เครมบูเล หวานอมขมรัก บทที่ 4 : แม่ก็เปลี่ยนไปเยอะนะแม่นะ
โดย : คุนนภา
เครมบูเล หวานอมขมรัก นวนิยายโดย คุนนภา หนึ่งในผู้เข้าประกวดจากโครงการช่องวันอ่านเอาครั้งที่ 2 เมื่อรสชาติความรักประหนึ่งรสชาติเครมบูเลที่ทั้งขมและหวาน เหมือนความรักที่มีอุปสรรคดั่งไฟที่เผาไหม้ หากทนร้อนได้ก็จะได้รสชาติความรักที่กลมกล่อมยิ่งขึ้น แต่ณมินจะทนได้ไหม เมื่อเธอคือหน้าใหม่ในวงการความรักที่มีสองหนุ่มมาให้เลือก
ฉันเริ่มยุทธการค้นข้อมูลเพื่อวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนจุดดีจุดด้อยของร้านด้วยความร้อนวิชา บิ๊กดาต้าของฉันส่วนหนึ่งไม่ได้อยู่แค่ในอินเทอร์เน็ต แต่มันมีอยู่ในหนังสือเรียนม.ปลาย มรดกจากพี่รหัสด้วยอีกหนึ่งแหล่ง
ฉันหวังว่าข้อมูลจดด้วยลายมือของพี่รหัสนั้นจะทิ้งร่องรอยที่อาจมีประโยชน์ในการวางแผนปรับปรุงร้าน แต่ประเด็นคือ… ฉันเก็บพวกมันไว้ที่ไหน ฉะนั้นกว่าจะได้เริ่มเขียนแผนฉันต้องเริ่มจากขุดกรุสมบัติก่อน
ผลก็คือฉันหมดไปอีกหนึ่งสัปดาห์!
ฉันคิดว่าตัวเองเก็บหนังสือเรียนเก่าไว้ในห้องเก็บของ สองสามวันแรกหลังกลับจากเรียนฉันเข้าไปค้นในห้องนั้น แต่ไม่เจอ แล้วอีกสามสี่วันฉันก็คุ้ยหาตามชั้นหนังสือและที่อื่นๆ รอบบ้าน แม่คงจะรำคาญตา ที่เห็นฉันเที่ยวรื้อข้าวของไปทั่ว ก็เลยจับตามองคงคิดว่า ดูสิฉันจะเก็บคืนให้เหมือนเดิมมั้ย วันนั้นฉันเข้าไปคุ้ยในห้องเก็บของดูอีกรอบ แม่เดินขึ้นบันไดมาจะขึ้นบ้านอาบน้ำนอนพอดี ฉันเลยดักถามว่าแม่เคยเห็นกล่องหนังสือเก่าของฉันบ้างมั้ย แม่ชักสีหน้าเหมือนคำถามของฉันมันไปรบกวนเวลาเสียเต็มประดา
“หนังสืออะไรของแก”
“หนังสือเรียนตอนมัธยมน่ะแม่ มินเก็บไว้ในกล่องตั้งสองกล่อง แม่เห็นมั่งมั้ย”
“ไม่รู้ ไม่เห็น อย่ามาถาม หาให้ดีๆ ก่อน” แม่ตอบเหวี่ยงๆ แล้วก็เดินหนีขึ้นบันไดไป ฉันกังวลว่าแม่อาจจะเผลอชั่งกิโลขายไปหมดแล้ว
สักครู่ใหญ่ๆ แม่ก็เดินกลับมาถามอีกทีว่า ของที่ฉันหามันหน้าตายังไง พอฉันอธิบายแม่ก็ทำหน้าเหมือนระลึกชาติได้
“อ๋อ…ไอ้ลังหนังสืออะไรนั่นน่ะ เคยยกไปขายเหมือนกัน แต่เป็นนิตยสารเก่าๆ นะ ไม่ใช่หนังสือเรียน”
แย่แล้ว! อาจจะเป็นกล่องนั้น เพราะตอนที่จัดกล่อง ฉันเอาพวกหนังสือเรียนไว้ข้างใต้ ปิดด้วยนิตยสาร เพราะกะว่าอาจจะได้ตัดแปะเอารูปจากหนังสือไปใช้ตอนทำรายงานกลุ่ม
“กล่องนั้นแหละแม่ กล่องของมิน”
“อ้าว… จะไปรู้เหรอ ขายไปตั้งนานนมแล้วนะ ทำไมเพิ่งมาถามล่ะ แล้วหนังสือเรียน ก็เรียนจบแล้ว จะเก็บไว้ให้ลูกเราใช้ต่อหรือไง แม่ว่า ป่านนั้นเขาคงเปลี่ยนหลักสูตรแล้วมั้ง ตำราไม่ดีคลอดเด็กแบบแกออกมา”
“อ้าวแม่… อย่ามาด่ากลบเกลื่อนกันอย่างนี้สิ… ตำรามันคลอดมินที่ไหนกัน แม่นั่นแหละดันออกลูกมาเป็นมิน ตัวเองผิดแล้วไม่ยอมรับอีก”
ฉันแผดเสียงเถียงใส่แม่ เพราะหมดความอดทนแล้ว อยู่ในนั้นนาน ทั้งร้อนทั้งอับ แล้วมาเถียงกับแม่ที่ไม่สำนึกว่าตัวเองผิด หงุดหงิดชะมัดที่เอาของคนอื่นไปขายโดยไม่ปรึกษากันก่อน
“แล้วแกจะตามหาหนังสือเรียนไปทำไม” แม่มีน้ำเสียงอ่อนลง ฉันก็เลยอ่อนตาม
“มินขอโทษแม่ ไม่มีไรหรอก แม่อย่ารู้เลย” ฉันเดินแรงๆ ออกมาจากห้องคับแคบนั่น แม่เดินตามออกมา
“อ้าว…แม่ถามดีๆ ก็อยากรู้ว่าจะเอาไปทำอะไร”
“ก็…มันมีอะไรที่จดอยู่ในนั้น มินจะเอามาใช้งาน แต่ไม่เป็นไรหรอก แม่ขายไปแล้วนี่ เดี๋ยวคิดวิธีอื่นก็ได้”
“ไม่สิ.. เอาจริงๆ มันสำคัญหรือเปล่า ถ้าใช่แม่จะได้คืนให้”
แม่ทำหน้าเหรอหรามีพิรุธ ฉันกะแล้วเชียว ต้องมีอะไรแน่ๆ ไม่งั้นแม่ไม่ตามมาถามแบบนี้หรอก
“คืนยังไงแม่…แม่จะไปตามจากร้านขายของเก่าเหรอ”
