A MIND จิตอริยะ บทที่ 9 : ช่องโหว่ของระบบ

A MIND จิตอริยะ บทที่ 9 : ช่องโหว่ของระบบ

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

A MIND จิตอริยะ โดย ไข่เจียวหมูสับ กับเรื่องราวซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของระบบสลับจิตที่นำมาทั้งการตามล่า บททดสอบทางศีลธรรมและความรักที่อาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา และนี่คือนวนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับเลือกจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 ที่จะถูกนำไปสร้างเป็นละครและเป็นนวนิยายที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์บนเว็บไซต์ anowl.co

แสงแดดทะลุกระจกรถแท็กซี่เข้ามาปะทะกับใบหน้า รู้สึกแสบร้อนที่แก้มและปลายคาง แต่วาววาไม่ได้ให้ความสำคัญกับผิวกายเวลานี้ สายตานั้นจับจ้องบนหน้าจอสมาร์ตโฟนที่ไม่ใช่ของตนเอง

มันไม่ใช่สมาร์ตโฟนธรรมดา หากเป็นของล้ำค่าที่ประธานแห่ง A MIND มอบให้เธอเมื่อสองวันก่อน ข้อมูลภายในคือระบบหลักและรายละเอียดของโครงการทั้งหมด ตั้งแต่กลุ่มผู้ฟื้นสติและผู้เป็นตัวแทนทั้ง ๔๖ ชุด โหมดทดสอบพื้นฐานยันระบบตรวจสอบภายใน บัดนี้อยู่ในกำมือของวาววาชั่วคราว ถึงจะไม่มีอำนาจถึงกับควบคุมแก้ไขระบบชั้นสูงอย่างเบ็ดเสร็จได้ แต่แค่นี้ก็เรียกว่าเสี่ยงมากแล้วที่ให้ของแบบนี้มาอยู่ในมือนักวิจัยอย่างเธอ

ในสมองยังย้อนภาพซ้ำไปมา คำพูดของวิริยะเมื่อคราวก่อนยังคงทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนอย่างหนักทุกครั้งที่นึกถึง

วันนั้นที่เข้าพบกับวิริยะ ชีวิตของวาววาก็เปลี่ยนไป…

ในห้องประธานอันเย็นเยียบ วิริยะในชุดสูทสีเทานั่งหลังค่อมดูอ่อนแรง หากเป็นเวลาปกติเธอคงแอบดีใจเนื้อเต้นที่ได้พบ เพราะยอมรับว่าที่ผ่านมาตนรู้สึกดีไปกับเสน่ห์ของความเป็นผู้ใหญ่ซึ่งแผ่ออกมาจากประธานคนปัจจุบันอยู่พอสมควร อันที่จริงแค่ได้เห็นภาพหรือได้รับคำสั่งซึ่งส่งต่อมาก็ดีใจแล้ว…

แต่วันนี้ไม่ใช่ มันมีเรื่องน่ากลุ้มใจมากเกินกว่าจะมาแสดงอารมณ์รักใคร่ในเวลานี้

วาววาที่นั่งตรงข้ามไม่กล้าจะเร่งให้วิริยะกล่าวอะไรออกมา เวลาผ่านไปสักพักเขาจึงขยับปาก เป็นเสียงที่คล้ายคนตรอมใจ

“เกี่ยวกับผู้ฟื้นสติรายที่ ๔๖ ใช่ไหม…ช่วยอธิบายเรื่องที่ทราบให้ผมฟังหน่อย”

วาววาตอบว่าใช่ค่ะ ก่อนจะเริ่มเล่าทุกอย่างโดยละเอียด

ระหว่างนั้นวิริยะนั่งนิ่ง เหม่อมองไปทางอื่น เธอแอบคิดไปว่าประธานคงทราบเรื่องดีอยู่แล้ว เมื่อเล่าจบวิริยะก็นิ่งไปอีกพักใหญ่ ก่อนจะผงกหัวเบาๆ

“ผมดีใจนะที่คุณมาแจ้งเรื่องนี้เพื่อหวังจะหาทางออกให้เรา อันที่จริงทีแรกคิดว่าจะถูกแบล็กเมล์เสียอีก”

“ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอกค่ะ” วูบหนึ่งเธอแอบเสียใจที่ถูกเขามองว่าเป็นคนแบบนั้น

