บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 48 : ผู้รับใช้รอบทิศ

บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 48 : ผู้รับใช้รอบทิศ

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

 

เช้าวันหนึ่ง คุณหลวงวิจิตรเจษฎาหรือครูทองอยู่ ครูช่างเขียนหลวงผู้มีบารมีเป็นที่เคารพ ก็ตื่นขึ้นมาพบว่าเรือนของท่านถูกโจรกรรม

บานหน้าต่างห้องเก็บเครื่องเขียน สี เครื่องมือเครื่องใช้สำหรับงานเขียนภาพ ถูกขวานฟันกระจาย เป็นเศษๆ ไม้หล่นกองอยู่กับพื้น หีบหลายใบถูกเปิดอ้าทิ้งไว้ สิ่งของถูกรื้อค้นกระจัดกระจายเกลื่อน

สิ่งสำคัญที่มีค่าที่สุดในเวลานั้น เดิมอยู่ในหีบเล็กๆ มุมห้อง ปลาสนาการไปเหลือเพียงหีบเปล่าคว่ำอยู่กับพื้น

ครูทองอยู่พลิกหีบขึ้นมาดู แล้วหน้าซีดเผือด

“มันเอาทองไปหมด ทองที่กูเพิ่งไปเบิกมา…สำหรับปิดทองภาพที่โบสถ์”

เนตรส่งเสียงด่า ดังไปทั้งเรือน

“ต้องเป็นพวกมึงนั่นแหล นอนกันอย่างไร หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น นี่มันฟันหน้าต่างแหกแตกเข้ามา ยังบอกไม่ได้ยิน จักเป็นไปได้อย่างไร”

บรรดาศิษย์มาออมุงกันที่หน้าห้องเกิดเหตุ

ภรรยาสองคนของครู ยืนอกสั่นขวัญแขวนเบียดกันอยู่ด้านนึง

“ขโมยกระทั่งทองคำเปลว เห็นจะมีก็แต่พวกขี้ยาติดฝิ่น”

เนตรออกความเห็น ขณะเข้ามาก้มค้อมตัวคุกเข่านอบน้อมข้างหน้าคุณนายทั้งสอง

“…ผู้คนเรือนนี้…มีผู้ใดเป็นทาสแก่ฝิ่นบ้างไหมล่ะขอรับ”

ชายหนุ่มกวาดตาดูเหล่าบ่าวไพร่ ทำให้หลายคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก บ้างก้มหน้าหลบตา

“ถ้ามี ก็มันผู้นั้นแหล”

เขาจิกตวาด

คุณหลวงวิจิตรฯ เพ่งมองดูหน้าคนที่มีลักษณะต้องสงสัย

“มันผู้ใดเล่นฝิ่น หา สารภาพมา อย่าให้กูต้องกระชากหัวมึงออกมาเอง!”

ทำเอาหลายคนหมอบลงด้วยความร้อนตัวเป็นทิวแถว ส่อให้เห็นว่ามีพวกเล่นฝิ่นปะปนอยู่ในหมู่คนรับใช้ไม่ใช่น้อย

ในตลาดสามเพ็งเองก็ใช่เบา สายวันนั้น ยามตลาดยังพลุกพล่านด้วยผู้คนซื้อขาย อาเหมยโบตั๋น ที่สวมสร้อยทองคำแท้เส้นบางเดินออกมาจากร้านขายยาจีน คนติดตามหอบหิ้วห่อยาเต็มมือ ขี้ยาตัวซีดเหลืองรายหนึ่งที่เตร็ดเตร่ดักรออยู่ก็ปราดเข้ามากระชากสร้อยเส้นน้อย แล้ววิ่งหนีแทรกหายไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว

“ขี้ยา ขี้ยากระชากสร้อย ช่วยด้วยๆ”

อาเหมยกรีดหวีด

ทว่าชาวตลาดที่ผ่านพบก็เพียงแต่ส่ายหัว พากันบ่นเป็นเสียงเดียว

“พวกลักวิ่งชิงปล้นชุกชุมขึ้นทุกวัน เหตุเพราะจักเอาทรัพย์ไปแลกซื้อฝิ่นแท้ๆ”

