บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 45 : ฟ้อนแคน

บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 45 : ฟ้อนแคน

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

เสียงซอสามสายระริกระรี้กระเซ้ากระซี้ออดอ้อนของครูมีแขก กับเสียงแคนลายสนุกสนาน แหย่หยอกหยิกยั่วล้อ หลอกล่อ ตอดนิดตอดหน่อย ต่อปากต่อคำกัน ประกอบเสียงกลองโทนให้จังหวะจะโคนหนักเบาสั้นยาวเร้าอารมณ์  ให้สาวๆ นักฟ้อน ฟ้อนกันยวนตายวนใจ ลำแขนเรียววาดวนเวียน เอวอ้อนแอ้นบิดโยกย้าย บั้นท้ายไหวว่ายส่ายสะบัด ช่วงขาที่ห่อหุ้มด้วยผ้าซิ่นสวยรัดรึงเนื้อผ้ากอดแนบไปกับกล้ามเนื้อร่างกายที่ก้าวย่างเหยียบย่ำยกย่อกระแทกกระทั้น สอดคล้องกับหางตาทิ้งไปมาหยอดเสน่ห์ จริตจะก้านลวดลายลีลาแต่ละนาง เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ไม่มีใครยอมใคร

เหล่าหนุ่มช่างเขียนสำนักคงแป๊ะ มีครูพุดเป็นหัวแถว มีพัด ตาบ นายหมาย ร่วมผสมโรง ร่วมล้อมยืนมุงดูชมใกล้ๆ ตบมือ ยักหน้า แถมย่ำเท้าตามจังหวะอย่างรักแรงแข็งขัน

คงแป๊ะกับท่านภู่ แม้ยังนั่งดูชมอยู่ที่เดิม แต่เคาะจังหวะ กับโยกตัวไปกับเพลงอย่างเคลิ้มตามจนลืมดื่ม

เตยถือโอกาสประคองโถแก้วยาดองใบโต ย่องอ้อมวงมานั่งแทรกเคียงอย่างสนิทสนมกับเจ้าหนุ่มเฉกที่สำรวมเรียบร้อย ดูสงบเสงี่ยมสงวนเนื้อถนอมตัว

สายตาหญิงสาวมองหนุ่มน้อยอย่างปลาบปลื้มชื่นชม

“พ่อเฉกต้องลอง…หอมหวาน…ฉันทำเอง”

เตยต้องยื่นหน้ามาใกล้หูและส่งเสียงแหลมดังแข่งกับเสียงเพลง  ใช้กระบวยน้อยบรรจงจ้วงสาโทสีเข้มแดงดุจน้ำผึ้ง เทลงจอกกระเบื้องจีนส่งให้เฉกลำจวน

พลัน มีมือใหญ่แข็งแรงของชายฉกรรจ์  มาคว้าแย่งไปเสีย

ทั้งสองเงยดูผู้ถือวิสาสะ

ปรากฏว่าเป็นมือฮุนนั่นเอง

ฮุนยิ้มยักคิ้วให้เตยตั่วเจ๊อย่างมีชัย ขณะยกจอกซดหมดในรวดเดียว

“อาฮุน!”

หญิงสาวแหวแว้ด ขณะที่หนุ่มเฉกได้แต่มองพรึงเพริด

“อาฮุน  ลื้อนี่มันตะกละจริงเจียว มาแย่งพ่อเฉกกินได้อย่างไร”

เตยหยิบจอกใหม่มา ตักยาดองรินใส่อีกครา

ทว่าเจ้าช่างเขียนชาวจีนทำตัวเกกมะเหรก ปานประดุจนักเลงเจ้าถิ่น ชิงสาโทจอกใหม่ไปกระดกรวดเดียวเกลี้ยงอีก

เตยสุดยั้งใจ ลุกขึ้น ตีชายหนุ่มดังเพี้ยะสนั่น

 

“หน็อยแน่ เสียมารยาทนัก อ้ายเจ๊กบ้า เช่นนี้ต้องการอันใด บัดเดี๋ยวจักทุบให้น่วมเชียว”

เธอกำหมัดชูขู่

“เจ้ก็เพลาๆ หน่อย ใต้เท้าท่านไม่เคยเครื่องดองของเมา”

