้ แต่เขาคงเป็นห่วงข้ากระมังจึงมิได้หนีหายไปไหน วิญญาณจึงวนเวียนกลับมาหา”

พ่อกล้านิ่งเงียบไปนานเมื่อเห็นหญิงสาวยังสะอื้นไห้ “เอ็งเป็นคนรักที่หมายมั่นจักได้อยู่เป็นคู่ผัวเมีย หากวิญญาณเขายังห่วงหาเอ็งอยู่คงมิใช่เรื่องแปลก ว่าแต่เอ็งเถิดแม่นวล…มิคิดถึงเขาบ้างเลยรึ”

“คิดถึงสิ…ทุกวันนี้ข้าก็ยังคิดถึง”

นวลหันมาส่งยิ้มทั้งน้ำตา “มิใช่แค่พี่ขวัญยังเป็นห่วงข้า…ข้าเองก็คิดถึงเขามิต่างกันดอก แต่ในเมื่อเราอยู่คนละภพภูมิแล้วก็จำเป็นต้องลาจาก คนก็อยู่ส่วนคน…ผีก็อยู่ส่วนผี มิอาจอยู่ร่วมกันได้ วันพรุ่งพี่พาข้าไปทำบุญให้พี่ขวัญด้วยหนา ข้าอยากให้เขาหมดห่วงเสียที”

 

พ่อกล้าไม่ได้ออกความเห็นใดๆ ได้แต่คอยทำตามประสงค์ของหญิงสาวเท่านั้น วันรุ่งขึ้นเขาจึงกลับมาหาเธออีกครั้งก่อนฟ้าสางเพื่อพาไปทำบุญที่วัด เมื่อมาถึงก็เห็นนวลเตรียมของทำบุญไว้เรียบร้อยแล้ว ในตะกร้าคล้องแขนมีน้ำพริกผักต้มและผลลูกจันสุกส่งกลิ่นหอม

“ไปกันเถิดจ้ะ”

แม้นวลจะกล่าวเช่นนั้นแล้ว แต่พ่อกล้าก็ยังยืนจ้องมองเธอด้วยความงุนงง ชายหนุ่มหันมองน้ำพริกในตะกร้าหวายสลับกับมองร่างเล็กของเธออยู่อย่างนั้น เขาเพิ่งสังเกตว่าแม่นวลกินน้ำพริกผักต้มเป็นอาหารทุกมื้อ ผ้าผ่อนที่นุ่งอยู่ก็เป็นผืนเดิมที่ติดตัวมา สลับกับอีกผืนที่แม่ชีมอบให้

แม้เข้าใจดีว่าผ้านั้นมีราคาแพงทำให้หาซื้อได้ยาก แต่ข้าวปลาอาหารนั้นเล่า…แม้แต่ของทำบุญก็ยังมีเพียงน้ำพริกผักต้ม ข้าวสารกรอกหม้อสักนิดก็ยังไม่มี

นึกได้ดังนั้นพ่อกล้าก็ถือวิสาสะขึ้นไปดูบนเรือนทันที…

“พี่ทำกระไร! ขึ้นไปทำไมเล่า!”

แม้นวลเรียกตามหลังแต่พ่อกล้าก็ไม่สนใจเลยสักนิด กระทั่งเปิดประตูมองเห็นเพียงเรือนว่างเปล่า ชายหนุ่มก็นิ่งชะงักไปอีกครั้ง เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน…แม่หญิงอยู่ตัวคนเดียวเช่นนี้จะหาข้าวเปลือกมาจากไหน ปลาแห้งสักตัวก็ไม่มี

และเธอเองก็หาปลาไม่เป็นเสียด้วย…นี่เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร

“เอ็งไม่มีกระไรกินเลยรึ”

นวลได้แต่ก้มหน้าเงียบเพราะไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร ข้าวที่แม่ชีมอบให้ก็หมดไปแล้ว ส่วนอาหารแห้งอื่นๆ แม้กินทีละน้อยก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็มีวันหมด เหลือเพียงน้ำพริกผักต้มและผลไม้ป่าที่พอจะประทังชีวิตไปได้

