เครมบูเล หวานอมขมรัก บทที่ 2 : เรื่องของพระแสง

เครมบูเล หวานอมขมรัก บทที่ 2 : เรื่องของพระแสง

โดย : คุนนภา

Loading

เครมบูเล หวานอมขมรัก นวนิยายโดย คุนนภา หนึ่งในผู้เข้าประกวดจากโครงการช่องวันอ่านเอาครั้งที่ 2 เมื่อรสชาติความรักประหนึ่งรสชาติเครมบูเลที่ทั้งขมและหวาน เหมือนความรักที่มีอุปสรรคดั่งไฟที่เผาไหม้ หากทนร้อนได้ก็จะได้รสชาติความรักที่กลมกล่อมยิ่งขึ้น แต่ณมินจะทนได้ไหม เมื่อเธอคือหน้าใหม่ในวงการความรักที่มีสองหนุ่มมาให้เลือก

เมื่อเด็กๆ ฉันสงสัยเสมอว่า พระแสงอยู่ที่ไหน?

เพราะทุกครั้งที่พ่อสะพายเป้หนังออกจากบ้านหายไปเป็นเดือนๆ แม่จะส่งเสียงดังไล่หลังว่า

‘จะไปหาพระแสงที่ไหนก็ไป!’ ในขณะที่พ่อบอกว่า พ่อไปหาแรงบันดาลใจ ฉันเลยรวบยอดความคิดว่า พระแสงคือแรงบันดาลใจ

ตอนที่แม่ซื้อตึกหลังนี้ด้วย พ่อมาด้อมๆ มองๆ ขอเช่าที่ชั้นล่างกับบนดาดฟ้า ไว้เป็นสำนักงาน พ่อบอกว่าไม่รู้ทำไมมาที่นี่แล้วมีแรงบันดาลใจ แม้แม่จะฟันค่าเช่าแพงกว่าทั่วๆ ไปตั้งสองสามเท่า พ่อก็ยอมจ่ายให้แม่ไม่อั้น เพราะพ่อรวย

ฉันเลยเรียกออฟฟิศของพ่อว่าเป็นพระแสงดินแดนแห่งแรงบันดาลใจ จนเมื่อรู้ความหมายนั่นแหละ ที่นี่ก็เลยไม่ใช่พระแสง แต่เป็นที่สำหรับแสดงงาน หรือ อาร์ตแกลอรี่ ของพ่อกับผองเพื่อน

ตัวตึกจริงๆ แล้วมีสองคูหาสูงสามชั้นครึ่ง ไม่นับรวมดาดฟ้า ชั้นสองกับสามตกแต่งเป็นบ้านแสนอบอุ่นพรั่งพร้อมสำหรับสองสาวแม่ลูก ส่วนชั้นหนึ่งหน้าทางเข้าเป็นซุ้มประตูสูงดูเหมือนทางเข้าโบสถ์ฝรั่ง ข้างในปล่อยโล่ง จัดแสดงงานแต่ละครั้ง ภาพที่แขวนบนผนัง มองดูคล้ายวอลเปเปอร์ราคาแพง

จุดเด่นของห้องแสดงภาพคือเจ้าโซฟาหนังแท้สีน้ำเงินตัวใหญ่ยักษ์ ที่ตั้งอยู่กลางห้อง  กลางดึกคืนไหนถ้าได้ยินเสียงบิ๊กไบค์ของพ่อมาจอด เชื่อได้เลยว่ารุ่งเช้าจะเจอร่างพ่อนอนแฮงค์อยู่บนโซฟาตัวนี้  เป็นอันรู้กันว่าความเมาพาพ่อมาจบที่นี่ทุกครั้ง

ส่วนแม่นะเหรอ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้เช่านักหรอก แต่ก็ดูรู้ว่าปลื้มใจทุกครั้งที่มีการจัดแสดงงานศิลปะ ไม่ได้ตื่นเต้นหรืออินกับศิลปะอะไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะพ่อจะสั่งอาหารเครื่องดื่มจากร้าน มิลลิเมตรมาเลี้ยงแขก บางทีก็แจกคูปองให้ไปกินในร้าน ซึ่งแม่ก็จะไปซัพฯ ร้านข้างนอกต่ออีกทอดหนึ่ง ไม่มีซะหรอกที่จะทำเอง! ไม่มี

