เครมบูเล หวานอมขมรัก บทที่ 1 : เราจะรอดใช่ไหมแม่?

เครมบูเล หวานอมขมรัก บทที่ 1 : เราจะรอดใช่ไหมแม่?

โดย : คุนนภา

Loading

เครมบูเล หวานอมขมรัก นวนิยายโดย คุนนภา หนึ่งในผู้เข้าประกวดจากโครงการช่องวันอ่านเอาครั้งที่ 2 เมื่อรสชาติความรักประหนึ่งรสชาติเครมบูเลที่ทั้งขมและหวาน เหมือนความรักที่มีอุปสรรคดั่งไฟที่เผาไหม้ หากทนร้อนได้ก็จะได้รสชาติความรักที่กลมกล่อมยิ่งขึ้น แต่ณมินจะทนได้ไหม เมื่อเธอคือหน้าใหม่ในวงการความรักที่มีสองหนุ่มมาให้เลือก

—-15 ปีต่อมา—-

 

ประตูบานพับคู่สีน้ำเงินสดนั้น เคยถูกเปิดเข้าเปิดออกไม่ต่ำกว่าห้าครั้งในทุกๆ ห้านาที หรืออาจจะบอกว่านาทีละครั้ง หรือทุกนาทีครั้ง หรือง่ายสุดก็เปิดเข้าเปิดออกอยู่ตลอดเวลา หรือจะพูดยังไงก็พูดไปเถอะ เพราะทุกวันนี้มันไม่เป็นแบบนั้นแล้ว

ตั้งแต่มีร้านกาแฟและขนมหวานชื่อดังๆ มาเปิดอยู่ในรัศมีใกล้กัน  ‘ร้านมิลลิเมตร’ ก็มียอดขายดิ่งลงฮวบๆ ทั้งที่สมัยก่อน ร้านของเราคือจุดนัดพบของเด็กโรงเรียนมัธยมในละแวกนี้ ในยุคเฟื่องฟูนั้นถึงขนาดต้องจองที่นั่งล่วงหน้า ประมาณว่าจองเช้าเพื่อมากลางวัน จองกลางวันเพื่อมาเย็น เรียกได้ว่าหากนั่งขี่คอกันได้ก็คงจะทำ

“ฉันคนนึงแหละ โตมากับร้านนี้เลย มานั่งติวข้อสอบตั้งแต่ก่อนเข้าม.หนึ่ง ทำการบ้านที่นี่ระหว่างรอพ่อกับแม่… โดนจีบก็ที่นี่ ถูกบอกเลิกก็ที่นี่ ยังไงเราก็จะขอเป็นแฟนตัวยงของร้านนี้ตลอดไป ต่อให้เข้ามหาวิทยาลัยเราก็ยังจะมาที่นี่ ต่อให้เรียนจบมีงานทำแล้วเราก็จะมาด้วยซิเอ้า”

นั่นเป็นคำให้การของบรรดาลูกค้าบางส่วนที่บอกว่าจะขอเป็นเอฟซีของร้านเราตลอดไปชั่วนิรันดร์กาล

แต่แล้ว! พอถึงวัยเข้ามหาวิทยาลัยจริงๆ ก็เหลือเพียงฉันคนเดียวที่ยังมาสิงสถิตย์อยู่ที่ร้านนี้ อย่าว่าแต่จบแล้วมีงานทำเลย ฉันคงต้องมาที่นี่ไปตลอดตราบที่ยังไม่เลิกกิจการ  เพราะชื่อมันฟ้องอยู่แล้วว่าเป็นร้านของฉันเอง มิลลิเมตร ที่ขยายมาจากชื่อ  ณมิน ของฉัน

“หรือว่าปัญหามันมาจากชื่อร้านนะแม่ เราลองเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ฟังดูอินเตอร์หน่อยดีมั้ย แบบสตาร์บาร์ค ทอมแอนด์ทอม แอนนาแอนด์ไอ อิมซอมเนียร์ ไอโซเลท แน๊บแน๊บ บีฟอร์แอนด์อาฟเตอร์แอนด์ยู้ อะไรยังงี้ดีมั้ยแม่ มินว่าชื่อร้านเรามันดูกระจิ๋วหลิวไปหน่อย มิลลิเมตรนี่มันเล็กกระจี๊ดเดียวเองนะ เราควรจะฝันให้มันบะเร่อเท่อกว่านี้ หรือเรียกให้ใหญ่ยาว เป็นกิโลเมตร เข็มไมล์ น็อททะเล อย่างนี้ดีกว่ามั้ยแม่”

