ตรวนใบจาก บทที่ 5 : ชีวิตคู่ของกิมเหมย

ตรวนใบจาก บทที่ 5 : ชีวิตคู่ของกิมเหมย

โดย : ฉาย แสงเพชร

Loading

ตรวนใบจาก รางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 5 โดย ฉาย แสงเพชร เกษตรกรจาก จ.ตราด ผู้ฝันอยากเป็นนักเขียนแนวท้องถิ่นที่ได้พลิกบทบาทจากงานเขียนเชิงวิชาการมาสู่การเขียนนวนิยายแนวแฟมิลี่ดราม่ากับเรื่องราวของอาชีพลอกใบจากและชีวิตที่เป็นปริศนาของคุณยายคนหนึ่ง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์อ่านเอา

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่า ใบจากสำหรับมวนบุหรี่แค่นี้ จะกลายเป็นอาชีพที่เลี้ยงครอบครัวได้ เดี๋ยวนี้เห็นมีแต่บุหรี่ก้นกรอง”

“มันขายได้จริงนะหนู สมัยนั้นคนนิยมกันมาก เขาว่ามันรสชาติดี ดีกว่าใบตองแห้งด้วยเพราะขึ้นราช้ากว่า แต่ต่อมา มันก็ค่อยๆ หายไป ป้าเองมาอยู่กะลุงเทียนทางนี้ วุ่นกะลูกเล็กๆ อยู่หลายปี กลับไปอีกที ป่าจากก็ทยอยกลายเป็นนากุ้ง ดงต้นคุยที่เคยเก็บลูกไปขายก็เปลี่ยนเป็นบ้านคนไปหมด”

“แล้วป้าเจอกับลุงเทียนตอนไหนหรือคะ” โบตั๋นถาม แอบหวังว่าจะได้ฟังเรื่องรักโรแมนติกให้ชื่นใจสักนิด พอบรรเทาความขมในชีวิตจริงของเธอลงไปได้บ้าง

“เฮ้อ เรื่องมันยาวอยู่นะ ตอนนั้น ครอบครัวป้ามีแต่เรื่องวุ่นวายทีเดียวแหละ ตั้งแต่เรื่องของเจ๊บ๊วย มาจนถึงเรื่องของป้า”

 

พี่บุญทิ้งมาอยู่ด้วยไม่กี่ปี เธอและเจ๊บ๊วยก็ทยอยเข้าสู่วัยสาว มีผู้ชายหนุ่มๆ แวะเวียนมาลอกใบจากที่ลานบ้านไม่ขาดหมายจะจีบสองศรีพี่น้อง เจ๊บ๊วยนั้นแน่นอนว่าไม่สนใจใคร เธอสนิทสนมกับนายใบจากอย่างชัดเจน ตัวเธอเองเพิ่งจะสิบสามสิบสี่ปี ก็แค่รู้สึกดีที่มีผู้ชายมาทักมาถาม แต่ยังไม่ทันสนใจใครเป็นพิเศษ ผิดกับแมะ ที่ออกอาการหวงลูกสาวอย่างชัดเจน ไม่ต้องการให้ลูกสาวไปชอบพอหนุ่มๆ ในวงลอกใบจาก เธอได้แต่ฟังแบบหูทวนลม ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่กับเจ๊บ๊วยกลับกลายเป็นการทะเลาะกับแมะอย่างรุนแรง คงเพราะเจ๊ชอบพอกับนายใบจากนั่นแหละ

ช่วงเดียวกันนี้ แมะมักจะแวะเวียนไปเยี่ยมญาติของเตี่ยบ่อยขึ้น แม้แต่ศาลเจ้าที่แมะไม่เคยไปนานแล้วก็ไป ไม่นานเธอก็ได้ยินแมะบอกกับเจ๊บ๊วยว่ามีลูกชายคนจีนแถวศาลเจ้าจะมาหมั้น แน่นอนว่าเจ๊ไม่ตกลง และทะเลาะกับแมะแรงขึ้นทุกวัน เหมือนจะช่วงนี้แหละที่นายใบจากกับพี่บุญทิ้งหายหน้าไปจากบ้าน ไม่รู้ว่าไปไหน แต่เธอกลับเห็นเป็นดี คนไม่ชอบหน้ากันจะอยากเห็นหน้ากันไปทำไม แต่ไฟที่ลามไหม้เรือนยังไม่สงบลง

คืนนั้น คืนที่เกิดเรื่อง เธอได้ยินแมะเถียงกับเจ๊บ๊วยเสียงดัง จับใจความได้เลาๆ ว่าเป็นเรื่องเจ๊บ๊วยไม่ยอมรับหมั้นนั่นแหละ ความอยากรู้เธอเลยชวนน้องๆ ไปแอบฟัง กิมเต้งไม่ยอมไป มีแต่เธอกับกิมหลิว แต่เป็นเพราะแมะหันมาเห็นเสียก่อน เลยไล่เธอกับกิมหลิวเข้าห้องพร้อมตวาดลั่น