แม่ทำหน้ามุ่ย “เปล่าหรอก… แกล็อกประตูบ้านก่อน แล้วตามมานี่”
แม่สั่งแล้วเดินขึ้นไปก่อน ส่วนฉันก็ไปคล้องกุญแจล็อกประตูตรงทางขึ้นบันไดตามระเบียบ ตรงนี้ก็เป็นเหมือนหน้าบ้านของบ้านอื่นนั่นแหละ ต้องล็อกไว้ไม่ให้คนนอกขึ้นมาได้ เสร็จแล้วก็เดินตามขึ้นไป แม่รออยู่แล้วตรงมุมต้นไม้ริมหน้าต่างในห้องนั่งเล่น
ตรงนั้นเป็นมุมกรีนโซน มีไม้ในร่มของแม่วางโชว์อยู่ชิดกับหน้าต่าง มีชั้นวางที่แม่ทำขึ้นมาเองเป็นโต๊ะสูงเกือบๆ เท่าขอบหน้าต่าง คลุมทับด้วยผ้าพลาสติกสีขาวลายใบไม้ เข้ากับต้นไม้ที่เรียงรายอยู่ข้างบน ส่วนใหญ่เป็นไม้ใบด่างสารพัดชนิดเห็นแม่เรียกว่าฟิโล ยางดินเดียและอีกมากหน้าหลายตาที่ฉันไม่รู้จัก ราคาตั้งแต่หลักพันยันหลักหมื่น ประมาณว่า ดาราเอฟต้นไหน แม่ก็คอยเอฟตามไปด้วย ซึ่งแม่ฉันตามเอฟมาสองปีแล้ว เรียกว่าหมดเนื้อหมดตัวกันเลยทีเดียว เลยต้องมาปลูกไว้ในบ้านตรงที่แดดส่อง อีกนัยหนึ่งนั้นแม่เห็นในตัวอย่างตกแต่งห้องเพนเฮ้าส์ดาราเขาก็เรียงๆ กันอย่างนี้แหละ
“พามาดูต้นไม้ทำไมแม่ มินไม่มีอารมณ์มาชมนกชมไม้กับแม่หรอกนะ มินกำลังหาของอยู่แม่เข้าใจมั้ยเนี่ย”
“ก็เข้าใจไง เลยพามาตรงนี้” แม่พูดแล้วจิ้มนิ้วลงบนโต๊ะวางต้นไม้ “แหมทีแรกกะว่าจะไม่คืนให้หรอก เพราะมันวางกำลังดีเลย”
พูดจาอะไรแปลกๆ พิลึกจริงเชียวแม่เนี่ย ฉันก็เลยถอยออกมาห่างๆ ดูสิแม่จะทำอะไรของแม่ ทันใดนั้นแม่ก็ทำท่าเบ่งกล้าม เป่าลมออกจากปากดัง ‘ฮึบ’ แล้วยกกระถางต้นไม้ต้นหนึ่งลงมาวางไว้บนพื้น จากนั้นก็เหล่มาทางฉัน
“เอ๊าช่วยหน่อย ยกลงมาให้หมดนี่เลย ”
ฮื้ออะไรเนี่ย จู่ๆ ก็มาใช้ให้ย้ายกระถางต้นไม้เฉยเลย
“พูดจริงหรือเปล่าแม่”
แม่พยักหน้าแล้วชี้นิ้วสั่ง “ตอนยกช่วยกางๆ แขนแบบที่ทำให้ดูเมื่อกี้ละ อย่าให้โดนใบเดี๋ยวน้องจะช้ำ”
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจำใจทำตามที่แม่สั่ง ค่อยๆ กางแขนยกจากกระถางที่หนึ่งจนถึงสิบกว่า น้องด่างพวกนี้คือภาระในชีวิตของจริงเลย ไปไหนไกลๆ ก็ไม่ได้ เดี๋ยวต้นไม้แห้งเฉา โดนแดดแสงเข้มๆ ไม่ได้เดี๋ยวไปไหม้แดด น้ำเยอะก็ไม่ได้เดี๋ยวรากจะเน่าตาย แล้วนี่ดูสิ ฉันต้องประคองมันราวกับทารก
“เฮ้อ” ฉันร้องระบายอารมณ์ออกมาเสียงดัง ตอนวางกระถางสุดท้ายลง “อ่ะ เสร็จแล้วทำไงต่อแม่”
แม่ส่งผ้าแห้งมาให้ผืนนึง แล้วสั่งให้ฉันเช็ดคราบน้ำจากก้นกระถางที่เกาะอยู่บนผ้ารองออกก่อน ฉันเช็ดๆ ถูๆ ตามสั่ง พอเห็นว่าแห้งสะอาดดีแล้ว แม่ก็ถลกผ้าคลุมออก โอมายก็อด! หนังสือของฉัน หนังสือเรียนเก่าแก่ ที่อุตส่าห์เก็บไว้อย่างดี ถูกจับเรียงหน้าสลอนอยู่ตรงนี้เอง
“แม่เอาของๆ มินมารองต้นไม้เนี่ยนะ”
“ก็ใช่นะสิ ดูนี่ หนุนแล้วสูงพอดีขอบหน้าต่างเลย น้องเขาจะได้รับแสงสวยๆ ไม่งั้นยืดหมด เสียดายจังความสูงกำลังได้เลย…เฮ้อ…แล้วจะเอาอะไรรองอีกดีละเนี่ย เออหรือว่าใช้เสร็จแล้วเอากลับมาคืนแม่ได้มั้ย”
“ไม่ด้าย” ฉันปฎิเสธเสียงสูง “นี่มันคอลเลคชั่นวัยเรียนของมินนะแม่ มินใช้เสร็จก็จะเก็บลงกล่อง เหมือนเดิมแม่ห้ามมายุ่งเลย”
“เอ๊า…แล้วฉันจะเอาอะไรรองกระถางต้นไม้ล่ะ…”
“เรื่องของแม่สิ หนังสืออะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ตำราเรียนของมิน”
“เออ… เดี๋ยวฉันไปหาเอาใหม่ก็ได้ เชอะ”
ฉันสะบัดหน้าหนีแม่ไปทางนึง ส่วนแม่ก็สะบัดหน้าหนีฉันไปทางนึงพร้อมกัน
ฉันไม่รู้ว่าแม่คิดอะไรอยู่ แต่ฉันน่ะโกรธจริงๆ นะ นี่ไม่ได้ล้อเล่น แต่ทั้งๆ ที่โกรธขนาดนี้ มันยังต้องเป็นฉันอยู่ดี ที่ต้องยกพวกน้องต้นไม้กลับขึ้นไปวางบนโต๊ะอย่างเดิม
ได้ข่าวมาว่าพี่ส้มหวานยังไม่หายป่วย!