ฉันออกไอเดีย มันคงแหล่มมาก จนแม่ที่นั่งทำบัญชีร้านอยู่ต้องเอาสมุดบัญชีเคาะกระโหลกดังโป๊ก

“โอ๊ย! เจ็บแม่…ตีหัวมินทำไม”

“ก็อย่าเอาแต่ล้อเล่นเรื่องชื่อสิ  ชื่อนี้เป็นสิริมงคลจะตาย ชื่อจริงพ่อแกก็ตั้งให้เสียดิบดี ตอนตั้งชื่อร้าน ทั้งหลวงพี่ทั้งบาทหลวงก็เออออเห็นด้วย ถ้ามันจะเจ๊ง อย่าไปโทษชื่อ…โทษอย่างอื่นโน่นไป๊”

พอไม่ให้โทษชื่อร้าน ฉันก็เลยต้องกางตำราการตลาดที่เรียนมาวิเคราะห์ปัญหาว่าควรจะโทษอะไรดี?

ร้าน มิลลิเมตรเปิดมาได้สิบกว่าปีแล้ว ตอนนั้นฉันเพิ่งอายุได้ 5 ขวบ ตอนนี้ 19  แรกเริ่มมาจากที่แม่ได้เงินค่าหย่าจากพ่อมาก้อนนึง เลยทุ่มซื้อตึกแถวซึ่งกึ่งไฮโซอยู่ในซอยเชื่อมระหว่างโรงเรียนมัธยมดังสองแห่ง เป้าหมายชัดเจนขนาดนี้แม่ก็เลยเลือกทำธุรกิจเปิดร้านเบเกอรี่ขนาดน่ารักๆ ขึ้นมาร้านหนึ่ง ทำเลดีมากเชียวแหละ เพราะตึกแถวนั้นเป็นห้องหัวมุมที่มีที่เปล่าด้านข้างก็เลยได้ไอเดียต่อเติมด้านข้างเป็นร้าน  ตอนออกแบบแม่ขอให้แฟนเก่าแม่ (และยังเพียรจีบแม่อยู่ในยุคนั้น) ที่เป็นสถาปนิกมาช่วย เขาบอกว่าควรทำเป็นแนวคอทเทจเก๋ๆ เพราะเหลือที่เปล่าไม่กว้างนักหากทำสวนสไตล์อังกฤษก็ทำให้อบอุ่นดีตัดกับบรรยากาศโดยรวมที่เป็นตึกแถว ส่วนแม่นั้นชอบอะไรที่ดูเป็นประภาคารกับรักสีน้ำเงิน สถาปนิกแฟนเก่า จึงต้องเอาไอเดียมาผสมกัน จนเกิดเป็นร้านประตูน้ำเงิน หน้าต่างกระจกทรงกลม และหลังคาทรงสูง สูงเท่าที่ยังดูสวย

นับจากนั้นร้าน   มิลลิเมตรจึงกลายเป็นโฮมออฟฟิศไปด้วย เป็นจุดนัดพบของเด็กสองโรงเรียน เป็นจุดนัดฝันของเด็กที่รักการติว และเป็นที่พึ่งพาให้กับครอบครัวของเราซึ่งมีเพียงฉันกับแม่

แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ร้านใหม่ๆ เกิดขึ้นพรึ่บทั่วซอย ตัวเลือกมากยิ่งกว่าร้านสะดวกซื้อ ร้านของเราจึงตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม ว่าจะไปต่อหรือพอก่อน

“แม่ไม่มีทางเลิกทำร้านหรอก ต่อให้แกก็ต้องทำต่อ มีหลาน หลานก็ต้องทำต่อ ห้ามทิ้ง ห้ามขายเก็บไว้เป็นมรดกทุกชาติไป คิดดูสิ บ้านพร้อมร้านแบบนี้ อยู่กลางเมืองขนาดนี้ แกจะไปหาได้ที่ไหนอีก”

แม่ยืนกรานบนพื้นฐานความจริงด้านอสังหาริมทรัพย์  แต่เฟ้อเจ้อมากในแง่ธุรกิจเบเกอรี่

