ปางปอบ บทที่ 4 : เทศกาลลงหนอง

ปางปอบ บทที่ 4 : เทศกาลลงหนอง

โดย : ทศพล

Loading

ปางปอบ นิยายออนไลน์มีให้อ่านที่อ่านเอา โดย ทศพล เรื่องราวของ ปอบ ภูตผีที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงที่มาพร้อมกับความตายอันลึกลับ เมื่อใครสักคนในหมู่บ้านถูกสงสัยว่าเป็นปอบ ผู้คนเริ่มหวาดกลัวพร้อมกับความรังเกียจ แต่ระหว่างมนุษย์ที่กระทำการโหดร้ายกับมนุษย์ด้วยกันหรือปอบที่ต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง ใครจะน่าหวาดกลัวมากกว่ากัน

เทศกาลลงหนอง เป็นเทศกาลที่ชาวบ้านจะส่งตัวแทนในทุกครัวเรือนที่เป็นผู้ชายไปลงจับปลาในหนองน้ำของหมู่บ้านกัน โดยแต่ละคนจะทำแท่นนั่งไม้ที่มีขาสูงเหนือน้ำไปวางไว้ตามจุดต่าง ๆ ของหนองและให้ห่างกันประมาณ ๑-๒ เมตร เพื่อให้ตัวเองได้มีที่ยืนหว่านแห (1) ลงไปในน้ำก่อนดึงขึ้นมา หากใครโชคดีก็จะได้ปลาตัวใหญ่ตัวเล็กปะปนกันไป แล้วนำปลาลงไปขังไว้ในข้อง (2) ที่หมัดติดแช่น้ำไว้กับขาแท่นนั่งไม้

ส่วนตามขอบหนองน้ำจะมีแม่หญิงบางคนกำลังยกสะดุ้ง (3) หรือตึกกะดุ้งกันอย่างขะมักเขม้น ซึ่งการตึกสะดุ้งนั้นเป็นเครื่องช่วยผ่อนแรงและลดเวลา เพราะการวางสะดุ้งแต่ละครั้งนั้นสามารถจับปลาได้จำนวนมาก ส่วนขนาดนั้นก็แล้วแต่ความถนัดและแรงกายของตนว่ามีมากน้อยเพียงใดในการยกขึ้น

“คนคือหลายแท้ ยายปลา ยายน้อย” ยายหนูดำพูดขึ้นขณะที่สายตาของคุณยายมองดูคนในหนองน้ำและกวาดสายตามองผู้คนที่มานั่งมายืนชมกันตามจุดต่าง ๆ ตามคูหนอง

“ปีนี้คึกครื้นคัก” ยายน้อยเอาเสื่อที่ม้วนมาสะบัดออกแล้วปูวางไปบนพื้นดินใต้ต้นไม้ใหญ่ “เป็นตาม่วนหลายแฮง” เพราะเสียงโห่ร้องดีใจจะมีเป็นช่วง ๆ เมื่อมีใครจับปลาตัวใหญ่ได้

ยายปลา ยายน้อยและยายหนูดำกำลังพากันเลือกนั่งเหยียดเท้าไปตรงมุมใดมุมหนึ่งของเสื่อเพื่อชมเทศกาลลงหนอง ซึ่งแต่ละคนนั้นจะมีตะกร้าไม้ไผ่ขนาดเล็กเป็นของตัวเอง ภายในตะกร้าของแต่ละคนจะมีหมากพลู ปูนแดงและยาเส้น สำหรับทำเครื่องเคี้ยวหมาก ดูได้จากปากของคุณยายแล้วจะมีคาบสีแดง ๆ เต็มริมฝีปากอย่างเห็นได้ชัดว่ามีการเคี้ยวบ่อยมาก คล้ายกับการเคี้ยวหมากฝรั่ง และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ ขี้ผึ้งไว้หนวดริมฝีปากกันปากแห้งและผ้าแพรวาผืนเล็กที่มีติดตัวไว้สำหรับเช็ดน้ำหมากที่อาจจะหกออกมาทุกเมื่อนั่นเอง การได้เคี้ยวหมากไปและร่วมพูดคุยกันไปนั้นเป็นวิถีชีวิตของเหล่าคุณยายที่นี่กัน นี่แหละคือความสนุกสนานที่เป็นการผ่อนคลายทางอารมณ์

ยายหนูดำมองดูชาวแก๊งธิดามารที่กำลังระรี้ระริกยืนดูหนุ่ม ๆ ที่ถอดเสื้อลงปลากันอย่างไม่อายใคร “กะโพดเนาะ คนกะความงามกะเฮ็ดโตให้งามคือคนแหน่แหมะ” พูดไปบ้วนน้ำหมากใส่กระโถนไป

“แม่นไผเฮย” ยายปลาชำเรืองตามไปมอง สายตาอันฟ่าฟางจ้องไปก็ยังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่ก็พอที่จะเดาได้ว่าเป็นใคร “นั่นมันแม่นอีบัวเขียวแม้นเบาะ”

“แม้นแล้ว” ยายหนูดำพูดไปพรางทำม้วนยาเคี้ยวหมากเพิ่มอีกคำ “เมื่อเช้านี้ข่อยกะลุ้นอยู่ได๋ว่าปากมันสิถูกอีคำหล้าตบคาหม่องใส่บาตรบ่ ซังไฮมากล้านินทาต่อหน้าต่อตาเดียวโพด เหอะเฮอ”