ลำจวนเฉกมองดูเจ้าหนุ่มเปียปรามสตรีผู้นั้นอย่างสนิทสนม พลางก็ปรายตาบุ้ยใบ้มาทางเธออย่างแสนเมตตาการุณ

หญิงสาวหน้าชา

“ให้รับทั้งสาโท ทั้งยาดอง…บัดเดี๋ยวได้เมาคว่ำ”

ฮุนหันมาสบตาเธอเหมือนอ้อนวอน ส่ายหน้าห้ามเบาๆ

ลำจวนหน้างอ

“ทีนายฮุนยังกินได้ทุกอย่าง”

ฮุนถอนใจ

“ใต้เท้าจักมาเปรียบกับกระผมอย่างไรได้…”

“ทำไมจักเปรียบไม่ได้ เป็นชายเช่นกัน ย่อมทำได้เช่นกัน”

เจ้าเฉกเชิดหน้า

“อย่าริลองของพรรค์นี้ดีกว่าขอรับ”

ชายหนุ่มจริงจัง

“หน็อย…อาฮุน ยาดองนารีรำพึงของข้า มิใช่ของต้อยต่ำ!”

แม่เตยแปลไปอีกความหมาย

“…เจ้ไม่เคยเห็นเอามาให้อั๊วชิมบ้าง ทีท่านใต้เท้าท่านนี้ เพิ่งพบคราแรก เจ้ก็ปรนนิบัติท่านราวกับมักคุ้นมานาน”

ฮุนรีบหันไปตัดพ้อหลานสาวครูที่เคารพ

“อ๋อ ที่แท้…ลื้อก็ริษยาละซี”

เตยพอใจยิ่ง ดูเหมือนสองชายโฉมเอกกำลังรุมแก่งแย่งความสนใจจากเธอ

“ให้อั๊วกินคนเดียว ห้ามให้คนอื่น”

ฮุนฉวยโอกาสรวบโถยาดองนั้นมาอุ้มไว้เสียเอง สายตาที่มองเตย เหมือนลูกคนโตหวงขนม มองแม่อย่างเกเร ไม่ให้แบ่งน้อง

ลำจวนมองแล้วหมั่นไส้

พอดีที่พัดกับตาบเข้ามา ดึงแขนเจ้าเฉกน้อยคนละข้างอย่างสนุกคะนอง

“มานี่กันเถิด”

ลำจวนเฉกหันไป เห็นท่านภู่กวักมือเรียก จึงรีบไปตามแรงดึงนั้น

 

เสียงเพลงแอ่วลาวกำลังเปลี่ยนไป ด้วยครูมีแขกหันมาหยิบปี่ประจำตัวขึ้นแล้ว

ลำจวนมานั่งข้างหลังท่านอดีตอาลักษณ์ภู่ กับลูกชายทั้งสอง

เตยไม่ช้า รีบตาม แถมหันมาสั่งให้เจ้าเปียยกโถยาดองตามมาด้วย

“นี่แน่ พ่อเฉก ชอบอ่านพระอภัยมณี ต้องฟังครูมีเป่าปี่”

ท่านอดีตอาลักษณ์บอกอย่างจริงจัง

เจ้าเฉกน้อยหันไปตั้งใจสดับ

การประชันปี่ของครูมี ครูดนตรีคนสำคัญจากบางกอกใหญ่ กับครูแคนคนดนตรีหลวงแห่งพระราชวังเดิม ดุเด็ดเผ็ดมันสนุกม่วนแซ่บขึ้นทุกที

เสียงปี่คมคายจัดจ้านเหมือนแม่เพลงหมอลำคารมกล้าตาคม กำลังลำกลอนตอบโต้ต่อปากต่อคำกับพ่อหมอแคนจอมเจ้าชู้ผู้มีลีลาดุเดือด ที่รุกต้อนหน้าต้อนหลังอย่างไม่ยอมถอย

ช่างเขียนศิษย์คงแป๊ะทุกราย รวมทั้งนายหมาย เริ่มเซิ้งสะบัด โยกหัว ย่ำเท้า ร่ายร่ำโบกโบยกรีดนิ้วสลับแขน แอ่นหน้าแอ่นหลัง อย่างอิสระ สนุกสนาน ส่งเสียงฮิ้ว ฮู้ วู้ กรู๊…ที่มาจากความรู้สึกอันคึกคะนองโลดโผนขึ้นเรื่อยๆ

