
ตรวนใบจาก บทที่ 9 : ความรักของจักรวาล
โดย : ฉาย แสงเพชร
ตรวนใบจาก รางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 5 โดย ฉาย แสงเพชร เกษตรกรจาก จ.ตราด ผู้ฝันอยากเป็นนักเขียนแนวท้องถิ่นที่ได้พลิกบทบาทจากงานเขียนเชิงวิชาการมาสู่การเขียนนวนิยายแนวแฟมิลี่ดราม่ากับเรื่องราวของอาชีพลอกใบจากและชีวิตที่เป็นปริศนาของคุณยายคนหนึ่ง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์อ่านเอา
ชีวิตนิสิตในมหาวิทยาลัยผ่านเลยไปเหมือนลมเฉื่อยพัดยอดมะพร้าว การเรียนของเขาอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างดี พอขึ้นปี 3 ก็มีเพื่อนนิสิตหญิงด้วยกันมาติดพัน เธอเป็นนักกิจกรรม หน้าตาถือว่าสะสวยใช้ได้ แต่เรื่องเรียนจัดว่าค่อนข้างอ่อน ชีวิตรักวัยเรียนก็ไม่มีอะไรหวือหวา ก็แค่ช่วยทำรายงาน ติวตอนสอบ ช่วยทำโครงงานวิจัยตอนปีสี่ นอกนั้นก็มีนัดกันไปดูหนังบ้าง กินไอศกรีมบ้าง นานๆ ครั้ง ความรักเรียบง่ายของวัยรุ่นที่ดูเข้ากันไปได้ทุกอย่าง จนทำให้เขาคิดไปไกล สมัยนั้นไม่ได้มีโทรศัพท์มือถือเกร่อเหมือนตอนนี้ การติดต่อมีแต่โทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์สาธารณะ และเขียนจดหมาย พอเรียนจบ เขาเลือกไปเรียนต่อปริญญาโทในกรุงเทพฯ แต่เหมือนทันทีที่บายเนียร์ แยกย้ายกันไป ความรักที่เหมือนเข้ากันได้ในวัยเรียนก็หล่นหาย เขาติดต่อเธอไม่ได้อีกเลย จนวันรับปริญญาเขาจึงรู้สาเหตุ เธอควงแฟนหนุ่มท่าทางเป็นคนมีเงินมาแนะนำในกลุ่มเพื่อน จนเขาอึ้ง มีแววตาเห็นใจของเพื่อนร่วมเอกหลายคน แต่มันก็แค่นั้น คนจนไม่มีสิทธิ์ตามเคย
ไม่มีอะไรจะดามอกที่หักดังเป๊าะของเขาได้นอกจากมุมานะเรียน เรียน และเรียน เรียนให้จบเร็วที่สุด และเขาก็จบโทได้ภายในสามปีอย่างที่ตั้งใจ มีผู้หญิงแวะเวียนมาสนใจเขาอีกเหมือนกัน แต่ตอนนี้ เขาไม่ใช่ไอ้หนุ่มที่อ่อนต่อโลกอีกแล้ว พอเริ่มจับได้ว่าผู้หญิงเข้ามาเพราะผลประโยชน์ เขาก็ตีกำแพงกั้น ไม่ยอมทุ่มเทใจให้อีก กว่าเขาจะคิดเรื่องมีครอบครัวอีกครั้ง ก็หลังจากที่สอบเข้าเป็นอาจารย์ที่สถาบันราชภัฏ (1) ได้แล้ว
ผู้หญิงคนนั้นเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนเขา อยู่ต่างคณะ เรียนจบปริญญาเอกมาจากต่างประเทศ และบรรจุเป็นอาจารย์ในช่วงไล่เลี่ยกัน ความรักครั้งนี้เป็นครั้งที่เขาหวังมากที่สุด ในเมื่อเขามีงานที่มั่นคงแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว ฝ่ายหญิงก็เช่นกัน ความแตกต่างในเรื่องอื่นๆ ถูกมองข้ามไป ก็ในเมื่ออยู่ในแวดวงอาชีพเดียวกันแล้ว มันจะกระไรนักหนา คบหากันไม่นาน ก็ตัดสินใจเข้าสู่ประตูวิวาห์
