จากแดกู…สู่หัวใจ บทที่ 4 : เคอร์ฟิว
โดย : เนียรปาตี
จากแดกู…สู่หัวใจ ไพรัชนิยาย จาก เนียรปาตี ที่จะทำให้คุณหลงรัก ‘แดกู’ เมืองเล็กๆ ในประเทศเกาหลีที่มอบประสบการณ์อันแสนอบอุ่นให้กับ นัด เบียร์ พี่เม่น นักศึกษาไทยที่เดินทางมาเพื่อเรียนต่อ แต่เมื่อแดกูไม่ใช่โซลหรือปูซาน ที่นี่จะเป็นอย่างไร ร่วมซึมซับเรื่องราวของนิยายออนไลน์เรื่องนี้ที่อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
****************************
– 4 –
นัดลงมาที่โรงอาหารตอน 8 โมงเช้า เผื่อเวลาว่ากินเสร็จจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงค่อยไปเรียน เมื่อมาถึงก็พบว่าเวลานั้นแถวยาวล้นออกมานอกประตูแล้ว โรงอาหารประจำหอพักมีอยู่แห่งเดียว จุได้ราว 300 ที่นั่ง ในขณะที่ต้องให้บริการนักศึกษาถึง 8 หอพักในเวลาเพียงสองชั่วโมง
ต่อแถวที่มีทั้งเด็กเกาหลีและคนต่างชาติจนเข้าประตูอาคารก็หยิบถาดหลุม ช้อนและตะเกียบ พลันก็นึกว่าครั้งสุดท้ายที่กินอาหารจากถาดหลุมคือเมื่อไหร่กัน พอไปถึงจุดที่ตั้งอาหาร สิ่งที่จัดการได้ด้วยตนเองคือตักข้าวและกิมจิให้พอดีตามที่ต้องการ ส่วนนอกเหนือจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นซุป ผัด หรือขนมหวาน แม่ครัวจะตักให้ทั้งหมด
นัดมองอาหารในถาดหลุมอย่างไม่ศรัทธาว่าหล่อนจะพบความอร่อยได้จากสิ่งนี้ แต่ตอนนี้ สิ่งที่ต้องทำคือมองหาที่นั่ง ซึ่งน่าจะยากๆ พอกับรีบจองตั๋วคอนเสิร์ตนักร้องเกาหลี พอมีคนลุกก็ต้องรีบไปเสียบแทนเหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี มีคนลุกพอดี นัดจึงได้ที่นั่ง เห็นพี่เม่นและพี่เบียร์ยืนมองหาอยู่ก็โบกมือเรียก
“นัดยังไม่ได้แต่งตัวเหรอ เดี๋ยวก็ไปเรียนสายหรอก” พี่เม่นถาม เพราะตนเองอยู่ในสภาพพร้อมไปเรียนหลังกินข้าวเสร็จ “อ้าว…เบียร์อีกคน”
“ก็กลัวกลิ่นมันติดเสื้อไปเรียนอะ แต่ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้” นัดบอกพลางใช้ตะเกียบเขี่ยข้าวไปมา
อาหารมื้อแรกในโรงอาหารเป็นซุปสาหร่าย หมูผัด และกล้วยหอมคนละหนึ่งผล พวกเรามองหน้ากันไปมาแล้วก็รู้สึกว่าฝันร้ายแบบอาหารกลางวันในโรงเรียนได้ย้อนกลับมาสู่วิถีชีวิตของเราอีกครั้ง
แรกทีเดียวยังไม่มีใครคิดเรื่องนี้…คิดเพียงว่าเมื่อไหร่โรงอาหารจะเปิด จะได้ไม่ต้องวุ่นวายกับมื้อเช้าก่อนไปเรียนให้ทัน 9 โมง ภาพที่คิดฝันไว้ก็คือ โรงอาหารเปิดตั้งแต่หกโมงเช้า นักเรียนลงมาเลือกกินแบบบริการตัวเอง ไม่ใช่ต่อแถวรับอาหารถาดหลุมแบบนี้
สังเกตดูรอบกาย ถ้าเป็นเด็กเกาหลีก็จะรีบจ้วงกินราวกับว่าให้จบไปมื้อหนึ่ง ไม่ได้คิดถึงเรื่องความอร่อยหรือพอใจอะไรทั้งสิ้น ในขณะที่กลุ่มเด็กต่างชาติมีปฏิกิริยาที่หลากหลายกว่า ทว่าที่เห็นมากที่สุดคือ มองอาหารตรงหน้าอย่างรู้สึกว่าไม่ค่อยจะเป็นมิตรด้วยสักเท่าไร
เสียงเอะอะดังขึ้นจนคนในโรงอาหารต้องหันไปมอง