ฉันเลยแอบคิดชั่วร้ายว่า…อีกไม่นานจะต้องได้ยินเสียงโอดครวญจากแม่เรื่องไม่มีของขายในร้าน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ยักได้ยินออกมาจากปากแม่เลยสักคำ
ทำไมล่ะ! ใจฉันอยากให้แม่บ่น เพราะถ้าแม่บ่นออกมาแค่เพียงคำเดียว ฉันจะเป่าหูเรื่องซัพฯ ให้ได้เลย ตอนนี้ทำฉันวิเคราะห์ SWOT ลงพาวเวอร์พ้อยส์ ถึงเรื่องจุดอ่อนของร้านอยู่พอดี จะได้แจงสี่เบี้ยให้แม่เข้าใจว่า ของกินร้านเราสู้ใครก็ไม่ได้จริงๆ
แต่แม่กลับเงียบ… ไม่เพียงเท่านั้น ยังดูท่าทางอารมณ์ดีผิดหูผิดตา
ไม่สิ… แม่ถึงขั้นเอาบัญชีมาอวดฉันด้วย ตอนนี้ยอดขายขยับตัวขึ้นเรื่อยๆ แม่โม้ให้ฟังแบบข่มขวัญว่า เพราะแม่มีหมัดเด็ด
อะไรกันเนี่ย? หมัดเด็ดอะไรกัน ทำไมฉันพลาดเรื่องนี้ เพราะอะไร เพราะมุ่งมั่นเอาแต่เรียนใช่มั้ย…แล้วแม่ก็ไม่ปล่อยให้ฉันสงสัยนานนัก โดยการเฉลยให้ฟังว่า
“แกไม่เข้าร้านเป็นอาทิตย์ เลยไม่รู้อะไร ตอนนี้ร้านเราหัวกระไดแทบไม่แห้ง เด็กนักเรียนหญิงต่อแถวเข้าร้านกันย้าวววว… เฮ้อ… สบายใจจัง” แม่ลากเสียง ทั้งวาจาและน้ำเสียงนั้นตั้งใจยั่วอวดผลงานกันเห็นๆ
ฉันเพิ่งหิ้วกระเป๋าพะรุงพะรังกลับมาจากมหา’ลัย เหนื่อยก็เหนื่อยร้อนก็ร้อน ไม่อยากทะเลาะกับแม่เลยจริงๆ แต่ดูแม่ยังไม่จบ ยังมีอะไรมาอวดฉันอีกหลายอย่าง มีการเข้ามาประชิดตัวทำจมูกฟุตฟิตดมกลิ่นจากเสื้อผ้าของฉัน
“นี่แกไปกินชาบูมาใช่มั้ย”
บร๊ะเจ้า นอกจากปากไว จมูกยังไวอีกด้วยแม่ฉัน
“ใช่สิแม่ รถมันติด มินเลยแวะกินกับเพื่อน แม่ล่ะ กินข้าวหรือยัง” ฉันพยายามคุมอารมณ์ตัวเอง แต่อีกใจก็หวังดีกับแม่นั่นแหละ เราไม่ค่อยกินมื้อเย็นด้วยกันมาสักพักนึงแล้ว เพราะแม่ยืนยันว่าจะควบคุมอาหาร
“กินอิ่มแล้วเรียบร้อย มีคนทำสลัดอะโวคาโดให้กิน นี่นะใส่กับฟักทองหวานญี่ปุ่น ย่างพอหนึบๆ อ่าส์…อาหร่อย”
ฉันปรายตามองท่าทางยียวนนั้น แค่กินสลัดก็ต้องมาอวดกันด้วย
“แกไม่อยากรู้เหรอว่าใครทำให้” แม่ปั้นหน้าถาม ราวกับฉันเป็นเพื่อนเล่น ฉันล่ะงงใจจริงๆ รู้สึกได้ว่ามีอะไรตะหงิดๆ
“เฉยๆ แม่ อยากอวดอะไรอีกก็ว่ามา มินจะได้ไปอาบน้ำ ทำพาวเวอร์พ้อยส์ให้แม่ต่อ”
“โอ๊ย… ไม่ต้องทำแล้ว ตอนนี้แม่มีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยฟื้นฟูร้านแล้วจ้ะ แกไม่ต้องคิดทำอะไรแล้ว ชักช้าไม่ได้พร้าสักเล่ม พวกเต่ากัดยาง”
แม่เหน็บฉันแรง ไม่พอยังชูคางเย้ยอีกต่างหาก ฉันงิเดือดปุดๆ รู้สึกถูกดูหมิ่นความสามารถ ถึงจะแค่ปีสองก็เหอะ แต่ถ้าเทียบกับทุกคนในบ้าน ฉันมีพื้นฐานทางธุรกิจแน่นปั๊กกว่าใครๆ ช่วยให้เกียรติเกรดเอ วิชามาร์เก็ตติ้ง 101 ของฉันด้วย แล้วนี่อะไรกัน จะมาบอกว่าร้านก้าวหน้าไปโดยไม่มีฉันเอี่ยว…ทำไมไม่รอแผนของฉันละ
“แม่เล่ามาเลยดีกว่า มันเกิดอะไรขึ้นที่ร้าน มินอยากรู้แล้ว”
แม่กอดอกทำลอยหน้าลอยตา อย่างเหนือชั้น
“ฮึๆ แต่ยังไงก็ต้องยกความดีความชอบให้แกส่วนหนึ่งแหละ ในฐานะที่เสนอให้แม่รับบาริสต้ามาช่วยงาน”
“ถามจริง?” ฉันตะเบงเสียงใส่ โอ๊ยอยากจะบ้าตายมีแม่หัวร้อน “นี่แม่รับบาริสต้ามาแล้ว โดยไม่ปรึกษามินเลยสักคำ …แม่ทำอย่างนี้ได้ยังไง บาริสต้าผู้ชายด้วยใช่มั้ย เมื่อกี้ถึงได้อวดว่านักเรียนสาวๆ เข้าร้านหัวกะไดไม่แห้ง”
“ไม่ใช่ผู้ชายธรรมดานะ หล่อม้ากกก…..ด้วย” แม่ลากเสียงยาวสไตล์พวกขี้อวด