ก็ร้านเราน่ะ รับขนมมาขายร้อยเปอร์เซนต์ แถมยังชงเครื่องดื่มตามสูตรมาตรฐานทั่วไปที่เขาทำขายกัน ไหนเลยจะสู้พวกแบรนด์ข้ามชาติ อย่างชานมไข่มุกงี้  กาแฟนอกงี้ แล้วยังพวกขนมซิกเนเจอร์ ครัวซองค์ มัฟฟิ่น มาการอง ซอฟเค้ก โดนัท บลาๆๆๆ ที่มักเปิดขายแบบเฉพาะเจาะจงร้านละอย่าง หนึ่งร้านหนึ่งเมนูสู้ตาย แบบนั้นได้ละ

มองดูในตู้ขนมขอบไม้เก่าแก่ในร้านสิ… ช็อคบอลร้อยปี แข็งโป๊กที่ยังโรยเม็ดสะท้อนแสงแบบที่เรียกว่ายินตัน (คืออะไร? ใครบอกฉันที) แซนด์วิซร้อยชาติไส้หมูหยองกะชีทแผ่นบางเฉียบกันเปียกชื้น เค้กโบราณหน้าดอกกุหลาบปนกล้วยไม้นั่นอีก…งื้อ แบบนี้เด็กที่ไหนมันจะอยากซื้อกินจริงมะ!

แต่ปัญหาแรกฉันโทษที่แม่ไม่ยอมเปลี่ยนซัพพลายเออร์ (ซึ่งฉันจะขอเรียกสั้นๆ ว่าซัพฯ )  ที่ชื่อพี่ส้มหวาน  พี่แกส่งขนมให้ที่ร้านตั้งแต่ยุคแรกๆ สมัยนั้นฟอร์มดีจริงๆ ทั้งรูปร่างหน้าตารสชาติ สอบผ่านหมด แต่ครั้นมาช่วงหลังๆ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ขนมเปลี่ยนรส เหมือนเปลี่ยนคนทำ แล้วยังการสร้างสรรค์เมนูต่างๆ ก็ติดอยู่แยกคลองตัน ไปไม่ถึงพัฒนาการเสียที ออกมาซ้ำๆ เดิมๆ ฉันเคยยิงกับแม่ไปหลายรอบ บอกให้เปลี่ยนซัพฯ เหอะ แม่ก็ว่า…

“สงสารนาง ก็ขายมาด้วยกันตั้งแต่เปิดร้าน ลงเรือลำเดียวกันขนาดนี้แล้ว จะเทกันลงได้ไง”

สรุปว่าทำร้านเพราะสงสารซัพฯ  !!!!

แต่ก็เหมือนพี่ส้มหวานจะรู้ชะตากรรมดี นางช่วยแม่ลดต้นทุนโดยเพิ่มบริการเสริมเป็นพนักงานผู้ช่วย ทั้งช่วยเปิดและเก็บกวาดร้าน ทุกครั้งที่ว่าง ซึ่งฉันว่าคงว่างทั้งวัน เพราะเช้า สาย บ่าย ค่ำ ก็จะเห็นพี่ส้มหวาน ยืนยิ้มหวานรอรับลูกค้าอยู่หลังตู้ขนม

คุ้มมากแม่!

ฉันเคยคิดหาเหตุผลว่าทำไมรสชาติขนมจากพี่ส้มหวานถึงได้ตกลงฮวบๆ

พอคิดสะระตะดูเล่นๆ ก็พบว่าองค์ประกอบมีอยู่สองอย่าง

อย่างแรก รสนิยม! เพราะสมัยที่ฉันยังไม่เกิด แม่เคยเล่าว่าเรามีขนมกินไม่กี่อย่าง หรูสุดตอนนั้นก็มีโดนัทเจ้าหนึ่งเข้ามาตีตลาด กับหนมปังอีกเจ้านึงชื่ออะไรบอยๆ  ที่สร้างกระแสคนต่อแถวยาวออกมานอกห้าง หลังจากนั้นกระแสไหลบ่าของหมวดเบเกอรี่ โดยเฉพาะของญี่ปุ่นเข้ามาหนักมาก ลิ้นรับรสของลูกค้าจึงเปลี่ยนไป ขนมบ้าน ๆ พื้นเพตลาดโดนเบียดตกตู้…ยกเว้นตู้ที่ร้าน  มิลลิเมตร!