สาวๆ ฟ้อน มองมาทางพวกบุรุษรุ่นอาวุโส แล้วเพยิดพยักชักชวนกัน วิ่งตรงมาดึงแขนท่านภู่ กับคงแป๊ะให้ลุกขึ้น

“โอ๊ยๆ อย่าเลย หลานๆเอ๊ย…โน่นแน่ะ…ไปชวนหนุ่มๆ เถิด”

คงแป๊ะกับท่านอดีตอาลักษณ์บ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบ

สาวๆ มองไปยังกลุ่มหนุ่มๆ ด้านหลัง เห็นพัด ตาบ เฉก อีกทั้ง ฮุน เตย ที่ดูหน้าตาน่าหยอกเย้าทั้งสิ้น

แต่ในจำนวนทั้งหมดนั้น หนุ่มผู้เปล่งประกายสะอาดใสไร้ภัยพิษ ไม่มีใครพ้นหนุ่มตัวเล็กกว่าเพื่อน ที่อยู่ตรงกลาง ผู้มีผิวพรรณงามลออเกลี้ยงเกลา ทรวดทรงสะโอดสะองอ้อนแอ้นดุจพระเอกละครใน

เจ้าเฉกนั่นเอง

สาวฟ้อนสองนางที่แก่นกล้าเกินใคร  รุกเข้ามารุมป้อเฉกทันที

สาวในคราบหนุ่มหัวเราะขัดเขิน ลุกถอยหลบ หมุนหนีไปมาแต่ไม่พ้น สาวๆ เห็นหนุ่มอาย ก็ยิ่งสนุก เข้าต้อนหน้าต้อนหลังกันไม่ละลด เรียกเสียงฮาฮิ้ว…ดังลั่น

หนุ่มรูปหล่อยกมือไหว้ท่วมหัว ก้มลงซ่อนหน้าตา

“อ้าว พ่อเฉก…เกรงกลัวสาวๆ หรือไร รือคุณอาพุ่มของเจ้าห้ามหวงนัก”

ท่านอดีตอาลักษณ์ตะโกนล้อ

คงแป๊ะหัวเราะ

มีเพียงเตย ที่ทุรนทุราย

“อาฮุน ออกไปบัดเดี๋ยวนี้ ไปกั้นขวางนางพวกนั้น อย่าให้ใกล้คุณเฉกของเจเจ้”

เจเจ้ที่เคารพทั้งผลัก ทั้งดัน ทั้งทุบฮุน

ฮุนเข้าไปร่วมวงรำ เขาเอาตัวกำบังลำจวนไว้ หันมาพยักหน้าส่งสัญญาณกับเตย แล้วหันไปฟ้อนเกี้ยวสองนวลนางแทน ทำให้เตยพอใจเป็นอันมาก

สาวๆนักฟ้อนหันมาเห็นหนุ่มจีนผมเปียช่างเขียนคนโปรด ผู้วิ่งดูแลอำนวยการกินดื่มพวกนางมาแต่หัวค่ำ ก็กิ๊วก๊าวชอบใจ หันไปฟ้อนต้อนฮุน

เบื้องแรก ลำจวนดีใจที่รอด ไม่ต้องเป็นจุดสนใจ รีบเผ่น ถอยจะกลับไปนั่ง

ทว่าเมื่อหันกลับไปดู…

ฮุนกำลังกางสองแขนต้อนสาวฟ้อนนางนึง ให้มาอยู่ในอ้อมอกอ้อมใจ แล้วเดี๋ยวก็หันไป เอียงเอนเข้าประกบชิดติดอีกนาง

สองสาวก็หาได้ยั่น กลับเข้าพันพัวหน้าคน หลังคน ชุลมุนกับหนุ่มผมเปียผู้มีคิ้วเข้ม และยิ้มด้วยด้วยตาดังจันทร์เสี้ยวอันแพรวพราว

เหล่าพี่น้องช่างเขียนศิษย์คงแป๊ะ โห่ฮิ้วฮา ตบมือ ตีตีน ส่งเสียงกระทุ้งเสริมจังหวะกันอย่างชอบใจเหลือหลาย