“ลูกสาวพ่อบ้านบ่เฮ็ดจังซั่นดอก ข่อยว่า” ยายน้อยพูด

ยายหนูดำทำท่ากวักมือ “ยายน้อย เจ้าสิไปฮู้หยัง คั่นอีคำหล้ามันอดบ่ได้ มันกะเฮ็ดได้เบิดซั่นแล้ว…สิว่าไปแล้วอีบัวเขียวมันกะเก่งคืออีต๋อง แม่มัน”

“แม้นแล้ว อีต๋องกะเก่งหลายคือเจ้าว่านั่นแล้ว มันบ่ย่านไผเลย” ยายปลาพูดไปบ้วนน้ำหมากไปพร้อมกับเอาผ้าซับริมฝีปาก “ข่อยล่ะบ่กล้าเข้าใกล้มัน ย่านมันเตะข่อยตายคืออีสายบัว”

“นั่นมันผัวมัน ยายปลา เจ้าจำผิดคนแล้ว” ยายน้อยพูดแก้ให้ เพราะคนที่เตะก้านคอยายสายบัวตายเมื่อ ๕ ปีก่อนก็คือสามีของต๋อง

“นั่นล่ะยายน้อย ผัวกับเมียมันกะเก่งคือกันนั่นแล้ว แต่กะแปลกอยู่เดะ ผ่านไปบ่พออาทิตย์ ผัวอีต๋องกะตายถิ่มมัน แม้นผีอีสายบัวนั่นล่ะ มาเอาไปอยู่นำ” ยายปลายังเชื่อมั่นในเรื่องของผีมาเอาไปอยู่ด้วย

“อีปอบนั่นกะ ตายไปแล้วกะเฮ็ดใส่ผู้อื่นบ่อย่าบ่เซา” ยายหนูดำพูดเสริมขึ้นและเหมือนจะคล้อยตามไปกับความเชื่อของยายปลา

“อีสายบัวมันกะตายไปตั้งโดนแล้ว เซาเว้าเถาะ เว้ามาข่อยล่ะสิย่านผีบ่อย่าบ่เซา” ยายน้อยไม่ค่อยชอบที่จะฟังเรื่องคนตายมากหนัก เพราะยิ่งเห็นเคยเห็นสภาพคนตายต่อหน้ามาหมาด ๆ จะมาพูดเรื่องคนตายให้รื้อฟื้นความทรงจำไปทำไมกัน

หลังจากนั้นยายหนูดำและยายปลาก็หยุดพูดถึงคนตายกันทันทีก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องอื่นคุย

 

เวลาเริ่มสายมากแล้ว แต่แดดก็ไม่ถึงกับแรงมากเท่าไหร่ คนลงไปเอาปลาในหนองก็ยังคงขะมักเขม้นกันอย่างแข็งขัน เพื่อที่จะได้มีปลาไว้กินกันหน้าแล้ง เพราะหนึ่งปีจะมีเพียงครั้งเดียวที่จะได้รับอนุญาตให้ลงหนองน้ำแห่งนี้ได้ เสียงโห่ร้องดังเป็นช่วง ๆ เพลามีคนได้ปลาตัวใหญ่ ทุกคนต่างตื่นเต้นไปกับคนหาปลาว่าใครจะโชคดีหรือหมาน ๆ ตามคำที่ชาวบ้านชอบพูดกัน

ณ ใต้ต้นจามจุรีที่กระจายกิ่งก้านสาขาไปทั่วบริเวณอันกว้างใกล้ ๆ กับหนองน้ำ คำหล้าและบัวศรีเพิ่งจะเดินทางมาถึงก่อนที่ทั้งสองคนจะช่วยกันถือปิ่นโตอาหารเช้าและกระติบข้าวเหนียวใบใหญ่มาจัดไว้บนแคร่ที่ปูเสื่อไว้แล้ว ซึ่งบนแคร่นั้นมีโอ่งใส่น้ำดื่มขนาดเล็กและกระบวยตักน้ำพร้อมอยู่ก่อนหน้าแล้ว

พ่อบ้านคำมีเดินมาพร้อมกับชายวัยเดียวกันอีกสองคน พวกเขาเป็นเพื่อนของพ่อบ้าน แถมยังเป็นผู้ช่วยงานที่เปรียบเสมือนมือซ้ายมือขวาของพ่อบ้านก็ว่าได้

“มา ๆ กินข้าวนำเดียว” พ่อบ้านคำมีเดินนำชายทั้งสองพร้อมกับเชิญชวนมาร่วมกินข้าวด้วยกัน เนื่องจากข้าวปลาอาหารที่จัดมานั้นเยอะมาก เพราะตั้งใจจัดหามาเผื่อตั้งแต่แรกแล้ว

ชายร่างอ้วนลงพุงหันไปมองคำหล้า “ฝีมือคำหล้ากับบัวศรีแซ่บหลาย ลุงล่ะอ้วนเอาอ้วนเอา”

“แม้น ๆ ลุงกะคือสิอ้วนตามแล้วล่ะ” ชายร่างผอมที่เดินมาด้วยทำท่าลูบพุงตัวเอง

“กินหลาย ๆ เลยเด้อจ้ะ ลุงพล ลุงปาน” คำหล้าพูดไปยิ้มไปก่อนหันไปพูดกับพ่อบ้านคำมี “พ่อจ้ะ ข่อยกับบัวศรีสิไปเบิ่งคนเอาปลาฟากโน่นเด้อจ้า”