จนกระทั่งที่อู่ต่อเรือปากคลองบางกอกใหญ่ ข้างวัดกัลยาณมิตร ก็มีปรากฏการณ์ที่คนงานหนุ่มๆสองสามคน นอนหลับกันเค้เก้ ทั้งๆ ที่งานเย็บผ้าทำใบเรือยังค้างคาอยู่ในมือ

“พวกมันเป็นอะไร”

ท่านเจ้าสัวเดินตรวจงานผ่านมาเห็น อุตส่าห์ห่วงใย ว่าบริวารทำงานหนักจนป่วยไข้ถึงล้มหมอนนอนเสื่อ

“เมาฝิ่นขอรับ ทำงานไปหลับไป”

ช่างไม้อาวุโสฟ้อง

“มิน่าเล่า ใบเรือลำนี้ไม่แล้วเสร็จเสียที บอกว่าจะเอาลงน้ำมาตั้งแต่แรมสิบห้าค่ำเดือนแปด อั๊วมาสอนให้ตั้งแต่กลางเดือนเจ็ด นี่ย่างเข้าเดือนเก้า ยังไม่ไปไหน”

กงของฮุน ที่บัดนี้เกษียณจากงานสิ้นเชิง เป็นคนติดตามรับใช้เจ้าสัวเฉพาะเมื่อท่านมาไหว้พระ ไหว้เจ้า แล้วเลยเดินตามขบวนของท่าน มาแวะดูอู่ต่อเรือสำเภาด้วย บ่นอุบ

“เอาไปโยนให้พ้นอู่อั๊ว ที่นี่ไม่มีคนงานติดฝิ่น”

เจ้าคุณนิกรบดินทร์กวาดตามองรอบๆ

“ทุกคน เป็นหูเป็นตาให้ด้วย หากพบผู้ใดเล่นฝิ่นกินยา อั๊วจะเฉดหัวมันออกให้หมด ไม่ว่าจะเป็นผมเปีย รือผมตัดสั้น อั๊วไม่ละเว้นทั้งสิ้น พวกกุลี คนงาน หรือคนเรือสำเภาอู่เจ้าสัวโต ต้องไม่มีผู้เกี่ยวข้องกับฝิ่นอย่างเด็ดขาด”

 

พิษฝิ่นระบาดไปจนแม้อู่กำปั่นของท่านเจ้าคุณพระคลัง

ทนายพดเรียกฮุน เจ้าหนุ่มจีนผู้เรียกง่ายใช้คล่อง เป็นช่างเขียนก็ได้ เป็นคนงานก็ได้ กว้างขวางเข้านอกออกในทั้งอู่ต่อเรือสำเภา อู่ต่อกำปั่นเรือรบ พูดจากับเจ๊กจีน ฝรั่งมังค่าก็รู้เรื่อง เข้าเจ้าเข้านายก็ไม่ประหม่าเงอะเงิ่นเคอะเขิน ในหมู่นักเลงหัวไม้ก็ดูเหมือนเขาก็ไม่น่าจะระย่อ มาพบที่ข้างวัดประยุรวงศาวาสในค่ำคืนหนึ่ง

“พวกโรงฝิ่นตามตรอกซอกซอย มันลักลอบเปิดกันอีกแล้ว แม้โทษจะหนักหนา ถูกจับ ถูกเฆี่ยน ถูกปรับแทบล้มประดาตาย มันก็หาเข็ดขามกันไม่ เรือสำเภาเจ๊สัวทั้งหลายทุกลำถูกกักที่ด่าน ถูกค้นอย่างเข้มงวด ฝิ่นก็ยังเล็ดลอดเข้ามาให้เต็มไป”

ทนายหนุ่มผู้เป็นมือเท้าให้คุณช่วง นายน้อย บ่นอย่างหงุดหงิดแทนเจ้านายตน

“ขอประทานโทษนะขอรับ หากกระผมจะพูดว่า…เรือที่มีขุนนางข้าราชการคุ้มครองดูแล เป็นหุ้นเป็นส่วนอยู่ด้วยก็มีอยู่หนาขอรับ”