น้ำผักต้มขมชมว่าหวานอยู่ได้แค่ปีกว่าๆ ความจืดกร่อยก็เริ่มมาเยือน บอกไม่ถูกว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอรู้ตัว มันมีแต่เปรี้ยว ขม เฝื่อนฝาดจนกลืนไม่ลงคอ ไม่เข้าใจว่าหลงเห็นเป็นความหวานไปแต่ตอนแรกได้อย่างไร ตอนนี้ คำพูดของภรรยาที่เขาจำได้ มีแต่แบบนี้
“ทำไมไม่รู้จักทำอะไรที่ได้เงินได้ทองมากๆ กะเขาบ้าง จนก็จน มัวแต่สอนอย่างเดียว เงินจะพอใช้ที่ไหนกัน ถ้าพ่อไม่ดาวน์บ้านให้จะมีบ้านอยู่ไหม”
“ไม่มีปัญญาเรียนเอง ทำไมไม่วิ่งเต้นขอทุนมหาวิทยาลัยไปเรียนเล่า มัวแต่ดักดานอยู่แบบนี้ จะมีอะไรดีขึ้นมั่งล่ะ”
“ไอ้งานคณะ งานสาขาวิชาที่ไม่ได้เงินนี่จะรับทำทำไมนัก ไปช่วยงานท่านรองโน่นสิ มีอะไรท่านจะได้ช่วย อย่างนี้สองขั้นเมื่อไหร่จะได้ เพราะไม่รู้จักคิดแบบนี้ ถึงได้จนอยู่ได้”
จากเรื่องงาน ลามไปสู่เรื่องอื่นๆ ในบ้าน ไม่ว่าจะซื้ออะไรล้วนไม่เคยเห็นตรงกัน จนแม้กระทั่งเขาจะตำหนิภรรยาที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยก็ไม่ได้ กลายเป็นทะเลาะกันทุกที สุดท้าย มันก็จบลงที่การจดทะเบียนหย่า สามปีของการแต่งงานที่ทำให้เจ็บหนักกว่าเดิม จะดีก็แต่ไม่มีลูกมาเป็นภาระเพิ่มเท่านั้น ไม่อย่างนั้น ก็ต้องเป็นเขาที่ต้องรับภาระเลี้ยงลูกแน่นอน
ทำไมน่ะหรือ หย่ากันได้สักปีเห็นจะได้ ภรรยาเก่าของเขาก็โอนย้ายไปมหาวิทยาลัยอื่นแบบใช้อภินิหาร ตอนนั้น มหาวิทยาลัยตัดตำแหน่งข้าราชการออกไปแล้ว ไม่มีการบรรจุใหม่ มีแต่ย้ายไปแทนตำแหน่งว่างหรือสลับตำแหน่งกัน แต่เธอก็ย้ายไปได้ พร้อมกับคำถามของคนที่รู้ข่าวว่าย้ายไปได้อย่างไร พอมีการ์ดงานแต่งมาถึง ทุกคนก็ถึงบางอ้อ เธอย้ายไปแต่งงานกับผู้บริหารระดับรองอธิการบดี อภินิหารมันก็เลยมีจริง
ไม่มีทางทำอะไรได้ เขาตัดสินใจเลือกไปเรียนต่อปริญญาเอกโดยขอทุนมหาวิทยาลัยไปเรียน แต่อุปสรรคมันก็มาเยือนตั้งแต่ตอนยื่นขอทุน
“กลศาสตร์ควอนตัมที่คุณขอทุนไปเรียนน่ะ มหาวิทยาลัยไม่สนับสนุนหรอกนะ ตอนนี้ สาขาวิชาคุณกำลังขาดอาจารย์ทางธรณีวิทยา อาจารย์ที่สอนอยู่ตอนนี้จะเกษียณปีหน้า ถ้าคุณไม่เปลี่ยนมาเรียนทางนี้ คุณก็ต้องใช้เงินตัวเอง”
ก็เพราะไม่มีทางเลือก เขาจำใจต้องไปเรียนตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด แต่เพราะเป็นสาขาวิชาที่เขาไม่ถนัด อาจารย์ที่ปรึกษาของเขาก็เป็นผู้บริหาร ไม่มีเวลามาใส่ใจเขามากนัก เวลาสามปีที่เขาลาเรียนผ่านไปรวดเร็ว โดยที่วิทยานิพนธ์ยังไม่ไปถึงไหน เขาขอขยายระยะเวลาแต่ไม่สำเร็จ ต้องกลับมาสอนเต็มเวลาและเรียนไปด้วยในปีที่สี่ ฝืนทนได้อีกปีเดียว เขาก็ตัดสินใจเลิกเรียน คืนทุนให้มหาวิทยาลัย หลังจากนั้น ไฟในตัวเขาก็มอดลง แม้ใครๆ จะบอกให้เขาขอตำแหน่งทางวิชาการแทน แต่มันก็ไม่ได้ง่าย พออาจารย์ในสาขาวิชาเดียวกันที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด ไม่ถูกกันชนิดผีไม่เผา เงาไม่เหยียบขึ้นเป็นรองคณบดี เขาก็ตัดสินใจลาออก หันหลังให้วงวิชาการอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเรื่องเล่าของจักรวาลจบลง โบตั๋นนิ่งอึ้งไป เริ่มรู้สึกเห็นใจผู้ชายตรงหน้าคนนี้เป็นครั้งแรก เขาถือว่าโชคร้ายที่มีปัญหาทั้งชีวิตครอบครัวและชีวิตการทำงาน แม้จะอดตำหนิหน่อยๆ ไม่ได้ว่านายนี่ชอบมองโลกในแง่ร้าย ซ้ำยังเรื่อยเฉื่อย ขาดความกระตือรือร้น ทะเยอทะยาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในอาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไม่ต่างจากหนูถีบจักรเพื่อพุ่งเข้าสู่ตำแหน่งชนะเลิศที่เลื่อนถอยห่างออกไปตลอด ถ้าพลาดรถไฟไปขบวนหนึ่งแล้ว ก็ต้องใช้แรงเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อขึ้นขบวนถัดไป ก็ดีแล้วที่เขาตัดสินใจเดินออกมา ถ้าอยู่ต่อก็มีแต่จะกดดันยิ่งกว่านี้ ดูเอาเถอะ ของใหม่อย่างกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติกำลังจะครอบลงมาในระดับหลักสูตร มหาวิทยาลัยก็มีแต่กระหายบทความวิจัยภาษาอังกฤษไม่รู้จักพอ อาจารย์ที่ไม่มีผลงานอย่างที่มหาวิทยาลัยต้องการมีแต่ถูกบีบมากขึ้น เฮ้อ
ความเห็นใจยังอยู่ในระดับความคิด ไม่ทันจะหลุดรอดออกมาเป็นคำพูด เสียงเอะอะดังขึ้นในบ้านตามมาด้วยเสียงป้ากิมเหมยร้องเรียกออกมา
“โบตั๋นเอ๊ย มาหายายหน่อยเร็ว ยายเรียกหาน่ะ”
แล้วยายเรียกหาเธอในฐานะอะไรล่ะ หลานสาวยายที่ชื่อโบตั๋น หรือลูกสาวยายที่ชื่อกิมบ๊วย
เชิงอรรถ :
(1) วิทยาลัยครูเปลี่ยนชื่อเป็นสถาบันราชภัฏเมื่อ พ.ศ.2535 และเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏเมื่อ พ.ศ.2547
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 12 : คำลือที่บ้านเก่า
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 10 : ข้อสงสัยของโบตั๋น
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 9 : ความรักของจักรวาล
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 8 : เรื่องเล่าของจักรวาล
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 7 : แตกร้าว
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 6 : เรื่องเล่าของกิมเต้ง
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 5 : ชีวิตคู่ของกิมเหมย
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 4 : เรื่องเล่าของกิมเหมย
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 3 : ผู้ชายคนใดชื่อใบจาก
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 2 : ผู้หญิงคนใดชื่อกิมบ๊วย
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 1 : ฤดูมรสุม
- READ ตรวนใบจาก บทนำ : ผู้ซ่อนกายในความมืด