“โอ้ย แล้วแม่ไปไว้ใจเขาได้ยังไง สืบประวัติหรือยัง ใคร เรียนที่ไหน หรือทำงานแล้ว อายุเท่าไหร่” ฉันพ่นคำถามอีกบลาๆ ด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพมาจากใจจริง ก็แม่น่ะ สี่สิบกว่าแล้วนะ แถมยังอยู่คนเดียว ไหนจะร้าน ไหนจะบ้าน เป็นเป้าให้มิจฉาชีพเข้าหาจะตายไป
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลย แม่รู้น่า อาบน้ำร้อนมาก่อนแกตั้งนาน นี่ส่งชื่อแซ่ไปให้เพื่อนช่วยเช็คประวัติแล้ว รับรองได้ว่าเป็นคนดี รักการทำงานพิเศษ แม่ละรักจริงๆ เลยเด็กมีความคิดแบบนี้ เด็กที่ไม่ต้องเอาแต่คอยพึ่งพ่อแม่ไปซะทุกอย่าง”
ฉันนี่ไม่รู้มาเกิดผิดท้องหรือเปล่า จะว่าลูกคนโตแม่ไม่รักก็ไม่ได้ เพราะฉันเป็นลูกคนเดียว ชิ เห็นแก่คนหน้าตาดี เออ…พรุ่งนี้ฉันจะตื่นแต่เช้าไปดูหน้าหมอนี่ จะใช้ซิกเซ้นส์ตรวจจับความผิดปกติของบาริสต้าแม่ให้ได้เลยคอยดู
“แม่…แต่มินเป็นห่วงแม่จริงๆ นะ”
“รู้น่า ไม่อยากให้ใครต้องห่วง แม่มีวิธีของแม่ แต่คนนี้ไว้ใจได้จริงๆ แล้วอีกอย่างแม่ว่าโชคชะตาทำให้เรามาพบกัน แถมยังหัวสร้างสรรค์คิดเมนูโน่นนี่มาขาย ทั้งที่จริงขายแค่หน้าตาก็เอาอยู่”
ท่าทางคงจะดูดีเหลือเกิน ขนาดคุณนายจูนยังชมแล้วชมอีก เอาจริงๆ แผนสร้างจุดขายด้วยบาริสต้าหน้าตาดีก็อยู่ในใจฉันนะ เหมือนอย่างซีรี่ส์สมัยที่ฉันเคยดูตอนเด็กๆ เรื่องอะไรนะ คอฟฟี่ ปริ้น ใช่ๆ เรื่องนี้แหละ เพียงแต่การสร้างจุดแข็งแบบนี้ มันจะกลายเป็นจุดอ่อนของเราในวันข้างหน้า
“แต่ถ้าแม่เอาแต่ขายหน้าตา เราก็ต้องพึ่งพาเขาไปตลอด แบบนี้ยอดขายไม่ยั่งยืนหรอกนะแม่”
แม่ค้อนประหลักประเหลื่อก “แล้วต้องยังไงจ๊ะ…ต้องให้เปลี่ยนซัพฯ อีกใช่มั้ย ถึงจะถูกต้องตามหลักการตลาดของแก ไม่เอาละ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว แม่เพลีย รีบเข้านอนออมแรงไว้ขายของพรุ่งนี้ดีกว่า ฮ้ายยยยย เมื่อยจัง ไม่ได้เมื่อยอย่างนี้มาตั้งนานละ”
แม่เดินบิดขี้เกียจโชว์สองสามที ต่อด้วยท่าสุริยะนมัสการอีกหนึ่งลมหายใจ ก่อนหายกลับเข้าห้องนอน ส่วนฉันนั่งเดือดปุดๆ พรุ่งนี้เช้าเจอกัน นายบาริสต้า ว่าแต่เขาชื่ออะไรนะ? ฉันก็ลืมถาม
รุ่งขึ้นตอนเช้า ฉันสวมวิญญานเป็นโคนันยอดนักสืบจิ๋ว รีบรุดไปจับพิรุธนายบาริสต้ารูปหล่อของคุณนายจูน
ทางเข้าหน้าร้าน อยู่ห่างจากริมฟุตบาทแต่ไม่ลึกมาก เมื่อก่อนเคยจัดเป็นสวนสไตล์อังกฤษ แต่หลังๆ เครื่องตกแต่งปูนปั้นแตกพังไปบ้าง ตรงนี้เลยกลายพันธุ์เป็นสวนสไตล์แล้วแต่จูน ตรงทางเข้ายกพื้นสูงสองขั้นบันได มีโต๊ะเก้าอี้นั่งเหล็กดัด 3 ชุด ช่วงหน้าหนาวลูกค้าชอบมานั่งข้างนอกรับลมชิวๆ พร้อมกับจิบกาแฟ ผนังด้านหน้ากรุกระจกทั้งหมด แต่ใส่กรอบวงกลมทำให้ดูเหมือนมองออกมาจากเรือเข้ากับ ประตูไม้บานคู่สีน้ำเงินตรงกลาง ฉันเดินเข้าร้านจากด้านหน้า ก็เลยเห็นป้ายกระดานดำวางตั้งอยู่ริมฟุตบาท เดาว่าเป็นผลงานนายบาริสต้า ไม่มีแววว่าเป็นฝีมือแม่เลยสักนิด บนป้ายนั้นเขียนว่า
Special dish : ครัวซองค์อะโวคาโด ชิกเก้นสไปซี่
Special drink : ลาเต้อาร์ต พาเหรด
จากมหาสมุทร
แหมๆ ช่างคิดเมนูเหมือนกันเนอะ แล้วที่เขียนว่าเป็นเมนูจากมหาสมุทรก็ชวนดูลึกลับน่าค้นหาดีเหมือนกัน วิธีคิดคงมาจากหน้าตาของร้านที่ดูคล้ายประภาคาร และประตูไม้สีน้ำเงินสัญลักษณ์ของร้านที่ดูคล้ายสีน้ำทะเลกระมัง บางทีนายบาริสต้าคนนี้อาจจะเก่งจริงอย่างที่แม่อวดไว้ก็ได้ ติดนิดเดียว ชิกเก้นที่ไปกันไม่ได้กับมหาสมุทร อันใดก็ตาม น่าจะเปลี่ยนเป็นครัวซองค์กุ้งสาหร่าย หรือปูอัดน่าจะเข้าธีมมากกว่า
