จากแดกู…สู่หัวใจ บทที่ 2 : ตลาดซอมุน

จากแดกู…สู่หัวใจ บทที่ 2 : ตลาดซอมุน

โดย : เนียรปาตี

Loading

จากแดกู…สู่หัวใจ ไพรัชนิยาย จาก เนียรปาตี ที่จะทำให้คุณหลงรัก ‘แดกู’ เมืองเล็กๆ ในประเทศเกาหลีที่มอบประสบการณ์อันแสนอบอุ่นให้กับ นัด เบียร์ พี่เม่น นักศึกษาไทยที่เดินทางมาเพื่อเรียนต่อ แต่เมื่อแดกูไม่ใช่โซลหรือปูซาน ที่นี่จะเป็นอย่างไร ร่วมซึมซับเรื่องราวของนิยายออนไลน์เรื่องนี้ที่อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

****************************

– 2 –

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

‘ซอมุนชีจัง’ หรือ ตลาดซอมุน เป็นตลาดในแดกูที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ตลาดใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้

“ตลาดนี้เปิดมายาวนานกว่า 100 ปีแล้วละ ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โชซอน” ซูจอง บัดดี้ชาวเกาหลีของนัดเป็นคนเล่าให้ฟังตั้งแต่พบกันที่มินิมาร์ต พาเดินไปยังทางออกข้างมหาวิทยาลัย คนละทางกับคณะของคูยุนเมื่อวานนี้ ไม่ทันได้รู้สึกเหนื่อยก็ถึงสถานีรถไฟใต้ดินที่เรียกว่า ‘ชีฮะชอล’

“นั่งไปถึงสถานีซอมุนมาร์เก็ต ลงที่นั่นก็ถึงตลาดเลย” จิน-คยอง บัดดี้ของเบียร์เป็นคนช่วยเสริม แล้วหล่อนก็จัดการพาพวกเราไปซื้อบัตรสำหรับใช้กับรถไฟใต้ดิน แตะที่ประตูเพื่อผ่านเข้าไปเป็นตัวอย่างและนำลูกทัวร์ให้ตามเข้าไป

การขึ้นรถไฟใต้ดินที่นี่ค่อนข้างมีระเบียบ ผู้รอรถไฟแม้ไม่มาก แต่ก็เห็นชัดว่ายืนต่อแถวตามลำดับ ไม่มีใครมีทีท่าว่าจ้องจะแซงหรือพุ่งพรวดเข้าไปเมื่อรถไฟจอด เมื่อนั่งในรถไฟใต้ดินแล้ว เม่นจึงถามออกมาว่า

“จิน-คยอง ดูไม่เหมือนคนเกาหลีเลย เหมือนญี่ปุ่นหรือจีนมากกว่า”

คนถูกถามทำหน้าเบ้ ไม่เชิงว่าไม่พอใจ แต่พี่เม่นเป็นอีกคนหนึ่งที่ทักหล่อนทำนองนี้ เพราะจิน-คยองเป็นสาวเกาหลีเต็มตัว แต่หล่อนมีดวงตากลมโต เปลือกตาพับเป็น 2 ชั้นโดยธรรมชาติ จึงดูผิดไปจาก ‘ภาพ’ ของสาวเกาหลีทั่วไปที่ใครๆ มักจะนึกถึง หล่อนตอบด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่ว

“ฉันเป็นเกาหลีจริงๆ นะโอปป้า ใครๆ ก็ชอบทักแบบนี้ จนฉันอยากไปทำศัลยกรรมให้ตาเล็กลง ที่ร้ายที่สุดคืออะไรรู้ไหม…ก็ที่ว่าฉันเหมือนสาวญี่ปุ่นนั่นละ ถ้าจะมองว่าฉันไม่ใช่คนเกาหลี จะคิดว่าเป็นคนที่ไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ญี่ปุ่น ฉันไม่อยากให้ใครมองว่าฉันเป็นสาวญี่ปุ่น”

“ขอโทษจริงๆ พี่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่คิดว่าจะทำให้เธอไม่พอใจขนาดนี้”

จิน-คยองยิ้มและหัวเราะน้อยๆ “เปล่าเลยโอปป้า ฉันไม่ได้ไม่พอใจหรอก ฉันเล่าให้ฟังเฉยๆ น่ะ”

เม่นยิ้มตอบหากในใจคิดว่าเขาควรระวังมากกว่านี้ วิถีชีวิต วัฒนธรรมที่ต่างกัน ทำให้มโนทัศน์หรือวิธีคิดของคนเราแตกต่างกัน เรื่องบางเรื่องอาจจะ ‘ไม่เป็นไร’ สำหรับบางคน แต่มันก็อาจเป็น ‘เรื่องใหญ่’ ของบางคนได้เหมือนกัน