ฮุนได้แรงสนับสนุนจากเพื่อนๆ ก็ยิ่งคึก ปล่อยลีลา ฟ้อนไปกระทบซ้ายที ฟ้อนไปกระทบขวาที แม้ท่ารำจะเก้งก้างไม่อ่อนช้อย แต่เด็ดดวงนักในสายตาเพื่อนฝูง

ความริษยาพุ่งจี๊ด จนลำจวนตาแทบคุกรุ่นควัน

นี่เอง ที่เขาเรียกว่า อิจฉาตาร้อน

สตรีเหล่านี้ถือฐานะอันใด มาเริงระบำลามลวนเจ้าฮุนได้ตามใจชอบ…

…เจ้าฮุนสมุนของข้า…

เด็กหญิงลำจวน ลูกพี่ตัวโจกแห่งวัดทอง กระทืบเท้าปึง อยู่ในร่างหนุ่มเฉก

เด็กหญิงลำจวนผู้นั้นต่างหากเล่า ที่ตัดสินใจกะทันหัน หมุนตัวกลับไป ในวงรำด้วยแววตากร้าว ราวกับนายโรงสุ่นตอนควบคุมคณะละครให้ยำเกรง

ภาพพ่อซ้อมรำกับลุงแดง พ่อเป็นตัวพระ พระสุธนแสนสง่า ลุงแดงเป็นตัวนาง นางมโนราห์แสนหวานชดช้อยเจิดจ้าอยู่ในใจ

ราวมีวิญญาณบิดามาประทับทรงก็ไม่ปาน เมื่อหญิงสาวก้าวเข้าไปแทรกกลาง  เอาหลังเบียดกระแทกฮุน ให้กระเด็นถอย

ชายหนุ่มเซไป ยืนตาปริบๆ สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

สิ่งที่เห็น คือ ‘คุณเฉก’ หันมาสบตาท้า ก่อนจะเข้ากรีดกรายป้อทั้งสองสาวไปมา ด้วยท่วงท่าอันสง่างาม วงแขนแข็งแกร่ง ทว่าทอดอ่อนนุ่มนวล วงมือโค้งงาม หลังตรง ไหล่กว้าง ผ่าเผยจนคล้ายกับว่าร่างกระทัดรัดนั้นดูสูงใหญ่ผึ่งผายขึ้นเท่าตัว

ฮุนถึงกับต้องถอยออกมา ถอย…ด้วยภาพข้างหน้านั้นช่างงามน่าชม อยากจะชมให้นาน เพื่อจารึกไว้ในใจ

ท่านภู่ คงแป๊ะ ต่างเอ็นดูผสมอัศจรรย์ใจในตัวเด็กหนุ่มผู้รุ่มรวยด้วยสิปปะ

ลำจวนเพียงแต่ฟ้อนไปตามสำเนียงดนตรี เพลงเกี้ยว ก็ต้องรำอย่างเกี้ยว ดนตรีสนุกคะนองเจ้าชู้บุ่มบ่าม ก็ต้องฟ้อนอย่างเจ้าชู้ไม่ออมจริต อย่างตัวพระ อย่างพระเอก เช่นชายทรงเสน่ห์ สาวๆนักฟ้อน จึงยิ่งฟ้อนรับรุกกับเธออย่างสุดตัว เพื่อยั่วยวนชวนใจให้เทียมทันกัน

เตยนั้น หลอมละลายไปแล้ว เลิกหึงเลิกหวง แต่อ่อนระทวยราวต้องมนตรา

ครูหมอลำแห่งราชสำนักพระราชวังเดิมมองเจ้าหนุ่มหน้าใหม่ที่ฟ้อนเป็นพญานกยูงกรายกลางฝูงนางตัวเมียอย่างภาคภูมิราวเจ้าของลานรำแพน ในดวงแสงของวงรำ ที่สว่างกว่าแสงโดยรอบ มองเห็นใบหน้างามแจ่มของหนุ่มเฉกถนัดตา ท่านรู้สึกคุ้นๆกระไรอยู่ แต่หารำลึกได้ไม่ จึงทำให้ขัดใจอยู่ครามครัน

ฮุนมองดูคุณเฉก วาบหนึ่ง ที่คุณเฉกหันมาเชิดหน้าอย่างผู้มีชัย ลำจวนชัดๆ…ชายหนุ่มพลันสังหรณ์เยือก ว่าจะมีผู้ใดในวงสำราญนี้เคยรู้จักลูกสาวนายโรงสุ่นหรือไม่ ความกังวลก่อตัวขึ้นรวดเร็วมากกว่าอื่น เขารีบหันมองหานายหมาย องครักษ์ที่มาพิทักษ์นายหนุ่มตัวน้อย