ช่วงหลังๆ ที่ร้านเริ่มยอดขายตก พ่อก็ไม่ค่อยจัดแสดงงานแม่เลยเครียด เพราะรายได้หดหาย แต่ยังไงก็ได้ค่าเช่าจากพ่อยืนพื้นอยู่ได้สบายๆ

นี่ก็เลยอยู่ในแผนวิเคราะห์การตลาด ฉันจะทำให้กิจกรรมนี้มันกลับมาอีกครั้งเพื่อปลุกยอดขายของร้าน

ซึ่งงานนี้ต้องใช้ตัวช่วยหมายเลขหนึ่งคือพ่อนักกวีของฉันเอง

ฉันก็เลยหาจังหวะเล่าสถานการณ์ของร้านให้พ่อฟัง พ่ออยู่ในแผนระยะสั้นขั้นฟื้นฟู คืออยากให้พ่อจัดแสดงงานศิลปะเพื่อเรียกแขกให้มาชุมนุมเยอะๆ แล้วก็สั่งอาหารเครื่องดื่มจากที่ร้าน ยอดขายจะได้กระเตื้องขึ้นนิดหน่อยก็ยังดีกว่าปล่อยให้ร้านเงียบเหงาร้างเปล่า

“เอางั้นเหรอ…”

“พ่อว่าดีมั้ยล่ะ”

“จัดแสดงงานมันดีอยู่แล้ว….เพียงแต่ตอนนี้วงการภาพเขียนมันซบเซามาก ไม่ค่อยมีลูกค้าใหม่เลย ลูกค้าเก่าก็แขวนภาพจนเต็มฝาบ้านแล้ว พ่อถึงไม่ค่อยจัด”

“ว้า… แย่จัง เป็นงี้กันทุกวงการเลยเหรอคะพ่อ”

“ก็จังหวะมันไม่ค่อยดี คนเบื่อด้วย งานมันซ้ำไปซ้ำมาด้วย ศิลปินใหม่ๆ ก็ไปใช้โปรแกรมกันหมด ขายภาพดิจิตอลง่ายๆ ถูกๆ คนเขานิยมแบบนั้นกันน่ะลูก พ่อก็จนปัญญาเหมือนกัน”

ความรู้สึกเหมือนเพิ่งขึ้นรูปปราสาททรายแล้วโดนคลื่นซัดเลย…

แค่จะก้าวขาออกเดินก้าวแรกความหวังก็ริบหรี่เสียแล้ว

“แต่พ่อจะลองคิดดูนะ บางทีอาจจะมีอย่างอื่นที่คนกำลังสนใจ เอางี้นะ พ่อรับไปคิดเป็นการบ้าน จบทริปเชียงราย เรานัดเจอกัน เลือกร้านอร่อยๆ ที่หนูอยากกินมาได้เลย” พ่อตกปากรับคำซึ่งจะช่วยได้จริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้

 

จากนั้นฉันก็ต่อสายไปที่ตัวช่วยหมายเลขสอง

นั่นก็คือนิดหนึ่งเพื่อนซี้ฉันเอง นางอยู่ในวงการศิลปะ เผื่อว่าจะตะล่อมๆ ไอเดียอะไรใหม่ๆ จากนางได้  ลืมเล่าว่าหลังจบม.ปลาย ฉันก็เดินทางกันคนละสายกับเพื่อนรักนางนี้ นางไปสายศิลปะได้ไงไม่รู้ เพียวอาร์ตเชียวแหละ เพราะนางสอบติดรอบความสามารถพิเศษ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนนี้วาดรูปงูยังเป็นเชือกอยู่เลย ประมาณว่า ก่อนนอนกินสีน้ำมันเข้าไป ตื่นขึ้นมาวิญญานปู่แวนโกะก็เข้าสิงอะไรอย่างนั้นเลย