“เข้าห้องไปเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องออกมา ใครออกมา แมะจะตีให้ตาย”

กิมหลิวร้องไห้จ้า กลัวเสียงของแมะ เธอเลยต้องรีบพาน้องเข้าห้อง ลงกลอนประตู เสียงทะเลาะระหว่างพี่สาวกับแมะยังไม่หยุด เพียงแต่เบาลงเหมือนย้ายเข้าไปเถียงกันต่อในห้อง ได้ยินชัดแต่เสียงข้าวของแตก ปิดท้ายด้วยเสียงปิดประตูดังโครมสนั่นเรือน จำไม่ได้ว่ามีเสียงเจ๊บ๊วยถูกแมะตบด้วยหรือเปล่า

นับแต่ประตูห้องเจ๊บ๊วยปิดลง ประตูบานนั้นไม่เปิดออกมาอีกเลย จนคล้อยบ่าย แมะจึงเปิดเข้าไปดูและพบว่าเจ๊บ๊วยจากไปแล้ว การตายของเจ๊บ๊วยทำให้เธอหวาดกลัวมากกว่าเสียใจ หวาดกลัวกับท่าทีของแมะที่ดูเลือดเย็นเหลือเกิน ตลอดงานศพของเจ๊บ๊วย แมะไม่ร้องไห้เลย ไม่มีแม้น้ำตาสักหยดให้เลือดในอกที่จากไป การตายของลูกสาวที่ขัดคำสั่งของแมะคนหนึ่งเหมือนการจากไปของคนไม่รู้จักมักคุ้น แค่ยอมเผาศพให้ก็เป็นบุญแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหลังงานศพเจ๊บ๊วย พ่อแม่ของใบจากมาโวยวายที่ลูกชายเขาหายตัวไป แมะก็พูดจาตัดรอนไม่เหลือเยื่อใย อีกนานร่วมปีทีเดียวเธอถึงรู้ข่าวว่า เมื่อกลับไปจากบ้านแมะไม่นาน พ่อแม่ของใบจากก็พบศพลูกชายที่จมน้ำตาย พร้อมกับเสียงซุบซิบนินทาว่าแมะของเธอทำให้ใบจากต้องตาย

คงเพราะภาพหลอนจากความตายของเจ๊บ๊วยนี่เอง พอถึงคราวที่เธอเป็นสาวเต็มตัวบ้าง แมะก็บอกว่ามีคนจีนเป็นเจ้าของสวนทุเรียนที่ท่าใหม่จะมาขอหมั้น เธอไม่ได้นึกชอบคนจีนคนนั้นสักนิด แต่เพราะไม่กล้าขัดใจแมะ ก็ตกลงรับหมั้น กำหนดแต่งตอนปลายปี แต่ผ่านไปเพียงสองสามเดือน ก็มีญาติของเตี่ยคนหนึ่งมาจากพลับพลา มาแจ้งข่าวที่เหมือนฟ้าฟาดลงกลางใจเธอ

“นี่ แม่สีไพล ฉันได้ข่าวว่าลูกชายเจ๊กซิ่วมาหมั้นกับลูกสาวแกเหรอ”

“ใช่ ทำไมล่ะ”

“รู้ไหม แม่สีไพล ลูกชายเจ๊กซิ่วน่ะ ไม่เหมือนพ่อหรอกนะ เจ้าชู้จะตายไป เคยมาได้เมียแถวบ้านฉันคนหนึ่งแล้วก็เลิกกัน ตอนหลังไปได้เมียอีกคนที่ขลุง คนนี้เป็นจีนเหมือนกัน เจ๊กซิ่วไปสู่ขอเอง ตกแต่งกันใหญ่โต ที่มาทำสวนทุเรียนที่ท่าใหม่นี่ เห็นว่าเมียที่ขลุงไม่ยอมมาอยู่ด้วย คงคิดจะหาเมียใหม่อีกคน”

“จริงหรือ ไม่เห็นมีใครพูดเลย”

“แกมามัวค้าขายอยู่ทางนี้ จะรู้จะเห็นอะไร เอาเป็นว่า ไอ้ที่ฉันนับนี่ เฉพาะที่แต่งออกหน้าออกตานะ ที่แอบๆ ซ่อนๆ ไม่รู้มีอีกหรือเปล่า ตอนที่อยู่พลับพลา เห็นว่าพวกลูกจ้างสาวๆ นี่ แกยังไม่เว้นเลย ฉันถึงได้มาเตือนแม่สีไพลไง คิดดีแล้วหรือถึงจะเอาผู้ชายแบบนี้เป็นเขย”