กลุ่มนักศึกษาที่เป็นมุสลิมกลุ่มใหญ่ทั้งชายหญิงโวยวายเป็นภาษาอังกฤษรัวเร็วกับอาจุมม่าผู้ตักอาหารอยู่ที่เคาน์เตอร์ อาจุมม่าก็ไม่รู้เรื่องและไม่มีใครจะช่วยแปลได้ ในขณะที่กลุ่มมุสลิมก็ฉุนเฉียวที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจสิ่งที่พยายามบอกสักที ดูจากท่าทางก็เอาแต่ไล่ให้ไปเข้าแถว หยิบถาดหลุมมารอเหมือนคนอื่นๆ
ปัญหานั้นมิได้เกิดจากการลัดคิวหรือไม่ต่อแถว นักเรียนมุสลิมคนหนึ่งมาถึงที่จัดอาหารแล้วพบว่าเขาไม่สามารถกินอะไรได้เลย เขาจึงตะโกนบอกอะไรบางอย่างแก่เพื่อนมุสลิมที่อยู่ในแถว นักเรียนที่ต่อคิวอยู่จึงออกมารวมกันที่หน้าเคาน์เตอร์อาหาร แล้วก็พบว่าไม่มีอะไรพอจะกินได้จริงๆ
นักเรียนเกาหลีคนหนึ่งที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ นัยว่าคงเป็นกรรมการหอพักช่วยเป็นล่ามไกล่เกลี่ยให้ จึงพอจะเข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร อาจุมม่าจึงให้ไปกินอาหารในโซนที่จัดไว้แบบ ‘อินเตอร์เนชั่นแนล’ อันประกอบด้วยขนมปัง ชีส ครีม ไข่ต้ม และกล้วยหอม
แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นอีก เมื่ออาจุมม่าที่ดูแลเคาน์เตอร์นั้นโวยวายว่าแต่ละคนหยิบอาหารไปเกินกว่าโควตาของหนึ่งคน แต่ก็ไม่มีใครฟัง เพราะนอกจากจะหยิบใส่ถาดตามความพอใจของตนเองแล้ว บางคนยังหยิบไข่ต้มและนมใส่กระเป๋าเพื่อตุนไว้เป็นอาหารเที่ยงด้วย
อาจุมม่าทำอะไรไม่ได้นอกจากโวยวายเสียงดัง
แล้วความอดทนของอาจุมม่าก็ระเบิดเมื่อเรนโฮลด์ หนุ่มละตินในกลุ่มจตุรเทพของเราถือถาดที่กินอาหารเกาหลีหมดไปรอบหนึ่งแล้วไปตักอาหารอินเตอร์ที่อาจุมม่าคุมป้อมอยู่
“เธอกินหมดไปแล้ว จะมาเติมที่นี่อีกได้ยังไง เธอต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งสิ ว่าจะกินอันไหน” อาจุมม่าโวยเป็นภาษาเกาหลี แต่เรนโฮลด์หาได้สนใจไม่ เพราะฟังไม่ออก เขาเพิ่งเริ่มเรียนระดับหนึ่งเท่านั้นเอง จนถึงวันนี้นับหนึ่งถึงสิบยังผิดๆ ถูกๆ
อาการไม่สนใจต่อถ้อยคำของอาจุมม่า และมือที่คว้าพายปาดครีมลงบนขนมปังนั้นทำให้อาจุมม่าเดือด หล่อนแย่งพายไม้นั้นไปจากมือ ในจังหวะที่เรนโฮลด์ไม่ทันระวังตัว ถาดที่ประคองในมือก็ร่วงลงพื้นเสียงดังเคร้ง คนที่อยู่ไกลมองไม่เห็นถนัด ก็เริ่มเล่าว่าอาจุมม่าด่าเด็กต่างชาติจนเขาไม่พอใจ ทุ่มถาดลงบนพื้น
นักเรียนเกาหลีคนเดิมเข้ามาไกล่เกลี่ยปัญหานี้ แต่คราวนี้เรนโฮลด์ก็ย้อนเข้าให้ว่า
“นี่ดูที่ตัวฉันก่อน” เขาชี้นิ้วไปที่ตัวเอง “เธอคิดว่าวันหนึ่งๆ ฉันต้องกินเท่าไร มันถึงจะเพียงพอกับพลังงานที่ฉันต้องใช้ในแต่ละวัน มื้อเช้าน่ะสำคัญต่อสมองนะ ไม่รู้เหรอ”
ว่าจบ เรนโฮลด์ก็ก้มลงเก็บถาดบนพื้นไปเก็บในจุดวางถาดที่ใช้แล้ว แต่ขากลับแวะหยิบทั้งกล้วยหอม ไข่ต้ม และนมกล่องใส่ในกระเป๋าเสื้อและกางเกง ทำให้อาจุมม่ายังคงเดือดดาลที่เด็กเกาหลีไม่สามารถเถียงชนะเด็กต่างชาติได้ แถมหล่อนยังเสียอาหารที่ไอ้เด็กคนนั้นไม่มีสิทธิ์หยิบไปอีก