อย่างที่สอง ก็รสนิยมอีกนั่นแหละ! แต่คราวนี้เป็นเรื่องหน้าตา ดูในรายการแข่งเบเกอรี่สิ เชฟขนมหวานในสายตาฉัน พวกเขาไม่ใช่คน แต่เป็นเทพมาจุติ แต่ละคนสร้างสรรค์เมนูได้แบบเหลือเชื่อ อัพจากเมนูพื้นๆ ปั้นใหม่เป็นขนมหน้าตาดี ชื่อหรู ดูแล้วแบบ…น่าฟาดเหลือเกิน

พอองค์ประกอบเหล่านี้มารวมกันเข้า คนกินก็เลยเปลี่ยนแนวไปมาก ขืนแม่ไม่ปรับเรื่องเมนู ฉันว่าต่อให้เชิญอาจารย์คอตเลอร์มาช่วยเขียนแผนกลยุทธ์ เราก็ไม่มีทางสนองพระเดชพระคุณลูกค้าได้หรอก

ปัญหาจริงๆ อีกอย่าง ฉันว่ามันอยู่ที่บรรยากาศด้วยแหละ อย่างแรกที่ควรจะเปลี่ยนคือประตูสีน้ำเงินบานนั้น… มันน่าจะเหมาะเป็นร้านเหล้าแนวฮิทเดนบาร์มากกว่า ลึกลึบชวนค้นหา เอ๊ะ! หรือจะเป่าหูแม่ให้เปลี่ยนเป็นร้านเหล้าเสียเลย คิดเมนูหลักเป็นปิ้งย่าง ตั้งเตาหน้าร้าน เผื่อขายลูกค้าเดินผ่านไปผ่านมาริมถนนได้ด้วย… บรรเจิดไม่เบาเลยเรา

ทั้งหมดนี้ คิดแล้ว เสนอแล้ว…

แต่โดนแม่ปัดตกหมดแล้วพูดเลย!

“หรือเราเปิดแบบยี่สิบสี่ชั่วโมงดีมั้ยแม่?  คือให้นักเรียนมาติวกันตาแตกข้ามวันข้ามคืน แล้วเราก็ขายกาแฟอัดเข้าไป แถมขนมหนักๆ ด้วย แบบนี้ก็เข้าท่าดีนะแม่  เอามั้ย?”

แม่เริ่มตาลอยๆ มองเพดานเหมือนใช้ความคิด ฉันเลยฉวยโอกาสนี้รวบหัวรวบหางเสียเลย

“ดีใช่มั้ยไอเดียร้านกาแฟยี่สิบสี่ชั่วโมงของมิน เอามั้ยแม่? จะได้สั่งทำป้ายเพิ่มเดี๋ยวนี้เลย เอ! หรือแค่ติดสติ๊กเกอร์ตรงกระจกหน้าร้านก็พอ… ไม่ดีๆ ป้ายไฟเลยดีกว่า เพราะต้องเปิดทั้งคืน จะได้สว่างไสวเหมือนปั้มน้ำมัน”

“แล้วใครจะถ่างตาขาย?” แม่ถามทั้งที่ตาบนยังกลอกติดเพดานอยู่อย่างนั้น

“จ้างสิแม่ จ้างลูกจ้างเป็นกะๆ แบบเซเว่นไง” ฉันสวนขวับแบบไม่ทันคิด เปิดช่องให้แม่ได้โอกาสทะลวงใส่เป็นชุดๆ

“ค่าจ้างเท่าไหร่ ค่าแอร์อีกเท่าไหร่ แกลองใช้ความคิดก่อนจะพูดดีกว่ามั้ย แล้วถ้าลูกค้ามานั่งนานๆ จนหลับ แต่ไม่สั่งอะไรกินเลยจะทำยังไง มิยิ่งเพิ่มรายจ่ายอีกหรือไง… คิดน้อยแบบนี้ไม่ผ่าน”

“ว้า…งั้นจะชวนมาประชุมระดมความคิดทำไมละเนี่ย เสนออะไรก็ไม่ผ่านสักที” ฉันบ่นอุบอิบในลำคอ ไม่คิดว่าแม่จะหูดีได้ยินทุกคำบ่น ลุกขึ้นยืนแผดเสียงใส่ดังลั่น ส่วนใหญ่เป็นคำบ่นซ้ำๆ ที่ฉันชินแล้วล่ะ