“แม่นวล…”

“ข้ามิเป็นไรดอกจ้ะ”

นวลกล่าวตอบพลางส่งยิ้มเศร้า “แม้จักขัดสนไปหน่อยแต่ข้าก็อยู่ได้ รอเพียงวันใดปั้นถ้วยกระเบื้องสำเร็จข้าจักรีบนำไปขาย หากถึงวันนั้นแล้วก็คงสุขสบายกว่านี้ แม้หาปลามิเป็นก็ซื้อเขาได้ แม้ไม่มีข้าวกินก็ซื้อเขาได้ ถึงแม้ตอนนี้ไม่มีกิน…ข้าก็ขุดเผือกขุดมันต้มกินได้”

“แล้วเหตุใดเอ็งมิบอกข้า”

“แล้วเหตุใดข้าต้องบอก…” นวลเงยหน้าสบตาชายหนุ่มอยู่นานโข นัยน์ตาคู่ใสนั้นเด็ดเดี่ยวและมั่นคงนัก “แค่นี้ข้าก็ทำพี่เดือดร้อนมากเกินพอแล้ว ผักริมคลองของป่ายังพอมีประทังชีวิต…ลำบากแค่นี้ข้ามิตายดอก”

 

แม้นวลต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากลำบนเพียงใด หญิงสาวก็ยังยืนกรานว่าจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขาไปมากกว่านี้ พักหลังมานี้เธอจึงขลุกตัวอยู่แต่ในเรือนเพื่อเตรียมปั้นถ้วยกระเบื้อง ขอยืมแป้นหมุนจากพ่อกล้ามาใช้ก่อน นั่งปั้นอยู่สองวันก็ได้ถ้วยดินราวสามสิบใบเลยทีเดียว

หลังจากปั้นถ้วยเสร็จแล้วนวลจึงเก็บเศษดินและทำความสะอาดใต้ถุนเรือนให้เรียบร้อย ก่อนจะเริ่มก่อไฟเตรียมขี้เถ้าไม้ ผสมน้ำดินและหินบดเพื่อทำเป็นสีวาดลวดลายบนถ้วย แต่ก็ต้องรอให้พ่อกล้าเผาถ้วยดินรอบแรกเสียก่อนจึงจะนำมาเขียนลายได้ หญิงสาวก้มหน้าก่อไฟเงียบๆ แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาหา

“พี่กล้า มีกระไรหรือจ๊ะ”

เอ่ยถามยังไม่ทันขาดคำนวลก็พลันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะพ่อกล้าถือข้าวเปลือกมาให้กระบุงใหญ่ และยังมีปลาแห้งอีกเกือบสิบพวง ก่อนจะเดินกลับเรือนไปแล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมปลาร้าไหหนึ่ง และผ้านุ่งของแม่หญิงอีกสามผืน

“นี่มันเรื่องกระไรกัน…”

นวลลุกจากเตาไฟแล้วเดินปรี่เข้ามาหาทันที “พี่เอาของพวกนี้มาให้ข้าทำไม ก็บอกไปแล้วมิใช่รึว่าข้ามิต้องการ พี่มิจำเป็นต้องมาเดือดร้อนเพราะข้า”

“แล้วข้าบอกหรือยังว่าเดือดร้อน” พ่อกล้าเอ่ยตอบเสียงเรียบ “ข้าทำนากินเองทุกปี ข้าวเปลือกแค่กระบุงเดียวมันไม่มีค่ากระไรดอก ปลาแห้งพวกนี้ข้าก็หาเองทั้งนั้น…ตากทิ้งไว้จนกินไม่ทันก็เสียดายนัก”

“แล้วผ้านุ่งแม่หญิงนี่เล่า พี่จักว่าอย่างไร”