พ่อบ้านคำมีพยักหน้าว่าไปได้ก่อนหันไปพูดกับเพื่อน ๆ “มา ๆ กินข้าว สายหลายแล้ว”

สำหรับอาหารมื้อสายนั้นมีแกงปลาหมอใส่ดอกแค แจ่วปลาร้าบอง ปิ้งปลาขาว พร้อมกับผักกาดสด ๆ จากสวน กับข้าวเหนียวฮ้อน ๆ กลิ่นหอมของอาหารช่างยั่วยวนให้ทั้งสามคนอดใจไม่ไหวที่จะนั่งล้อมวงกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมกับสนทนาพาทีถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้านว่าจะมีตรงไหนบ้างต้องปรับปรุงหรือรีบแก้ไขกัน การได้ฟังความคิดเห็นคนอื่น ๆ เป็นวิถีที่ผู้นำทุกคนพึงควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง การพูดคุยกันไปกินข้าวกันไปนั้นช่างแสนจะเฮฮามาก

 

คำหล้าจูงมือบัวศรีเดินผ่านฝูงชนที่ต่างมายืนรอให้กำลังใจสามีตัวเองได้ปลาตัวใหญ่ ๆ กลับบ้านกัน เสียงโห่ร้องดังขึ้นอีก ทำเอาพวกเขาต่างรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย จากนั้นก็เดินผ่านกลุ่มชายหนุ่มถอดเสื้อราว ๑๐ คน กำลังนั่งล้อมวงกินข้าวเช้ากัน ชายหนุ่มกลุ่มนี้ประกอบอาหารกันริมหนองเลย มีทั้งปิ้งปลาโรยเกลือฮ้อน ๆ และลาบปลาดิบใส่เครื่องเทศอันหลากหลาย และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในแต่ละมื้อนั้นก็คือข้าวเหนียวคำโต

สายตาของบัวศรีเหลือบไปมองแบบผ่าน ๆ ตา “ลาบปลาตองเป็นตาแซ่บเนาะคำหล้า”

คำหล้าส่ายหัว “ข่อยบ่มักกินดิบ”

“นั่นล่ะของแซ่บ เฮ็ดกะยาก บ่ได้หากินกันง่าย ๆ เด้อ”

การทำอาหารการกินของคนที่นี่นั้น มีหลากหลายและเป็นเอกลักษณ์ ใช่ว่าทุกคนจะนิยมกินปลาดิบกันหมด อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคลด้วย โดยคนที่นิยมกินดิบนั้นจะมีความเชื่อว่าลิ้นของพวกเขาจะได้รับรสชาติแท้ ๆ จากธรรมชาติ โดยอาหารดิบเหล่านี้ต้องหาผักปรุงเครื่องหอมเพื่อดับกลิ่นคาวปลาออกไป แต่ยังคงรักษารสชาติของเนื้อปลาไว้นั่นเอง

 

พวกเขาสองคนยังคงเดินวนไปเรื่อย ๆ ตามรอบหนอง

“หมานคือชื่ออยู่บ่ ลุงหมาน” บัวศรีตะโกนถามชายวัยกลางคนที่กำลังดึงแหขึ้นมา ซึ่งคุณลุงยืนอยู่ไกล้กับริมหนองน้ำ ใครผ่านไปมาก็มักจะถามแกอยู่นั่นแหละว่าโชคดีไหม จนบางทีก็ไม่มีสมาธิหาปลา

“หมานอยู่” ลุงหมานตะโกนตอบกลับมาก่อนหันไปเก็บปลาลงข้องของตนเอง

บัวศรีแลตามองหาคนในหนองน้ำนานพอสมควร และแล้วก็เจอเป้าหมาย “คำหล้ามาทางพี้” เธอเปลี่ยนไปจูงมือคำหล้าแทน แล้วพากันวิ่งเหยาะ ๆ ลัดเลาะผ่านชาวบ้านที่ยืนตันทางเดินบ้างประปรายไปอย่างคล่องแคล่วว่องไว

คำหล้าวิ่งเหยาะ ๆ ตามบัวศรีไปและแอบสงสัยว่าจะรีบไปไหน สายตาของพวกเขาทั้งสองมองทางเดินที่มีทั้งหลุมเล็กหลุมใหญ่และยังต้องมองผู้คนไปด้วยเพื่อไม่ให้เฉี่ยวชนใคร ช่างเป็นความสามารถพิเศษที่ได้ผ่านการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก

“สิพาไปเบิ่งหม่องได๋ บัวศรี” คำหล้าเอ๋ยถามขึ้น เพราะวิ่งมาเกือบจะ ๒๐๐ เมตรแล้ว

“อย่าถาม ตามมา”

จนกระทั่งบัวศรีพาคำหล้ามายืนในจุดบริเวณโล่ง ๆ ที่ไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก แถมจุดนี้ยังสามารถมองเห็นแท่นและสินกำลังหว่านแหอยู่กลางหนองได้ใกล้ที่สุดด้วย

“เป็นจังได๋ หม่องนี้เบิ่งคักบ่” บัวศรีผู้แสนรู้ใจเพื่อน

คำหล้าแสดงอาการเคอะเขินออกมา “แม้นหยัง เบิ่งหม่องได๋กะคักคือกันเบิดนั่นล่ะ”