“งั้นหรือ งั้นหรือ” วิริยะผงกหัวอีกครั้ง “ปัญหาที่พบนี้ คงต้องหาทางแก้ไข”

“ขั้นแรกเราควรเรียกผู้ฟื้นสติรายที่ ๔๖ กลับมาก่อน หรือจะรอให้สืบได้ว่าระบบสลับจิตเริ่มมีปัญหาตั้งแต่ขั้นตอนไหน จากนั้นจึงค่อยหาทางแก้ไขดีกว่าค่ะ” วาววาที่ไม่ได้ช่ำชองการแก้ปัญหาเชิงธุรกิจพูดออกไปตามที่คิด

วิริยะส่ายหัวเบาๆ ดูไม่เห็นด้วยกับคำพูดของวาววาเท่าไร

“ระบบไม่ได้เริ่มมีปัญหา แต่มันมีมาโดยตลอดต่างหาก” หน้าตาของเขาดูเรียบเฉย แต่น้ำเสียงนั้นเหมือนต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการเปล่งออกมาให้จบ และนั่นทำให้วาววาเกิดตัวสั่นเทา ความเชื่อมั่นบนโครงการที่ตนยืน นั่ง และก้าวเดินไปตามทางมาตลอดหลายปีนั้นสั่นคลอน

วิริยะเริ่มสรุปให้ฟังอย่างกระชับ แต่หนักหน่วง รับรู้ได้เลยว่าตัวเขาคงคิดคำพูดและเตรียมตัวเตรียมใจกับผลที่ตามมาแล้ว ช่างน่าเลื่อมใส เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมรุจีซึ่งเป็นผู้จัดการถึงได้หลงใหลวิริยะขนาดนี้…

 

เอ็ดเวิร์ด ฮเดล เป็นคนมีวิสัยทัศน์ เขาร่วมมือกับอลิน ริชที่มีความฉลาดในการสร้างสรรค์ระบบเอไอและนวัตกรรมต่างๆ และมีวิริยะคอยดูแลเรื่องการติดต่อประสานงาน แต่ละคนล้วนมีในสิ่งที่อีกสองคนไม่มี

นอกจากตัวแคปซูลแล้ว เอ็ดเวิร์ดยังมุ่งเน้นการพัฒนาระบบและบุคลากรในการตรวจสอบความถูกต้อง เพื่อให้สามารถยืนยันได้ว่าการสลับจิตนั้นสมบูรณ์แบบ และไม่มีจิตตกค้างอยู่ในร่างของผู้ฟื้นสติอยู่เลยแม้เพียงเสี้ยวอณู

แต่คนออกแบบระบบนั้นอย่างไรก็เป็นอลิน ริช…ไม่ว่าจะสมบูรณ์หรือบกพร่องอย่างไร อลินยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพียงแต่อลินนั้นไม่เคยล้ำเส้น นั่นเพราะศรัทธาในวิสัยทัศน์ของเอ็ดเวิร์ดอย่างแรงกล้า ความต้องการสร้างโลกใบใหม่ที่ยั่งยืนในเชิงทรัพยกรบุคคลนั้น ส่งผลให้ความคิดของอลินตรงไปตรงมาแทบไม่ต่างกับเอ็ดเวิร์ด

ทว่าหลายปีหลังเริ่มดำเนินการขั้นแรก เมื่อมีเรื่องเงินทุนระยะยาวและปัจจัยภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง โครงการที่เพิ่งเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างก็เกิดปัญหาขึ้น

รอยร้าวแรกเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพราะบริษัทคู่ค้านั้นปิดตัวลงจากปัญหาด้านภาษีและกฎหมาย การจัดซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการสร้างแคปซูลสลับจิตจึงถูกเปลี่ยนไปเป็นนำเข้าจากต่างชาติ ซึ่งปรากฏว่ามีราคาสูงกว่ามาก จนมีหลายครั้งที่เกิดการตึงของสายป่านเงินทุนในโครงการ ตัวเอ็ดเวิร์ดนั้นร่ำรวยจากมรดกก็จริง แต่ก็ยังลงทุนอย่างตระหนี่ เน้นการระดมทุนและวางแผนการเงินอย่างระมัดระวังมากเสียจนกลายเป็นข้อจำกัด และคนได้รับผลกระทบโดยตรงก็คืออลิน ริช