ฮุนแย้มความคิด

ทนายพดถอนใจ ยอมรับ

“จริง มีข้าราชการร่ำรวยด้วยสนับสนุนพวกเรือสำเภา ลักลอบเอาฝิ่นเข้ามาในพระราชอาณาจักร อย่างสงขลา แลพัทลุงนั่น…เป็นที่รู้กัน แลนอกนั้น ตั้งแต่ระยอง เมืองละมุง ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี ชุมพร ถึงตะกั่วป่า พังงา ก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันเอาเลย ยิ่งปราบปราม ก็ยิ่งหนักหนา ยิ่งห้าม เหมือนยิ่งยุ”

“เรือแขก เรือฝรั่ง ที่ไม่ถูกตรวจค้นก็มีอยู่… มิใช่รือขอรับ”

ชายหนุ่มจีนขัด ฐานที่ทนายพดว่ากล่าวแต่เรือจีน

“เรือฝรั่งนั้นรอดพ้นไปได้มากเพราะเรากับเขาต่างงัดข้อกันอยู่ ตั้งแต่เบอร์นี่มาขอทำสัญญาเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้วไม่ได้ดั่งใจสักสิ่ง ที่อยากเอาฝิ่นเข้ามาเราก็ไม่ให้ จากนั้น เราก็เลยหลีกเลี่ยงไม่อยากจะมีข้อพิพาทให้สะเทือนสัมพันธไมตรีกัน หากค้นแล้วพบก็ดีไป แต่เมื่อค้นแล้วไม่พบ มันก็มักเยาะหยันส่อเสียดคนของเรา แลกระทบกระทั่งกัน ซึ่งไม่เป็นผลดี”

ทั้งสองชายพูดจากระซิบกระซาบกันในมุมมืดริมคลอง มีไฟโคมน้ำมันมะพร้าวบนเสาข้างทางให้แสงรุบรู่

“หากยอมให้เขาเอาเข้ามาแบบถูกต้องแลเก็บภาษีเข้าพระคลังเสียเลยล่ะขอรับ ให้มีโรงฝิ่นเช่นบ่อนเบี้ยบ่อนหวย จักทำให้พระคลังหลวงร่ำรวยเสียเอง จะดีกว่าไหมขอรับ”

“โอ๊ย…อย่าหวังเลย พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงชิงชังนัก แช่งชักหักกระดูกเป็นนักหนา ทรงเห็นว่าฝรั่งมันใช้ฝิ่นนี่แลเป็นอาวุธบ่อนทำลายจีน คนจีนติดฝิ่นงอมแงมหมดเรี่ยวหมดแรง ถึงมีจำนวนคนมาก แต่ฝรั่งมันก็อาจจักตีเอาได้ไม่ยาก หากคนในบ้านเราติดฝิ่นกันมากๆ เข้า ฝรั่งก็คือผู้ที่จะได้อัฐจากฝิ่นมากกว่าจากสินค้าอื่นทั้งหมด”

ทนายพดชี้แจง

“แล้วคุณพด จักใช้กระผมทำสิ่งใดรือ”

ฮุนเข้าประเด็น

“ที่ต้องร้อนถึงเอ็ง ก็เพราะไอ้พวกคนงานที่อู่บางคอแหลม มันริไปแอบดูดฝิ่นกับเขาด้วย พวกจีนที่เข้ามาทำพร้อมเอ็งนั่นแหล พอถึงเพลาทำงานก็หมดเรี่ยวหมดแรงไปตามๆ อยากจะเฉดหัวออกไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่หากไล่ออก ก็ต้องรับคนใหม่เข้ามาอีก แลต้องมาสอนงานให้อีก เสียแรง เสียเวลาจริงๆ”

ทนายพดเหนื่อยหน่าย

“ไอ้พวกนี้…มัน…”

ฮุนอยากด่าหยาบคายออกมา เมื่อนึกถึงหน้าเหล่าสหาย

“ไปดึงพวกมันออกมา…ช่วยหน่อยเถิดฮุน”

หนุ่มลูกผู้ดีผู้มีบุคลิกฝรั่งนักค้าขายผสมข้าราชบริพารสยามกลมกลืนในคนเดียวทอดเสียงขอแรงอย่างมั่นใจ ว่าอีกฝ่ายต้องไม่ขัด

“ขอรับ…”