“อ้ายแท่นลาวน่าสิถอดเสื้อคือผู้อื่นแหน่จักหน่อย พอได้เห็นกล้ามแหน่เพียง”

“บัวศรี” คำหล้าตบไหล่บัวศรีเบา ๆ “อย่าคิดแบบนั้นเด็ดขาดเลยเด้อ”

“คิดหยัง” บัวเขียวถามขึ้นจากด้านหลัง

แก๊งธิดามารยืนกอดหน้าอกจ้องตาเขม็งไปที่คำหล้าและบัวศรีราวกับจะมาหาเรื่อง และเหมือนจะเพิ่งเดินมาถึงแล้วเผลอแอบได้ยินคำพูดของคำหล้าเข้าเข้าจากด้านหลังแว๊บ ๆ

“เอ้า กูถามว่าซุมสูคิดหยัง” บัวเขียวถามขึ้นอีกครั้ง “ปากกืกซั่นติ คือบ่ตอบ” สายตาของเธอไปที่หนองน้ำเห็นแท่นกับสิน จึงเกิดความสงสัยในใจขึ้น “มาหยังไกลแท้ กูเห็นสูสองคนฟ้าวย่างมา”

“หรือสูมาหล่อยเบิ่งผู้ชาย” แตวพูดแทรกขึ้นก่อนเบิกตากว้างขึ้นเพื่อมองคนหาในหนอง “แถวนี้กะมีแต่ผู้เฒ่า ๆ ยกเว้นแต่อ้ายแท่นอ้ายสิน” คิ้วขมวดอย่างคนสงสัยก่อนตวาดเสียงสูงใส่คำหล้าและบัวศรีจนตกอกตกใจ “สูสองคนมักอ้ายแท่นแม้นบ่”

“โอ้ย” บัวศรีตวาดเสียงสูงกลับใส่แตว “อีช้างน้ำ ซุมกูคือสิมีความสำคัญในชีวิตมึงหลายซั่นติ จอบแนมอยู่ตลอด ซุมกูสิไปเบิ่งหม่องนั่นหม่องนี้ มันกะเรื่องของซุมกู อย่าเสือก”

“โอ้ยอีห่ามึง” แตวเริ่มโมโห “มื้อนี้กูสิตบปากมึง”

มือซ้ายของแตวยกขึ้นสูงอย่างรวดเร็วกะฟาดไปที่ใบหน้าของบัวศรี แต่บัวศรีหลบทันทำให้แตวทรงตัวไม่อยู่พลาดตกหนองลงไปจนน้ำในหนองกระเพือม เสียงกรีดร้องของแตวดังขึ้น จนคนละแวกนั้นหันมากันตรึม บางคนที่หันมากลับหัวเราะกันอย่างสนุกสนานที่เห็นแตวตกน้ำอย่างทุลักทุเล

บัวเขียวกับกะปูต่างพากันตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยังช่วยอะไรก็ไม่ได้

ดีนะที่น้ำบริเวณนี้ไม่ลึก แตวจึงสามารถรีบทรงตัวยืนขึ้นได้ สภาพเธอตอนนี้ดูแทบไม่ได้เลย ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมเปราะเปื้อนไปด้วยโคลนตรม และความรู้สึกที่แสนจะอับอายและโมโหไปพร้อม ๆ กันก่อนตะโกนเรียกให้เพื่อนช่วย “อีห่ามึง ไผกะได้ลงมาดึงแขนกูขึ้นแหน่”

“อีกะปู มึงลงไปช้อยมันขึ้นมา” บัวเขียวหันไปสั่งกะปู

กะปูทำหน้าอิดออด “เป็นหยังคือเป็นกู”

“ลงไป เดี๋ยวกูสิจัดการอีบัวศรี” บัวเขียวพูด

กะปูพยักหน้าว่าเห็นด้วย เธอถอดรองเท้าแตะไว้ก่อนค่อย ๆ ลงไปดึงแตวขึ้นมาจากน้ำ มือหนึ่งจับชายผ้าซิ่นเหนือหัวเข่าเพื่อไม่ให้โดนน้ำ อีกมือหนึ่งยื่นมือไปให้แตวจับ

บัวเขียวพุ่งเป้ามองไปที่คำหล้าและบัวศรีทันที “อีแตวมันกะเว้านำดี ๆ เป็นหยังมึงคือมาเฮ็ดใส่มันจังซี่”

“ไผ? ไผเฮ็ดใส่มัน” บัวศรีเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับเอามือเท้าสะเอว “มันต่างหากที่สิตบกู”

“เอาอีอันนี้” บัวเขียวเริ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ไหว เวลาเห็นหน้าทะเล้นของบัวศรีก็ยิ่งอดใจไม่ไหวที่อยากจะตบหน้าสักครั้ง “อีบัวศรี มึง” มือหนึ่งของกะฟาดไปที่หน้าของบัวศรี

แต่โชคดีที่คำหล้าเอามือไปรับข้อมือของบัวเขียวได้ทัน ทำให้บัวศรีได้จังหวะถอยหลังหลบ สายตาของคำหล้าและบัวเขียวจ้องตากันเขม็งอย่างเกรี้ยวกราดโดยไม่มีใครยอมใคร