นัดได้ยินเสียงพ่นลมหายใจและเสียงจึ๊กจั๊กเบาๆ ก็หันไปมอง นักเรียนทุนจากอเมริกาคนหนึ่งที่มาด้วยกัน…อันนานั่นเอง หล่อนเป็นสาวเกาหลีที่เห็นปุ๊บก็รู้ทันที เพราะ DNA ชาวเกาหลีฟ้องอยู่เต็มหน้าหล่อน ผิดแต่ว่าหล่อนร่างสูงใหญ่ โครงกระดูกใหญ่ และผิวคล้ำเนียน ด้วยบิดาของหล่อนเป็นชาวฮาวาย หล่อนชิงทุนนี้มาได้ด้วยโควตานักเรียนผู้มีสัญชาติเกาหลีที่อยู่ในต่างแดน

แต่หล่อนมิได้มีความภาคภูมิใจในสายเลือดตะวันออกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในตัวหล่อน เพราะเมื่อจิน-คยองบ่นกับพี่เม่น ว่าอยากให้ใครๆ มองหล่อนเป็นชาวเกาหลีแท้ อันนาก็บ่นเบาๆ อย่างไม่สบอารมณ์ว่า

“ไม่เห็นอยากจะเป็นเกาหลีเลย เป็นอเมริกันดีกว่าเยอะ”

โชคดีที่จิน-คยองไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นคงได้มีปากเสียงกันบ้างแล้ว

ถึงสถานีซอมุนมาร์เก็ต ทุกคนก็เดินตามกันไปยังทางออก สตรีชราหรืออาจุมม่าคนหนึ่งก็เข้ามาถามนัดเป็นภาษาเกาหลีสำเนียงแดกูว่า

“ทางออกไปตลาดต้องไปตรงไหน”

นัดฟังออก เข้าใจ แต่ไม่รู้จะตอบยังไง ก็หล่อนไม่ใช่คนเกาหลีนี่ หล่อนเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก และต่อให้มาอีกสิบครั้งหล่อนก็จำไม่ได้ เพราะนัดเป็นคนไม่จำทิศทางอะไรทั้งสิ้น ถ้าจับหล่อนไปโยนไว้กลางทาง หล่อนก็รู้ตัวว่าจะไม่สามารถหาทางกลับได้ นัดจึงตอบเป็นภาษาเกาหลีว่าไม่รู้ และบอกให้จิน-คยองช่วยบอกทาง อาจุมม่าก็ยิ้มกว้าง ชมจิน-คยองและตำหนินัดก่อนลา

“หนูพูดคล่องอย่างกับคนเกาหลีแน่ะ แต่แม่หนูคนนี้เป็นคนเกาหลียังไง ถามทางแค่นี้ก็ตอบไม่ได้”

ว่าจบ อาจุมม่าก็ลากตะกร้าติดรถเข็นเดินไปที่ทางออก

จิน-คยองหน้าเบ้ เพราะมีคนทักว่าหล่อนไม่ใช่คนเกาหลีอีกแล้ว ในขณะที่อันนาก็เบ้ปากอย่างเหยียดหยามว่า ‘คนเกาหลี’ นี่ช่างไม่มีมารยาท

ส่วนนัดได้แต่เกาหัวแกรกที่โดนด่าฟรี

“ก็ไม่ใช่คนเกาหลีอะ ป้าเดินเข้ามาถามเอง พอตอบไม่ได้ก็มาว่า หน้านัดเหมือนคนเกาหลีตรงไหน ขอป้ายสักใบแขวนคอได้มะ จะเขียนตัวใหญ่ๆ เลยว่า…แทกุกซารัม…ฉันเป็นคนไทยจ้า”

 

ตลาดซอมุนใหญ่สมกับที่ซูจองบอกว่าติด 1 ใน 3 ตลาดใหญ่ที่สุดในเกาหลี คนไม่เคยมาแทบจะยืนคว้างหาทางเริ่มต้นไม่เจอเลยทีเดียว ว่าควรจะเริ่มสำรวจจากจุดไหนก่อน เพราะมองไปทางไหนก็หลากหลายไปด้วยสินค้านานาชนิด แม้จะมีการแบ่งโซน จัดประเภทของสินค้า ก็ยังละลานตาอยู่ดี มองว่าเป็นตลาด…มันก็เหมือนตลาดที่เมืองไทย มองให้เห็นความต่าง ก็เห็นความแปลกตาที่สินค้าแต่ละประเภท โดยเฉพาะผักและผลไม้ ที่วิธีการจัดวางขายไม่เหมือนกับที่เมืองไทย

นัดเกาะซูจอง บัดดี้ของหล่อนแจ เพราะกลัวหลง ตลาดใหญ่คนเยอะขนาดนี้ ถ้าหล่อนหลุดจากกลุ่มไปรับรองว่าหาทางออกเองไม่เจอ

เบียร์กับจิน-คยอง สองสาวเป็นขาลุยที่นิสัยบู๊พอๆ กัน ช่วงที่คนเบียดเสียด สองสาวก็ใช้ไหล่กระแทกฝ่าฟันกรุยทางไปได้ทุกครั้ง จุดไหนมีมุมสวย ก็ถ่ายรูปเพื่ออัปอินสตาแกรม