เรนโฮลด์ไม่สนใจเสียงโวยวายไล่หลังที่เขาไม่เข้าใจ เดินออกไปท่ามกลางสายตาของหลายคนที่มองมายังเขา ผ่านกลุ่มสาวๆ เรนโฮลด์ก็ขยิบตาให้อย่างหมายใจจะหยอกล้อ เพียงเท่านั้นแม่สาวเกาหลีทั้งหลายก็ละลาย ลืมไปหมดสิ้นว่าพ่อหนุ่มละตินคนนี้เพิ่งก่อเรื่องอะไรมา
วีรกรรมของเรนโฮลด์ทำให้เด็กต่างชาติหลายคนทำตาม เมื่อคืนถาดแล้ว ก่อนออกจากโรงอาหาร จึงแวะหยิบกล้วยหอม ไข่ต้ม และนมกล่องติดมือไป อาจุมม่าก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากโวยวายอย่างหัวเสีย
เมนูอาหารในตอนเย็นที่โรงอาหารนับว่า ‘ดีกว่า’ มื้อเช้าอยู่เล็กน้อย ความแออัดก็ไม่หนาแน่นเท่าตอนเช้า พวกเราปรับตัวได้ไม่ยากนัก ด้วยมีประสบการณ์กับอาหารถาดหลุมในวัยเรียน ยิ่งถ้าใครเคยผ่านผัดถั่วงอกและถั่วเขียวต้มน้ำตาลมาแล้ว ถือว่ามีภูมิคุ้มกันอาหารถาดหลุมอยู่ในระดับสูงทีเดียว
ในขณะที่พวกเราคิดว่าปรับตัวได้แล้ว และคนอื่นๆ คงจะเป็นเหมือนกัน ปัญหานี้ก็ระเบิดขึ้นมาเมื่อถึงวันที่สาม อันเป็นวันที่กลุ่มนักเรียนมุสลิมไม่ยอมทนอีกต่อไป
พร้อมๆ กับกลุ่มนักเรียนที่รับไม่ได้กับเรื่อง ‘เคอร์ฟิว’
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่หอพักจนเริ่มเรียนได้หนึ่งสัปดาห์ ที่หอพักก็ยังไม่มีปัญหาใดๆ จนกระทั่งถึงช่วงเวลาเปิดเทอมปกติของนักเรียนเกาหลี ระเบียบปฏิบัติต่างๆ ก็ดำเนินไปอย่างที่เคยเป็นมา แต่ละหอพักมีคณะกรรมการที่จะคอยดูแลความเรียบร้อย ซึ่งหนึ่งในการดูแลความเรียบร้อยนี้คือ การตรวจเช็กทุกห้องหลังเวลาเคอร์ฟิว ว่าสมาชิกอยู่กันครบหรือไม่
ห้าทุ่มตรง เมื่อถึงเวลาเคอร์ฟิว ประตูหอพักปิดล็อกอัตโนมัติ เสียงเคาะประตูห้องพักก็ดังขึ้น
“อันยองฮาเซโย” กรรมการหอพักทักทายพร้อมด้วยใบรายชื่อในมือ แล้วก็เรียกขานชื่อคนในห้องพักว่าอยู่ครบหรือไม่ เมื่ออยู่ครบก็จบไป แต่หากไม่ครบ…หมายความว่าไม่เห็นเป็นตัวปรากฏอยู่ต่อหน้า ก็จะรอจนกว่าได้พบตัวเป็นๆ นั่นละ
ในวันถัดมาหลังจากคืนที่มีเคอร์ฟิว กลุ่มนักเรียนทุนก็วิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างกว้างขวาง
“เราเรียน ป.โท ป.เอกกันแล้วนะ มันเรื่องอะไรให้เด็ก ป.ตรีมาคอยเช็กชื่อหลังเคอร์ฟิว” ริดาโดบ่น
“ฉันรับไม่ได้กับเรื่องนี้เหมือนกัน” พี่เม่นบอก เพราะหากวัดจากอายุแล้ว พี่เม่นก็ไม่ต่างจากอาจารย์ของนักศึกษากรรมการหอพัก
“เมื่อคืนนี้ฉันอาบน้ำอยู่ ขนาดขานชื่อตอบแล้วก็ยังไม่เชื่อ นางก็รอจนฉันอาบน้ำเสร็จออกมาแล้วนางถึงไปกัน” อารุชาบ่น
ริคาโดหัวเราะ เพราะเขาก็เจอสถานการณ์คล้ายกันนี้ เมื่อเด็กกรรมการหอพักเรียกชื่อเขา แล้วเขาตะโกนตอบกลับไปจากในห้องน้ำ ฝ่ายนั้นก็ยังไม่เชื่อ คิดว่ารูมเมตแกล้งดัดเสียงตอบ เคาะประตูห้องน้ำจนเขารำคาญ จึงเปิดผางออกไปให้เห็นว่านั่งปลดทุกข์อยู่บนชักโครก กลิ่นโชยออกมาตามภาพที่เห็น เด็กเกาหลีก็หน้าแดงด้วยความอาย ขอโทษขอโพยและรีบออกจากห้องไป