แม้เอ็ดเวิร์ดจะเลี้ยงดูอลินมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าใจความรู้สึกภายใน แถมยังบีบอลินมากเกินควร

อลินในเวลานั้นอายุสามสิบกว่า แม้เลยวัยหนุ่มแน่นมาไม่นาน แต่ก็แก่เกินวัยไปมาก เอ็ดเวิร์ดไม่เข้าใจว่าอลินต้องรับความกดดันมากเพียงใด คอยแต่เน้นย้ำว่าห้ามเกิดความผิดพลาดในการนำเสนอระบบการสลับจิตในเวทีใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

ทว่าอุปกรณ์ที่ได้จากทุนอันขาดแคลน ย่อมไม่สามารถสร้างผลงานชั้นเลิศได้ และหากผิดพลาดขึ้นมามาจริงๆ อลินคือคนที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นความผิดของเขาหรือไม่ก็ตาม และการทำให้เอ็ดเวิร์ดผิดหวังคือบาปมหันต์ในสายตาของอลิน

เมื่อทุกอย่างกดดันเกินรับไหว สุดท้ายอลินเลือกลดสเปกอุปกรณ์และระบบอัลกอริทึมของแคปซูลสลับจิต แน่นอนว่าลดเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จะไม่มีใครจับได้นอกจากตัวเขาและวิริยะที่คอยแอบช่วยอยู่เบื้องหลัง

และแล้วการประชุมก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทุกอย่างดำเนินไปตามฝันของเอ็ดเวิร์ด ฮเดล แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือเศษเสี้ยวหนึ่งในใจของอลิน ริช

ทุกคนมากันไกลเกินไปแล้ว ย้อนกลับไม่ได้แล้ว นั่นคือความคิดของทั้งสามในเวลานั้น

 

“ระบบนั้นมีช่องโหว่เล็กๆ อยู่ แต่ไม่มีใครทราบ เพราะถูกตั้งให้ไม่สามารถทำการทดสอบย้อนหลังได้ด้วยระบบตรวจสอบหลัก ช่องโหว่ที่ว่าคือการตกค้างของจิตผู้เป็นตัวแทนนั่นเอง และมันคือสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้

จิตตกค้างนั่นเป็นตัวอันตรายร้ายแรง มันจะแพร่กระจายออกไปราวกับไวรัสหากถูกกระตุ้นด้วยความถี่บางอย่างที่ไม่อาจทราบได้ เนื่องจากไม่เคยมีการทดสอบมาก่อนจึงมีเพียงทฤษฎีเท่านั้น แต่โอกาสที่จะเกิดการตกค้างของความทรงจำนั้นน้อยกระทั่งเรียกได้ว่าเป็นศูนย์”

ใบหน้าของวิริยะตึงเครียดแทบจะระเบิด แต่ยังคงฝืนอธิบายต่อ

“อย่างที่บอก…สาเหตุการเกิดจิตตกค้างนั่นมาจากคุณภาพของอุปกรณ์และการตั้งค่าอัลกอริทึม แต่ความถี่ที่จะกระตุ้นให้แสดงผลนั้นยังคงเป็นปริศนา” วิริยะพักยก แล้วดื่มน้ำทีเดียวหมดแก้ว “และทุกการสลับจิตจะมีจิตตกค้างอยู่ นั่นคือสิ่งที่อลินกับผมปกปิดเอ็ดเวิร์ดไว้ อันที่จริงความผิดพลาดนั้นมันน้อย…น้อยมากกระทั่งตรวจจับไม่ได้แม้แต่ระบบตรวจสอบจากส่วนกลางพิเศษของประเทศเอง ผมกับอลินพยายามจะวางใจ เพราะอย่างไรก็ไม่มีผลเสียแน่นอน…กระทั่งเกิดเรื่องของปกป้องขึ้น”

วาววานั่งกุมขมับ รู้สึกเหมือนลูกเรือที่เพิ่งทราบว่าเรือใหญ่ที่นั่งมานานนั้นมีรอยรั่วมาตั้งแต่แรก