ฮุนก้มหน้ารับ

“ได้ยินมาว่า…ทางนครบาลเขาจักเข้าถล่มโรงฝิ่นทุกแห่งในเร็ววันนี้ แลจักลงโทษให้จงหนักเพื่อให้เป็นเยี่ยง…ทั้งคนค้า คนเสพ ท่านเจ้าคุณพระคลังไม่ต้องการให้มีพวกคนงานที่ผูกปี้ขึ้นกับเรา…ไปปะปนในพวกที่ถูกจับถูกลงโทษด้วย”

“ขอรับ”

“ห้ามแล้วห้ามอีก คาดโทษสารพัด พวกมันก็กะล่อนตลบตะแลง…ดอดหนีไปเสพกัน มีแต่เอ็ง ที่จักพูดจาให้มันเชื่อฟัง กลับเนื้อกลับตัวได้ ข้าเชื่อเช่นนั้น อาฮุน

ทนายพดเลือกใช้ไม่ผิดคนจริงๆ

คืนนั้นเอง ที่เจ้าคุณอินทราและลูกน้องนครบาลคณะใหญ่ นั่งประชุมล้อมวงกันที่เรือนแพของท่าน

“ยังไม่มีผู้ใดหาหลักฐานมามัดหันแตรได้ขอรับ เจ้าฝรั่งผู้นี้มันมีกลวิธีรวบรัดตัดตอนได้ชะงัดอยู่”

มือปราบชั้นคุณพระท่านหนึ่งเคืองใจนัก

“เพียงสงสัย…หากเราทำอะไรไป จะถูกหาว่าทำเกินกว่าเหตุได้ อ้ายฝรั่งตัวร้ายนี้จักหาเรื่องมาปั่นป่วนบ้านเมืองไม่รู้จบ”

นครบาลอีกท่าน กล่าวถึงโรเบิร์ต ฮันเตอร์ พ่อค้าเชื้อสายสก็อต ผู้ได้บรรดาศักดิ์เป็นถึงหลวงอาวุธวิเศษพานิชอย่างชิงชัง

“เอาเถิดๆ อย่าเสียเวลาพูดถึงฝรั่งเลย มาพูดถึงพวกจีนเจ้าของโรงฝิ่นกันดีกว่า มีรายชื่อผู้ใดบ้าง ที่จักไปลากคอมาได้ทันที”

หมื่นโชครีบรายงาน

“อ้ายซุนกี่…คนแรก ถูกจับแล้วจับอีก ปรับแล้วปรับอีก มันก็หาได้เข็ดหลาบไม่ แล้วยังมีอ้ายจีนเส่ง อ้ายเจ้าสัวเอี้ย อ้ายเม้งหน้าปรุ…”

“เจ้าสัวเอี้ยมันมีพวกจีนฉะเชิงเทราเป็นกองทัพเลยขอรับ ที่รวมหัวกันอยู่”

หมื่นเดชฟ้อง

“เลวทรามนัก ไอ้พวกอกตัญญู…หนีภัยอดอยากมา ได้บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนรดหัวให้ตั้งเนื้อตั้งตัว ได้ร่ำรวยขึ้นมา…ยังคิดแว้งกัด”

เจ้าคุณอินทรายิ่งพูด ยิ่งโมโห

หมื่นรวยวางรายการที่เขียนรายชื่อและที่ตั้งโรงฝิ่นที่สายสืบทำมาให้ลงกลางวง

“นี่รายชื่อแลที่ตั้งโรงฝิ่นที่ลักลอบทำกันอยู่ขอรับ ส่วนใหญ่ก็อยู่ตามตรอกซอกซอยไม่ไกลจากท่าเรือทั้งหลายนี่แล เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง อยู่หลังบ้านเจ้าสัวบางคนบ้างก็มี

“บ่อน ซ่อง โรงฝิ่น ล้วนแต่เป็นต้นเหตุความชั่ว ทั้งหมดนี้ มีพวกคนจีนเป็นเจ้าของทั้งนั้น

อ้ายเดช มึงไปหาโจโรฤกษ์ที่จะมาถึงนี้ ที่ใกล้ที่สุด กูจักนัดแนะทางพระพิเรนทรฯ ให้ลงมือพร้อมๆ กันทุกโรงฝิ่นในคืนเดียว”

ลูกน้อยของนวลวิ่งเล่นเข้ามา

ทุกคนหันไปมอง สีหน้าถมึงทึงของชายฉกรรจ์ทั้งนั้น ทำให้หนูน้อยกลัว จึงหยุดกึก และร้องไห้จ้าขึ้น

นพที่เป็นคนนครบาลเต็มตัวกับเขาแล้ว หันมาร้อนตัว กลัวถูกด่า

“ไอ้หนู!”

