ประมวลรัก ประมวลร้าย บทที่ 4 : ห้องพักวิญญาณ

ประมวลรัก ประมวลร้าย บทที่ 4 : ห้องพักวิญญาณ

โดย : ขจรพัฒน์ สุขภัทราพิรมย์

Loading

ประมวลรัก ประมวลร้าย นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 2 โดย ขจรพัฒน์ สุขภัทราพิรมย์ เมื่อวสินได้กลับมาอีกครั้งในร่างหนุ่มวัยยี่สิบสาม ความอลวนอลเวงก็เกิดขึ้น เพราะนอกจากเรื่องสืบคดีจะวุ่นวายแล้ว เรื่องหัวใจก็ทำเอาปวดหัว เมื่อเจ้าของร่างที่เขาใช้งานอยู่กำลังอินเลิฟกับมินตรา ลูกสาวของเขาเอง แล้วมันจะยังไงกันดีละเนี่ย

…คล้ายห้องสีขาวสว่างจ้าทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสแต่กลับไร้ผนังทั้งสี่ด้าน มีเพียงพื้นห้องสีเดียวกันที่ดูเหมือนแผ่นสี่เหลี่ยมเปล่าๆ ลอยเค้วงอยู่กลางอากาศ หากมองไปสุดห้องที่ไร้ผนังกั้นทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกจะเห็นปุยเมฆสีขาวผ่องกับท้องฟ้าสีครามดูสบายตายิ่งนัก ในทางกลับกันหากมองไปสุดทางทิศใต้และทิศตะวันตกจะเห็นเปลวไฟสีแดงลุกโชนขึ้นมาตลอดเวลา

ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะอยู่ตรงกลางระหว่างความเย็นกับความร้อน ความดีกับความชั่ว หรือสวรรค์กับนรก หากมองไปยังตรงกลางห้องจะเห็นวสินยืนอยู่เพียงลำพังตรงจุดกึ่งกลางพอดิบพอดีของพื้นสี่เหลี่ยมสีขาวที่ว่านี้

“นี่เราอยู่ที่ไหนกันนะ” วสินพูดเบาๆ กวาดสายตาไปทั่วบริเวณ

“หรือว่าเรากำลังฝันอยู่” ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหันมองเมฆและเปลวไฟ

“นายไม่ได้ฝัน” เสียงกังวานไปทั่วบริเวณ

“นั่นใครพูด เสียงใครพูด” ชายหนุ่มหันรีหันขวางพยายามหาที่มาของเสียง

ทันใดนั้นก็เกิดควันสีเทาบางเบาลอยขึ้นมาต่อหน้าต่อตาวสิน ควันดังกล่าวหมุนวนเป็นเกลียวสูงขึ้นเทียมตาท่านผู้พิพากษา จากนั้นก็ค่อยๆ ก่อตัวกลายเป็นรูปเป็นร่างคล้ายเงาของมนุษย์ยืนประจันหน้ากับชายหนุ่มผู้มาใหม่…

“สวัสดีท่านวสิน ขอแนะนำตัวสักนิด ฉันคือผู้นำทาง หรือถ้าจะพูดภาษาของพวกนาย ฉันก็คือยมทูตผู้พาวิญญาณคนตายไปรับการตัดสิน และนายคือลูกค้าคนแรกของฉันเอง ยินดีต้อนรับสู่ห้องพักวิญญาณ” เงาควันส่งเสียงแนะนำตัวกับผู้พิพากษาหัวหน้าศาล

“ห้องพักวินยงวิญญาณอะไร ฝันแบบนี้ตลกดีแฮะ มีควันพูดได้ด้วย” วสินหัวเราะเบาๆ เดินออกจากจุดสนทนา กะว่าจะเดินเข้าไปดูเมฆฟ้าสวยๆ ด้านหน้าใกล้ๆ สักหน่อย แต่ดูเหมือนยิ่งเขาเดินไปเท่าไร เมฆฟ้าสีครามก็ขยับไกลออกไปเท่านั้น ในขณะที่พื้นสีขาวก็เคลื่อนที่ตามเขาไปด้วย

