ตรวนใบจาก บทที่ 28 : ลมพัดหวน (จบบริบูรณ์)

ตรวนใบจาก บทที่ 28 : ลมพัดหวน (จบบริบูรณ์)

โดย : ฉาย แสงเพชร

Loading

ตรวนใบจาก รางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 5 โดย ฉาย แสงเพชร เกษตรกรจาก จ.ตราด ผู้ฝันอยากเป็นนักเขียนแนวท้องถิ่นที่ได้พลิกบทบาทจากงานเขียนเชิงวิชาการมาสู่การเขียนนวนิยายแนวแฟมิลี่ดราม่ากับเรื่องราวของอาชีพลอกใบจากและชีวิตที่เป็นปริศนาของคุณยายคนหนึ่ง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์อ่านเอา

 

ท่ามกลางสายลมที่ร้อนแล้งของเดือนเมษายน ไร้วี่แววของเมฆฝนบนฟ้า จักรวาลยืนกอดอกพิงโคนเงาะนิ่ง ระหว่างที่รอเวลารดน้ำให้ครบตามกำหนด วันพรุ่งนี้แล้วสินะ เป็นวันครบรอบสองปีการจากไปของยายสีไพล ปีนี้ป้ากิมเหมยจัดทำบุญให้ยายเหมือนเช่นปีก่อนหน้า บอกกล่าวให้ลูกหลานของยายที่เหลืออยู่มาร่วมงานกันทั่วถ้วน รวมทั้งหลานยายคนนั้นด้วย โบตั๋น

เขายังจำได้ดี เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากวันที่จัดพิธีไหว้ผี ป้ากิมเหมยเข้ามาดูยายสีไพลในตอนเช้าและพบว่ายายจากไปแล้ว แม้จะรู้แน่ๆ ว่าวันนี้ต้องมาถึง และทุกคนล้วนพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้วันนี้ของยายสีไพลมาถึงโดยสงบ แต่พอมาถึงจริงๆ กลับรู้สึกใจหาย ว่างโหวงในหัวอกอย่างบอกไม่ถูก การที่เขาต้องวิ่งวุ่นตลอดงานศพ ทั้งไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน พาลุงเทียนไปแจ้งตาย ติดต่อสัปเหร่อ พาป้ากิมเหมยและแม่ครัวไปจ่ายตลาด ช่วยบรรเทาความใจหายลงไปได้มาก แต่พองานทุกอย่างเสร็จสิ้น ความรู้สึกนี้ยิ่งทวีขึ้นไปอีก เมื่ออีกสิ่งหนึ่งกลับถูกสายลมพัดพาจากไป

ตั้งแต่เก็บกระดูกยายสีไพลเสร็จสิ้น เธอคนนั้นกับลูกชายก็หายลับไปจากชีวิตคนคลองมะยมอีกครั้ง ไม่ว่าจะงานทำบุญร้อยวัน ทำบุญครบรอบปี ล้วนไม่มีวี่แววของเธอ เธอเพียงบอกป้ากิมเหมยที่โทร.ไปตามว่าเธอกำลังยุ่งอยู่ ถ้ามาได้จะมา แต่ก็ไม่เคยมา หนนี้ก็เช่นกัน คำตอบของเธอยังเป็นแบบเดิม และจักรวาลเชื่อมั่นอย่างที่สุดว่าเธอก็จะทำแบบเดิม เมื่อไม่ไปมาหาสู่ประสาญาติ เธอก็มีแต่จะห่างหายออกไปจากชีวิต สายลมในชีวิตของเขาไม่เคยพัดหวนเลยสักครั้ง

จนใกล้เพล เขาเปิดน้ำล็อกสุดท้ายแล้วเดินกลับมาบ้าน กะว่ามาหาข้าวกินสักพักแล้วจะรีบไปรดน้ำต่อให้เสร็จภายในวันนี้ เสียงที่บ้านป้านั้นเอะอะวุ่นวายอยู่แล้ว เมื่อคนบ้านใกล้เรือนเคียงมาช่วยป้ากิมเหมยเตรียมกับข้าวหลายอย่าง โดยเฉพาะหมูชะมวงกับแกงเป็ดใส่ลูกกล้วย ที่กลิ่นหอมของแกงลอยตามลมมาจนชวนน้ำลายสอ