เขารีบลุกไปอุ้มหลาน

“หนูๆ โอ๋ๆๆ มาหาลุงมา จุ๊ๆๆ เงียบ เจ้าหนูน้อยเอ๊ย…”

นพยิ่งพยายามปลอบ หลานก็ยิ่งร้องหนักขึ้น

เจ้าคุณหน้าตึง ตะโกนลั่น

“นวล…นวล…อีนวล!…”

นวลวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา

สามีบันดาลโทสะ ลุกมาด่าต่อหน้าที่ประชุม

“หลานมันมาสืบแผนจับพวกคนชั่วสัญชาติเดียวกับน้าเขยของมันรือ ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วยังไม่ไปนอน เดี๋ยวกูก็จับถ่วงน้ำให้ตายตามน้าสาวมันไปเสียให้หมดดอก”

นวลหน้าซีด ทั้งโกรธและกลัวที่ผัวลากประจานไม่ไว้หน้า รีบแย่งลูกจากมือลุงนพ อุ้มหนีไปโดยเร็ว

เจ้าคุณมองตามไปแล้วหันมาพาลทางนพด้วย

“มึงก็อีกคน รู้อันใดแล้วชอบแย้มพรายนัก รักจักทำราชการกับกู ต้องรู้ว่าแม้แต่พี่น้องลูกเมีย ก็ให้ยินความนัยใดๆ มิได้ ขืนไม่รู้กาลเทศะอีก กูจักไล่ให้ออกไปเก็บทุเรียนเก็บกระท้อนกินตามเดิม”

พวกนครบาลผู้ใหญ่และหัวหมื่นคนอื่นๆ หันมามองนพเป็นตาเดียว บ้างสมเพช บ้างเวทนา ที่เจ้าคุณไม่ไว้หน้าพี่เขยคนนี้เอาเสียเลย

นพอยากจะแทรกแผ่นดินหนี รู้ดีกว่าพวกหัวหมื่นทั้งสามเหยียดหยามเขาเสมอมา แต่เมื่อเลือกก้าวเข้ามาทางนี้แล้ว นพก็จำต้องกัดฟันทนไปให้ถึงที่สุด

 

ในแสงมลังเมลืองจากโคมมังกรบุกระจกแดงกระจกเขียวสองสามดวง

สิ่งที่วางอยู่ที่โต๊ะเล็กข้างเตียงตั่งฝังมุก คือกลักฝิ่นเงินแท้หรูหรา ดุนลายมังกร ฝังพลอยสี เข้าชุดกับกล้องสูบฝิ่นฝีมือประณีตในมือเหี่ยวซีด ที่เล่นล่อประกายไฟไหวระยิบวาวในกลุ่มควันอวลเอียน ยามชายจีนชราขยับหัว กรีดนิ้ว สูบสูดควันฝิ่นเข้าปอด

ศีรษะของเจ้าสัวชราผู้นั้น เกลี้ยงโกนจนขึ้นเงาวับ สยายผมสีขาวด้านหลัง ที่ปกติถักเปียจนหยักเป็นคลื่น แผ่เต็มหมอน ร่างผอมบางห่มเสื้อคลุมไหมสีเข้ม นอนระทวยอยู่บนที่นอนแพรเพลาะ

ถัดไปเพียงฉากกั้น หลังม่านลูกปัดแก้วโปร่งใส เล่นแสงตะเกียงวับๆ แวมๆ เห็นบนโต๊ะเล็ก มีกลักฝิ่นทองคำที่ลงยาสีเบญจรงค์เป็นลายเครือเถา

เจ้าของกลับเป็นชายหนุ่มร่างเล็ก เปลือยกายเห็นผิวเหลืองผ่องหลังลับแลรำไร มีสาวงามขาวอวบอัดเคลียคลอในผ้าผ่อนหลุดลุ่ยล่อแหลม กำลังป้อนกล้องสูบฝิ่นให้ สลับกันดูดควันไปมา