หลายเรื่องอาจดูเป็นการเอาคืนที่ขำขัน แต่มันก็ซีเรียสสำหรับพวกเราที่คิดว่า เราเป็นผู้ใหญ่พอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว สำหรับเด็กเกาหลี เรื่องนี้มีความสำคัญอยู่ไม่น้อย เพราะหากไม่อยู่ในห้องพักจะถูกตัดคะแนนความประพฤติและเสียสิทธิ์ในการอยู่หอพักในเทอมต่อไป แต่พวกเราไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้ เพราะปีหน้าเราก็แยกย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอื่นแล้ว
เช้าวันหนึ่ง ครูผู้สอนชั่วโมงแรกก็ต้องแปลกใจที่นักเรียนหายไปกว่าครึ่งห้อง สอบถามคนที่เหลืออยู่ก็ได้คำตอบว่า ไปรวมตัวกันที่ออฟฟิศเพื่อเรียกร้องให้จัดการเรื่องอาหารและเคอร์ฟิว เพราะค่าใช้จ่ายของทั้งสองอย่างนี้ถูกหักไปจากเงินค่าใช้จ่ายรายเดือนที่นักเรียนทุนได้รับ
นักเรียนส่วนใหญ่ที่ลงไปโวยเป็นกลุ่มห้องเรียนระดับหนึ่ง ครูจึงต้องงดสอนไปในชั่วโมงแรก เบียร์มาหาเม่นที่ห้อง มองลงไปจากห้องเรียนชั้นสองก็เห็นว่าที่หน้าออฟฟิศนั้น มิสเตอร์พัครับศึกอยู่คนเดียว กลุ่มที่กินข้าวในโรงอาหารไม่ได้ก็โวยวายว่าอดทนมาหลายวันก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น เหมือนทางออฟฟิศไม่ได้เจรจากับโรงอาหารเพื่อแก้ไขปัญหานี้
ในที่สุด ก็ยุติปัญหาที่นักเรียนกลุ่มที่ต้องการอาหาร ‘พิเศษ’ ขอคืนเงินที่ถูกหักไปจากทุนที่ได้รับรายเดือน และจะรับผิดชอบปากท้องของตัวเอง ระหว่างที่เจรจานั้น เบียร์เพิ่งสังเกตว่าอารุชามิได้ร่วมวงด้วย ทั้งที่หล่อนมาจากประเทศอิหร่าน พอถาม หล่อนก็ตอบว่า
“ศาสนาฉันก็นับถือ แต่เรื่องกินให้อยู่ให้รอดฉันก็ต้องทำ ชีวิตของฉันนี่ สำรวจรอบมหาวิทยาลัยมีอาหารฮาลาลให้กินที่ไหนกัน จะซื้อของมาทำกินเอง ไหนล่ะ…ครัว ชีวิตคนเรามันต้องยืดหยุ่นบ้างให้รอดไปได้ ไม่ใช่เคร่งครัดสุดโต่งเสียจนอะไรก็ไม่ได้ไปหมด”
พูดจบหล่อนก็เอื้อมมือไปรวบผมแล้วก็สยายไปข้างหลังราวกับจะบอกเป็นนัยอีกเรื่องว่า อย่างการคลุมฮิญาบนี่ไง ที่หล่อนไม่เห็นว่าจำเป็นต้องคลุมเมื่อมาอยู่ในประเทศนี้ ตราบใดที่หล่อนยังอ่านพระคัมภีร์และดำเนินชีวิตไปตามครรลองที่ถูกต้อง…แต่ไม่ฝืนใจตัวเอง
เรื่องที่จบยากคือเรื่องเคอร์ฟิว มิสเตอร์พัคพยายามอธิบายเท่าไรก็ดูจะไม่เป็นที่ถูกใจ สบอารมณ์ หลายคนโวยว่าไม่บอกเรื่องเคอร์ฟิวนี้ก่อนตั้งแต่ให้เลือกจองหอพัก บางคนรับไม่ได้ที่เด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะมาวางท่าเขื่อง ทำตรวจสอบเข้มงวดสำรวจผู้พักภายในห้อง
บางคนนอนเร็ว ก็หงุดหงิดที่ถูกปลุกขึ้นมาเพื่อขานรับตอนเรียกเช็กชื่อ
“มันเป็นระเบียบของที่นี่” มิสเตอร์พัคพูดได้แค่นี้ ซึ่งไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ในชั่วโมงถัดมา นักเรียนทุนเกินกว่าครึ่งก็ลงชื่อแสดงความจำนงขอค่าหอพักคืนแล้วจะหาที่อยู่ใหม่ พร้อมทั้งจะทำเรื่องร้องเรียนไปยังสำนักงานใหญ่ที่ให้ทุน ว่าการจัดการของที่นี่แย่เพียงใด