นายหมายเมา หลับกลิ้งไม่เป็นท่า อยู่ข้างวงสุราสาโทนั้นตั้งแต่เมื่อใดไม่แจ้ง

 

ตาบและพัดช่วยกันประคองนายหมาย ที่ตุปัดตุเป๋ เข่าเอาแต่จะอ่อนลงไปพับเพียบ มานั่งในมุมสงบริมน้ำ เสียงลำเปลี่ยนท่วงทำนองเป็นเสียงร้องขับกลอนอ่อนหวาน ดังแว่วมา คลอกับเสียงแคนจากอีกลายทำนองหนึ่ง ซึ่งอ้อยอิ่งหวานเศร้า

เจ้าเฉกวิ่งตามออกมา หน้าตาตื่น

“พี่พัด น้องตาบ…กระผมพานายหมายกลับก่อนจะดีกว่า”

เด็กหนุ่มเกรงใจสุดขีด

“พ่อเฉกยังสนุกอยู่มิใช่รือ เพลงกำลังดีเลย…”

พี่พัดแย้ง

“ไม่เป็นไรมิได้ นี่ก็ดึกแล้วด้วย คุณอาพุ่มจักเป็นห่วง กระผมขอเพียงรบกวนให้คนเรือข้ามฟากไปส่งที่แพสักหน่อย”

เฉกพินอบพิเทา

“กระผมไปด้วยขอรับ”

ตาบ หนุ่มรุ่นเดียวกัน ดูๆอาจจะอาวุโสกว่าเล็กน้อยอาสา

“ไม่ต้องๆ อยู่สนุกกันแลดูแลคุณพ่อคุณเถิด…ไป นายหมาย ลุกๆๆ ไหวไหมเล่านี่”

ลำจวนเฉกอ่อนใจ

ฮุนเดินตามหามาถึงพอดี

“มา…กระผมไปส่งเองขอรับ”

หนุ่มจีนตวัดนายหมายขึ้นพาดบ่าราวกุลีแบกกระสอบข้าวสารลงจากเรือ

“ฝากด้วยหนา อาฮุน”

พี่พัดของทุกคนโล่งใจ

“ไม่ต้องห่วงขอรับ”

ฮุนหามนายหมายเดินนำไปลิ่วๆ ไม่เหลียวหลัง

ลำจวนละล้าละลัง รีบสั่งเสียยกมือไหว้สองบุตรชายท่านภู่

“ฝากกราบลาคุณพ่อคุณด้วย ขอบพระเดชพระคุณท่านอย่างสูงที่พามาเที่ยวสนุก วันหลังกระผมจะไปกราบขอวิชาถึงเรือนนะขอรับ”

“ต้องมาจริงๆ หนา พ่อเฉก”

ตาบตบบ่าอย่างถูกชะตาจริงใจ

“แล้วพบกันหนา พ่อเฉก”

กับพี่พัด เฉกพนมมือไหว้นอบน้อม

 

เรือของท่านภู่แล่นไปเอื่อยๆ ไม่รีบร้อน มีตะเกียงตั้งที่หัวเรือให้แสงสว่างทางด้านหน้า เพื่อทั้งให้คนในเรือมองเห็นทาง และให้เรือที่สัญจรไปมามองเห็นกัน

ฮุนนั่งพายอยู่หน้าสุด ถัดมา เป็นลำจวนที่เอาผ้าขาวม้าคลุมหัวกันน้ำค้างเช่นตอนขามา  ช่วยพายด้วย  เพื่อให้เรือไปได้เร็ว ขณะที่นายหมายนอนเหยียดยาวอยู่กลางลำเรือ คนเรือของท่านภู่พายคัดท้าย

ลำจวนพายเรือไป มองดูผมเปียเส้นใหญ่หนาบนแผ่นหลังกว้างของคนข้างหน้าไปพลาง

อันที่จริง ชายคนนี้คือคนคนเดียวที่มีตัวตนอยู่ทั้งในชีวิตวัยเยาว์และวัยรุ่นสาวของเธอที่วัดทอง กับชีวิตใหม่วัยผู้ใหญ่ในแพท่าพระ  ที่ขาดจากกันอย่างเด็ดขาด