แต่เมื่อเดินมาถึงบ้าน รถเก๋งคันหนึ่งที่จอดไว้ดูสะดุดตา ไม่ใช่รถของคนแถวนี้ที่เคยเห็นวิ่งในซอยประจำ และก็ไม่ใช่รถที่ใหม่เอี่ยมจนไม่เคยเห็นมาก่อน ใจของเขากระหวัดไปถึงคนที่ไม่เคยมาคนนั้น พอถอดรองเท้าที่หน้าประตูบ้าน เสียงที่คุ้นเคยร้องทักมาแต่ไกล

“ลุงจักรครับ สวัสดีครับ”

เสียงนั้น เสียงต้นกล้า ลูกชายคนเดียวของโบตั๋นนั่นเอง และเธอคนนั้นก็กำลังนั่งคุยกับอากิมเต้งที่โซฟาใกล้รูปถ่ายของยายสีไพลที่ติดไว้บนผนังบ้าน ใช่โบตั๋นจริงๆ ด้วย จักรวาลพลันรู้สึกสดชื่นในหัวอก ในที่สุด เมื่อสายลมพัดหวนกลับมา หน้าแล้งปีนี้ก็ไม่ได้โหดร้ายจนเกินไปนักสำหรับเขา

 

“ช่วงที่ผ่านมายุ่งมากหรือลูก ป้าพยายามชวนให้มางานทำบุญให้ยาย ก็ไม่เคยมาสักที” ป้ากิมเหมยเอ่ยถามอย่างข้องใจในค่ำคืนนั้น เมื่ออยู่กันตามลำพัง

“ก็ยุ่งพอสมควรค่ะ พอกลับไปจากงานศพยาย หนูก็ไป…ไปเตรียมเรื่องหย่ากับพ่อของต้นกล้า เพิ่งเรียบร้อยเมื่อสองเดือนที่ผ่านมาเองค่ะ”

“อะไรนะ ถึงขั้นหย่ากันเลยเหรอ ป้าคิดว่าจะกลับไปคืนดีกันได้เสียอีก”

“ถ้าไม่มารับรู้เรื่องของคุณยาย ก็ยังไม่แน่หรอกค่ะ แต่พอนึกถึงเรื่องของคุณยาย ทำให้หนูคิดได้ว่า ในยุคสมัยของยาย ยายยังไม่ทน แล้วหนูจะทนไปทำไม ไม่ต้องมีเขา หนูก็มีชีวิตอยู่ได้ มีเขาอยู่ ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตลูกมีความสุขขึ้นมา เขาแทบจะเป็นพ่อให้ต้นกล้าได้แค่ชื่อในทะเบียนบ้านเท่านั้นเอง หนูควรจะคิดถึงความรู้สึกของลูกมากกว่าหน้าตาของตัวเอง หนูจะไม่ยอมให้เขาทำร้ายต้นกล้าอีก”

“เขาทำร้ายต้นกล้าอีกหรือ”

“ไม่หรอกค่ะ แต่ต้นกล้ากลัวพ่อเขามาก ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้น บางทีถึงกับนอนผวากลางดึก ตื่นมาร้องห่มร้องไห้ว่าพ่อจะฆ่าเขา แต่ไม่ยอมเล่าว่ามีปัญหาอะไรกับพ่อ จนหย่ากันเรียบร้อยแล้ว แยกบ้านกันอยู่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะมาตราดไม่กี่วัน ต้นกล้าถึงเล่าให้ฟัง ว่าวันนั้นเขาไปเจอกับอะไร”

“มันเลวร้ายมากหรือลูก” ป้ากิมเหมยซักต่อทันที อดเหลือบมองไปทางห้องที่ต้นกล้านอนอยู่ด้วยความเวทนาหลานไม่ได้

“ช่วงที่หนูมาเยี่ยมยายครั้งแรกนั่นแหละค่ะ หนูไม่ได้บอกใครๆ ไว้ว่าจะกลับเมื่อไหร่ เขาคงคิดว่าหนูจะไปนาน แถมลูกก็ไปอยู่บ้านปู่ เขาถึงได้กล้า วันนั้น ต้นกล้าให้พี่เลี้ยงพาไปเอากีตาร์ที่บ้าน แล้วกีตาร์อยู่ในห้องนอน มาถึงเขาก็เปิดประตูผลัวะเข้าไป ไม่ทันมอง ไปเจอพ่ออยู่กับ…เอ้อ อีกคน ต้นกล้าเห็นแล้วช็อก รับไม่ได้ ร้องไห้ เขากลัวความจะแตก เลยตบลูก บอกให้เงียบ ห้ามไม่ให้ไปบอกใคร ไม่อย่างนั้นจะฆ่าให้ตาย พอวิ่งออกมาที่หน้าบ้าน ต้นกล้าก็ร้องไห้โฮลั่น พี่เลี้ยงเลยโทรมาบอก หนูถึงต้องกลับไปดูลูกด่วนคืนนั้น”