ชายหนุ่มลองเดินกลับไปในทิศตรงกันข้าม เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่เบื้องหน้าก็ไม่ต่างกัน ยิ่งเขาเดินเข้าหาพื้นสีขาวก็ขยับตามเท้าของเขาไป ในขณะที่เปลวไฟด้านหน้าก็ถอยห่างออกไปเท่าเดิม ไม่ว่าท่านผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจะเดินไปในทิศทางใด ดูเหมือนว่าระยะทางรวมถึงทุกอย่างที่เขาเห็นในพื้นที่สีขาวแห่งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด

เขายังคงยืนอยู่ที่จุดกึ่งกลางของห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีขาวไร้ผนังนี้เหมือนเดิมทุกประการ

“เอาละ หมดเวลาเดินเล่นแล้ว ไปกันสักที” สิ้นเสียงของเงาควัน จู่ๆ มีประตูสีขาวปรากฏขึ้นมา

“ประตูวิเศษโดราเอมอนเหรอ” วสินหัวเราะเสียงดัง “ไม่เคยฝันสนุกแบบนี้มานานแล้ว ไปก็ไป”

ว่าแล้ววสินก็เดินดิ่งตรงไปที่ประตูสีขาวบานนั้นทันที แต่ครั้นพอเขาไปถึง ประตูสีขาวดังกล่าวกลับเปิดไม่ออก เขาพยายามบิดลูกบิดหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่าประตูจะถูกล็อกจากอีกด้านหนึ่ง

“เปิดไม่ออกแล้วจะให้ผมเข้าไปได้ยังไง” ชายหนุ่มหันไปถามเงาควัน

“เป็นไปไม่ได้” ยมทูตส่งเสียงดังกังวานน่ากลัว ลอยตรงมาที่ประตูอย่างรวดเร็ว

ที่หน้าประตูสีขาว เงาควันสร้างสิ่งที่คล้ายแขนและมือของมนุษย์ยื่นออกมาบิดลูกบิดประตู

“ทำไมเปิดไม่ออก เป็นไปไม่ได้” เสียงงึมงำออกมาจากยมทูตในร่างเงาควัน

เงาควันตรงหน้าพยายามบิดลูกบิดหลายต่อหลายครั้ง ถึงขั้นทุบและถีบประตูสีขาวที่ว่า แต่ไม่ว่ายมทูตในร่างเงาควันจะทำอย่างไรประตูก็ไม่สามารถเปิดได้

“ทำไมเป็นแบบนี้” เสียงเงาควันคล้ายเสียงคนสิ้นหวัง

วสินยืนมองเงาควันที่อ้างว่าตัวเองเป็นยมทูตด้วยความสมเพช ในใจคิดว่าฝันครั้งนี้ของเขามันช่างแปลกประหลาดเสียจริง “เอาไงต่อดีท่านยมทูต” น้ำเสียงวสินมีสำเนียงเยาะเย้ยเล็กน้อย

“เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงล่าช้าขนาดนี้” น้ำเสียงน่าเกรงขามดังกังวานมาจากผนังห้องที่ว่างเปล่าฝั่งเปลวเพลิง ทั้งวสินและยมทูตเงาควันต่างหันไปมองที่มาของเสียงอันน่าเกรงขามที่ว่านี้

ภาพที่เห็นคือเปลวไฟที่กำลังก่อตัวเป็นเกลียวสูงขึ้นมา ไฟสีส้มลุกโชนค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างจากเปลวไฟดวงใหญ่กลายเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์ มีหัว มีลำตัว มีแขน มีขา ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์เพลิงในภาพยนตร์

วสินเพ่งมองเปลวไฟรูปร่างมนุษย์อย่างสนอกสนใจ ในขณะที่มนุษย์เพลิงเดินองอาจเข้ามาหาเขาและยมทูตเงาควัน ทั้งสามยืนอยู่ด้วยกันที่หน้าประตูสีขาวบานนั้น

“ประตูส่งวิญญาณเปิดไม่ได้ขอรับท่านมัจจุราช” น้ำเสียงยมทูตเงาควันฟังดูนอบน้อมเวลาพูดกับมนุษย์เพลิง