ฉันเดินเข้าไปใกล้ประตู มองเข้าไปในร้าน โต๊ะเก้าอี้ถูกจัดเรียงไว้แล้วอย่างเรียบร้อย แสดงว่าเขามาเข้างานแต่เช้า ก็ดีเหมือนกันได้แรงงานชายมาช่วยงาน จะได้ทำงานหนักๆ แทนแม่
พอผลักบานประตูสีน้ำเงินเข้าไป เสียงกระพรวนที่ใช้แขวนคอแมวสั่นดังกริ๊งๆ เรียกให้ชายสวมเชิ้ตขาว ละสายตามามองจากซิงค์ล้างจาน เสียงน้ำดังซ่าๆ เหมือนกำลังล้างอะไรบางอย่าง ไม่น่าจะเป็นจานชาม เขาปิดวาวล์น้ำ เช็ดมือ แล้วหันมาส่งเสียงต้อนรับ นุ่มกังวานและสุภาพ
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณลูกค้า เช้านี้รับอะไรดีครับ”
หนอยแน่… พูดจาสุภาพเกินหน้าตาร้านไปหน่อยนะ ลองปลอมตัวเป็นลูกค้าดูสักหน่อยดีกว่า ถือว่าเป็นการทดสอบฝีมือลูกจ้างแรงงานไปด้วยในตัว
“พอดีเห็นเมนูที่เขียนเชียร์หน้าร้าน ก็เลยอยากลองชิมน่ะค่ะ”
“อ๋อ…ได้เลยครับ แต่รบกวนรอสักครู่นะครับ”
เขายังคงตอบอย่างสุภาพ พลางแหงนมองนาฬิกา เพิ่งจะแปดโมง ร้านต้องเปิดในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า การที่นายคนนี้ไม่ได้ไล่แขกออกไปก่อน ฉันบอกไม่ถูกว่ามันเป็นข้อดีหรือข้อเสีย แต่คิดว่า น่าจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะที่เห็นเขายังเตรียมอุปกรณ์ไม่พร้อมเลย
“สักครู่นี่…นานแค่ไหนคะ พอดีรีบน่ะค่ะ ถ้ารอนานจะได้ไม่รอ จะได้ข้ามไปซื้อร้านตรงข้าม”
“อ๋อ…ไม่นานครับ ผมกำลังอบไก่อยู่ อาหารเราสดมากไม่ได้แช่แข็งแต่ใกล้จะเสร็จแล้ว ถ้าคุณข้ามไปฝั่งตรงข้าม ร้านนั้นไม่มีครังซองค์สูตรแบบร้านเรานะครับ…”
“เหรอคะ แล้วต้องเสียดายมั้ยคะ”
เขาอมยิ้มกลับมาก่อน แล้วค่อยหยอดคำพูด ตอนที่เขาคิดว่าจะพูดอะไร สายตายิ้มยิบหยีแบบนั้น บอกไม่ถูกว่า เขาตั้งใจยิ้มหรือแกล้งยียวน
“ครับ ต้องเสียดายแย่เลยครับ… คุณจะหาสูตรนี้ทานที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ต่อให้มาร้านเราก็ไม่มี เพราะมันเป็นเมนูพิเศษวันต่อวันครับ”
“ดูไม่ค่อยอวดเลยนะคะ ถ้างั้นรอก็ได้ค่ะ” ฉันสวมบทลูกค้ามาดขรึมเข้าใส่ ยกมือขึ้นกอดอก แล้วก็ทำเป็นมองไปรอบๆ ร้าน แบบผ่านๆ
“ระหว่างรอ รับน้ำอะไรดีครับ ถ้าคู่กับสเปเชี่ยลดิช ก็ต้องสเปเชี่ยลดริ้งค์ ลาเต้อาร์ตพาเหรด ดีมั้ยครับ”
“ไม่ค่ะ ไม่ชอบกาแฟใส่นม”
“งั้นเอสเปรสโซ่มั้ยครับ”
“ไม่ค่ะไม่ชอบกาแฟดำ”
“ครับ…”
ดูเขาอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ ฮ้าเสร็จฉัน
“ขอเป็น…. อเมริกาโน่ฮันนี่ไม่หวานค่ะ”
ดูสิจะไปต่อยังไง ไม่ชอบกาแฟดำ แต่สั่งอเมริกาโน่ สั่งฮันนี่แต่เอาไม่หวาน น้ำผึ้งที่ไหนล่ะจะไม่หวาน หุหุ จะทำให้ได้มั้ย ปกติลูกค้าสั่งแบบนี้กับคุณนายจูน ออกไปนี่เดินไม่เป็นเลยนะ เพราะจะโดนถีบส่งให้พ้นประตู
“ครับ…อเมริกาโน่ฮันนี่ไม่หวาน จัดให้ครับ”
ฮ้าย ช่างกล้ารับออเดอร์นะยะ แล้วคิดเงินล่ะ ฉันว่าแม่ยังไม่มาเปิดเครื่องให้หรอก ก็มันเช้าเกินว่าจะเดินบัญชี
“เท่าไหร่คะ คิดเงินเลยค่ะ”
“เอาไว้ชำระตอนเสริฟก็ได้ครับ พอดีคุณผู้หญิงเจ้าของร้านยังไม่ลงมาครับ อันที่จริง ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้านด้วยซ้ำ แต่กว่าอาหารจะเสร็จก็คงได้เวลาพอดี”