เป็นอันว่าครึ่งเช้าวันนั้น ไม่มีการเรียนใดๆ เด็กทุนลุกฮือกันขึ้นมาระบายความอัดอั้นตันใจในเรื่องความไม่สะดวกหลายๆ อย่าง ในการใช้ชีวิตที่ผ่านมาแล้วราวสองสัปดาห์
ข้างออฟฟิศชั้นหนึ่งเป็นร้านกาแฟ เม่นกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วก็มาซื้อกาแฟดื่มเพื่อให้สมองตื่นช่วงบ่าย มองเข้าไปในออฟฟิศเห็นพัค จุงมิน นั่งอยู่ในห้องคนเดียว ทั้งที่เวลานี้เขาควรจะพักเที่ยงกับเพื่อนร่วมงาน สีหน้าของเขาไม่ดีเลย คงเครียดเรื่องโรงอาหารและเคอร์ฟิวนั่นละ เม่นจึงซื้ออเมริกาโน่กับครัวซองต์ไปฝาก
พัค จุงมิน เงยหน้าขึ้นมาก็จำได้ว่าเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลปีนี้ และเป็นกลุ่มผู้ใหญ่
“เดาว่าคุณคงยังไม่ได้กินอะไร ผมซื้อมาฝาก วันนี้คุณคงโดนถล่มเยอะเชียว”
“ขอบคุณครับ” เขารับไปแล้วก็ลังเลนิดหนึ่งว่าพูดดีหรือไม่ ในที่สุดก็ตัดสินใจถามออกมา
“เมื่อเช้า คุณไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น แสดงว่าคุณไม่มีปัญหาเหรอ”
“เปล่าหรอก คุณดูรายชื่อคนที่จะย้ายออกสิ ชื่อผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมเข้าใจนะเรื่องกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติ แต่กับบางเรื่อง อย่างเช่นการปลุกขึ้นมาให้ขานชื่อตอบ หรือเคาะประตูห้องน้ำเพื่อจะดูว่าอยู่ในหอจริงหรือไม่ โดยเด็กที่อายุห่างกันกว่าสิบปี มันสมควรอยู่เหรอ เด็กบางคนก็นิสัยดีนะ แต่บางคนก็ดูลุแก่อำนาจมากเกินไป”
“ผมขอโทษแทนพวกเขาด้วย” พัค จุงมิน บอกออกมา
“มันไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องขอโทษแทนใคร แต่มันต้องหาทางออกให้ได้ที่แม้จะไม่ถูกใจทั้งหมด แต่มันต้องอยู่ในจุดที่ยอมรับได้”
“ผมไม่อยากให้พวกคุณร้องเรียนไปที่สำนักงานใหญ่” เขาหมายถึงหน่วยงานผู้ให้ทุน “เราเคยเจอปัญหาแบบนี้มาก่อน แต่รุ่นของคุณดูจะรุนแรงที่สุด”
“แสดงว่าปัญหานี้ไม่เคยถูกแก้ แล้วปีนี้ก็แจ็กพ็อตที่พวกเราไม่ยอมเหมือนรุ่นก่อนๆ ถ้าวันสองวันนี้ยังเป็นแบบนี้อยู่ เรื่องก็คงไปถึงสำนักงานใหญ่แน่ๆ ผมไม่ได้ขู่นะ แต่เท่าที่พอจะรู้จักเพื่อนๆ กันบ้างแล้ว ผมรู้ว่าพวกเขาเอาจริง”
“ถ้าผมขอให้คุณถอนชื่อออก จะได้ไหม”
“ทำไมล่ะ”
“ทางมหาวิทยาลัยของเราดีใจมากที่ยังได้รับเลือกให้สอนภาษาเด็กทุน แต่ก็มีหลายๆ มหาวิทยาลัยเรียกร้องอยากได้โอกาสแบบนี้บ้าง เพราะถือว่าเป็นเกียรติที่ได้รับใช้โครงการของรัฐบาล ท่านผู้อำนวยการแจ้งข่าวแก่เราเมื่อวันก่อนนี้เองว่า ปีหน้าพวกเราอาจไม่ได้รับเด็กทุนอีก ถ้าปีนี้มีนักเรียนสอบผ่านน้อย สละสิทธิ์ทุนตั้งแต่ยังเรียนภาษาที่นี่ หรือมีเรื่องร้องเรียนเข้าไปเกี่ยวกับการบริหารจัดการของเรา”
เม่นเข้าใจได้เกือบทะลุปรุโปร่งถึงสาเหตุที่สีหน้าของพัค จุงมิน มีริ้วรอยวิตกกังวลกว่าที่ควรจะเป็น มันแทบจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลยทีเดียว แต่เขาก็บอกความจริงว่า