คำถามของนวลทำให้พ่อกล้านิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าทั้งสามยื่นใส่มือให้ “ผ้าพวกนี้เป็นของแม่ข้า เก็บไว้ก็เสียดาย…เอ็งเอาไปใช้เถิด”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นนวลก็อ้าปากค้างด้วยความตื่นตระหนก เพราะรู้ว่าพ่อกล้าอยู่เรือนหลังนั้นเพียงคนเดียว แม้ไม่รู้ภูมิหลังว่าก่อนหน้านี้ชีวิตพ่อกล้าเป็นอย่างไร แต่การที่ไม่มีมารดาอาศัยอยู่ในเรือน…ก็ทำให้เดาได้ไม่ยาก นวลจึงยืนมองผ้าในมือด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“เป็นกระไรไป”

“คือ…ข้า…ข้ามิกล้ารับไว้ดอกจ้ะ! ข้าเกรงใจ”

นวลรีบปฏิเสธเสียงสั่น “ผ้านุ่งพวกนี้เป็นของมีค่านัก กว่าจักได้มาสักผืนก็แสนลำบากยากเข็ญ แล้วพี่จักเอามาให้ข้าได้อย่างไร หากวิญญาณของแม่พี่รู้เข้า…”

“วิญญาณกระไรกัน! แม่ข้ายังมิตายสักหน่อย”

“อ้าว!”

พ่อกล้าพลันหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาว เพราะเพียงสบตาก็รู้แล้วว่าเธอกำลังคิดสิ่งใด ร่างสูงจึงขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหู “แม่นวล…เอ็งรู้หรือไม่…”

“ผ้าที่เอ็งนุ่งอยู่ก็ของแม่ข้า…”

สิ้นเสียงเขานวลก็ทำได้เพียงยืนอ้าปากค้าง แต่เมื่อตั้งสติได้จึงก้มลงมองผ้าที่ห่มกายตนในทันที ผ้านุ่งผืนนี้แม่ชีให้ไว้เมื่อคราได้พบกันครั้งแรก เธอนำมาใช้สลับกับผ้าของตนเองที่ติดตัวมา แต่หากพ่อกล้ากล่าวเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าแม่ของเขาคือ…

“แม่ข้า…ก็คือแม่ชีที่ปลูกเรือนให้เอ็งนั่นละ”

“โธ่พี่กล้า! พี่ก็มิบอกเสียตั้งแต่แรก”

หญิงสาวเดินกลับมานั่งบนแคร่พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก มิน่าเล่าเรือนของพ่อกล้าจึงอยู่ติดกับเรือนเธอขนาดนี้ ที่แท้เขาก็คือลูกชายคนเดียวของแม่ชี เมื่อเธอมาปลูกเรือนบนที่ดินเก่าของแม่ชีเช่นนี้ จึงทำให้อยู่ใกล้เขาแค่เอื้อม

“ก็เอ็งมิได้ถาม แล้วข้าจำเป็นต้องบอกด้วยรึ”

พ่อกล้าเดินตามมาด้วย ก่อนจะกวาดสายตามองใต้ถุนเรือนหญิงสาว เห็นเธอปั้นถ้วยดินวางผึ่งลมไว้อย่างเป็นระเบียบเขาจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เนื้อดินของเธอนั้นละเอียดกว่าหม้อดินเผาของเขานัก เมื่อใช้มือสัมผัสก็รู้สึกได้

“เอ็งจักให้ข้าเผาเมื่อใด”

“วันพรุ่งได้ไหมจ๊ะ” นวลหันมาถามพร้อมรอยยิ้มสดใส “แค่เผาให้เนื้อดินกลายเป็นสีแดงอิฐอย่างที่พี่เคยเผาหม้อทั่วไป เพราะข้าต้องนำมาขัดอีกรอบให้เนียนละเอียดกว่านี้ จากนั้นจึงค่อยเริ่มเขียนลายลงบนถ้วย แต่วันนี้ข้าจักเตรียมสีเขียนลายรอไว้ก่อน”

“เช่นนั้นเอ็งก็เตรียมสีเขียนลายไว้เถิด”

พ่อกล้าเงยหน้ามองตะวันที่เริ่มลับแสง ก่อนจะลากลับเรือนตนเองเพื่อสำรวจความเรียบร้อยของเตาเผา “วันพรุ่งข้าจักเริ่มอุ่นเตาเมื่อยามย่ำค่ำ…เผาราวสองวันก็คงเสร็จ”



Don`t copy text!