“มันทำให้ทราบว่าโลกภายนอกยังมีตัวกระตุ้นปริศนาที่ทำให้จิตตกค้างนั้นขยายตัวอยู่” วิริยะกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “ต่างจากเรื่องอุปกรณ์กับอัลกอริทึม ไอ้ความทรงจำที่กลับมานั้น หากตัวผู้ฟื้นสติถูกตรวจสอบโดยส่วนกลางพิเศษของประเทศ อย่างไรเสียทางนั้นก็ต้องทราบ มันไม่ได้ปิดปังง่ายเหมือนระบบภายใน”

วาววาเข้าใจดี “แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีคะ”

วิริยะหันมามองเธอตรงๆ เป็นครั้งแรก “ผมอยากขอให้คุณช่วยตรวจสอบว่าตัวกระตุ้นนั้นคืออะไร” ว่าแล้วก็หยิบอุปกรณ์คล้ายสมาร์ตโฟนสีดำขึ้นมาจากลิ้นชัก มอบมันให้วาววา

“มันคือตัว ‘แกนหลัก’ ของระบบ ตัวผม เอ็ดเวิร์ด และอลิน มีด้วยกันคนละเครื่อง แต่ของอลินนั้นถูกทำลายไปหลังจากที่เขาได้รับเลือกเป็นผู้ฟื้นสติ…” วิริยะหน้าเศร้าหมอง ก่อนจะเริ่มอธิบายสรรพคุณของมัน และนั่นทำให้วาววาตาเบิกโพลง

มันเหมือนกับกำลังถือครึ่งหนึ่งของระบบหลักที่ใช้ในองค์กรเอาไว้ในมือ…วาววาลังเล “มันควรจะเป็นหน้าที่ของท่านหรือไม่ก็ของคุณอลิน มากกว่าจะให้พนักงานตัวเล็กๆ อย่างฉันมาข้ามหน้าข้ามตา แถมยังมีของที่ล้ำค่าขนาดนี้อีก” สายตาเธอยังคงจ้องที่แกนหลัก แม้จะภูมิใจที่วิริยะเลือกเธอให้ทำหน้าที่สำคัญ แต่อีกใจก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้

“อลินเอง…ก็เริ่มมีความทรงจำของตัวแทนกลับมาแล้ว”

วาววาได้ยินแล้วเสียววาบไปถึงกลางหลัง

“เวลานี้ตัวผมแทบไม่เชื่อใจใครแล้ว แม้กระทั่งตัวเอง แล้วมันก็ไม่ควรจะเป็นความลับกับคนที่ผมจะขอให้ช่วยสะสางกองขี้ให้ แต่เพราะผมไม่สามารถเคลื่อนไหวมากเกินไปได้ แถมยังต้องรับมือกับฝ่ายตรวจสอบกลางพิเศษ คงต้องรบกวนคุณวาววาแล้ว ช่วยหาสาเหตุที่ทำให้ความทรงจำของธาดาร์กลับมา และหาทางแก้ไขให้ที” วิริยะลุกขึ้น เดินมาแตะไหล่เธอราวกับกำลังมอบหมายภาระอันยิ่งใหญ่ให้ ซึ่งก็ยิ่งใหญ่จริงๆ นั่นแหละ

“แต่ฉันคิดไม่ออกเลยว่าควรจะเริ่มที่ตรงไหน”

วิริยะเลียริมฝีปาก สีหน้าดูเหนื่อยล้าขึ้นเรื่อยๆ “ลองไปที่แถวอโศกดู มันต้องมีอะไรบางอย่าง”

“ทำไมถึงทราบล่ะคะ”

“ผมแอบสืบรู้ว่าอลินเคยเดินทางไปแถวนั้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนโดยไม่เกี่ยวกับงาน น่าจะเป็นสถานีตำรวจนครบาล ซึ่งละแวกนั้นก็ใกล้กับที่ทำงานของปกป้อง ปักษ์ดนู นั่นคือจุดร่วมเดียวของทั้งสองคน”

“บริเวณนั้นอาจมีตัวกระตุ้นให้ความทรงจำของผู้เป็นตัวแทนกลับมาใช่ไหมคะ”

“หัวไวดี” วิริยะเอ่ยชม สายตานั้นดูมีความหวัง

 