ย่ะ ฉันเกือบหลุดปากไปอย่างนี้แล้วเชียว แต่ว่า มันทำอะไรไม่ถูก ตอนที่เขายิ้มตายิบหยีให้… นั่นเป็นยิ้มอะไรของเขากันนะ ยิ้มแบบนั้นน่ะ แล้วฉันก็เดินไปหาที่นั่ง ในมุมที่เห็นชัดๆ ไปถึงหลังเคาน์เตอร์ จะได้คอยลอบมองสำรวจพฤติกรรม เขาหยิบครัวซองค์ออกแกะพลาสติกที่พันมา เหมือนมันยังอุ่นๆ อยู่ดูจากละอองน้ำ จากนั้นก็เอามือกดครัวซองค์ไว้แล้วใช้มีดปาดเป็นแนวนอน ฉันสงสัยว่าเขาไปเอาถุงมือแบบนั้นมาจากไหนนะ ปกติที่ร้านเราไม่เคยมีมาก่อน แล้วก็พวกอุปกรณ์ด้วย ทั้งมีดคมที่ดูคมกริบ ทั้งกระดานรองตัดที่ไม่ใช่เขียง แล้วก็ครัวซองค์หน้าตาน่ากินนั้นด้วย แต่ฉันว่าอะไรทั้งหมดทั้งมวลนั้นเขาดูน่ากินสุด
“ครับ”
เขาเงยหน้ามาสบตาฉันที่เอาแต่มองเขาอยู่ สายตานั้นสื่อความหมายออกชัดเจนเลยว่า ฉันต้องการอะไรหรือเปล่า จังหวะนั้นรู้สึกเด๋อมากๆ เลยลุกขึ้นพรวดแก้เขิน
“อะ…เปล่าๆ ค่ะ จะขอเข้าห้องน้ำ” ฉันทำเป็นชี้ไปมั่วๆ “ไปทางนี้หรือเปล่าคะ”
“ไม่ใช่ครับอยู่ด้านหลังคุณน่ะครับ”
“อ๋อค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ฉันพูดตะกุกตะกัก แล้วผลุบเข้าห้องน้ำ แล้วต้องแกล้งหลบอยู่แพร่บนึง ฮ้าย… อะไรของฉันเนี่ย
“ตายจริงมหาสมุทร มาเช้ากว่าเมื่อวานอีก พี่จูนว่าพี่จูนมาเร็วก่อนเวลาแล้วนะเนี่ย”
เสียงหวานหยดย้อยของแม่ฉันเองดังเข้ามาถึงห้องน้ำ นี่คุยกับลูกจ้างอ่อนหวานขนาดนี้เชียว หวานกว่าคุยกับลูกสาวอย่างฉันอีก ดีเลยจะแอบฟังอยู่ในนี้แหละ อยากรู้ว่าลับหลังจะคุยอะไรเกี่ยวกับฉันบ้าง
“ไม่เร็วหรอกครับ กำลังดีเลยออกมาเช้าๆ รถไม่ติดครับ” เสียงเขาตอบ
“แล้วป้าลำไยมาทำความสะอาดร้านให้หรือยังจ๊ะ”
แม่พูดถึงป้าลำไย ห๊ะ! ใครอีกล่ะ แม่พาใครมายึดร้านอีกเหรอเนี่ย ฉันแนบหูกับประตู เสียงไม่ชัดมาก แต่ก็เดาคำได้
“เรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้คงรดน้ำต้นไม้อยู่น่ะครับ”
“เอ…แต่พี่ไม่เห็นนะ ก็เข้ามาทางหน้าร้าน สงสัยแกคงไปแถวๆ นี้แหละ ไม่เป็นไรงั้นพี่เข้าไปตรวจในห้องน้ำหน่อยนะ”
“ห้องน้ำมีคนอยู่ครับ”
“อ้าว ใครล่ะ มีลูกค้าเหรอ เข้าห้องน้ำแต่เช้า สงสัยท้องไส้ไม่ดีละสิ”
“ไม่ใช่ครับ… คุณณมินครับ เธอเพิ่งเข้าห้องน้ำไปเมื่อกี้นี่เอง”
เสียงสุดท้ายนี่ ชัดแจ๋วเลย เหมือนเขาจงใจตะโกนให้ฉันได้ยินด้วย ฮึ้ย….นี่รู้จักฉันอยู่แล้วนี่ แล้วที่ทำเป็นเล่นขายของด้วยเนี่ย เห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นหรือไงชิ
“แม่”
“อ้าว….มิน นี่ก็มาเช้ากับเขาด้วยเหรอ เออดีๆ คึกครื้นดีแต่เช้าเลย อย่างนี้ค่อยสดชื่นร้านหน่อย วันนี้ต้องขายดีทั้งวันแน่ๆ จริงสิ นี่เจอกันแล้วใช่มั้ย…นี่ไง บาริสต้าคนใหม่ของร้าน ชื่อมหาสมุทร เราตกลงกันแล้วว่าจะเรียกสั้นๆ ว่าสมุทร”
ชิบเป้ง ไม่ใช่ชื่อธีม เป็นชื่อเขาเอง ตายล่ะถ้าจะเขียนหน้าร้านว่าจากมหาสมุทร ในร้าน ณ มิลลิเมตร มันไม่ดูอวดตัวเกินหน้าเกินตาร้านไปหน่อยเหรอ
“เป็นไงสมุทร ลูกสาวพี่ตัวจริงกับในรูปไหนสวยกว่า”
“ตัวจริงสวยกว่าสิครับ ดูเด็กกว่าในรูปอีกครับ”
“อย่างนี้เรียกสวยได้แม่จ๊ะ สมุทร ฮ่าๆๆๆ”
แม่อารมณ์ดีออกนอกหน้าไปหน่อยมั้ย ฉันล่ะหงุดหงิดจริงๆ อยากจะมุดหน้าออกนอกร้านไปซะเดี๋ยวนี้เลย ยังดีที่มีเจ้าครัวซองค์อะโวคาโด ชิกเก้นสไปซี่ มารั้งความคิดเอาไว้ ขอกินก่อนอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