“เอ…ไม่รู้ว่ะ โคตรโนไอเดียเลย เอาไงดีวะมิน…” เสียงตอบมาจากนางฉันจะทำอะไรได้ก็ต้องปลงนะสิ

“ฉันก็รู้แหละว่าเด็กอาร์ตอย่างแก จะช่วยแก้ปัญหายอดขายตกได้ยังไง ถือว่าฉันโทรมาคุยแก้คิดถึงก็แล้วกันนะ แกเป็นไงมั่งสบายดีหรือเปล่า”

“ได้ๆ แกมีอะไรก็โทรมาดีแล้ว… ส่วนฉันสบายดี ตอนนี้สิงอยู่ที่หอใกล้ๆ มหา’ลัย บ้านช่องแทบไม่ได้กลับเป็นเดือนๆ แล้ว”

“ขนาดนั้นเชียว แล้วทำไมแกไม่กลับบ้างล่ะ แม่กับพ่อแกเขาไม่บ่นเอาเหรอ”

“ไม่หรอก เขาน่าจะดีใจมีเวลาได้จู๋จี๋กันตามลำพังบ้าง  ส่วนฉันก็จะได้มีเวลาปั่นงานส่ง ไม่ต้องนั่งรถเทียวไปเทียวมาให้เสียเวลา”

นิดหนึ่งเรียนปีสองเท่ากับฉัน แต่หาเวลาว่างยากมาก นางขยัน นางเก่ง นางเป็นที่รักของอาจารย์ จึงส่งงานป้อนงานวาดให้นางตลอด แถมยังได้ค่าจ้างอีกเป็นกอบเป็นกำ จบมาก็คงเป็นน้องๆ เศรษฐีนีแน่ๆ อิจฉานางจริงๆ แต่ยินดีด้วยกับนางมากกว่า

“เออมิน…ฉันคิดอะไรได้อย่างนึงว่ะ” จู่ๆ นิดหนึ่งโพล่งขึ้นมา

“ว่า”

“แกจำเรื่องพี่รหัสแกคนนั้นได้มั้ย พี่พพาย ไม่มีร เรือสระอะ นั่นน่ะ”

“จำได้สิ แกก็รู้นั่นรักแรก รักเดียวของฉันเลยนะ”

นิดหนึ่งไม่เชื่อเรื่องทฤษฎีใจเดียวของฉัน  นางว่า เพราะยังไม่เคยมีแฟน ยังไม่สำเหนียกว่าความรักเป็นยังไง ก็มโนไปเองเรื่อยเปื่อย ลองถ้าฉันได้เจอไอ้หนุ่ม (หรือสาว) ที่ใช่ขึ้นมาก็จะรู้เอง…

“ฉันไม่ได้จะทวนความทรงจำเรื่องรักแรก แรกรักของแกนะ แต่ฉันจะทวนว่า พี่รหัสแก เขาดูจะรอบรู้เรื่องขนมนมเนยนี่นา ฉันคุ้นๆ” นิดหนึ่งความจำดี นางทำให้ฉันระลึกชาติถึงพี่รหัสขึ้นมาได้

“ใช่…บ้าจดสูตร จดเมนู จดประวัติศาสตร์ขนมเต็มไปหมดเลย ทำไมเหรอ?”

“แกไม่ลองปรึกษาเขาล่ะ เผื่อเขามีไอเดียอะไรที่ช่วยแกได้  คิดๆ ดูป่านนี้เขาอาจจะพัฒนาตัวเองเป็นเจ้าพ่อด้านขนมไปแล้วอะไรอย่างเนี่ย”

“บ้า! แก ฉันจะไปหาเขาได้ที่ไหน เราเคยลองเปิดสมุดรุ่นหากันแล้วก็ไม่มีเบอร์ หรือที่อยู่เขาเลย ทำเหมือนเอเลี่ยนกลับดาวยังไงยังงั้น”

“เออก็จริงของแก…” เสียงหมดหวังดังมาจากนิดหนึ่ง “แล้วได้ลองเสิร์ชตามโซเชี่ยลมีเดียหรือยัง เฟสบุ๊ค ไอจี ทวิตเตี้ยน ไรงิ เคยลองมั้ย”