เสียงเรียกของโชเฟอร์บอกว่ามาถึงจุดหมายแล้ว วาววารีบปัดเรื่องในอดีตทิ้งไปก่อน เมื่อชำระเงินเสร็จแล้วจึงเดินลงจากรถ ตรงหน้าคืออาคารสำนักงานใหญ่ของ การ์ด แอนด์ ลิงก์ ซึ่งมันกำลังปิดชั่วคราวจากเหตุระเบิดเมื่อสองวันก่อน

คงยังเข้าไปดูในอาคารไม่ได้ วาววาแอบเสียดาย แต่ก็เท่านั้นแหละ ยังมีทั้งเขตที่ต้องสำรวจอีก แม้อยากจะพาคนอื่นมาช่วยงานด้วย แต่เธอเสี่ยงบอกความลับแก่ใครไม่ได้

ใจยังคงเต้นระรัวไม่หยุด…เธอขยี้ที่กลางอกกระทั่งเสื้อเชิ้ตแขนสั้นนั้นยับไปหมด เรื่องร้ายยังไม่เกิดขึ้นสักหน่อย อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ

แค่หาสาเหตุและจัดการแก้ไขให้ทันท่วงที ก็จะไม่มีอะไรอันตรายหรอก วาววาพยายามปลอบตนเอง

 

ผมถูกแม่ตบหน้าครั้งแรกเมื่ออายุเจ็ดขวบกับอีกสิบสี่วัน สาเหตุเพราะมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนที่โรงเรียน ฝั่งนั้นเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน และผมทำให้เขาฟันหักไปสองซี่

แม่กับพ่อร่ำไห้และโกรธเกรี้ยว พร่ำบอกไม่หยุดด้วยเสียงสั่นเครือว่าผิดหวังในตัวผมขนาดไหน แม้จะอธิบายกลับไปว่าเพื่อนคนนั้นเป็นฝ่ายมารังแกก่อน พวกท่านก็ไม่ฟัง ไม่ต่างอะไรกับอาจารย์ในโรงเรียน ที่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็ปล่อยให้ผมยืนอย่างโดดเดี่ยวที่มุมทางเดินหน้าห้องเรียน ส่วนพวกเขารีบช่วยกันอุ้มเพื่อนขี้แกล้งคนนั้นไปส่งโรงพยาบาล แล้วส่งเสียงร้องให้กำลังใจกันใหญ่ว่า ไม่เป็นไรนะครับ เดี๋ยวจะพาไปหาหมอนะ

วันนั้นผมก็มีแผลโดนต่อยจนเลือดกบปาก แต่ไม่มีใครปลอบอะไรผมสักคน

นั่นเป็นครั้งแรก แต่ไม่ใช่ครั้งเดียว เพื่อนคนนั้นล่าถอยไป แต่กลับมีเพื่อนขี้แกล้งคนใหม่ตามรังควานไม่หยุด คนเดียวบ้าง หลายคนบ้าง จำได้เพียงว่าโดนผมชกกลับไปหลายครั้ง และผลที่ตามมานั้นก็ไม่ต่างจากเดิม

ผมถูกแม่ตบหน้าเป็นครั้งที่สอง สาม สี่ จนสุดท้ายก็เลิกนับไป

แต่ที่เจ็บที่สุดคือหัวเข็มขัดของพ่อ ที่เล่นเอาผมฟันแตก ผิวหนังยับเยินไปทั้งร่าง เคยตอบโต้กลับไปนะ แต่เหมือนจะยิ่งถูกลงโทษหนักขึ้นอีก

ในทางกลับกัน…หลายครั้งที่เห็นพ่อวิ่งปรี่ไปอ้อนวอนพ่อแม่ของเด็กที่รังแกผม พร้อมทั้งกราบกรานอาจารย์ฝ่ายปกครอง พร่ำด้วยเสียงที่หวานซึ้งว่า ‘อย่าส่งไปสถานพินิจเลยนะครับ แกยังมีอนาคตอยู่’

‘แกเป็นเด็กที่มือหนัก ที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายหรอกค่ะ’ แม่ของผมเสริม

…งั้นหรือ ผมทำผิดไปสินะ ไม่นานผมจึงเข้าใจ

 

แต่ผิดที่ตรงไหนกันล่ะ นั่นคือสิ่งที่สงสัย คิดอย่างไรก็ไม่ตก คงเพราะผมเป็นคนเรียนอ่อนด้วยละมั้งจึงไม่เข้าใจ พ่อแม่เองก็บ่นประจำว่าผมมันไอ้โง่