คำหล้าบีบรัดข้อมือของบัวเขียวแน่นขึ้น น้ำเสียงที่กร่อนเสียงให้เบา “มึงคงคิดว่ากูคงไม่กล้าเอาคืนล่ะสิ กูขอเตือนมึงเป็นครั้งสุดท้ายเลยก็แล้วกัน ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ อย่ามายุ่งกับกู”

บัวเขียวถึงกับหน้าซีดและรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เพิ่งจะเคยเห็นคำหล้าดูร้ายกาจและข่มขู่ถึงขั้นเอาชีวิต

“ปล่อยกูได้แล้ว” บัวเขียวรู้สึกเจ็บข้อมือ

คำหล้าเหวี่ยงแขนของบัวเขียวออกไปให้ห่างจากตัวเธอ “ไปกันเถอะบัวศรี” จากนั้นเธอก็เดินหนีให้ห่างจากบริเวณนี้ไป

บัวศรีที่ทิ้งท้ายด้วยการแลบลิ้นเย้ยใส่แก๊งนี้ก่อนเดินตามคำหล้าไป

กะปูช่วยแตวขึ้นมาจากหนองน้ำได้พอดี ส่วนบัวเขียวได้แต่กำปั้นมือแน่นและกัดฟันดังกรอด ๆ ที่ครั้งนี้ถูกคำหล้าขู่เข้าจนได้ ชาวแก๊งมีความรู้สึกไม่ต่างกันนักที่ถูกหยามเกียรติท่ามกลางผู้คนที่ยืนลุ้นว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นอีก นอกจากแตวจะตกลงน้ำไปเอง

แท่นยืนมองอยู่บนแท่นไม้กลางหนองน้ำ เขาไม่อาจช่วยอะไรได้เลย จึงทำได้แต่มองดูไกล ๆ อย่างห่วง ๆ ออกตัวแรงมากไม่ได้ เดี๋ยวชาวบ้านจะพากันสงสัยเอา แล้วคำหล้าจะยิ่งลำบาก

 

แก๊งธิดามารเดินเตร็ดเตร่อยู่บนทางเดินภายในหมู่บ้าน พวกเขายังคงโมโหและเจ็บใจไม่หาย โดยเฉพาะแตวที่ดูจะเละตุ้มเปะมากกว่าใคร

“เสียดายเดะ กูน่าสิถีบมันแทน” แตวเดินไปบ่นไปบ่น หงุดหงิดใจมาก สักวันต้องหาทางเอาคืนให้ได้ เล่นมาทำให้อับอาบต่อหน้าฝูงชนเช่นนี้ “เดี๋ยวเหอะ! อย่าให้มีโอกาสก็แล้วกัน”

สองเพื่อนสาวเหมือนจะไม่ได้สนใจคำพูดของแตวเลย

บัวเขียวเกิดความสงสัยขึ้นขณะเดิน “หรือว่าอีคำหล้ามันกำลังแอบมักอ้ายแท่น คืออีแตวว่า” คิดแบบนี้ก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่ “เป็นไปบ่ได้ดอก อีคำหล้ามันเป็นถึงลูกพ่อบ้าน บ่มีทางลดตัวไปมักเด็กวัดดอก”

“กูว่าบ่แน่ดอก” แตวพูดแทรก “อ้ายแท่นหล่อ ไผเห็นกะมักทั้งนั้นล่ะ”

“แต่บ่แม้นกู” บัวเขียวรีบตอบสวนกลับไป “กูมักคนมีเงินมีคำก่อนเป็นอันดับแรก”

กะปูคิดตามคำพูดของบัวเขียว “มีเงินมีคำหลายสุดในหมู่บ้านเฮา…กะคือ…อ้ายพร้าว”

“แม้นแล้ว” บัวเขียวเปลี่ยนโหมดอาอารมณ์เป็นลุคสาวหวาน “ทั้งหล่อ ทั้งรวย ครบเครื่องขนาดนั้น เหมาะสมกับกูที่สุดแล้ว”

กะปูถอนหายใจออกมา “แต่ลาวมักอีคำหล้า อีห่านั่นกะปึก มีคนครบเครื่องมามัก กะยังเล่นตัว”

“นี่แล้ว เขาจังเรียกว่าวาสนาบ่สำเดียว” บัวเขียวยังคงติดในรูปกายรูปทรัพย์ของพร้าว “ต้องเป็นกูถ่อนั้นที่เหมาะกับอ้ายพร้าว”

กะปูและแตวแอบเบะปากอยู่ทางด้านหลังของบัวเขียว

“เมือเฮือน” แตวตวาดเสียงใส่บัวเขียว “กูอยากอาบน้ำ”

“ปะ…เมือซั่น” กะปูสะบัดก้นใส่แตวก่อนเดินตาม ๆ กันไป

เหตุการณ์อะไรหลาย ๆ อย่าง ทำให้ทั้งสามคนเริ่มสงสัยในตัวคำหล้าแล้ว ที่ไม่อาจรักพร้าวได้เพราะแอบรักแท่น แต่ทฤษฎีความเป็นไปได้สำหรับพวกเขานั้นบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะแม่หญิงที่สูงส่งทางชาติตระกูลดีและเพียบพร้อมไปทุกอย่างขนาดนั้น จะลดตัวไปชอบคนที่ไม่มีอะไรเลยได้อย่างไร

 