“ก็ใครจะคิดว่ามีลูกปัญญาทึบขนาดนี้เล่า อุตส่าห์ร่ำเรียนการตลาด หวังพึ่งพาอะไรไม่ได้เล้ยยยย สู้แม่ค้าตามตลาดยังไม่ได้ เสียแรงส่งเสีย เชอะ”

นี่ละน้า…ประชุมกับแม่ตัวเอง โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง เสนอไอเดียไม่ผ่านเพราะตัวเองไม่ถูกใจก็หาว่าเราไม่เก่ง เคยมีพวกรุ่นพี่ๆ ที่จบไปแล้วก็มาบ่นให้ฟังงี้เหมือนกันว่าเวลาเสนองานให้ลูกค้าหรือเจ้านาย ร้อยละเก้าสิบมักจะยิงงานเราก่อนจนร่วง แก้กลับมาสิบแปดตลบก็ยังไม่ผ่าน แต่พอเราแอบเอาร่างหนึ่งไปขาย บ๊ะ! ดันซื้อร่างหนึ่ง แล้วบอกกับเราว่า ทำไมไม่ทำแบบนี้มาตั้งแต่แรก

“แม่จ๋า…แม่จูนจ๋า งั้นแม่ไกด์มินมาสักนิดสิจ๊ะว่าแม่อยากปรับเป็นแนวไหน มินจะได้ไปคิดต่อ อะนะตอนนี้ไม่เปิดยี่สิบชั่วโมงชัวร์ๆ ใช่มั้ย? มินจะได้ไปทำการบ้านคิดเป็นอย่างอื่นมาให้น๊า”

ฉันรีบตามง้อ อันที่จริงก็มีความกังวลเกี่ยวกับร้านเราอยู่ไม่น้อย เพราะจะว่าไปที่นี่เป็นแหล่งรายได้เพียงอย่างเดียวของบ้านเรา ถ้าไม่นับเรื่องค่าเช่าตึกที่เหลือ

“ยังไม่ได้บอกเลยว่าไม่เอา”  แม่กลับคำพูดเสียอย่างนั้น

“อ้าว…แล้วที่ด่าปาวๆ นั่นด่าเพราะเหงาปากเหรอแม่” ฉันเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว การคุยกับแม่นานๆ บางครั้งก็ทำให้ลืมตัวนึกว่ากำลังปะคารมกับเพื่อนสาว พูดง่ายๆ ว่าเริ่มจะลามปามนั่นแหละ แม่ก็คงจะรู้สึกเหมือนกัน เลยคว้าสมุดบัญชีเคาะหัวฉัน ดีที่ตาไว เห็นก่อนตั้งแต่ไหล่ขยับ ฉันเลยหลบทันแบบหวุดหวิด

“เนี่ย…แกก็เป็นเสียอย่างนี้ ฟังไม่ได้ศัพท์ แม่ติเข้าหน่อย ก็คว่ำกระดาน แกยังไม่ได้หาคำตอบที่แม่ถามเลยสักข้อ ไอ้ที่ยิงไปเป็นอย่างๆ นั่น ถ้าแกแก้ต่างได้ หาเหตุผลได้ แกก็เอามาสู้สิ โน้มน้าวจนแม่มั่นใจ… ทำให้มันมีแบบมีแผนกะเขาหน่อย ถ้าถึงเวลาทำงานจริงๆ แกยกแผนกลวงๆ ไปขายลูกค้า เขาไม่ชี้ทางให้แบบแม่หรอก เข้าใจหรือยัง ปัดโธ่”

แม่ฉันเก่ง แม่ฉันเริ่ด ฉันภูมิใจแม่ม้ากมาก! ฉันพูดเลย ใครจะคิดว่า คุยกันประสาแม่ลูก จะกลายเป็นโครงการเสนอบอร์ดไปเสียฉิบ

“โอเคเลย…งั้นแม่ให้มินกลับไปทำพาวเวอร์พอยท์มาเสนอด้วยเลยมั้ย จะได้เห็นภาพ” ฉันประชด

“เออก็ดี ทำงบประมาณมาให้ดูด้วย จะได้รู้ต้นทุน”

“แม๊” ฉันร้องเสียงหลง “นี่เอาจริงๆ เหรอแม่ มินนึกว่าแม่กัดเฉยๆ”