“ต่อให้ผมถอนชื่อตัวเองออก เรื่องนี้ก็ถูกส่งไปที่สำนักงานใหญ่อยู่ดี ถ้าทางนี้ไม่รีบแก้ไข” เหลือบดูนาฬิกาแขวนผนังเม่นจึงขอตัว “ผมต้องไปละ ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว”
“ขอบคุณสำหรับกาแฟนะครับ ถ้ามีโอกาสดีกว่านี้ เราคงได้นั่งกินกาแฟด้วยกัน คุยเรื่องที่น่าสบายใจกว่านี้”
“ยินดีครับ ถ้าคุณจะเลี้ยง” เม่นตอบยิ้มๆ
“ผมว่าคุณกินกาแฟไม่จุเท่าไรหรอก” พัค จุงมินตอบ แต่ไม่บอกว่าจากที่นั่งทำงานของเขา มองออกไปเห็นร้านกาแฟ เขาเห็นเม่นมาซื้อเป็นประจำทุกวัน วันละสองครั้ง จนแทบจะจับเวลาที่เม่นจะปรากฏตัวได้อย่างแม่นยำเลยทีเดียว
ปัญหาเคอร์ฟิวน่าจะถูกหารือเป็นประเด็นเครียดในวันนั้น เพราะราวสามทุ่ม เมื่อเดินเข้าตึกหอพัก ผ่านห้องประชุมของกรรมการก็เห็น ‘เด็กๆ’ คณะกรรมการหอพักประชุมกันอยู่ พอถึงเวลาห้าทุ่ม เสียงเคาะประตูห้องก็ดังตามปกติ แต่ไม่มีการเรียกขานชื่อ คงเหลือแต่เพียงการทักทายและอวยพรราตรีสวัสดิ์
เช้าวันถัดมาพวกเราก็พูดกันถึงเรื่องนี้ราวกับว่าเป็นสิ่งประหลาดผิดไปจากคืนก่อนๆ ที่ผ่านมา กลุ่มนักเรียนทุนที่เป็นผู้ใหญ่พอจะรู้ว่าคงมีการเจรจาและขอความร่วมมือว่าอย่า ‘ตรวจเข้ม’ กับเด็กทุนจากต่างชาติมากนัก
คุณครูหรือซอนเซงนิม มาบอกเรื่องนี้อย่างเป็นทางการในชั้นเรียน ว่า ‘เคอร์ฟิว’ จะยังคงมีอยู่ หอพักจะปิดตอนห้าทุ่มเหมือนเดิม แต่ไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดในห้องพักอีก นั่นหมายความว่า นักเรียนทุนจะมีอิสระมากขึ้น แต่หากเข้าหอพักไม่ทันห้าทุ่ม ก็จะต้องอยู่ข้างนอกจนกว่าหอพักจะเปิดตอนหกโมงเช้า ทุกคนก็ยอมรับเงื่อนไขนี้
เลิกพักเที่ยงก่อนไปกินข้าว ริคาโดก็ไปขอรายชื่อเพื่อนคืนจากออฟฟิศ
เม่นกลับมาที่ห้องเรียนพร้อมกาแฟกระป๋องที่กดจากตู้ขายอัตโนมัติ เพราะวันนี้ร้านกาแฟปิด แต่กลับต้องประหลาดใจเมื่อบนโต๊ะตัวที่เขานั่งประจำมีกาแฟร้อนแก้วหนึ่งวางอยู่ แปะโน้ตเล็กไว้ว่าให้เขา เม่นพอจะเดาได้ว่าใครเป็นคนซื้อมาให้ แต่ก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง
ดึงปลอกกระดาษกันร้อนลงก็เห็นข้อความเขียนไว้บนแก้วว่า ‘ขอบคุณ’ พร้อมลงชื่อเป็นภาษาเกาหลีที่เม่นพอสะกดอ่านได้แล้วว่า…พัค จุงมิน
ความวุ่นวายในโรงอาหารมิได้ลดลง แต่หลายคนชินและเริ่มปรับตัวได้ ทั้งการกะเวลาลงไปกินมื้อเช้าและมื้อเย็น การเข้าแถวตักอาหาร และเก็บถาดในที่ล้างจาน ส่วนการแอบ ‘หยิบ’ นม ไข่ต้ม หรือผลไม้ก็ยังคงอยู่ แม้ว่าอาจุมม่าจะจ้องตาเขม็ง แต่เมื่อเผลอก็พลาดให้กับเด็กต่างชาติทุกที
นักเรียนจากตะวันตกหลายคนยังไม่สามารถกินอาหารด้วยตะเกียบผอมๆ ได้ คีบร่วง คีบร่วง จนต้องพึ่งพาช้อนเพียงคันเดียวสำหรับส่งอาหารเข้าปาก ในขณะที่นักเรียนจากมาเลเซียและบรูไนไม่ยี่หระกับการใช้มือเปิบ
พวกเราเด็กไทยรู้สึกได้เปรียบขึ้นมาทันที ไม่ว่าอาหารที่เสิร์ฟจะเป็นข้าวหรือเป็นเส้น พวกเราก็ใช้ได้ทั้งตะเกียบและช้อน จนนึกขอบคุณความหลากหลายของวัฒนธรรมไทยที่ทำให้เราคุ้นเคยกับการกินอาหารหลายอย่าง