เม่นเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม ความแปลกตาของสถานที่ทำให้เขาเพลิดเพลินไปกับการสำรวจสิ่งใหม่ไปเรื่อยๆ พร้อมๆ กับดูท่าทางของอันนา เขาคิดว่าไม่เกินเที่ยงวัน อันนาจะต้องขอปลีกตัวออกไปจากกลุ่ม เพราะสีหน้าท่าทางของหล่อนยามมองตลาดและผู้คนล้วนเต็มไปด้วยความไม่ถูกใจ

แล้วก็เป็นดังคาด เมื่อซูจองหยุดที่ทางแยกซึ่งจะเดินไปทางโซนขายอาหาร ชวนกินข้าว อันนาก็บอกออกมาเป็นภาษาอังกฤษว่า

“ฉันไม่ไปกินข้าวด้วยนะ ตลาดที่นี่ก็งั้นๆ ร้อนก็ร้อน กลับหอไปพักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้เราต้องปฐมนิเทศกันด้วย”

“โอเค” ซูจองและจิน-คยองตอบกลับเกือบจะพร้อมกัน สีหน้าของอันนาเจื่อนลงเล็กน้อย เพราะหวังว่าใครสักคนในกลุ่มจะถามหรือรบเร้าให้หล่อนอยู่ต่อ แต่กลับไม่มีสักคน ราวกับว่าคนพวกนี้ไม่อยากให้หล่อนมาด้วยตั้งแต่แรก ความห่วงใยที่มีให้คือคำถามว่า

“เธอกลับถูกใช่ไหม ถ้าหลงทางก็ถามคนแถวนั้นดูก็แล้วกัน เธอพูดเกาหลีได้อยู่แล้วนี่ แค่ไม่อยากพูดเท่านั้น” จิน-คยองว่า แล้วก็หันไปทางจินเฮ เด็กสาวท่าทางเรียบนิ่งจนดูแหย ผู้เป็นบัดดี้ของอันนาถามเป็นภาษาเกาหลีว่า “เธอจะไปกับบัดดี้เธอหรือเปล่า หรือจะไปกินข้าวกับพวกเรา”

“จินเฮเป็นบัดดี้ของฉัน ก็ต้องไปกับฉันสิ” อันนารีบตอบเป็นภาษาเกาหลี เพราะหล่อนเข้าใจความหมายทุกคำที่จิน-คยองพูด โดยไม่รอให้จินเฮตัดสินใจ อันนาก็ลากบัดดี้ของหล่อนออกไปจากตรงนั้น

 

เหลือเพียง 5 คน ที่ตรงไปโซนอาหาร เดินวนอยู่หนึ่งรอบก็ยังไม่รู้ว่าจะกินอะไร เพราะสำหรับเบียร์และเม่นแล้ว ไม่มีความรู้เรื่องอาหารเกาหลีเลย ที่รู้จักก็มีเพียงกิมจิและหมูย่างเกาหลีที่เห็นดาษดื่นในเมืองไทย อ้อ…มีบูแดจิแกเพิ่มมาอีกอย่าง จากที่กินเมื่อวานนี้ และด้วยขนาดที่ใหญ่ชนิดต้องกินด้วยกันหลายคน เบียร์กับเม่นจึงตอบด้วยคำตอบง่ายๆ แต่ทำยากว่า

“กินอะไรก็ได้”

ส่วนนัดรู้จักอาหารเกาหลีหลายชนิด เมื่อเม่นหรือเบียร์ถาม หล่อนก็จะบอกได้ว่ามันคืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง แต่ครั้นถามว่าจะกินไหม หล่อนก็ตอบว่า

“ไม่รู้สิ พี่อยากกินกันไหมอะ นัดกินอะไรก็ได้”

สองสาวเกาหลีคงเห็นเค้าว่าเด็กไทยไม่น่าจะตัดสินใจได้สักที จึงเสนอ

“เราไปกินซูเจบีกันไหม มีหลายร้านให้เลือกเลย แต่ฉันรู้จักร้านหนึ่งอร่อยมาก” ซูจองเสนอ แล้วทุกคนก็พยักหน้ารับทั้งๆ ที่เม่นและเบียร์ยังไม่รู้ว่าอาหารชื่ออะไรนั่นหน้าตามันเป็นอย่างไร…ภาวนาขออย่าให้เป็นซุปเนื้อหมาก็แล้วกัน

ซูจองนำไปยังแผงอาหารที่ตั้งเรียงกันไปตลอดแนวทางเดิน ครัวและผู้ขายอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบเป็นโต๊ะเตี้ยและเก้าอี้ให้ลูกค้านั่งกิน ซูจองทักทายอาจุมม่าเจ้าของร้านอย่างคุ้นเคย จิน-คยองก็บอกว่าพาเพื่อนจากเมืองไทยมาชิมอาหารเกาหลี เพียงเท่านี้อาจุมม่าก็หน้าบานปลื้มปริ่มว่าได้อวดฝีมือสู่ชาวโลก ตักแป้งใส่ถ้วยราดน้ำซุปแจกให้ครบตามจำนวน พร้อมเครื่องเคียงเป็นกิมจิผักกาดและหัวไชเท้า