อย่างไรเสียการนิ่งไว้ก็ไม่ได้คำตอบ ผมที่เวลานั้นอายุเก้าขวบจึงเข้าไปที่ห้องสมุดอันโอ่อ่าเพื่อหาหนังสือมาอ่าน หวังว่าจะช่วยให้เข้าใจความคิดของคนโดยรอบ โดยเฉพาะความคิดของเพื่อนที่รังแกผม

แต่ก็ล้มเหลว ผมไม่เข้าใจสักนิด

ในมุมมองของพวกเขา ผมผิดที่ตรงไหนกันนะ ยิ่งคิดก็ยิ่งหม่นหมอง

กระทั่งยามเย็นวันหนึ่งในห้องสมุดที่แอร์เย็นเฉียบ ผมแอบเห็นบุคคลที่ควรหลบหลีกนั่งอยู่คนละมุมของห้อง พวกนั้นจับจองโต๊ะตัวที่ยาวที่สุด และส่งเสียงดังกว่าเด็กคนอื่น พวกเขาคือกลุ่มเพื่อนที่รังแกผม

ผมพยายามหลบสายตาคนพวกนั้น และเดินไปหลังชั้นหนังสือริมห้อง ผมเรียกชั้นหนังสือตรงนี้ว่าดิวอี้ มันเป็นสถานที่ปลอดภัยของผม

โชคดีที่พวกเขาไม่ทันสังเกตว่าผมอยู่ในนี้ สักพักก็พากันลุกขึ้นแล้วเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงหนังสือปกสีเทาเล่มหนึ่งที่วางบนโต๊ะไม้เท่านั้น

ล่า เลือน รัก คือชื่อของหนังสือเล่มนั้น หน้าปกหลังบอกว่าเป็นเรื่องราวของตระกูลมาเฟียที่ห้ำหั่นกัน

นิยายงั้นหรือ เพื่อนขี้แกล้งชอบอ่านเรื่องแบบนี้กันสินะ ผมแอบสนใจ แต่แล้วบางอย่างก็เข้ามาจุดประกายภายในสมองโง่ๆ ของผม ใช่แล้ว บางที…บางทีหากผมอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมอาจจะเข้าใจความคิดของเพื่อนมากขึ้นก็ได้ และเมื่อเข้าใจเพื่อนกลุ่มนี้แล้ว ก็อาจจะเข้าใจคนรอบข้างมากขึ้นด้วย เพราะอย่างไรก็ตาม คนรอบกายผมก็เป็นพวกเดียวกับมันอยู่แล้ว

และเมื่ออ่านถึงคำโปรยด้านในก็ยิ่งทึ่งกว่าเดิม

‘บนโลกใบนี้ คนที่ลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ’

‘หากรอให้ฝั่งนั้นฆ่าพรรคพวกของเราก่อน เราจะเป็นฝ่ายแพ้’

‘คนที่ถูกทำร้ายคือฝ่ายผิด’

ผมตื่นตะลึงตัวกระตุก เข้าใจทุกอย่างในที่สุด ไอ้โง่เอ๊ย แกมันโง่จริงๆ โง่เกินเยียวยา คำตอบที่ปรารถนาอยู่ตรงหน้าแล้วไง อยู่มาตั้งแต่แรก ชัดเจนยิ่งกว่าอะไร

ที่ผ่านมาผมเป็นฝ่ายผิด…เพราะผมปล่อยให้พวกมันลงมือก่อน ผมผิดเพราะผมเพิ่งจะตอบโต้พวกมันไปหลังจากถูกทำร้ายไปแล้ว พ่อแม่ ครู และเพื่อนขี้แกล้งทั้งกลุ่มคงพยายามจะสอนผม แต่ผมมันโง่เขลาเกินจะเข้าใจ

หลังจากนั้นผมแอบตามอ่านหนังสือที่พวกเพื่อนขี้แกล้งชื่นชอบครบทุกเล่ม และเล่มอื่นๆ ก็มีกล่าวถึงประเด็นนี้เช่นกัน ต่างกันแค่จะบอกออกมาตรงๆ หรือบอกทางอ้อมเท่านั้น