ช่วงบ่ายฉันมีวิชาเรียน ก็เลยเผ่นออกจากร้านช่วงก่อนเที่ยง ทิ้งแม่ไว้กับพนักงานใหม่ในร้านอีกสองคนรวมทั้งนายบาริสต้าคนใหม่ด้วย
อาจารย์ทรายสอนไม่เข้าหัวเลย ขนาดว่าสอนสนุกจนหัวเราะครืนๆ กันทั้งชั้น แต่ฉันไม่มีกระใจจะเรียนหรือรับเนื้อหาใหม่ๆ อะไรได้… เพราะเสียงแม่มันดังก้องอยู่ในหัวแข่งกับเสียงอาจารย์ แม่ว่าเพราะฉันอิจฉานายมหาสมุทรที่เก่งกว่า ปาดหน้าเค้กสร้างผลงานโดยไม่ต้องรำไหว้ครูนายเป็นนักมวยแบบที่ฉันทำอยู่
“หนอย ทำพาวเวอร์พ้อยส์ วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน เป็นด็อก เป็นสตาร์ แล้วไง เจอเด็กพาร์ทไทม์ตัวจริงเข้าไป ประสบการณ์ล้วนๆ ใช้ฝีมือล้วนๆ แค่สองวันขายได้เท่าเดือนที่แล้วทั้งเดือน”
“แม่ก็เถียงมินอยู่แล้ว มินบอกว่าผิดที่เมนูๆ แม่ก็ไม่เชื่อ เห็นมั้ยแค่เปลี่ยนเมนูนิดเดียวก็ขายดีแล้ว ไม่เกี่ยวกับใครมาทำหรอก ถ้าแม่ให้มินทำแบบนี้แต่แรกก็เหมือนกันแหละ”
แล้วนี่ฉันต้องเสียเงิน เสียเวลาเรียนไปทำไม ถ้าจะถูกแม่หักหน้ากันแบบนี้ ไม่สิ นายมหาสมุทรต่างหาก ส่วนแม่นั้นแค่ถือหางเข้าข้าง อยู่ตรงข้ามกับลูกตัวเองเสียอย่างนั้น
งั้นต้องรีบจบเกม ทำแผนระยะสั้นระยะยาวให้เสร็จแล้วละ เล่นที่ระยะสั้นก่อน ยังไงพ่อก็อยู่ข้างฉัน แล้วยังเป็นแหล่งกำไร และรายได้อีกต่างๆ
ว่ากันตามจริง ขายของหน้าร้าน แม้จะขายได้ทุกวัน แต่มันเป็นรายได้แบบเรื่อยๆ เปื่อยๆ พอทรงตัวได้เท่านั้น ถ้าอยากขายดีขายเปรี้ยง ฟันกำไรเห็นๆ ต้องนี่คร้าบบบ… รับจัดงานเลี้ยงอย่างที่เรียกว่าแคเทอริ่ง ซึ่งในที่นี้เราแค่เป็นคนกลางระหว่างลูกค้ากับผู้ผลิต หรือซัพฯ แต่เราต้องใช้หมองหน่อย คือตีโจทย์จากลูกค้า แล้วไปสั่งกำกับการผลิตกับซัพฯ อีกที กำไรมาจากงบที่เหลือจากต้นทุนที่จ่ายให้ซัพฯ เช่นเราจ้างซัพฯ หัวละ80 แต่เราไปคิดลูกค้าหัวละ 150 เพิ่มมูลค่าด้วยการตกแต่งให้ดูสมราคา นั่นไงเห็นส่วนต่างหรือยัง ถ้าเทียบกำไรจากการขายของแต่ละชิ้น ขายของวอลุ่มอาจจะมากกว่า แต่ได้ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ เพราะต้องแคร์กำลังซื้อของลูกค้าที่มีนักเรียนเป็นหลัก….อะโด่ ถ้าไม่ใช่เด็กการตลาด จะคิดเรื่องพวกนี้ได้มั้ย แม่น่ะ ไม่เข้าใจโลก
แล้วการที่อวดอ้างว่า คิดเมนูวันต่อวัน นั่นก็ผิดหลักต้นทุนไปหน่อยมั้ย เพราะวัตถุดิบเหลือจะทำยังไง ต้องโยนทิ้งงั้นเหรอ ขายไม่หมดวันนี้ ก็ควรเก็บไว้พรุ่งนี้ ฉะนั้นก็ไม่ควรเล่นตัวว่า ทำแค่วันต่อวัน ต่อให้พรุ่งนี้ลูกค้าอยากกินก็ควรจะทำมาขายให้… มันเป็นเรื่องการควบคุมต้นทุน และดีมานด์ ซัพพลาย อะโด่ ต้องเด็กการตลาดนั่นแหละถึงจะคิดแบบนี้ได้ แม่ควรจะเข้าใจเรื่องพวกนี้อีกเหมือนกัน
งานนี้ฉันต้องเร่งพ่อให้จัดแสดงงานศิลปะแล้วละ จัดหลายๆ รอบได้ยิ่งดี จัดควบมื้อ เช้า กลางวัน เย็นด้วยยิ่งดีใหญ่ จะได้กินกันให้กระจายไปเลย
“ณมิน…รายงานส่วนของเธอไปถึงไหนแล้ว เรารอเธออยู่คนเดียวเลยนะ”
พอใจหัวหน้ากลุ่มพูดแทรกขึ้นมาในภวังค์ ตายละ! อาจารย์ออกจากห้องไปตอนไหนไม่ยักกะเห็น
“ว่าไงล่ะ เราขอรู้เดทไลน์เธอหน่อย จะได้วางแผนทำงานต่อ”