เม่นมองแผ่นแป้งในน้ำซุปชามละ 3,000 พันวอน ก็บอกน้องๆ เป็นภาษาไทยว่า

“หน้าตาเหมือนเกี๊ยวน้ำ แค่ไม่มีห่อไส้ คิดซะว่าเรากินเกี๊ยวน้ำชามละ 30 บาทก็แล้วกัน”

จิน-คยองเป็นคนบอกกับเบียร์ว่า ก่อนกินข้าว เธอต้องพูดคำนี้ก่อน

“มาชิเก มอกเกตซึบนิดา…ฉันจะกินให้อร่อยเลยค่ะ”

เบียร์และเม่นทวนและพูดใหม่สองสามทีกว่าจะถูก เมื่อถูกแล้ว อาจุมม่าก็ยกนิ้วให้ปรบมือดีใจที่คนต่างชาติพูดเกาหลีได้

เด็กไทยสามคนตักน้ำซุปเป่าให้คลายร้อน แล้วค่อยๆ ยกแตะปากเพื่อชิม น้ำซุปรสชาติดีทีเดียวเพราะเคี่ยวด้วยปลาแห้ง หอย และสาหร่ายทะเลหลายชั่วโมงจนกลมกล่อม กลิ่นหอมติดจมูก แต่ครั้นจะตักชิมอีกครั้ง อาจุมม่าก็โบกมือวุ่นวาย พูดอะไรหงุงหงิงเป็นเชิงบ่น เบียร์กับเม่นทำหน้าเหลอหลาว่าตัวทำอะไรผิด นัดจึงบอกว่า

“อาจุมม่าแกว่าเรากินไม่ถูก ซูเจบีของแกอร่อยที่สุดในตลาด แต่เรากินเหมือนไม่อร่อย”

“ยังไงกินเหมือนไม่อร่อย” เบียร์ว่า “ขนาดไม่หิว แค่ชิมเข้าไปคำเดียวฉันยังว่าจะกินจนหมดถ้วย”

จิน-คยองเป็นคนเฉลย

“พวกเธอต้องซดน้ำซุปเสียงดังๆ เป็นการบอกว่าอาหารจานนั้นอร่อย”

นัดรู้ แต่หล่อนก็เขินที่จะทำแบบนั้น อยู่ที่บ้านถ้าซดน้ำซุปมีเสียง คุณยายจะรีบขนาบเลยเชียว ส่วนเบียร์ แม้หล่อนจะมาจากครอบครัวจีน แต่ก็เป็นจีนยุคใหม่ที่ค่อนข้างจะปฏิบัติตัวตามมารยาทสากลไปแล้ว

ในขณะที่สองสาวลังเล เม่นก็ตักน้ำซุปซดเสียงดัง คีบแผ่นแป้งตามเข้าปากไป เห็นคนที่โต๊ะข้างๆ ยกชามขึ้นซด เขาก็ทำบ้าง สีหน้าอาจุมม่าจึงชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ทีแรกพี่เม่นก็ลังเลเหมือนนัดกับเบียร์ ค่าที่เขาอยู่ในสถานะต้องรักษาภาพลักษณ์อยู่มาก แต่เมื่อมาอยู่ต่างแดน และถือว่านี่เป็นโอกาสในการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ เม่นจึงละภาพ ‘อาจารย์มหาวิทยาลัย’ ไว้ เหลือเพียงชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ถือคติเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เห็นโต๊ะข้างๆ ยกชาม เขาก็ยกซดบ้าง จะเป็นไรไป นักศึกษาไม่มาเห็นสักหน่อย

ผลก็คืออาจุมม่าหน้าบาน แถมต๊อกโบกีที่หล่อนติดมาไว้กินเองให้กับลูกค้าจากต่างชาติ

กลุ่มทัวร์ตลาดกลับถึงมหาวิทยาลัยราวสามโมง ซูจองและจิน-คยอง พานักเรียนไทยทั้งสามเดินสำรวจมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เพราะเบียร์บ่นว่ายังจำทางไม่ได้ อะไรก็ไม่สำคัญเท่าอาคารเรียนกับหอพัก ขอจำเส้นทางหลักนี้ให้แม่นๆ เสียก่อน เดินดูอย่างไม่รีบร้อนและไม่เหนื่อยเพราะไม่มีข้าวของอะไรติดมือกลับมาจากตลาดเลย สองสาวเกาหลีก็มาส่งนักเรียนไทยที่หน้าหอพัก