ผมอ่าน อ่าน และอ่าน ยิ่งเนื้อหาเข้าสมองยิ่งสดใส เป็นครั้งแรกที่ภาคภูมิใจในตนเอง ในที่สุดผมก็ค้นพบคำตอบแล้ว

หากรู้ว่าใครคิดทำร้าย ผมต้องเป็นฝ่ายลงมือก่อน นั่นจึงจะฝ่ายถูก

 

และแล้ววันหนึ่งในช่วงสอบ…เมื่อใช้เวลาในการอ่านจนพอใจแล้ว ผมเดินลงจากห้องสมุดอย่างไม่รีบร้อน มาถึงโรงพละที่ปูด้วยพื้นสีไม้ มองซ้ายขวาไม่นานก็พบว่ากลุ่มเพื่อนขี้แกล้งกำลังเดินตรงมาจากโซนเทเบิลเทนนิส หน้าตาดูออกว่าจ้องจะทำร้ายผมอยู่

ขอบคุณมาก ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว สายตามุ่งร้ายของเพื่อนทั้งกลุ่มส่งมาอย่างชัดเจน ขมับขวาของผมกระตุกกึก ถึงเวลาต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และพริบตานั้นเอง ร่างของเพื่อนขี้แกล้งก็หงายไปด้านหลัง ทิ้งส่วนที่เป็นท้ายทอยกระแทกกับพื้นโรงพละ

 

ตั้งแต่ถูกไล่ออกจากโรงเรียน ถูกตัดขาดจากพ่อแม่และกลุ่มญาติทั้งหลาย แม้ต้องลำบากสาหัสในการเอาตัวรอด แต่ชีวิตของผมก็เริ่มมีอิสระขึ้นมา ผมเริ่มฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ประสบการณ์สอนให้รู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีเพียงคำตอบเดียว

ผมต้องฆ่าคนที่จะทำร้ายผม ฆ่าคนที่มุ่งร้ายต่อผม นั่นหมายรวมถึงมุ่งร้ายทางอ้อมด้วย

คนบางคนชอบมองผมด้วยแววตาน่ากลัว บางครั้งก็มองแล้วชมว่าหน้าตาดี ทว่าลึกเข้าไปในสายตา มันมีความปรารถนาบางอย่างอยู่ ผมจึงฆ่าพวกเขา

บางคนก็ชอบทำร้ายคนอื่น คนพวกนี้จะมีแววตาที่ต่างออกไป เมื่อเผชิญหน้ากับผมไม่ว่าจะโดยบังเอิญหรือตั้งใจ ผมจะมองออกในทันทีว่าพวกเขาเป็นคนชอบใช้กำลัง และอาจจะเป็นภัยกับผมในอนาคตได้ หากสบตากันแล้วรู้สึกไม่ดี ผมจะรีบหาทางกำจัดเขาในทันที เพราะนั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

ตลอดมาผมโชคดีที่ไม่เคยถูกผู้ใดจับตัวได้ นั่นเพราะตัวผมสามารถล่าถอยได้ทันเวลาอยู่เสมอ

และไม่นานก็รู้สึกเสพติด นอกจากความรู้สึกปลอดภัยและสบายใจแล้ว มันกลับสร้างความสุขสมด้วย ทั้งที่ลึกๆ ก็พอทราบอยู่ว่า สิ่งที่ทำมันไม่น่าจะถูกต้อง คงไม่มีใครอยากทำร้ายผมมากขนาดนั้นหรอก…

หรือว่ามีนะ ไม่แน่ใจเลยสักนิด…

แต่ในอีกมุมหนึ่งของสมอง มันคอยย้ำว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นเรื่องปกติแล้ว หิวก็ต้องทาน ป่วยก็ต้องรักษา มีคนจะทำร้ายก็ต้องฆ่า

และเมื่อต้องฆ่า ก็แค่ฆ่า มันก็เท่านั้น สิ่งของจำเป็นต้องใช้ในชีวิตก็พึ่งพาหน้าตาและรูปร่างช่วงชิงมา ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ชีวิตของผมมันควรดำเนินไปแบบนี้ก็เหมาะสมดีอยู่แล้ว

แต่โดยไม่คาดคิด ท่ามกลางอากาศหนาวผิดปกติของพิษณุโลก ในวันที่ผมได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่ง