หลังจากสิ้นสุดเทศกาลลงหนองไป ชาวบ้านหลาย ๆ ครัวเรือนต่างพากันนำปลาที่ได้มาไปจัดการแปรรูปเป็นปลาแห้งที่ต้องคว้านเอาเครื่องในออก แล้วคลี่ตัวปลาออกก่อนนำเกลือมาโรยทั้งสองด้าน แล้วค่อยนำไปผึ่งแดดผึ่งลมให้แห้ง เป็นการถนอมอาหารเก็บไว้กินหน้าแล้งนั่นเอง เมนูอาหารจากปลาแห้งมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นป่นปลาแห้ง แกงปลาแห้ง นำมาทอดหรือปิ้งแห้ง ๆ ก็หอมละมุนจมูกดีนักแล ขาดไม่ได้อีกเช่นเคยก็คือข้าวเหนียวฮ้อน ๆ กินด้วย

 

บรรยายกาศในยามเย็น คำหล้าแอบไปหาแท่นที่บ้าน หลังจากที่เธอจัดการทุกอย่างภายในบ้านของตัวเองเสร็จ สายตาที่จ้องไปมองแท่นกำลังยืนเปลือยกายอาบน้ำอยู่ขอบโอ่งน้ำที่ลานกว้างซึ่งติดกับหนองน้ำ แต่เขาใส่ผ้าเตี่ยวปกปิดช่วงล่างไว้อยู่ ไม่ได้อุจาดตาขนาดนั้น

หมูกี้สองตัวก็พากันเดินต้วมเตี้ยมผ่านหน้าคำหล้าไปยังแอ่งโคลนของพวกมัน สายตาของหมูที่เหลียวมามองเธอ ทำให้เธอได้สติว่ามาที่นี่ทำไมกัน เพราะจริง ๆ แล้วเธอตั้งใจจะมาช่วยจัดการปลาของแท่นที่หามาได้วันนี้และหาข้าวปลาอาหารให้กินในตอนเย็น

คำหล้าเดินตรงดิ่งเข้าในครัวที่ทำเป็นเพิงหญ้าคาเป็นหลังคาและล้อมด้วยฝาที่สานขึ้นจากไม้ไผ่ อุปกรณ์ครบครัน มีทั้งเตาไฟ ถ่าน ฟืน หม้อดิน ช้อนส้อมและถ้วยจานที่จัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบไว้นั้นก็ล้วนมาจากเธอนั่นแหละที่คอยจัดการไว้ให้

ก่อนที่แท่นจะไปอาบน้ำ เขาได้นึ่งข้าวเหนียวไว้อยู่ก่อนแล้ว เขากะว่าหลังจากอาบน้ำเสร็จ ข้าวก็จะสุกพอดี หลังจากนั้นถึงจะมาทำอาหาร ซึ่งเขาเองก็ไม่ทราบเลยว่าวันนี้จะมีคำหล้าแอบมาทำอาหารให้

เมนูอาหารไม่มีการวางแผน แค่คำหล้ามองเห็นวัตถุดิบ รายการอาหารที่ต้องทำก็พุ่งเข้ามาในหัวแล้ว ไหน ๆ วันนี้ก็ไปลงหนองมา ได้ปลามาเยอะ จึงตัดสินใจทำแกงปลาใส่ผักและปิ้งปลาก็แล้วกัน ซึ่งผักก็เป็นผักที่ปลูกเอง อยากจะเด็ดกินตอนไหนก็ได้ ส่วนฝีมือการทำอาหารไม่ต้องห่วง เธอผ่านการฝึกปรือมาตั้งแต่เด็กจนเชี่ยวชาญไปเสียทุกอย่าง และมีความเป็นแม่ศรีเรือนอย่างเต็มตัว

แท่นอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาเหลือบไปเห็นคำหล้าที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการทำอาหารในครัว รอยยิ้มที่เผยออกมาโดยไม่รู้ตัว บ่งบอกว่าเขานั้นช่างโชคดีที่มีแม่หญิงที่เพียบพร้อมเช่นนี้รักตน จากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปบนกระท่อมเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไปกินข้าวเย็นที่อาจจะเลยมามากแล้ว

ทุกอย่างบนแคร่ถูกตระเตรียมอาหารการกินไว้อย่างพร้อมสรรพภายในครัว แสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันไล่ความมืดมิดจนพบความสว่างไสวไปทั่วบริเวณ

แท่นเดินมาถึงก็รีบกรูเข้าไปหอมแก้มคำหล้าทันทีจากทางด้านหลัง “หอมจัง”

คำหล้าหันมาผลักตัวแท่นออกให้ห่าง “หอมหยัง น้องยังบ่ได้อาบน้ำมาทั้งวัน”

“อ้ายหมายถึงแกงปลา หอม หอม” แท่นรีบถอดรองเท้าขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนแคร่ทันที

คำหล้าแอบถอนหายใจเบา ๆ “เดี่ยวนี้ไปหัดเล่นคำมาจากไส” เธอขึ้นไปนั่งพับเพียบบนแคร่ก่อนเปิดกระติบข้าวเหนียวให้แท่นได้กิน

“กับข้าวคือมาหลายแท้” แท่นเปลี่ยนเรื่องพูด “อ้ายกินหมดนี่สงสัยสิอ้วนขึ้น” จากนั้นเขาก็จัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้าเขาปากทันที กินเข้าไปหลายคำก็ไม่เห็นคำหล้าจะหันมากินด้วย “น้องคือบ่กินล่ะจ้ะ”