เย็นนี้บรรยากาศในหอพักคึกคักขึ้น เพราะพรุ่งนี้เป็นวันปฐมนิเทศ นักเรียนทุนไม่ว่าจะมาจากประเทศใดต่างเดินทางมาถึงเกาหลีแล้วในวันนี้ มินิมาร์ตที่เมื่อวานยังร้างคน วันนี้มีทั้งคนผมทอง ผิวขาว ผิวสี นั่งจับกลุ่มกัน เม่นบอกลาน้องๆ แล้วกลับหอพัก จึงได้พบว่ารูมเมตคนสุดท้ายของเขามาจากบังกลาเทศ ส่วนคนที่มาถึงเมื่อคืนนี้มาจากกาน่า หลังจากทักทายพอรู้จักภูมิหลังกันแล้ว เม่นจึงอาบน้ำให้สดชื่น เมื่อกลับออกมาก็เห็นว่าไซฟุล…รูมเมตจากบังกลาเทศกำลังวิดีโอคอลกับภรรยาของเขา

เขาดึงเม่นให้ไปอยู่ที่หน้าจอเพื่อทักทายภรรยาและอวดว่ารูมเมตของเขาเป็นถึงอาจารย์มหาวิทยาลัย เมื่อเม่นพ้นจากหน้าจอแล้ว เขาจึงกลับไปพูดภาษาประจำชาติดังเดิม และพูดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเที่ยงคืน เม่นยังไม่อยากตัดสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมห้องตั้งแต่วันแรก จึงคลุมโปงนอน ด้วยความอ่อนเพลียก็หลับไปได้โดยที่สำนึกสุดท้ายก็รู้อยู่ว่าฝ่ายนั้นยังคุยโทรศัพท์ไม่เสร็จ

ราวตีสาม เม่นก็ต้องสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อเสียงเพลงจากโทรศัพท์ดัง จากเพลงหนึ่ง สู่เพลงหนึ่ง งัวเงียลืมตามองก็พบว่า บัฟฟี่…รูมเมตชาวกาน่าตาสว่าง นอนไม่หลับ จึงแก้เบื่อด้วยการเลือกเสียงริงโทนโทรศัพท์ เม่นอดไม่ไหว ก็เตือนไปด้วยน้ำเสียงขุ่นเขียว ฝ่ายนั้นจึงเงียบไปได้

เม่นคิดว่าตัวเองโชคร้ายแล้วที่เจอรูมเมตแย่ๆ แต่เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้น้องๆ ฟัง ปรากฏว่านัดเจอเรื่องที่แย่กว่า

หลังจากพี่เม่นกลับหอไปแล้ว นัดก็ไปส่งเบียร์ที่ห้องก่อน เพราะอยากเจอรูมเมตของเบียร์ เมื่อเจอแล้วก็นึกอิจฉาว่าพี่เบียร์ทำไมโชคดีอย่างนี้ รูมเมตของพี่เบียร์เป็นสาวรัสเซีย แต่หล่อนมิใช่ฝรั่งผิวขาวผมทอง หน้าตาหล่อนค่อนมาทางเอเชียมากทีเดียว เมื่อหล่อนแนะนำตัวว่า

“ฉันชื่อ อายูนา” ยิ่งทำให้คิดว่า ถ้าหล่อนบอกว่ามาจากญี่ปุ่น ก็คงเชื่อสนิทใจ

อายูนาคงเหมือนกับจิน-คยอง ที่หลายคนไม่เชื่อว่าหล่อนเป็นคนชาตินั้น อายูนาจึงเปิดหน้าพาสปอร์ตให้ดูว่าหล่อนเป็นชาวรัสเซียจริงๆ หยิบตุ๊กตาผ้าแต่งชุดประจำชาติรัสเซียให้เบียร์เป็นของขวัญ

“ฉันตั้งใจเอามาฝากรูมเมต แล้วฉันก็มีให้เธอด้วย ฉันซื้อมาหลายตัว” อายูนายื่นตุ๊กตาตัวหนึ่งส่งให้นัด แล้วหล่อนก็หันมาถามเบียร์เป็นเชิงขออนุญาตว่า “ฉันติดโปสเตอร์ตรงข้างเตียงฉันได้ไหม”

เบียร์พยักหน้า “เอาสิ ตามสบายเลย”

แล้วอายูนาก็คลี่ม้วนกระดาษที่หล่อนนำมาอย่างทะนุถนอม เป็นภาพบอยแบนด์วง ‘บิ๊กแบง’ นัดกับเบียร์ก็กรี๊ดกร๊าดว่าอายูนาก็เป็นแฟนคลับคนหนึ่งของวงนี้ ปาร์ตี้เล็กๆ ก็เกิดขึ้นในห้องนั้น จนกระทั่งสามทุ่ม นัดจึงลากลับห้อง ทั้งที่ไม่อยากกลับ เพราะรู้ว่ากลับไปแล้วหล่อนต้องเจอกับอะไร