“วันก่อนเบียร์เหมือนแวบๆ เห็นคนไทยคนหนึ่งที่ออฮักตัง”
“ใครเหรอ พี่ยังไม่เห็นหน้าตาใครดูเป็นคนไทยสักคน” พี่เม่นบอก
สำหรับพวกเราแล้ว หน้าตาเอเชียด้วยกันนี้ เราสามารถบอกได้ว่าใครมาจากไหน เวียดนาม กัมพูชา พม่า ฟิลิปปินส์ หรืออินโดนีเซีย ในขณะที่เราก็แยกไม่ค่อยออกว่าฝรั่งผิวขาวผมสีทองนั้นมาจากเบลเยียม ฮังการี หรือสวิตเซอร์แลนด์
“ตอนช่วงเบรก เบียร์กำลังจะไปเข้าห้องน้ำ มีคนสวนมาแล้วอุทานเป็นภาษาไทย เบียร์ได้ยินแล้วก็ เฮ้ย! คนไทย แต่ไม่ได้เข้าไปทักหรอก กลั้นฉี่ไว้จนจะราดอยู่แล้ว ออกมาอีกทีก็ไม่เจอ แล้วก็ไม่เคยเห็นอีก”
“สรุปว่านอกจากพวกเราสามคน ยังมีคนไทยอยู่ที่ออฮักตังนี้อีกเหรอ” นัดถาม
“ก็เป็นไปได้นะ พวกเราเด็กทุนแค่ร้อยนิดๆ แต่ออฮักตังมีนักเรียนตั้งเยอะ มันก็ต้องมีคนไทยอยู่มั่งละ เพียงแต่ยังไม่เจอเท่านั้น” พี่เม่นอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง “วันก่อนแซลลี เพื่อนฟิลิปปินส์ห้องพี่ก็แนะนำให้รู้จักเพื่อนปินส์กลุ่มใหญ่เลย บางคนเรียนโทที่นี่ บางคนก็ได้ทุนเรานี่แหละ แต่เป็นปีที่แล้ว เท่าที่เจอตอนนี้กลุ่มเด็กฟิลิปปินส์ที่นี่มีเกือบสิบคนเลยนะ”
“ห้องเบียร์ก็มีอยู่คน ชื่อจัสติน ชอบทำหน้ากวน…ตลอดเวลา” เบียร์ยั้งปากไว้ไม่พูดถึงอวัยวะเบื้องล่าง
“เออ พอนึกออกละ” นัดบอก “ยายคนใส่แว่นตัวเล็กๆ ที่เวลาแนะนำตัวจะพูดว่า ฉันชื่อจัสตินนะ แบบจัสติน บีเบอร์น่ะ เพื่ออะไร…ชื่อจัสตินมันเรียกยากตรงไหน”
ไม่ทันลิ้นจะเข้าปาก คนที่กำลังพูดถึงก็เข้ามาที่โรงอาหาร ถือถาดอาหารมองหาที่นั่ง เห็นที่ว่างพอดีก็ตรงเข้ามาถาม
“ชนนิกานต์ ตรงนี้ว่างไหม”
“ว่าง นั่งสิ”
จัสตินวางถาดอาหารแล้วชะเง้อมองหาใครสักคน เมื่อเห็นแล้วก็โบกมือให้ ใครคนนั้นก็เดินเข้ามา เม่นจึงเห็นว่าเป็นแซลลี เพื่อนร่วมห้องรุ่นราวคราวเดียวกัน หล่อนมาเรียนปริญญาเอก ในขณะที่จัสตินยังเป็นวัยรุ่นอายุไม่ถึงยี่สิบ แต่หล่อนจบปริญญาตรีแล้วเพราะเรียนข้ามชั้นมาได้ด้วยสติปัญญาอันปราดเปรื่อง
แซลลีเห็นเพื่อนร่วมห้องก็รู้สึกโล่งว่านั่งกินข้าวกับคนรู้จัก แนะนำจัสตินให้เม่นรู้จัก หล่อนก็ทักทายตอบด้วยการโอบไหล่เม่นและตบเบาๆ
“สวัสดีนะเม่น ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ชินกู ชินกู” หล่อนตบท้ายเป็นภาษาเกาหลี ชินกูแปลว่าเพื่อน
นัดและเบียร์หันมามองหน้ากันว่า เกิดเรื่องแล้ว หน้าพี่เม่นตึง ตาแข็งกร้าวอย่างไม่สบอารมณ์
เม่นปัดมือของจัสตินออกโดยแรง ต่อว่าเป็นภาษาอังกฤษรัวเร็ว
“ใครสอนให้เธอมารยาททรามแบบนี้ ถึงจะเป็นนักเรียนทุนรุ่นเดียวกัน แต่ไม่ใช่จะเท่ากันไปทุกอย่าง ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นเธอ อย่าปีนเกลียว”
ว่าจบ พี่เม่นก็ยกถาดอาหารออกไปอย่างหัวเสีย ปล่อยให้จัสตินทำหน้างงว่าหล่อนทำอะไรผิด เขาถึงได้โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนั้น นัดจึงต้องอธิบายให้รู้ถึงวัฒนธรรมการเคารพผู้อาวุโสของคนไทย กิริยาแบบไหนทำได้ ทำไม่ได้ สำหรับคนที่มีอายุต่างกัน จัสตินฟัง แต่ก็ยักไหล่แทนคำตอบว่า…ไม่เห็นจะเข้าท่า