“น้องกินมาแล้ว” คำหล้านั่งมองแท่นกินข้าวไปก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ช่วงนี้อ้ายกับอ้ายสินสิรับงานหมอลำแล้วหรือยังจ้ะ”

“น่าจะ ถ่ามีงานมา เดี่ยวบักสินสิฟ้าวแล่นมาบอกเอง”

“จังซั่นอ้ายพาบัวศรีไปร้องหมอลำฝ่ายหญิงนำได้บ่” คำหล้าจ้องไปที่แท่นอย่างมีความหวังว่าจะได้คำตอบตกลง แต่แท่นกลับหลบสายตาที่สื่อว่าคงจะไม่ได้ “บัวศรีมันกะหัดร้องหัดลำมาตั้งแต่น้อย ๆ กับยายสายบัวแล้ว เสียงมันกะม่วนหลาย”

“บัวศรีเป็นแม่หญิง คั่นสิเดินทางช่วงนี้กะบ่ปลอดภัย โจรดักปล้นกะหลาย ไว้ถ้ามีงานในหมู่บ้านเฮา จั่งให้บัวศรีมาร้องนำอ้ายได้”

คำหล้าพยักหน้าด้วยความเข้าใจ แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ที่ยังไม่ปลอดภัย จึงทำให้แท่นยังไม่กล้าพาแม่หญิงไปเดินสายร้องหมอลำด้วย ไว้มีโอกาสที่ไม่มีอุปสรรคใด ๆ แล้ว หมอลำบัวศรีก็ยังไม่สายที่จะกลายเป็นที่รู้จักกันไปทั่วอย่างหมอลำแท่น

หลังจากกินข้าวปลาอาหารเสร็จ แท่นก็ขึ้นไปนั่งเป่าแคนม้วน ๆ บนกระท่อม ระหว่างรอคำหล้าจัดการล้างถ้วยชาม ทุกอย่างภายในครัวจัดการแล้วเรียบร้อย แล้วค่อยเดินไปที่กระท่อมไปหยิบกล่องเข็มและด้ายในหีบพร้อมกับเสื้อผ้าที่ยังปะเย็บยังไม่เสร็จมาทำต่อ โดยอาศัยแสงไฟจากตะเกียงน้ำมันเพื่อเย็บผ้าก่อนเข้าไปนั่งข้าง ๆ คนรัก

แท่นมีความสามารถพิเศษหลายอย่าง นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็กแล้ว เป่าแคนก็เพราะ ร้องหมอลำกลอนก็ม้วน ทุกลำกลอนที่แต่งขึ้น คนแรกที่จะได้ฟังนั้นก็คือคำหล้านั่นเอง เขามักจะเชื่อใจคนรักเสมอว่าคนรักของเขาจะไม่ยกยอเกินจริงว่าเพราะไปทุกหมอลำกลอน เพราะบางบทกลอนลำก็ถูกคำหล้าตำหนิว่าต้องเปลี่ยนและใช้ไม่ได้ไปบ้าง ช่างเป็นคนที่เชื่อคนรักไปซะทุกเรื่องจริง ๆ เหมือนคำโบราณท่านสอนว่า เชื่อเมียแล้วจะเจริญ จริงไหม?

แม้ว่าวันนี้จะเหนื่อยล้าจากการลงหนองทั้งวันแล้ว แท่นจึงหยุดเป่าแคนและล้มลงนอนไปบนหน้าตักของคำหล้าอย่างสบายใจก่อนพูดออกมาว่า “มื้อนี้ทั้งสนุกและเมื่อยหลาย”

“แม้นแล้ว” คำหล้าตอบไปสอยผ้าไป “บัวศรีบ่นว่า บ่เห็นถอดเสื้อนำ”

“ไผล่ะบอกบ่ให้อ้ายถอด”

“กะดีแล้ว สิไปอวดคนเฮ็ดหยังกะด้อกะเดี้ย” คำหล้าส่ายหน้ารับไม่ได้ “บางคนกะเฮ็ดปานคนบ่เสื้อใส่ ถอดเมิดมื้อเมิดคืน”

“มันฮ้อน…คำหล้าจ้ะ อ้ายถามได้บ่”

“สิถามหยังกะถามมา”

“มีหยังเกิดขึ้นอยู่บ่ กับบัวเขียว” แท่นรอจังหวะจะถามคำนี้ในช่วงเวลานี้

“บ่มีหยังดอก” คำหล้าตอบลอย ๆ ออกมา และเหมือนจะไม่สนใจที่จะอธิบายลายละเอียดสถานการณ์ใดให้ฟังเพิ่ม เพราะอยู่ ๆ ก็เงียบไปเลย

แท่นพยักหน้าเข้าใจและไม่ต่อความยาวสาวความยืดก่อนที่จะหลับตาลง ปกติแล้วเขาจะไม่หลับ ต้องรอไปส่งคำหล้าที่บ้านก่อนเสมอ แต่วันนี้นั้นเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว จึงเผลอแอบหลับไปโดยไม่รู้ตัว

สาเหตุที่คำหล้าไม่ต้องการจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แท่นฟังนั้น เพราะมันเรื่องที่ไร้สาระระหว่างแม่หญิงด้วยกัน ซึ่งผู้ชายไม่จำเป็นต้องรับฟังสิ่งที่ไร้สาระเช่นนี้ มันจะรกสมองไปเสียเปล่า และเธอเองก็ไม่ต้องการให้คนรักต้องมาวิตกกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้