“ไม่เคยมีดวงวิญญาณที่ถึงกำหนดเปิดประตูไม่ได้แม้สักดวงเดียว” เปลวไฟลุกโชนออกมาจากตำแหน่งดวงตาของมัจจุราชในร่างเปลวเพลิง “ยมทูตเจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าวิญญาณดวงนี้ถึงกำหนดแล้ว”

ยังไม่ทันที่ยมทูตเงาควันจะตอบอะไร เสียงวสินก็แทรกเข้ามา…

“เอาละ ผมสนุกมากพอแล้ว พวกคุณคุยกันต่อเองละกัน มันไม่ใช่เรื่องของผม และบังเอิญผมเป็นคนนิสัยไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องชาวบ้านด้วยสิ ผมไปก่อนละนะ” วสินโบกมือลาขึ้นเหนือศีรษะ หันหลังเดินออกจากวงสนทนา แต่เช่นเดิม…

ไม่ว่าวสินจะพยายามเดินไปทางไหน เขาก็ยังคงยืนอยู่ที่ตำแหน่งเดิม

“อะไรวะ ทำไมผมไปไหนไม่ได้เลย” วสินเริ่มรู้สึกหงุดหงิดในใจ

“นี่พวกคุณช่วยบอกผมหน่อยว่าต้องทำอย่างไรผมถึงจะตื่นจากความฝันบ้าๆ นี่ได้สักที” ชายหนุ่มหันไปถามเปลวเพลิงและเงาควัน

“เจ้ารู้ตัวไหมว่าเจ้าอยู่ที่ไหน” มัจจุราชในเปลวเพลิงถามวสิน

“รู้สิ…อยู่ในความฝันไง”

“ที่นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่คือห้องพักวิญญาณที่ถึงฆาต และประตูบานนี้คือรอยต่อระหว่างโลกมนุษย์ สวรรค์ และนรก เจ้าต้องเข้าประตูนี้ไปเท่านั้น” เสียงมัจจุราชในเปลวเพลิงจริงจัง

“ก็ผมจะเข้าไปไง แต่ประตูมันเปิดไม่ออก เมื่อกี้ท่านก็บอกเจ้าเงาควันนี้เองไม่ใช่เหรอว่าถ้าประตูเปิดไม่ได้แปลว่าผมยังไม่ถึงที่ตายถูกต้องไหม” ว่าแล้ววสินก็เดินเข้าไปบิดลูกบิดประตูอีกครั้ง

“เห็นไหมว่ามันล็อก เปิดไม่ได้” ชายหนุ่มยังคิดตลอดเวลาว่าตนอยู่ในความฝันของตัวเอง

มัจจุราชในเปลวเพลิงหันกลับมาที่ยมทูตเงาควัน ดวงตามัจจุราชลุกเป็นไฟโชนน่ากลัว

“เดี๋ยวกระผมขอตรวจบัญชีอีกครั้งขอรับครับท่าน” เสียงยมทูตเงาควันเลิ่กลั่กชัดเจน

ทันใดนั้นก็ปรากฏสิ่งคล้ายจอคอมพิวเตอร์ขึ้นกลางอากาศ ทั้งสามหันไปมองที่จอพร้อมกัน ที่หน้าจอมีข้อมูลรายชื่อคนเรียงรายนับไม่ถ้วน ตัวอักษรเรียงติดกันเป็นพืด มีควันพวยพุ่งออกมาจากตำแหน่งตาของยมทูตเงาควัน คล้ายยมทูตเงาควันกำลังใช้สายตาอย่างหนักเพื่อหาข้อมูลอะไรบางอย่าง

“เจอแล้วขอรับท่าน ข้อมูลนายวสิน” ยมทูตเงาควันกล่าวกับมัจจุราชในเปลวเพลิง “นายวสิน ปีนี้อายุ 53 ปี จะถึงกำหนดในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.สองพันหก…เอ่อ…ปีสองพัน…” คล้ายเสียงยมทูตติดอยู่ที่ลำคอ

“เป็นอะไร ทำไมไม่รายงานต่อ” เปลวเพลิงที่ดวงตามัจจุราชลุกโชนจ้องมาที่ยมทูตเงาควัน

“ขอรับท่าน นายวสิน อายุ 53 ปี จะถึงกำหนดในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2604 ขอรับท่าน”