“โธ่เอ๊ย กะอีแค่มีเมียน้อย ทำไมต้องดุลูกขนาดนั้น” ป้ากิมเหมยอุทานออกมา

“เพราะเมียน้อยไม่ใช่ผู้หญิงไงคะ แล้วเขาต้องการปิด ถึงได้โมโห กลัวลูกเอาไปพูด”

ป้ากิมเหมยทำท่าจะช็อกอีกรอบ “อะไรนะ ผัวหนูเป็นกะเทยเหรอ”

“ไม่ใช่กะเทยหรอกค่ะ เขาเป็นผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกัน” โบตั๋นแก้ความเข้าใจผิดของป้า

“อะไรนะ”

“หนูสงสัยมานานแล้ว ว่าเขาน่าจะมีคนอื่น แต่เพราะรอบตัวเขามีแต่ผู้ชาย ก็พยายามหลอกตัวเองมาตลอดว่าคิดมากไป ตั้งแต่เกิดเรื่องกับต้นกล้าวันนั้น หนูถึงนึกขึ้นมาได้ ว่าเขาสนิทกับลูกจ้างในโครงการคนหนึ่งมากผิดสังเกต คนนี้เคยเป็นลูกศิษย์เขามาก่อน พอเรียนจบก็มาทำงานกับเขา ก็เลยคิดว่าใช่ เพิ่งจะรู้ว่าคิดไม่ผิดก็ตอนต้นกล้าเล่าให้ฟัง”

“เขาไม่ยอมรับหรือ”

“ไม่ค่ะ เขาแสดงตัวว่าเป็นแมนมาตลอด ซ้ำแสดงอาการรังเกียจผู้ชายไม่แท้มากเป็นพิเศษ เหตุผลที่หย่าก็ไม่ได้ระบุถึงเรื่องนี้เลย แต่ก็ช่างเขาเถอะค่ะ เขาเลือกที่จะโกหก ก็ต้องโกหกตลอดไป หนูคงช่วยเขาปกปิดต่อไปอีกไม่ได้หรอกค่ะ”

ป้ากิมเหมยซักถามหลานสาวถึงเรื่องการหย่าร้างอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ที่ตอนนั้น ป้าโทรไปชวนให้หนูมางานทำบุญให้ยาย ก็หวังว่าหนูจะมาที่นี่ จะได้จัดการมรดกของยายให้เรียบร้อย แต่หนูมาไม่ได้ ป้ากับลุงเต้งเลยจัดการไปก่อน”

“มรดกอะไรหรือคะป้า”

แทนคำตอบ ป้ากิมเหมยยื่นสมุดเก่าๆ เล่มหนึ่งให้ เมื่อเปิดไปหน้าแรก ลายมือตัวโตๆ แบบของคนโบราณเขียนไว้ชัดเจน เริ่มจากอธิบายถึงที่ดินที่เหลืออยู่อีกสองแปลง ยกให้ป้ากิมเหมยกับลุงเต้งคนละแปลง ทรัพย์สินที่เป็นทองรูปพรรณยกให้ลุงบุญทิ้ง และบรรทัดสุดท้ายเขียนไว้ชัดเจน

“บ้านที่พลิ้วยกให้กิมหลิว”

โบตั๋นถึงกับน้ำตารื้น ยายไม่เคยลืมลูกคนไหนเลย แม้แต่แม่ของเธอที่หายสูญ ไม่เคยกลับมาหาแม่จนวันสุดท้ายของชีวิต นี่กระมัง หัวอกของแม่ น้ำใจของแม่ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรก็เป็นห่วงสุขทุกข์ของลูกเสมอ แม้ว่าการแสดงออกจะต่างกันไป แต่เนื้อในหัวใจไม่ได้ต่างกัน เสียงป้ากิมเหมยเอ่ยขึ้นอีก