ไม่ต้องคิดอีกต่อไป เธอบอกกับแมะทันทีว่าขอถอนหมั้น ไม่คิดจะแต่งงานกับผู้ชายเจ้าชู้แบบนี้เด็ดขาด พร้อมกันนั้น ก็คิดหาวิธีจะออกไปจากที่นี่ ไม่ให้ครอบครัวของฝ่ายผู้ชายมาวุ่นวายกับเธออีก ไม่ให้แมะจับคู่เธอกับใครๆ อีก ตอนนั้น เก๊กฮวย เพื่อนสนิทของเธอชอบพออยู่กับผู้ชายชื่อแป๊ะ พอเธอไปเล่าให้เพื่อนฟัง เก๊กฮวยรีบแนะนำให้เธอรู้จักกับเทียน น้องชายของแป๊ะ พร้อมกับบอกว่าแป๊ะกับเทียนกำลังจะออกไปจับจองที่ดินแถวบ้านคลองมะยมที่ตราด ถ้าเธอตกลงปลงใจกับเทียนก็จะได้ไปด้วยกัน พอเธอเจอหน้ากับเทียน แม้จะดูเป็นผู้ชายขี้อาย แต่คำพูดคำจาดูจริงใจ เธอก็ตัดสินใจทันที

เมื่อเธอพาเทียนไปหาแมะ บอกว่าเธอตัดสินใจแล้วว่าจะไหว้ผีกับผู้ชายคนนี้ แล้วจะไปอยู่กับเขาที่ตราด แมะอึ้งไป ถามเธอคำเดียวว่าคิดดีแล้วหรือ เธอย้ำคำชัดเจนว่าคิดดีแล้ว เป็นเมียคนเดียวของคนจน ดีกว่าเป็นเมียคนที่เท่าไรไม่รู้ของคนรวย เพียงเท่านี้ แมะก็ไม่ว่าอะไร อีกไม่นาน เธอก็ไหว้ผีกับเทียน เป็นงานเล็กๆ ของสองครอบครัว ก่อนจะโยกย้ายมาอยู่ที่นี่กับเทียนหลังไหว้ผีเพียงเดือนกว่าๆ เก็บเรื่องราวของบ้านเดิมที่พลิ้วไว้เป็นความหลังที่ไม่อยากจำอีกต่อไป

 

“โชคดีอย่างเดียวของป้าก็คือลุงเทียนเขาเป็นคนขยันทำมาหากิน ไม่เจ้าชู้ เลยไม่มีปัญหา ไม่เหมือนแป๊ะ พี่ชายของเทียน พอมีเงินเข้าหน่อยก็ออกลาย ไปซื้อที่ตรงไหนก็มีเมียซุกไว้ตรงนั้น สุดท้าย เก๊กฮวย เพื่อนของป้าก็เลยเลิกกับแป๊ะ ตอนนั้นลูกชายคนเล็กยังเด็กอยู่เลย แต่เก๊กฮวยก็ยังดีที่มีลูกห้าคน รอดหมด ป้าซี เหลือแค่สอง”

ก่อนที่ป้ากิมเหมยจะเล่าเรื่องอื่นต่อไป โบตั๋นรีบถามแทรกขึ้นทันที

“ป้าคะ แล้วที่เขาว่าคุณยายฆ่าลูก ฆ่าผัว นี่จริงไหมคะ”

ป้ากิมเหมยเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดไม่เต็มเสียงนัก “คนแรกน่ะ พ่อของพี่บุญทิ้ง ป้าไม่แน่ใจหรอกนะ พอป้าจำความได้ แกก็ตายไปนานแล้ว แต่เตี่ย ป้าเองก็ไม่แน่ใจ” หยุดไปครู่หนึ่ง “ใครๆ เขาก็ว่าเตี่ยตายเพราะโดนยาเบื่อ พอแมะป่วยคราวนี้ เวลาแกอาละวาดขึ้นมา แกกลัวถูกวางยาเบื่อตลอด ขนาดน้ำกินในบ้าน ผ่านเครื่องกรองอย่างดี ตักใส่ขวดให้ก็ไม่กิน แกร้องจะกินแต่น้ำขวดที่ขายตามร้านเท่านั้น ป้าก็ชักจะเริ่มเชื่อบ้างแล้วว่าแกเป็นคนวางยา”

ตุ้บ! เสียงของอย่างหนึ่งหล่นลงมาตรงกลางระหว่างคนทั้งคู่ เป็นน้ำผลไม้กล่องที่ป้าวางไว้ข้างเตียงของยายนั่นเอง ยังไม่ทันจะหันหาว่ามาได้อย่างไร เสียงยายสีไพลตวาดลั่น ดังสุดเสียงเท่าที่แกเปล่งออกมาได้

“นังเหมย นังลูกเลว เสียแรงกูเลี้ยงมึงมา มึงยังกล้าคิดว่ากูทำได้ คิดหรือว่าไม่มีกู พวกมึงจะโตมาได้ถึงวันนี้”

 



Don`t copy text!