ระหว่างแถวเตียงในห้องหับอันหรูหรา เด็กหนุ่มที่ทำหน้าที่บริกร คอยเดินสอดส่ายสายตาไป จัดวางเติมน้ำร้อนน้ำชา ขนมหวาน และเปลี่ยนกระโถนปัสสาวะให้ หากผู้ใดต้องการ

ฮุนเดินเข้ามา สอดส่ายสายตาเพ่งฝ่าหมอกควันในแสงอันจำกัด ทว่าภาพในห้องนั้นเลือนรางดังฝัน

หนุ่มน้อยบริกรเห็นชายหนุ่มจีนร่างใหญ่โดดเด่น ไม่คุ้นตา แถมยังมีท่าทางอันผิดแปลกแตกต่าง เข้ามาสอดส่ายสายตามองหา ลังเล งุนงง จึงเข้าไปไต่ถาม

ฮุนพยายามอธิบายลักษณะคน

เด็กนั้นส่ายหัว ผายมือให้ฮุนดูความวิจิตรหรูหราของสถานที่

ฮุนรีบก้มหัวขออภัย ถอยออกไปรวดเร็ว

ที่แท้โรงฝิ่นซึ่งเหมาะสมฐานะของบุคคลซึ่งฮุนตามหา อยู่ในหมู่อาคารเดียวกันนั่นเอง เพียงแต่หันหลังชนกัน และหันหน้าประตูทางเข้าสู่อีกตรอกทางด้านหลัง

ในแสงตะเกียงสังกะสี ไม่ประณีต ท่ามกลางกลุ่มม่านควันคลุ้ง ตั้งแคร่ๆ ไม้เรียงรายเป็นแถว ในห้องฝากระดาน

เห็นกลักฝิ่นเหล็กบุบบิบสำหรับคนอีกชนชั้นวางอยู่ตรงหน้าลูกค้าแต่ละราย ของใครของมัน

วันที่ 18 เมษายน ปีพุทธศักราช2382 หลังจากวันนี้ไปอีกประมาณเกือบปี มีพระราชโองการปราบฝิ่นครั้งใหญ่ กลักฝิ่นมากมายที่ถูกยึดมาได้ สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้รวบรวมมาเผาทำลายที่สนามชัย หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ทรงนำกลักฝิ่นจำนวนมากมาหล่อเป็นพระพุทธรูปที่โรงหล่อของหลวงในพระบรมมหาราชวัง และอัญเชิญมาประดิษฐานที่ศาลาการเปรียญ วัดสุทัศนเทพวราราม โดยผู้คนในขณะนั้นเรียกว่า”พระกลักฝิ่นต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระราชทานนามว่า พระพุทธเสรฏฐมุณี

 ฮุนเดินสอดส่องไปทุกซอกมุม จนพบสามสหายกำลังนอนกองกันเขลงบนแคร่ที่เลื่อนมาชิดติดกัน สีหน้าสุขสมเคลิ้มสบายอย่างยิ่ง

ชายหนุ่มแค้นเคืองใจจนสุดระงับ เมื่อเดินเข้าไปปัดกลักฝิ่นและอุปกรณ์อำนวยสุข อาทิกาน้ำร้อนนำชา ถ้วยขนูกขนม กระเด็นกระจัดกระจาย

แชงัวเงียมามอง แล้วกะพริบตาถี่ๆ เมื่อเห็นหน้าฮุนเลือนรางดังฝัน

“อาฮุน มาๆๆๆ”

ฮุนกระชากคอแชขึ้น เขย่าแรง

“ไอ้หมาข้างถนน พวกลื้อทำตัวแบบนี้ถึงถูกคนเขาดูถูกเหยียดหยาม ไป…กลับ!”