“หนังสือนี้ แมะเขียนไว้นานแล้วนะ ก่อนจะป่วยเสียอีก แต่ป้ากับลุงไปเจอเมื่อแกป่วยแล้ว เคยถามแก แกก็บอกว่าให้จัดการตามนี้ ลุงเต้งถึงพยายามติดต่อให้กิมหลิวกลับมา ไม่นึกฝันว่ากิมหลิวกลับตายไปก่อนแมะ ทีนี้กิมหลิวมีหนูเป็นลูกสาวคนเดียว สิทธิ์ในบ้านนั้นควรเป็นของหนู ป้าอยากให้หนูรับไว้ตามความตั้งใจของยาย ต่อจากนั้น ถ้าหนูไม่คิดจะมาอยู่พลิ้ว หนูจะขายไป ลุงกับป้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก ไม่มีใครคิดกลับไปอยู่ที่พลิ้วแล้ว”

ภาพบ้านเก่าหลังนั้นกลับมาให้ห้วงความคิดอีกครั้ง ในห้องเลี้ยงผีที่มีสมุนไพรเก่า ตำรายาและความลี้ลับ เธอนิ่งคิดครู่ใหญ่ ก่อนจะตกปากรับคำ

“ได้ค่ะป้า แล้วตอนนี้ บ้านเป็นชื่อของใครอยู่หรือคะ”

“ชื่อของป้าเอง ถ้าหนูยินดีรับไว้ เสร็จงานทำบุญของยาย ก็ไปโอนกันได้เลย”

 

บนสะพานตากสินมหาราช (1) ที่ทอดข้ามปากน้ำแหลมสิงห์ ปากน้ำที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์และการค้าของจันทบุรีมาแต่ครั้งโบราณ กระแสลมแรงที่พัดมาต้องตัวผ่อนคลายความร้อนจากไอแดดไปได้มาก โบตั๋นยืนเกาะราวสะพาน มองผืนน้ำที่ทอดไกลจนเป็นผืนเดียวกับทะเลเบื้องหน้า ชีวิตคนเราก็แค่นี้ใช่ไหม ไม่ว่าจะผ่านเส้นทางมายาวไกลแค่ไหน ไม่ว่าจะราบเรียบหรือมีเกาะแก่งมากปานใด สายน้ำทุกสายก็ต้องมาจบที่ทะเล ชีวิตของยายที่โลดแล่นมาในย่านนี้กว่าแปดสิบปี สุดท้ายก็จบสิ้นลง เหลือแต่เรื่องราวในความทรงจำของคนที่เคยพบเจอ และเมื่อคนเหล่านั้นลับหาย เรื่องราวหลากหลายก็เป็นแค่พยับแดดบนผืนน้ำที่เลือนลับไปในยามอาทิตย์สิ้นแสง

“แถวนี้ใช่ไหมคะ ที่ป้ากิมเหมยพายายมาส่งเป็นครั้งสุดท้าย” โบตั๋นเอ่ยถามเมื่อเห็นจักรวาลเดินมาหยุดข้างๆ วันนี้เขาพาเธอกับป้ากิมเหมยไปโอนที่ดินที่อำเภอและแวะเยี่ยมลุงบุญทิ้ง ระหว่างทาง เขาพาเธอมาดูปากน้ำแหลมสิงห์ ที่ที่ลูกๆ มาลอยอังคารของยายสีไพลหลังจากทำบุญร้อยวันแล้ว

“ใช่ ลุงบุญทิ้งเป็นคนจัดการเรื่องเรือประมงให้ เสียดายนะที่ไม่ได้มา”

“มาไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนั้นเป็นช่วงที่เขากำลังยื้อเต็มที่ ไม่ยอมหย่า ถึงขั้นอาสาจะพาฉันมางานยาย บอกตามตรง ฉันไม่กล้าพาผู้ชายแบบที่ยายเกลียดมาหรอก ยายเจอผู้ชายแย่ๆ มามากแล้ว คนอย่างเขาไม่มีค่าพอจะมากราบกระดูกยาย”

“พูดอย่างนี้ แสดงว่านึกถึงเรื่องของยายสีไพลตลอดเลยสิ”

โบตั๋นหันกลับไปมองผืนน้ำเบื้องหน้าอีกครั้ง “อย่าว่านึกถึงเลยค่ะ ฉันไม่เคยลืมเรื่องราวของยายเลยตั้งแต่ได้ยินวันนั้น ถ้าลบคำว่าดีว่าชั่วออกไปแล้ว ยายก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อตัวเอง เพื่อลูกด้วยโอกาสที่จำกัด ฉันยังบอกไม่ถูกเลยว่าถ้าฉันกลับไปอยู่ในยุคของยาย เจอเหตุการณ์อย่างยาย ฉันจะตัดสินใจต่างจากยายหรือเปล่า” โบตั๋นยืนนิ่ง มองภาพข้างหน้าราวกับจะประทับในความทรงจำ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แล้วคุณไม่นึกถึงเรื่องของยายสีไพลเลยหรือ”