“อะฮ้าเห็นไหม” วสินหัวเราะร่วน “อีกเกือบ 40 ปีโน่น ผมถึงจะถึงกำหนดอะไรที่ว่าเนี่ย เอาเป็นว่าตอนนี้ช่วยทำยังไงก็ได้ให้ผมตื่นสักที งานผมเยอะ นอนยาวๆ แบบนี้ไม่ดีเท่าไหร่” วสินพูดแบบอารมณ์ดี

เปลวเพลิงในตัวมัจจุราชที่ลุกโชนอยู่แล้ว คราวนี้ถึงกับลุกโชนขึ้นกว่าเดิมเยอะ เปลวไฟที่ดวงตาโหมไหม้จนสะเก็ดไฟกระเด็นกระดอนออกด้านนอก

“นี่เจ้าทำอะไรของเจ้าลงไป…หา!” เสียงมัจจุราชตวาดยมทูตเงาควันดังสนั่นไปทั่วบริเวณ

“คือ…คือกระผมพาเขามาก่อนจะสิ้นใจขอรับ” รูปร่างของควันดูฝ่อลงเล็กน้อย

“ทำไม เจ้าไม่รู้กฎหรืออย่างไร” มัจจุราชยังคงเสียงแข็งดุดัน

รูปควันดูจะฝ่อลงกว่าเดิมอีก “คือกระผมเห็นบาดแผลของนายวสินตอนเกิดเหตุ มันน่ากลัวมากขอรับท่านมัจจุราช กระผมสงสารไม่อยากให้เขาต้องเจ็บปวดทรมาน เลยตัดสินใจพาวิญญาณเขาออกมาก่อนสิ้นลมขอรับ”

เปลวเพลิงในตัวมัจจุราชถึงกับลุกโชติแผ่ความร้อนไปทั่วบริเวณ ในขณะที่ควันของยมทูตกลับค่อยๆ ฝ่อลงๆ เรื่อยๆ “สงสาร!!! นี่เจ้าทำงานมานานแค่ไหนแล้ว” เสียงมัจจุราชตวาดดังขึ้นกว่าเดิม

“งานแรกของกระผมขอรับครับท่าน” เสียงยมทูตแผ่วเบาคล้ายเสียงกระซิบ พร้อมๆ กับควันที่บางเบาลงจนแทบมองไม่เห็น

“อ้อ…ที่แท้ยมทูตมือใหม่” เหมือนเปลวไฟจะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“หน้าที่เจ้าตอนนี้คือรีบพาดวงวิญญาณนายวสินกลับไปเข้าร่างโดยด่วน เจ้าต้องรับผิดชอบสิ่งที่ทำพลาดไปทั้งหมด อีกอย่าง…อย่าลืมไปอ่านคู่มือพนักงานใหม่อีกครั้งด้วย ไปเดี๋ยวนี้ อย่าให้มีปัญหาเด็ดขาด มิเช่นนั้นเจ้านี่แหละจะต้องลงไปอยู่ในนรกอย่างแน่นอน”

มัจจุราชออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด ตามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย จากนั้นเปลวไฟก็หายวับไปในทันที

“กลับไปเข้าร่างหมายความว่าผมจะตื่นขึ้นมาใช่ไหม” วสินโน้มตัวลงถามยมทูตเงาควันที่ตอนนี้เหลือเพียงควันบางเบาลอยต่ำเหนือพื้นขึ้นมานิดเดียว

“อย่าถามให้มากความ ไปกันได้แล้ว” ควันบางเบาที่พื้นเริ่มก่อตัวเป็นเกลียวสูงขึ้นมาอีกครั้ง

แต่คราวนี้หมอกควันได้ก่อตัวขึ้นมาห้อมล้อมตัววสินจนมืดมิด คล้ายพายุไต้ฝุ่นที่หมุนอยู่รอบตัวของชายหนุ่ม ไม่นานนักร่างของวสินและยมทูตเงาควันก็หายวับไปพร้อมกันจากห้องพักวิญญาณ…



Don`t copy text!