นัดอ้อยอิ่งคุยกับเบียร์และอายูนาจนไม่รู้จะหาเรื่องคุยอะไรแล้ว จึงสูดลมหายใจเข้า บอกตัวเองว่าจะเจออะไรก็เจอ แล้วก็กลับเข้าไปที่ห้อง

เปิดประตูเข้าไป รูมเมตของหล่อนก็อยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ หล่อนเป็นสาวใหญ่ชาวพม่า อายุสามสิบกว่า รุ่นราวคราวเดียวกับพี่เม่น หล่อนเป็นคุณแม่ลูกสอง และที่หล่อนกำลังเปิดกล้องคุยอยู่นี้คือสามีของหล่อน สามีผู้อยู่ในชุดโสร่งตัวเดียว เปลือยท่อนบน

เมื่อนัดเข้าไปในห้อง หล่อนก็ถือโทรศัพท์มาจ่อหน้าเพื่ออวดสามีว่า

“นี่ยังไงล่ะ รูมเมตของฉัน สาวไทย ประเทศใกล้บ้านเรานี่เอง”

นัดยิ้มเจื่อนๆ ตอบไป แล้วก็จัดการตัวเองให้พ้นจากจอโทรศัพท์ของฝ่ายนั้น บทสนทนาจะว่าอย่างไรนัดไม่รู้ แต่เดาจากท่าทาง รูมเมตของหล่อนคงอวดทุกอย่างรอบตัวที่หล่อนพบที่เกาหลี อะไรที่หล่อนเห็น สามีของหล่อนต้องรับรู้ด้วยราวกับอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เมื่อหล่อนหมุนกล้องไปรอบห้อง นัดจึงต้องคอยหลบไม่ให้ตัวเองติดเข้าไปในกล้อง เพราะไม่อยากมีส่วนร่วมกับสามีของหล่อน

ความอึดอัดใจรุนแรงขึ้นเมื่อนัดต้องการอาบน้ำ หล่อนจะผลัดเสื้อผ้าอย่างไรในเมื่อเห็นอยู่ว่าสามีของรูมเมตยังจ้องเข้ามาในห้อง จริงอยู่ว่า หล่อนจะหยิบเสื้อผ้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำก็ได้ แต่พื้นที่ในห้องนี้หล่อนก็ต้องการความเป็นส่วนตัว นัดเอ่ยออกมาในที่สุด

“พี่คะ นัดจะไปอาบน้ำ พี่ปิดกล้องก่อนได้ไหมคะ”

“ฉันคุยกับสามีอยู่ ไม่เห็นหรือ เธอจะอาบน้ำก็ไปอาบสิ ฉันไปนั่งคุยในห้องน้ำกับเธอเสียเมื่อไหร่”

“แต่นัดจะเปลี่ยนเสื้อผ้า แฟนพี่ก็เห็นหมดสิ”

หล่อนพูดภาษาถิ่นอีกสองสามคำทำนองลาสามีแล้วก็ปิดเครื่อง หันมามองนัดตาเขียว

“ฉันปิดแล้ว แก้ผ้าสิ จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเลย ฉันจะบอกเธอไว้อย่างนะ สามีฉันน่ะ ลูกสองแล้ว เขาไม่สนใจดูเด็กสาวๆ หุ่นแห้งเป็นก้างปลาอย่างเธอหรอก”

นัดไม่อยากเถียง หล่อนรู้สึกว่ายังไม่ควรมีเรื่องบาดหมางใจกันตอนนี้ ต่างคนต่างยังใหม่ต่อกัน ถ้ามีช่วงเวลาปรับจูนกันสักนิด อาจจะดีขึ้นก็ได้ คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ เสียงรูมเมตก็ดังลอยลมมาว่า

“คนไทยสอนให้รู้จักอาวุโสไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องถามอายุ ประมาณดูจากเท่าที่เห็น ฉันว่าฉันแก่กว่าเธอหลายปีนะ แม่สาวไทย”

นัดสูดลมหายใจเข้าลึก ยาว ผ่อนออกมาช้าๆ หันมาพูดกับรูมเมต

“ข้อนี้ก็คงจะจริงค่ะ เพราะฉันยังไม่มีแฟน แต่พี่มีลูกตั้งสองคนแล้ว คนโตอายุเท่าไหร่แล้วคะ”

นัดหายเข้าไปในห้องน้ำ อาศัยสายน้ำทำให้อารมณ์ของหล่อนสงบ แม้ว่าเมื่ออาบน้ำเสร็จออกมาจะพบว่ารูมเมตของหล่อนกำลังวิดีโอคอลกับสามีอีกรอบ ราวกับว่าทั้งสองคนมีเรื่องให้ต้องคุยกันตลอด 24 ชั่วโมง ก็พยายามข่มใจไม่เอามาเป็นอารมณ์ โชคดีที่หล่อนฟังไม่รู้เรื่อง หลับไปได้ในไม่กี่นาทีต่อมา

 