“นี่แม่น่ะ ไม่ใช่แม่เบี้ย จะได้กัดแกได้”

แม่นี่จริงๆ เลย งานแบบนี้มันเรียกว่ารีแบรนด์ดิ้งชัดๆ แม่กะไม่จ้างมืออาชีพ แต่ใช้สองมือ กับหนึ่งสมองของลูกตัวเองฟรีๆ   (ซึ่งฉันไม่ค่อยมั่นใจว่าตัวเองจะมีสมองสักเท่าไหร่นะ)

“แล้วถ้ามินทำมายังไม่ถูกใจแม่ล่ะ”

“ก็ลองดูก่อน ขึ้นต้นมาให้ดู ถ้ามันดี ก็ปรับโน่นนี่ เหมือนอย่างที่แกเสนอเมื่อกี้แล้วแม่ปัดตกเป็นปุจฉา แกก็ไปวิสัชนามาสิ”

“อะโห้แม่ ปุจฉา วิสัชนานี่มินขอเลย อย่าพูดในร้านให้เด็กมันได้ยินเชียว ขอเปลี่ยนเป็น Q&A แล้วกันนะแม่ คำนั้นไม่ผ่านนะ ”

“ได้เมื่อไหร่” แม่ตัดบทฉับ

“อะไรแม่ พาวเวอร์พอยท์อะนะ”

“เออนั่นแหละ จะมาเสนอเมื่อไหร่”

“อะโหแม่ มินก็นอนห้องติดกะแม่นั่นแหละ เสร็จเมื่อไหร่มินจะไปเคาะห้องเรียกนะ หรือมินต้องนัดแม่ล่วงหน้า…เอาเบอร์ต่อเลขามาสิ”

“โป๊ก” สันสมุดลงหัวฉันอย่างแรง ช่วยไม่ได้มันหลบไม่ทันจริงๆ แม่เล่นเล็งเอาไว้แล้วแน่ๆ

 

หลังจากนั้น ชีวิตฉันก็เปลี่ยนไป ในสมองน้อยๆ ของฉันนอกจากเรื่องเรียนก็ยังถูกแบ่งซีกให้คิดแต่เรื่องร้าน เราจะสู้ศึกเอาชีวิตรอดไปได้อย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยกำลังของผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันกับแม่

วันหนึ่งก็เกิดเรื่องผิดพลาดที่เหมือนดั่งฟ้าประทานโอกาสให้กับฉัน  พี่ส้มหวานดันไม่มาส่งขนมให้ที่ร้าน ตอนนั้นฉันโฉบไปลาแม่ก่อนไปเรียนตามปกติ เห็นแม่กำลังเปิดร้านง่วนอยู่คนเดียว  ก็เลยอยู่ช่วยแม่ก่อน พอถามหาพี่ส้มหวานแม่ก็บอกว่าเธอไม่สบาย

“แม่น่าจะจ้างบาริสต้าสักคนนะ เอาที่แบบค่าตัวไม่แพง แต่ใจเต็มร้อย แบบชงน้ำได้ เก็บกวาดร้านได้ด้วย เอามั้ยมินหาพวกเด็กพาร์ทไทม์ให้”

ฉันสนับสนุนให้แม่ทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว แต่แม่บ่ายเบี่ยงมาตลอด ส่วนหนึ่งคิดว่าเพราะแม่กับพี่ส้มหวานช่วยงานในร้านจนเป็นกลายเป็นความสนิทสนม  และดูเหมือนว่าพี่ส้มหวานเป็นฝ่ายพึ่งพาแม่ให้ตัวเองขายของได้  ได้ยินมาว่าร้านอื่นๆ ที่เคยรับขนมจากแกต่างก็พากันยกเลิกไปหมดแล้ว เหลือแค่ร้านเราร้านเดียว

“ไม่รู้ ขอคิดดูก่อน ถ้าลูกค้าเหงาแบบนี้ จ้างมาก็ไม่มีอะไรให้ทำ แม่ว่าทำคนเดียวไปก่อนก็ไม่หนักหนาหรอก”