เคยมาหมดแล้ว ฉันตอบอยู่ในใจ

“ว่าไง ลองหรือยัง” ทางโน้นถามเซ้าซี้อยากได้คำตอบ

“ลองแล้ว…”

“แกใช้คีย์เวิร์ดอะไรบ้าง เดี๋ยวฉันช่วยหาด้วย”

ฉันบอกชื่อที่พอจะเป็นยูสเซอร์เนมของพี่รหัสไปหลายคำ

“แกแน่ใจนะว่ามีแค่นี้…มีคำอื่นอีกหรือเปล่า แกไปเปิดดูในหนังสือเรียนเก่าๆ สิ เผื่อจะได้เบาะแสอะไร ว่าแต่มันยังอยู่มั้ยหรือชั่งกิโลขายไปหมดแล้ว”

‘หนังสือเรียน’  …จริงสินะ พอได้ยินคำๆ นี้ มันเหมือนมีแสงขาวสว่างวาบส่องลงมาจากฟากฟ้า ผ่านทะลุเมฆ ทะลุหลังคาบ้าน ทะลุมายังเตียงนอนของฉัน  ลืมไปเลยว่าอาจจะมีเบาะแสเกี่ยวกับรุ่นพี่อยู่ในนั้น  ฉันจำได้ว่ายัดพวกมันลงกล่องไว้ที่ไหนสักที่ นั่นสิไว้ที่ไหน ต้องไปค้นก่อน ว่าแต่ทำไมฉันถึงลืมนึกถึงเรื่องพวกนี้ไปได้นะ

“โอ้ววววว นิดหนึ่ง… แกคือนางฟ้าของฉัน ทำไมเรื่องง่ายๆ แค่นี้ฉันถึงคิดไม่ได้ว่ะ”

“ก็แกอยู่ใกล้ปัญหา แกเลยมองไม่เห็นทางออกของปัญหา แกเคยได้ยินมั้ย คนที่อยู่บนภูเขาจะมองเห็นแค่หญ้าอยู่บนพื้น แต่ถ้าถอยออกมาจะเห็นว่าแท้จริงนั้นกำลังยืนอยู่บนยอดเขาสูง”

“ล้ำเลิศๆ แท้เพื่อน ทำไมแกเก่งอย่างนี้ ช่างเปรียบเปรย ถามจริงๆ แกมีแฟนหรือยัง เป็นแฟนฉันเอามั้ย ฉันรักในวิธีคิดแกวะ”

“ไปรักนักบวชเซนเหอะ ฉันไม่ได้คิดเองซะหน่อย”

“ก็ถือว่าแกมาเผยแผ่ไง น่าเรามารักกันน๊า…นิดหนึ่ง นิดนึงๆ ”

“ไม่อะ…เป็นแฟนแกปวดหัวตาย…แล้วไหนแกบอกว่า หนึ่งในดวงใจแกคือพี่พพายไม่ใช่?”

“เฮ้ย…จริงด้วย งั้นขอถอนคำพูด ฉันรักเขาๆ  คนเดียว”

“งั้นไปตามหาเขาให้เจอสิ… แกจะได้ประโยชน์สองอย่างเชียว”

“สองอย่าง…อะไรกะอะไร”

“ก็ได้ไอเดียมาทำร้าน กะได้รู้ใจตัวเองว่ารักนั้นเป็นฉันใด วาหู้ ด๊าดาปั่บปะด้าดา”

“อี๋นั่นแกร้องเพลงอะไรว่ะ จบไม่ได้เรื่องเลยวะแก พูดขึ้นต้นมาเหมือนจะดี…งั้นแกไปทำงานต่อ ฉันก็จะไปขุดประวัติรุ่นพี่ดูด้วย ไปนะ”

“เออๆ ขอให้แกได้สมหวังทุกอย่าง… แล้วมีอะไรโทรมาอีกนะ ให้ไปช่วยวาดรูปที่ผนังร้านก็ได้นะ ทำให้ฟรีเลย ฝากจุ๊บแม่จูนด้วยน้า บอกว่านิดหนึ่งคิดถึง”

 



Don`t copy text!