เธอมีชื่อว่าพิณเพลง เป็นเด็กสาวที่มีแววตาคล้ายกับผม แต่ฉลาดกว่า สดใสกว่า และยังมีความหวังเปล่งประกายที่หลับใหลอยู่อย่างสงบภายในดวงตาคู่นั้น

และเมื่อนั้นโลกทั้งใบก็เปลี่ยนไป

 

ฆ่าเพราะต้องฆ่างั้นหรือ บอกตามตรงว่าผมลังเลที่จะตอบคำถามนี้ของพิณเพลง

ผมกังวลในคำตอบของตนเอง เพราะไม่กล้าพูดถึงมุมมองที่ได้จากนิยาย ล่า เลือน รัก ออกไป จึงแถไปเรื่อยเพื่อทำเท่หรือเปล่านะ ทั้งที่เชื่อมั่นมาตลอดว่าถูก แต่กลับไม่อยากบอกออกไป ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

มาคิดดูอีกที เหตุผลในการฆ่านั้นช่างเลือนราง และเบาบาง…ไม่ใช่โศกนาฏกรรมเหมือนตัวละครในภาพยนตร์ที่ถูกโลกภายนอกบังคับให้ทำ

ผมอาจไม่มีเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอให้ลงมือได้เลยด้วยซ้ำ สายตาสงสัยของพิณเพลงในตอนนั้นทำร้ายผม…สาหัสนัก

มันมีรอยโหว่เกิดขึ้น รูทะลุ ใช่แล้ว มีรูทะลุจากอกของผมไปถึงแผ่นหลัง มันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

‘รู้สึกเหมือนธาดาร์มาเพื่อปกป้องฉัน’ พิณเพลงเคยบอกผมอย่างนั้น น้ำเสียงของเธอช่างหวานซึ้ง เป็นน้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยสักนิด ส่วนหนึ่งในร่างกายบังเกิดความสุขขึ้นมา แต่ในสมองกลับตรงกันข้าม

ไม่ใช่แล้ว เด็กหญิงผู้น่าสงสารคนนี้มองเห็นภาพลวงตา เธอไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ผมเป็น แต่มองเห็นในแบบที่จิตใจนั้นโหยหา และเลือกจะมองว่าผมเป็นวีรบุรุษ ซึ่งผมไม่ใช่ ไม่ตรงเลยสักนิด

…เธอต้องการความช่วยเหลือ

 

แน่นอนว่าผมไม่เคยคิดเรื่องชู้สาวกับเธอแม้เพียงเสี้ยวสมอง ผมกับพิณเพลงนั้นรู้สึกต่อกันมากเกินกว่าความต้องการสืบพันธุ์

นั่นทำให้ทราบดีว่าลึกๆ เข้าไปในใจแล้ว พิณเพลงต้องได้รับการปกป้อง เธออยู่คนเดียวไม่ได้

และคนคนนั้น…ไม่ใช่ผม ไม่ควรจะเป็นผม คนที่ปกป้องเธอได้เป็นคนอื่น และเธอจะได้พบอย่างแน่นอนในอนาคต ผมมั่นใจอย่างนั้น สิ่งที่ต้องทำในเวลานี้คืออยู่ให้ไกลจากพิณเพลงให้มากที่สุด

แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองยังอยู่ในห้องพักราคาประหยัดใกล้กับโรงเรียนของพิณเพลง ผมก็เริ่มตระหนักแล้วว่าตนไม่อยากจะไปไหน อยากจะหาร้อยพันเหตุผลในการอยู่ที่เมืองนี้ต่อ อยากจะเห็นหน้าพิณเพลงทุกวัน อยากให้เธอถามอะไรก็ตามด้วยแววตาสดใสนั่น อยากเป็นส่วนหนึ่งในจักรวาลเล็กๆ ของเธอ

มันเจ็บฉิบหาย ความรู้สึกว่าตนไม่ควรคู่กันกับสิ่งที่หวัง เป็นครั้งแรกที่มองย้อนกลับมาดูตนเองอย่างละเอียด และระลึกได้ว่า ผม…ผมคือปีศาจร้าย

ปีศาจที่หลอกตัวเอง หาข้ออ้างในการฆ่าคนเพื่อระบายความโกรธและโง่เขลา

และผม…เป็นอันตรายต่อพิณเพลง



Don`t copy text!