ฮุนหนีบคอแชไว้ที่รักแร้ แล้วก้าวข้ามไปที่ไห่ ดึงเปียขึ้นมา

“ไอ้ไห่ ถ้าอาม่าลื้อรู้ว่าลื้อมาเป็นแบบนี้ ม่าจะเสียใจแค่ไหนวะ”

ชายหนุ่มลากเปียของซานขึ้นมาอีกหาง แล้วเอามารวบไว้รวมกันสามคนเป็นพวง ใช้กำลังลากออกไป

แช ไห่ ซาน พากันร้องเอะอะโวยวายล้งเล้ง เพราะทั้งเจ็บตัว ตกใจ ไร้สติ

ที่ประตูด้านหน้า นักเลงคุมโรงฝิ่นนับได้เกินห้าโผล่มาขวาง ตั้งท่ามวยจีนพร้อมเลียะพะ พึ่บพั่บ

ฮุนแสยะ กวาดสายตา หาทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อน

ชายเหล่านั้น ที่ต่างรูปร่างหน้าตา ไทยจีน สูงต่ำ ดำขาว ล่ำสัน ผอมเกร็ง คละลักษณะ กรูเข้ามารุมอย่างไม่มีกระบวน

ฮุนอาศัยความได้เปรียบที่แข็งแรงสูงใหญ่และมีช่วงแขนขายาวกว่า ใช้ร่างเพื่อนทั้งสาม หมุน หัน สลับหลังบ้าง หน้าบ้าง เข้ารับหมัด รับเท้าแทนตัวเองบ้าง แต่ก็มีหลายดอก ที่ต้องเอาตัวเองเข้าป้องกันเพื่อน

ฮุนจึงโดนมือเท้าเข่าศอกไม่ใช่น้อย

ฝ่ามือของใครบางคน ซัดเข้ามาโดนครึ่งปากครึ่งจมูกชายหนุ่มเต็มรัก เลือดกำเดาไหลพรากออกมาทันใจ พร้อมกับริมฝีปากที่กระแทกฟันตัวเองจนแตกเป็นแผล

แช ไห่ ซานโดนเตะต่อยเข้าไป ย่อมสวนกลับตามสัญชาตญาณ มีสติบ้าง ไม่มีสติบ้าง แต่ก็เกาะฮุนเป็นหลัก จนถูลู่ถูกังกันออกไปได้

ฮุนลากฉุด ดึง เข็นเพื่อนๆ จนออกถึงปากตรอก

ทันใด ชายร่างใหญ่ ผมเปียหนาดำยาวเป็นพิเศษ หน้าปรุข้าวตัง มีปืนกระบอกเขื่องในมือ ก้าวมาขวางทาง

“เฮียเม้ง! เฮียเม้ง!”

เสียงนักเลงโรงฝิ่นเรียกขานขรม

“ลื้อเป็นใคร มาเสือกอะไรกับโรงฝิ่นอั๊ว…”

เฮียเม้งกางขา ผกผายไหล่ผึ่ง ปืนในมือขึ้นลำแกร๊ก จ้องตรงมาที่กลางหน้าผากฮุน

ฮุนสูดจมูก พยายามจะให้เลือดหยุด แต่มันไม่ยักหยุด แต่เขากลับยิ้มดุดัน ดวงตาไม่หลุดความพรั่นพรึงออกมาให้ถูกจับได้

“มึงไม่อยากรู้หรอก ว่าอั๊วเป็นใคร”

เม้งชะงัก

ไฉนไอ้หนุ่มแปลกหน้า จึงมีแววตาที่บ่งบอกถึงความสำคัญของตัวมันถึงเพียงนี้

“อยากยิงก็ยิงเลย พรุ่งนี้ โรงฝิ่นลื้อลุกเป็นไฟแน่ ถ้าไม่อยากซวยก็รีบเลิกกิจการซะ ไม่งั้น ลื้อได้ถอนรากถอนโคนจากบางกอกตลอดไปแน่”

ฮุนพูดไป กำเดาไหลไป ปากเจ่อบวมเป็นครุฑ แต่วางท่าองอาจ มั่นใจ น้ำเสียงเปี่ยมพลังอำนาจ ต่างจากกุลีคนงานแม้แต่เสมียนบริษัทร้านค้าทั้งหลาย

เม้งลดปืนลง ไม่รู้ตัว

ฮุนเชิดหน้าสง่า ลากผมเปียสหายทั้งสาม เดินลอยชายออกไปอย่างสบายใจ ไม่แม้แต่จะเช็ดเลือดตัวเอง ที่หยดพรากๆ ลงมาเป็นสาย

เม้งมองตาม หันถามพวกนักเลงสะบักสะบอม ที่เข้ามารายล้อม

“มันเป็นใครวะ”

ทุกคนดูงงงัน

ตอนนั้นเอง ที่เด็กรับใช้โรงฝิ่นใหญ่เดินมาสมทบ

“คนงานอู่ต่อเรือบางคอแหลมครับ มันมาถามหาคนงานลูกน้องกลับ”

“ไม่ใช่สายของพวกเจ้านายหรือ”

เม้งหมายถึงพวกขุนน้ำขุนนางคนใหญ่โต

เด็กบริกรส่ายหน้า

“ไอ้เฮงซวย ลักไก่อั๊ว!”