เช้าวันถัดมาคือวันปฐมนิเทศนักเรียนทุนที่มาเรียนภาษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ พวกเรานัดพบกันที่หน้ามินิมาร์ตเช่นเดิม พี่เม่นออกจะพอใจที่น้องสองสาวมาตรงเวลานัดและอยู่ในชุดสุภาพที่ประเมินว่า…ผ่าน เมื่อวานนี้เอง ที่ยังคุยกันอยู่ว่าจะแต่งตัวอย่างไร เพราะไม่มีเครื่องแบบ และกำหนดการแต่งกายใดๆ บอกไว้เพียงแค่แต่งกายชุดสุภาพ อันมาตรฐานความ ‘สุภาพ’ ของแต่ละคนนั้นก็แตกต่างกัน

ด้วยวัยที่ห่างจากนัดถึง 12 ปี และด้วยความเป็นนักวิชาการในมหาวิทยาลัย เมื่อเห็นนัดและเบียร์สวมเสื้อยืดสีสุภาพ แม้จะสวมกางเกงยีนส์ แต่ไม่มีรอยขาดประดับเป็นแฟชั่น ที่สำคัญคือทั้งสองสวมรองเท้าหุ้มส้น เม่นถือว่าเป็นการวัดความรู้กาลเทศะของมารยาทสากลก็ยิ้มให้ด้วยความพอใจในฐานะพี่ที่อาวุโสที่สุดในกลุ่ม และเป็นเหมือนผู้ปกครองไปด้วยในตัว

พากันเดินไปยังอาคารที่นัดหมาย เด็กต่างชาติหลายคนที่เดินผ่านไปแต่งตัวตามสบายไม่ขัดตา จนกระทั่งสายตาสะดุดกับร่างผอมบางโปร่งสูงของสาวน้อยที่นุ่งเสื้อยืดเอวลอยและกางเกงลวดลายธงชาติอเมริกันขาสั้น..สั้นชนิดที่ว่าเห็นสะโพกแลบออกมาครึ่งหนึ่งนั่นแล้ว นัดถึงกับอุทาน

“โห…คนนั้นใจกล้ามาก กล้าใส่ขนาดนี้มางานปฐมนิเทศเลยเหรอ หรือว่าคนละกลุ่มกับเรา”

พี่เม่นหันไปมองแล้วก็สะบัดหน้ากลับ

“ไม่มีกาลเทศะ ดีนะ หนูสองคนไม่แต่งแบบนี้มา ถ้าแต่งแบบนี้พี่ไล่ให้กลับไปเปลี่ยนจริงๆ ด้วย”

“โอ๊ย…ขนาดนี้หนูก็ไม่กล้าใส่หรอกค่ะ” เบียร์บอก

แล้วคำอธิษฐานของทั้งสามคนก็ไม่เป็นผล เมื่อแม่สาวขายาวผิวคล้ำเนียนผู้นุ่งสั้นจนเห็นแก้มก้นหยุดที่ประตูทางเข้าตึก งงกับป้ายภาษาเกาหลีที่หล่อนอ่านไม่ออก หันมาถามเป็นภาษาอังกฤษรัวเร็วว่า

“พวกเธอมีใครอ่านภาษาเกาหลีออกไหม ฉันหาห้องปฐมนิเทศนักเรียนทุนอยู่น่ะ”

นัดตอบเป็นภาษาอังกฤษเมื่ออ่านป้ายประกาศนั้นว่าเป็นทางไปห้องปฐมนิเทศ แล้วตบท้ายว่า

“เดินขึ้นไปพร้อมกันเลยสิ”

สาวน้อยจากต่างชาติยิ้มกว้าง มองตรงมาทางเม่นตาเป็นประกาย

“ฉันชื่อเชเคอร์ เรียกยากหน่อยนะ” หล่อนยักไหล่อย่างเก๋ “เรียกสั้นๆ ว่า เช็ค ก็ได้ ฉันมาจากเติร์กเมนิสถาน เธอล่ะ”

“ฉันชื่อเม่น มาจากไทย แล้วนี่ชื่อ…” เม่นกำลังจะแนะนำนัดกับเบียร์ แต่ถึงหน้าห้องปฐมนิเทศเสียก่อน แม่สาวน้อยรีบตัดบทลา

“เหมือนฉันจะเจอคนรู้จักแล้วละ ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ พ่อหนุ่มไทย” ว่าจบหล่อนก็ส่งจูบมาตามลมแล้วเดินตัวปลิวไปทักทายสาวๆ ที่จับกลุ่มคุยกันอยู่มุมหนึ่ง

นัดกับเบียร์หันมามองหน้าพี่เม่นก็เห็นว่าฝ่ายนั้นทำปากเบะ

“ยี้…อีนังเงินปลอม ทำมาเป็นอ่อยฉัน”

“พี่เม่นเรียกเขาว่าอะไรนะคะ” นัดถาม

“เงินปลอม ก็เช็คไง เช็คใบนี้ไม่ต้องขึ้นเงินก็รู้ เด้งดึ๋งดั๋งเลยละ”