แซลลีมาขอโทษเม่นอีกครั้งในห้องเรียนอย่างรู้สึกละอายแทนเด็กคนนั้น เม่นก็เข้าใจเมื่อหล่อนอธิบายว่า
“พวกฉันก็ไม่ค่อยชอบเด็กคนนี้ กลุ่มที่แนะนำให้เธอรู้จักวันก่อนน่ะ เขายื่นคำขาดมาเลยว่า ถ้านัดกันไปไหนอย่าชวนจัสตินไปด้วย ฉันเองก็เริ่มจะปลีกตัวจากหล่อนอยู่เหมือนกัน”
อารมณ์หงุดหงิดติดตามเม่นไปตลอดทั้งวัน จนตอนบ่าย คูยุน…บัดดี้ของเขาส่งข้อความมาทางกาเกาทอล์ก หรือที่เราเรียกกันย่อๆ ว่า ‘คาทก’
ฉันกลับมาจากเก็บตัวนักกีฬาแล้ว เย็นนี้ว่างไหม กินเบียร์กัน ชวนน้องๆ เธอด้วย
เม่นชวนสองสาวตามคำเชิญ แต่ทั้งสองไม่อาจไปด้วยได้ ให้เหตุผลตอนกินข้าวเย็นที่โรงอาหารว่า
“ยายเด็กกรรมการหอพักมันคงแค้นฝังหุ่นเรื่องเคอร์ฟิว แล้ววันก่อนพวกเราไปปาร์ตี้ของห้องกลับมาหลังห้าทุ่มสองนาที หอปิดแล้ว แต่ก็บังคับให้นางมาเปิดประตูให้จนได้ นางเลยโกรธแล้วบอกว่าพวกเราต้องถูกลงโทษ ไม่อย่างนั้นเด็กเกาหลีจะโวยวายว่าปฏิบัติสองมาตรฐาน ให้เลือกเอาว่าจะไปบำเพ็ญประโยชน์ หรือดูหนัง”
“หือ…อะไรนะ ดูหนัง” เม่นถามย้ำเพราะได้ยินไม่ถนัด และไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกันตรงไหน
“ใช่ค่ะ ดูหนัง” นัดช่วยยืนยันที่เบียร์เล่า “แล้วรู้ไหมคะ คืนนี้ต้องดูเรื่องอะไร Fifty Shades of Grey จะบ้าไปแล้ว ดูเรื่องนี้เพื่อให้มีความประพฤติดีขึ้นเนี่ยนะ จะไม่เข้าหอเลตอีกเนี่ยนะ คงช่วยได้หรอก”
“ฝากเซย์ไฮบัดดี้พี่เม่นก็แล้วกันค่ะ” เบียร์บอก นัดพยักหน้าตาม
แล้วในคืนนั้น ราวสี่ทุ่ม นัดก็ได้รับข้อความทางกาเกาทอล์กเป็นภาษาเกาหลีว่า
เสียดายที่ไม่ได้มานั่งคุยสนุกด้วยกัน
ดูรายชื่อผู้ส่งที่หล่อนไม่เคยได้ ‘แอด’ ไว้ก่อน ก็พบว่าคือ คูยุน พี่เม่นคงให้แอ็กเคานต์หล่อนไปแน่ๆ
เม่นกลับมาถึงหน้าหอพักเกือบห้าทุ่ม จากป้อมทางเข้าไปถึงตึกที่พักของเขาซึ่งเป็นอาคารหลังสุดท้ายอยู่ลึกสุดต้องเดินเข้าไปอีกพอสมควร ยิ่งเป็นเนินมืดๆ อีก ยิ่งต้องใช้พละกำลังวิ่งไปให้ทันก่อนประตูปิด
ไฟรถคันหนึ่งดับลงที่หน้าป้อมยาม มองแต่ไกลก็เห็นว่าเป็นรถยนต์หรูราคาแพง ประตูด้านคนนั่งเปิดออกมาแล้วเม่นก็เห็นว่าร่างสูงในชุดแส็กสีดำ ร้องเท้าส้นสูงสีแดงสดก้าวลงมาจากรถ หล่อนกล่าวลาแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปให้ทันประตูหอพักปิดเช่นเดียวกับเขา เสียงโทรศัพท์ดัง หล่อนจึงรับสายทั้งที่ยังวิ่งขึ้นเนิน
“ฮัลโหล จะตีหนึ่งแล้ว ยังไม่นอนอีกเหรอคะ”
หล่อนพูดภาษาไทย หล่อนเป็นคนไทย
เม่นอยากจะเข้าไปทักทายทำความรู้จัก แต่นาฬิกาก็บอกเวลาใกล้ห้าทุ่มเข้าไปทุกที เข้าไปในตึกได้ทันก่อนประตูปิด ยืนหายใจหอบเหนื่อยอยู่ตรงนั้น พลางนึกถึงร่างสูงผมยาวเป็นลอนมาถึงกลางหลังของสาวไทยผู้ใส่รองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้น