นึกภาพบรรยากาศร้านเหงาๆ ตามที่แม่พูดแล้วสงสารแม่จัง ดูร้านตรงข้ามนั่นสิ ลูกค้าเวียนเข้าทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ หัวกระไดไม่แห้ง นี่ถ้าบังคับให้ลูกค้านั่งกินที่ร้าน ฉันว่าต้องกางโต๊ะล้นออกมาหน้าฟุตบาทแน่  ร้านนั้นมาเปิดได้สามเดือน วันแรกทำรถติดทั้งซอย เพราะเป็นครัวซองค์มาใหม่จากฝรั่งเศสแท้ๆ เขาประยุกต์เมนู โดยทำแบบสอดไส้ให้ลูกค้าเลือกได้ทั้งคาวทั้งหวาน ต่อมาเชฟก็เพิ่มเมนูอัดเข้าไปตามปากลูกค้า จนต้องจองล่วงหน้าไม่งั้นอด เอาเป็นว่าบรรดาไรเดอร์ มาปักหลักรอรับออเดอร์อยู่ข้างซอยกันอย่างเนืองแน่น…เฮ้อปวดตับจริงๆ ที่เห็นร้านอื่นรุ่งเอารุ่งเอา

ฉันว่า…อยู่ที่เมนูเบเกอรี่นั่นแหละ ของร้านเรามันขาดจุดเด่นจนเกินไป

 

“แม่ พี่ส้มหวานไม่สบายใช่มั้ย” วันต่อมาฉันก็ถามแม่อีก

“อืม..เห็นว่าปวดหัวตัวร้อนธรรมดา แต่ไม่มีแรง แล้วก็ไม่อยากให้เอาโรคมาติดในขนมก็เลยขอเลื่อนส่งไปก่อน”

“เหรอแม่.. เลื่อนถึงเมื่อไหร่ แบบนี้ร้านเราก็ของขาดไปอีกนานนะสิ”

“ไม่เป็นไรหรอก ขายน้ำไปก่อนก็ได้ นี่แม่จะไปซื้อโซดามาทำเมนูใหม่ๆ ดูในยูทูปแล้ว พอทำเองได้แหละ เอ…หรือจะทำแซนด์วิช ซื้อขนมปังโฮลวีดกับของคาวเอามาทำแบบง่ายๆ ดีมั้ย”

ฉันว่าตอนนี้แหละโอกาสเหมาะ ที่จะโน้มน้าวเหตุและผลให้แม่ลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง

“มันก็ไม่ดีอยู่ดี ถ้าไม่มีขนมมาส่ง มันทำให้เราเสียโอกาสขายของนะแม่ เอางี้ดีมั้ย ไหนๆ พี่ส้มหวานก็มาขาดส่งแบบนี้ เราถือโอกาสเปลี่ยนซัพฯ เลยดีมั้ยแม่”

เหมือนจะไม่ได้ผล แม่ปั้นหน้ายักษ์ แล้วตอบกลับเสียงแข็งเหมือนเดิม

“นี่แกเป็นคนใจคอโหดร้ายเลือดเย็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่  คนกำลังแย่แกจะฉวยโอกาสทิ้งเขา… นึกถึงใจเขาใจเราบ้างสิ เมตตาธรรมค้ำจุนโลกา รู้จักกับเขาบ้างมั้ย”

“ใช่แม่ เมตตาธรรมค้ำจุนโลกา แต่ช่วยค้ำจุนร้านเราก่อนดีกว่ามั้ยแม่”

“หยุด!” แม่ตวาด “ห้ามเถียง ยังไงก็จะไม่ทิ้งกัน ฉันจะรอขนมจากส้มหวานเท่านั้น เข้าใจ๋”

แล้วแต่แม่เลย… แล้วจะมาให้เราช่วยทำแผนปรับปรุงร้านทำไม ในเมื่อจะเปลี่ยนซัพฯ ขนมยังทำไมได้เลย

อาจจะต้องทำแผนจริงๆ จังๆ แล้วตื๊อให้แม่เห็นดีเห็นงามด้วยอย่างที่แม่บอกนั่นแหละ เอาละฉันจะลองเปิดตำราทำ SWOT Analysis ร้านตัวเองสู้กับแม่ดูสักตั้ง ฉันจะเริ่มจากหาจุดเด่นจุดด้อย รวมทั้งตัวช่วยเพื่อกู้วิกฤติร้านในครั้งนี้ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าแม่ คือตัว T หรือ Threats อุปสรรคใหญ่สุดของงานนี้ก็ตาม

แล้วฉันก็เริ่มมองหาตัวช่วย…. รายแรกพ่อฉันเอง

 



Don`t copy text!