ทั้งนัดและเบียร์หัวเราะคิก ไม่คิดว่าพี่เม่นจะปากคอเราะรายอย่างนี้ และในเวลาต่อมา สมญานามต่างๆ ของเด็กต่างชาติแต่ละคน ก็มาจากพี่เม่นนี่แหละ เป็นผู้ตั้งให้

 

รูมเมตของเบียร์มาถึงหลังจากนั้นนิดหน่อย ลงทะเบียนเสร็จเบียร์ก็แนะนำให้พี่เม่นรู้จัก ไม่กี่นาทีต่อมา อายูนาก็กลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มเด็กไทย เพราะหล่อนยังไม่เจอเพื่อนที่มาจากประเทศเดียวกัน เม่นถามนัดถึงรูมเมตของหล่อน เพราะยังไม่เคยพบหน้า

“เดี๋ยวเขามาพี่เม่นก็รู้เองค่ะ ตอนจะออกห้องนัดยังถามเลย ว่าเขาจะใส่ชุดนี้จริงๆ เหรอ เขาก็ว่าจริงน่ะสิ แถมยังมองหน้านัดแบบ…เธอถามอะไรแบบนี้”

“เขาแต่งชุดยังไงเหรอ” เบียร์ถาม “จะมีใครยิ่งกว่ายายเช็คเด้งของพี่เม่น”

“อย่ายัดเยียดว่าเป็นของพี่นะ ไม่เอาหรอกแบบนั้น ไม่ใช่เทสต์” เม่นว่า “แล้วเขาแต่งชุดอะไรมา”

“ชุดประจำชาติเขาอะค่ะ” นัดบอก

“ห๊า…ใส่กันวันนี้เลยเหรอ” เม่นอุทาน

เพราะในหนังสือชี้แจงเด็กทุนเรื่องการเตรียมตัวมาเรียนที่เกาหลี มีข้อหนึ่งเป็นการขอความร่วมมือว่า  ให้ผู้รับทุนเตรียมชุดประจำชาติของตนเองมาด้วย เพราะเกือบทุกมหาวิทยาลัยจะมีเทศกาลนานาชาติ ให้นักเรียนต่างชาติได้แสดงความสามารถกัน

ยังไม่ทันจะได้คิดแทนเจ้าตัว ว่าทำไมหล่อนจึงแต่งชุดประจำชาติในวันนี้ ชุดสีเขียวปักประดับด้วยไหมเงินทองแวววาวและเลื่อมสีก็ปรากฏขึ้นที่หน้าลิฟต์ หล่อนเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับโทรศัพท์ที่กำลังวิดีโอคอลอยู่กับสามี ทุกคนในบริเวณนั้นต่างหันไปมองหล่อนเป็นตาเดียว

เม่นมองอย่างรู้สึกว่า ชุดของหล่อนสวย โดยเฉพาะผ้าซิ่นลุนตยาผืนนั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าฝีมือดีและมีราคาสูง หล่อนคงภูมิใจในตัวเองและประเทศของหล่อนมาก จึงพิถีพิถันในการเลือกเครื่องแต่งกายในวันนี้ ซึ่งถือเป็น ‘โอกาสพิเศษ’ หรือวันสำคัญของหล่อน

หากอยู่ในขบวนแห่หรืองานเทศกาลประเพณี หล่อนก็คงงามเด่นทีเดียว แต่ตอนนี้ดูหล่อนจะอยู่ผิดที่ผิดทางไปหน่อย

แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้เสียทีเดียว เพราะเมื่อลงทะเบียนเสร็จ นักเรียนทุนจากประเทศต่างๆ ก็เข้ามาขอถ่ายรูปกับหล่อน จะขอถ่ายด้วยความชอบ หรือเพราะความแปลกก็ตามที ถือว่าหล่อนประสบความสำเร็จในการเรียกร้องความสนใจในวันนี้

 

“เนี่ยค่ะ รูมเมตของนัด วิดีโอคอลกับแฟนทั้งวัน ตอนนัดออกมาก็คุยกันแล้วนะ ไม่รู้ได้วางสายกันบ้างหรือยัง หรือคุยยาวตั้งแต่ตอนนั้น”

“แล้วแกไม่อึดอัดเหรอนัด แบบนี้แกจะทำอะไรผัวเจ๊นั่นก็เห็นแกหมดดิ” เบียร์ถาม

“ก็เนี่ยแหละที่นัดอึดอัด เมื่อวานก็ฉะกันไปทีนึงละ” นัดบอกแล้วเล่าให้ฟังย่อๆ เน้นที่ประคารมกันตอนท้าย พี่เม่นจึงบอกอย่างเป็นผู้ปกครองน้องๆ ว่า

“ถ้าแม่นั่นแผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีกเมื่อไหร่บอกพี่ จะจัดการให้หย่าผัวเลยเชียว”



Don`t copy text!