เม้งหันกลับ วิ่งตามไป พลางเล็งปืน

ฮุนหันมาเห็นพอดี ชายหนุ่มสลัดทิ้งเพื่อนสามคนทิ้ง วิ่งใส่ตีนหมาโกยอ้าวแบบสลับฟันปลา

เม้งไม่รู้จะเล็งอย่างไร จึงยิงปัง ประกายไฟแล่บแปล๊บ ควันขึ้นโขมง

ลูกปืนไม่โดนใคร แต่ปลุกสติไห่ แช ซานให้ตื่นตาสว่าง วิ่งกันหกล้มหกลุกฝุ่นตลบ

 

ที่ห้องหลังศาลเจ้าของสกุลอึ้ง แซ่ดั้งเดิมของท่านเจ้าสัวโต เวลารุ่งสาง

กงของฮุนกำลังต้มน้ำในกาใบใหญ่ในครัว

อาเหมยเดินเข้ามาเมียงมอง

“น้ำร้อนหรือยังจ๊ะ กง”

เธอถามเป็นภาษาฮกเกี้ยน

“ยัง…ยังไม่เดือดเลย”

“ไม่ต้องถึงเดือดหรอกจ้ะ พอดี ลวกเนื้อหนังพองหมด มา…กง…หลีก!”

กงถอยตามคำสั่ง

เหมยประคองอ่างดินเผามาตั้ง รินน้ำจากกา ที่ร้อนควันโขมงอย่างระมัดระวัง

ฮุนนอนซมบนที่นอน หน้าตาช้ำ ปูด บวม ปากแตกเจ่อที่ รูจมูกข้างหนึ่ง มีเศษผ้าฝ้ายปั้นเป็นจุกเล็กๆอุดอยู่ ร่างกายท่อนบนที่ไม่สวมเสื้อ มีรอยกระแทก บอบช้ำอยู่หลายจ้ำ รอยขีดข่วนไม่นับ

เหมยเข้ามายืนมอง ถอนใจเอน็จอนาถ

กงตามมาข้างหลัง

“กงก็ไม่ห้าม ปล่อยให้อาฮุนไปต่อยตีกับนักเลงได้อย่างไร”

หญิงสาวจับมือหยาบใหญ่ที่มีรอยแตกเลือดซิบตามข้อ

“ฮุนอีเป็นช่างเขียน มือของอีเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุด หากมืออีเจ็บ นิ้วหักไป จะจับพู่กันมาเขียนรูปไม่ได้อีกนะกง”

“มันไปทำอะไรที่ไหน มันไม่เคยมาบอกซักทีนี่หว่า”

กงเถียง

เหมยเอาผ้าชุบน้ำร้อน ค่อยๆ แตะซับบนใบหน้าชายหนุ่มไปมา

ค่อยๆ ดึงเอาเศษผ้าที่ม้วนเป็นก้อนเล็กๆ ออกจากรูจมูกข้างที่เลือดออกแผ่วเบา ระบายลมหายใจโลงอก เมื่อพบว่าเลือดกำเดาหยุดแล้ว

ฮุนลืมตาขึ้นมามองดู พอเห็นดวงหน้างามผ่องของหญิงสาว เขาก็เรียกออกมาด้วยน้ำเสียแหบแห้ง

“อาเหมย…”

“เป็นอย่างไรบ้าง อาฮุน”

ฮุนส่ายหน้า แล้วหลับตาลงต่อ ด้วยพิษบาดแผลอันระบมบอบช้ำทั้งตัว

อาเหมยทรุดลงนั่งข้างๆ กายเขา หันสบตากับอากงด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง

 



Don`t copy text!