เขาคือจุดเชื่อมตัวจริงกับตัวปลอมของเธอเข้าด้วยกัน

เธอไม่ใช่บุษบา ที่กลายร่างเป็นอุณากรรณ และเขาก็ไม่ใช่อิเหนา ที่เธอต้องประชันขันแข่งอำนาจ บารมีฝีมือรบ หรือเอาชนะอะไรใดๆ เลยทั้งนั้น

แต่เขาเหมือนเงา เงาของตัวเธอเอง ที่ตามติดเธอเสมอ หนีไปไหนไม่พ้น

จู่ๆ ความคิดนี้ก็เกิดขึ้นในมโนนึกของลำจวน

เงาของตัวเราเอง เราไม่ต้องไปกลัวมันดอกหนา

ดวงตาของเธอพร่าพราย น้ำตาเอ่อออกมาปริ่ม

 

ฮุนมองฝ่าไปข้างหน้า ดึกแล้ว แสงจากตะเกียงหรือเทียนตามบ้านเรือนริมคลองยังสว่างอยู่แวมๆเป็นระยะห่างๆประปราย ชาวบ้านสวนส่วนใหญ่จะดับไฟนอนกันหมดแล้วในเวลานี้ มีเพียงแมลงหิ่งห้อยบินหากินกันเรืองๆไปทั่วในสวนริมคลอง

โคมไฟจากเรือที่พายสวนมาบ้างนานๆ ที โรยแสงลงสะท้อนไหวๆ ในลำน้ำดำนิล

เสียงพายเรือจ๋อมแจ๋มสลับกับไม้พายครูดข้างเรือ ท่ามกลางความสงัด มีเสียงหมายกรนคร่อก…เบาๆดังสลับบ้างบางครา

ฮุนเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ไม่เจาะจง

“อ่านหนังสือพระอภัยมณีจบสามเล่มแล้วรือยังขอรับ”

ลำจวนกะพริบตา ปลุกตัวเองจากภวังค์ ใช้ขอบผ้าขาวม้าที่คลุมหัวเช็ดหน้าตาแรงๆ ตั้งสติ กระแอมกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง

“ต้องการเร่งให้รีบคัดลอกเร็วๆ รือ”

“มิได้ขอรับ…หากอ่านจบแล้ว กระผมจะได้หาเล่มต่อๆ ไป มาให้อีก”

ชายหนุ่มหันมามอง ทำให้หน้าของเขาอยู่ในเงามืด

ลำจวนเก็บความดีใจไม่มิด ดวงตาเป็นประกายในแสงตะเกียง

“ก็ดีซี อยากรู้ว่าพระอภัยมณีอยู่ครองคู่ในถ้ำกับนางผีเสื้อแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป ถึงได้ยินเขาเล่าเรื่องราวมาบ้างไม่ปะติดปะต่อ อยากอ่านคำกลอนเอง”

ฮุนยิ้ม หันกลับไปพายต่อ

“ท่านภู่มีเมตตามากขอรับ กระผมจะขอยืมหนังสือท่านมาจ้างให้ใต้เท้าคัดลอกอีกเรื่อยๆ นะขอรับ เมื่อคัดลอกแล้ว กระผมจักเขียนภาพลงไป แล้วจักนำกลับไปมอบกลับไปให้ท่านภู่นั่นแลขอรับ จะได้เป็นหนังสือนิทานที่งดงาม ควรค่าให้ท่านเก็บไว้สืบไป”

ลำจวนอดจะฉงนไม่ได้

“นายฮุน… ทำเช่นนี้ แล้วนายฮุนจะได้อะไร”

ฮุนเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วหันมา ลดเสียงเบาลง น้ำเสียงนั้น เหมือนคลื่นเบาๆ ที่บนผืนน้ำสั่นไหวเป็นระลอกน้อยๆ แต่ที่ใต้น้ำลึกลงไป มันคือคลื่นอันป่วนแรงจนเกินคาดได้

 “ก็…กระผมก็…จักได้พบกับใต้เท้า…ไปอีกนาน…เพราะยินว่า…หนังสือพระอภัยมณี …มีอีกหลายสิบเล่ม แลไม่มีวันจบ…”

 

 



Don`t copy text!