“นึกสิ นึกเสียใจที่มัวแต่ไปเชื่อเรื่องเล่าพวกนั้น จนมองแกด้วยอคติมาตลอด ยิ่งผมเจอแต่ผู้หญิงร้ายๆ หลายคน ก็ยิ่งฝังใจว่าแกต้องร้ายเหมือนผู้หญิงพวกนั้น จนได้ฟังเรื่องเล่าของแกนั่นแหละ ถึงคิดได้ อดีตย่อมดำรงอยู่ในอดีต ด้วยเหตุผลของอดีต เราอยู่ในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลของปัจจุบัน เราเอาเรื่องราวในปัจจุบันของเราไปตัดสินอดีตไม่ได้ อดีตของยายสีไพลมันเตือนสติเราได้เพียงว่าอย่าเอาอคติของเราไปตัดสินคนอื่นแค่เพราะได้ยินเขาพูดต่อๆ กันมา และอย่าปิดกั้นโอกาสของคนอื่น เพียงเพราะเราเคยทำผิดพลาดมาก่อน”

“ก็จริงนะ ถ้ายายยอมให้โอกาสใครสักคน อย่างเช่นใบจาก ชีวิตของยายอาจจะเปลี่ยนไปจากนี้ก็ได้” เธอหันมามองหน้าเขาแล้วยิ้ม “แล้วตอนนี้ คุณพร้อมจะให้โอกาสใครหรือยัง”

“ถ้าก่อนหน้าจะรู้เรื่องของยายสีไพล บอกได้เลยว่าไม่ ผู้ชายอย่างผมมีค่าเกินกว่าจะให้ผู้หญิงรักไม่จริงมาเหยียบย่ำ แต่ตอนนี้ ความน่าจะเป็นคงไม่ใช่ศูนย์ แต่ก็คงต้องศึกษานิสัยใจคอให้ดีก่อน ไม่ผลีผลามอยากมีครอบครัวเหมือนที่ผ่านมา” เขาหยุดพลางมองหน้าโบตั๋นบ้าง “แล้วคุณล่ะ เข็ดผู้ชายหรือยัง”

“คงไม่ใช่คำว่าเข็ดหรอกค่ะ แต่ต้องใช้คำว่าต้องดูให้ดีกว่าเดิม ยิ่งตอนนี้มีลูก ก็ต้องใส่ใจความรู้สึกของลูกให้มากขึ้น ไม่อยากให้ลูกต้องรู้สึกแบบฉันตอนที่แม่มีพ่อเลี้ยง และที่สำคัญ ถ้าจะมีใหม่ มีแล้วก็ต้องมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม มีแล้วแย่กว่าเดิมก็คงไม่มี”

ใครจะนึกว่าจักรวาลจะเสไปพูดอีกเรื่อง “คุณรับโอนที่บ้านของยายสีไพลตรงนี้ก็ดีแล้ว ลุงเทียนจะยกที่ดินที่พลิ้วให้ผมเหมือนกัน ถ้าคุณไม่รีบขายที่ไปเสียก่อน เราคงได้เจอกันอีกบ่อยๆ”

เสียงร้องเรียกของลูกชายดังแว่วมา ชวนให้เธอกับลุงจักรไปกินหมึกย่างกับเขา คนทั้งคู่จึงเดินกลับมา ระหว่างนั้น โบตั๋นเอ่ยขึ้น “ออกจากบ้านลุงทิ้งแล้ว พาไปแวะที่บ้านยายหน่อยนะ อยากไปดูที่ที่เป็นที่ระลึกถึงยายแห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่”

จักรวาลยิ้มรับ พยักหน้า ก่อนจะกดปลดล็อกประตูเพื่อให้ทุกคนเตรียมตัวเดินทางต่อไป

 

– จบบริบูรณ์ –

 

เชิงอรรถ :

(1)เหตุการณ์ในเรื่องตรงกับ พ.ศ.2554 ซึ่งสะพานแห่งนี้สร้างเสร็จแล้ว



Don`t copy text!