คำหล้าเหลือบมามองหน้าแท่นเข้าพอดี เธอจึงวางเข็มกับด้ายใส่กล่องและพับเสื้อเก็บไว้ข้าง ๆ ก่อนเอามือไปนวดหน้าของแท่นเบา ๆ เพื่อความผ่อนคลายกล้ามเนื้อบนหน้าให้หลับสบายยิ่งขึ้น เธอมีความสุขทุกวันที่ได้มองใบหน้านี้ ได้สัมผัสกายนี้ และได้อบอุ่นหัวใจนี้ไปพร้อม ๆ กัน ก่อนที่เธอจะกลับบ้านนั้นได้ตระเตรียมที่นอนหมอนมุ้งมากางให้เรียบร้อย

แท่นหลับลึกมากภายในมุ้งสีขาว

คำหล้าห่มผ้าให้และนั่งมองดูอีกสักพัก “คือสิเมื่อยหลาย” โน้มตัวก้มลงไปหอมแก้มคนรักก่อนลุกออกมาจากมุ้งนอน จากนั้นเธอจึงเดินไปหยิบตะเกียงเจ้าพายุแล้วค่อยลงจากกระท่อมเพื่อเดินทางกลับ

 

ตกดึกแล้ว คำหล้าได้เดินไปเส้นถนนทางหนองน้ำที่จะผ่านไปเส้นทางไปบ้านยายสายบัว ซึ่งระหว่างเดินทาง เธอเหลือบไปเห็นชายหนุ่มราว ๑๐ คน ยังคงนั่งสุมหัวกันกินอาหารพร้อมกับยกซดเหล้าไหกันอย่างสนุกสนานอยู่ริมหนอง พวกเขาร้องลำทำเพลงไปกับเสียงแคน เสียงหมอลำที่ขับร้องออกมาแทบจะไม่เป็นจังหวะ แต่ก็พอที่จะพากันม้วนชื่นโหแซวกันได้ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรก่อนเดินต่อไป

 

เส้นทางเดินภายในหมู่บ้านเงียบเชียบมาก รู้สึกได้ถึงความวังเวงและหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนโดดเดี่ยวให้ถูกทิ้งไว้กลางทาง แม้ว่าหมอกเริ่มลงจัดแล้ว คำหล้าเองก็ยังคงค่อย ๆ เดินช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ และพลอยให้คิดถึงอะไรเพลิน ๆ เล่นเกี่ยวเรื่องในอดีต

แสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุกวัดแกว่งไปมาตามจังหวะเสียงดังอ๊อดแอ๊ด ๆ

“เอาแต่คิดฮอดยายอยู่ล่ะสิท่า” เสียงของยายบัวศรีดังขึ้นก่อนที่จะเดินอยู่ข้าง ๆ คำหล้า

“ฮู้ทันตลอดเลยนะจ๊ะยาย” คำหล้าไม่ได้หันไปสบตายายสายบัว เธอแอบอมยิ้มเอาไว้

ยายสายบัวเดินช้า ๆ ตาม “เซาแวะมาหายายได้แล้ว ยายเป็นห่วง”

คำหล้าส่ายหน้าปฏิเสธก่อนหยุดเดินแล้วไปหันไปพูดกับยายสายบัวดี ๆ “ข่อยอยากเจอยายนี่จ้ะ”

“มันอันตราย” แววตาแห่งความเป็นของยายสายบัวที่มองดูแววตาของคำหล้าที่เหมือนจะร้องไห้ “ยายอยู่ผู้เดียว บ่ต้องห่วงยายอีกแล้วเด้อ”

“จ้ะยาย” คำหล้าหลับตาก้มหน้าลงไปทั้งน้ำตา

ยายสายบัวส่งรอยยิ้มให้ “ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะจ้ะ คนดีของยาย” แววตาของคุณยายดูสดใสก่อนมลายหายไปกับอากาศ

การตกอยู่ในห้วงภวังค์ของความคิดถึงที่ผสมผสานไปกับการจินตนาการ ประดุจดั่งเหมือนได้พูดคุยกับคนที่เสียชีวิตไปแล้วจริง ๆ คุณยายสายบัวนั้นตายไม่นานมากแล้ว ไม่มีทางที่คุณยายจะมาปรากฎตัวเพื่อสนทนาเช่นนี้ ดังนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากการคิดไปเองของคำหล้าเพียงคนเดียว

 

เชิงอรรถ :

(1) แห คือ เครื่องมือจับปลาชนิดหนึ่ง ถักเป็นตาข่ายที่มีจอมอยู่ตรงกลาง แล้วค่อย ๆ แผ่ออกเป็นวงกลม ตีนแห่ถ่วงด้วยลูกตะกั่วเพื่อให้มีน้ำหนักตอนทอดลงน้ำไป

(2) ข้อง คือ เครื่องจักสานชนิดหนึ่งทำด้วยไม้ไผ่สำหรับใส่ปลา ส่วนใหญ่รูปร่างคล้ายหวด หรือหม้อดินที่มีงาแซงเป็นฝาปิดด้านบนไว้

(3) สะดุ้ง  คือ เครื่องมือจับสัตว์น้ำชนิดหนึ่ง รูปคล้ายยอยก, ภาคอีสานเรียก กะดุ้ง



Don`t copy text!