พอใจเพ่งสายตาลอดแว่น ยายคนนี้เรียนเก่งที่สุดในรุ่น และฉันคิดว่าตัวเองเหมือนถูกหวยที่เลือกมาอยู่กลุ่มนี้… กลุ่มของเราต้องวิเคราะห์การตลาดรถยนต์หลังสถานการณ์โควิด ฉันทำส่วนที่เป็นข้อมูลดีลเลอร์ต่างจังหวัด ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะเยอะกว่างานวิเคราะห์ คิดดูสิข้อมูลไม่ดี วิเคราะห์ก็คลาดเคลื่อนจริงมั้ย ฉันก็เลยเลือกทำส่วนนี้แหละ เลือกเองโดยไม่ต้องให้ใครมาบอก…
“อ๋อ….เรากำลังทำให้อยู่ พอดีมันต้องขอข้อมูลไปทุกภาคส่วน เลยช้าไปนิดนึง ขอโทษนะ จะเร่งให้จ้า” ฉันโกหก ความจริงแล้วลืมสนิท แต่ดูเหมือนพอใจจะรู้ทัน นางจับก้านแว่น มองจิกตาทะลุแว่นออกมา แล้วบอกกับฉัน อย่างกับฉันเป็นเด็กประถมที่ไม่ยอมส่งการบ้าน
“อืมดีแล้ว เร่งหน่อย เราต้องมาเขียนวิเคราะห์อีก เราทำงานต่อจากเธอนะ เผื่อเวลาให้เราด้วย”
ซวยชิปเป๋งเลย อะไรๆ ทำไมต้องมารุมสุมกันตอนนี้ด้วย
“ขายเกลี้ยงเลย หมดทุกสิ่งทุกอย่าง”
เสียงใสแจ๋ว ลอยมาเข้าหูฉัน แม่นั่นแหละ จะมีใคร เที่ยวเดินชูสมุดบัญชีไปมา ก่อนจะปิดเล่ม แล้วจุ๊บที่หน้าปกอีกหนึ่งที เห็นแล้วมันหงุดหงิดชะมัด
“ไงล่ะ เมื่อเช้าแกได้ชิมครัวซองค์เหมือนกันนี่ บอกทีซิ อร่อยสู้ร้านฝั่งโน้นได้มั้ย”
“ก็อร่อยดี รับมาจากไหนเหรอ พี่ส้มหวานไม่ได้ทำแบบนี้นี่แม่”
“ไม่ได้รับมาจากไหน สมุทรเขาทำมาให้จากที่บ้าน อบมาเรียบร้อย เฮ้ออยากเห็นจริงๆ ทำได้ยังไง แสดงว่าที่บ้านมีอุปกรณ์แบบจัดเต็มแน่ๆ พอรู้ฝีมืออย่างนี้ ก็อยากให้เขาทำโน่นทำนี่มาขายอีกจังเลย ติดแค่ที่จ้างเขาเป็นบาริสต้าเฉยๆ”
วนกลับมาเรื่องเมนูอีกจนได้ ทำไมแม่ดื้อกับฉัน แต่ฟังคนอื่นตลอด
ฉันไม่ว่างจะโน้มน้าวแม่ด้วยเหตุผลแบบผู้มีการศึกษา เหตุที่ว่า การศึกษาฉันคงร่อแร่ หากไม่เร่งปั่นส่งงานให้กลุ่ม
เชิญแม่ชื่นชมไปก่อนเถอะ…เดี๋ยวรอดูตามินบ้าง จะทำกำไรให้แม่ดู รอนะคะแม่
คืนนั้น ฉันทำตัวเงียบๆ เหมือนหลับไปแล้ว ทั้งที่ไฟคุกรุ่นอยู่ในห้องนอน ไหนจะรายงาน ไหนจะต้องลบคำสบประมาทของแม่ กว่าจะได้นอนก็เลยเที่ยงคืน ก็ยังอุตส่าห์ฝันเป็นตุเป็นตะ ฝันว่าพี่รหัสมาเข้าฝัน
ฉันฝันว่าเราสองคนเจอกันโดยบังเอิญในร้านโกเข่ง ร้านเครื่องเขียนหน้าปากซอยโรงเรียน วันนั้นเขายังคงแปะพลาสเตอร์ยาไว้ใต้คาง กำลังยืนทำอะไรบางอย่างอยู่หน้าเครื่องถ่ายเอกสารซึ่งอยู่ในห้องกระจกหลังร้าน ในขณะที่ฉันทำเป็นยืนเลือกปากกาหัวเจลอยู่ตรงตู้กระจกหน้าร้าน แต่สายตาไม่ได้มองไปที่ปากกาเลยสักนิด ได้แต่มองเขาผ่านกระจก เห็นเขากางหนังสือตำราเล่มที่เราใช้ต่อกัน แล้ววางลงบนเครื่องถ่ายเอกสาร อีกมือหนึ่งถือขวดลิควิดเปเปอร์เหมือนพยายามลบข้อความออกไปจากหนังสือ ฉันวิตก กลัวว่าเขาจะลบอะไรสำคัญๆ ทิ้งไป ก็เลยเข้าไปยืนมองใกล้ๆ สอดสายตาลึกเข้าไปถึงหน้าหนังสือและมือของเขาที่กำลังป้ายสีขาวลงบนรอยปากกาสีน้ำเงิน ทีละแถบๆ นั่นเขากำลังลบข้อความที่เขาเขียนไว้นี่นา… ไม่นะได้โปรดนั่นมันมีข้อความสำคัญที่ฉันตกหลุมรัก… ฉันตะโกนบอกเขาในฝันผ่านผนังกระจก แต่เขาไม่ได้ยิน ยังคงมุ่งมั่นลบทิ้งไปเรื่อยๆ ขณะนั้นเองแสงจากเครื่องถ่ายเอกสารสว่างวาบๆ พุ่งใส่ตาฉันจนแสบ แสงนั้นทำให้ทุกสิ่งรอบข้างร้อนดังถูกไฟสุม ฉันร้อนเหงื่อไหลซ่กย้อยข้างขมับจนคอเสื้อเปียกชื้น
…อย่าลบนะคะพี่ อย่าลบ เก็บมันไว้… เก็บไว้อย่างนั้น อย่าคะอย่า ได้โปรด ฉันออกเสียงตะโกน