ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 14 : ลาก่อนคฤหาสน์มรกต
โดย : พงศกร
ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด
“แล้วเวลาที่แขกเขามาเยี่ยมเราล่ะคะลูก พวกเขาก็ต้องไปหาเราที่สลัมเหรอคะ” คุณหญิงแม่ยังไม่หายมึน “แล้วยังจะบรรดาขาไพ่ของแม่อีก”
“คุณแม่ขา” กรผกามารศรีทำเสียงเข้ม “ไม่เคยดูละครหรือไงคะ พวกเราตกระกำลำบาก ยากจนแบบนี้แล้ว ไม่มีใครเขาคบหาหรอกค่ะ เพราะเขากลัวว่าเราจะยืมเงินไงคะ อีกอย่างนะคะ…ลูกคิดว่าคุณแม่ควรจะงดเล่นไพ่ได้แล้ว แต่จะต้องหันมาช่วยกันทำมาหากิน คุณแม่เป็นโรคหัวใจ ออกไปทำงานหนักไม่ไหว ก็อาจจะอยู่กับบ้านพับถุงขาย ช่วยลูกหาเงินอีกแรง…เข้าใจไหมคะ”
“นี่แม่ต้องอดเล่นไพ่ด้วยเหรอคะลูก” คุณหญิงสายหยุดหน้าหงิก เมื่อคิดว่าต่อไปนี้จะไม่ได้เล่นไพ่อย่างเคย “ถ้างั้นแม่ไม่ไปกับลูกดีกว่า ขอเชิญลูกไปคนเดียวเหอะ แม่ขออยู่คฤหาสน์ของเราต่อไป”
“อ้าว คุณแม่คะ” กรผกามารศรีหันกลับมามองมารดาด้วยนัยน์ตาวาวโรจน์ “คุณทินพันธ์เขาจะยอมหรือคะ”
“ไปเถอะค่ะ คุณหญิง” แม่นิ่มเอ่ยอย่างผู้รู้จริง “เราจะไปอยู่สลัมนะคะ ที่นั่นมีขาไพ่เยอะกว่าที่นี่อีก…นอกจากไพ่แล้วยังมีเล่นกำถั่วและเล่นไฮโลด้วยนะคะ”
“เหรอจ๊ะแม่นิ่ม” คุณหญิงแม่ทำตาโต เนื้อเต้นระริกด้วยความดีใจ เมื่อนึกถึงการพนันของโปรด “อย่าหลอกให้ฉันดีใจนะจ๊ะ ที่นั่นมีทุกอย่างอย่างที่แกว่าจริงนะแม่นิ่ม”
“จริงสิคะคุณท่าน” แม่นิ่มยืนยัน “นอกจากการพนันทุกอย่างแล้ว ยังมีหวยใต้ดิน เทปผีซีดีเถื่อนอีกมากมาย”
“งั้นตกลงค่ะลูกกรผกา” คุณหญิงแม่ยิ้มออกมาได้ในที่สุด เธอลุกขึ้นยืนแล้วดึงเอาร่างบอบบางของธิดาสาวเข้ามากอดเอาไว้จนแน่น “พวกเราจะไปอยู่สลัมด้วยกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม่ก็ไม่กลัวค่ะ เพราะพวกเราเป็นคนดี…ถึงจะตกระกำลำบาก สิ้นไร้ไม้ตอก แต่คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ สุดท้ายแล้วก็จะต้องมีใครสักคนโผล่มาช่วยเราในที่สุด”
ขบวนรถบรรทุกยาวเหยียดที่มุ่งหน้าสู่เขตคลองเตย ทำให้ผู้คนแตกตื่นตกใจ พากันคาดเดาไปต่างๆ นานา
“สงสัยขบวนรถเลือกตั้ง เอาของมาแจกอีกแล้วมั้งป้า”
เด็กสาวร่างอ้วนคนหนึ่งที่แต่งกายราวกับเด็กหนุ่มร้องตะโกนบอกกับหญิงชราที่กำลังยืนแคะขนมครกอยู่หน้าเตา
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” ป้าคนขายขนมครกเงยหน้าขึ้นมาจากเตา “ข้าว่ารถขนขยะมากกว่าว่ะ ไม่ก็รถพวกลิเกเร่ แกลองดูโน่นสิ โอ้โห เสื้อผ้าอะไรวะ แขวนมาเต็มราวแบบนั้น มีเพชร มีปักเลื่อมวอบแวบๆ เหมือนผีกระสือเลยโว้ย”
สิ้นเสียงของป้าแช่ม ชาวสลัมก็พากันหัวเราะครึกครื้น เด็กชายฟันหลอคนหนึ่งโผล่หน้ามาจากกระท่อมด้านหลังป้าแช่มแล้วชี้ไม้ชี้มือไปทางสตรีสาวร่างระหงที่นั่งคอตั้งตรงอยู่บนหน้ารถคู่กับคนขับ แล้วบอกให้ใครๆ ดูว่า
“ฉันว่าคณะงิ้วมากกว่าป้า ดูนังนั่นสิ อีคนที่นั่งหน้ารถน่ะ พอกหน้าเสียขาววอก ปากแดงแจ๋เลย”
ชาวไทยมุงทั้งหลายมองตามมือเด็กป๋องชี้ ก็เห็นจริง เลยพากันหัวเราะเฮลั่นไปทั่วทั้งซอย
“ตายแล้ว ดูพวกนั้นมันว่าพวกเราสิคะ”
หญิงสาวที่นั่งหน้ารถชะโงกหน้าไปด่าผู้คนที่กำลังตบมือกระทืบเท้าหัวเราะหล่อนอยู่เบื้องล่าง ก่อนจะหันกลับมาร้องกรีดใส่สตรีสาวใหญ่ที่นั่งอยู่บนกองสัมภาระข้างหลังรถ
“คุณหนูขา อย่าลืมว่าตอนนี้พวกเขากำลังจะมาเป็นเพื่อนบ้านใหม่ของพวกเราแล้วนะคะ เราควรจะผูกมิตรกับพวกเขาเอาไว้” แม่นิ่มเอ่ยเตือนสตินายสาว “ต่อไปนี้ชีวิตของพวกเราต้องลำบากกัดก้อนเกลือกิน ต้องกระเสือกกระสนทุกวิถีทางเพื่อจะดำรงชีวิตให้รอด คุณหนูอาจจะต้องไปวิ่งขายพวงมาลัยตามสี่แยก อาจจะต้องทำงานหนักสารพัด เพื่อรวบรวมเงินไปซื้อบริษัทและคฤหาสน์ของเรากลับคืนมา”
กรผกามารศรีหันไปหาแม่นิ่ม ดวงตากลมโตที่เคยสุกใสอยู่เป็นนิจรื้นด้วยน้ำตาขณะที่พูดกับแม่นมของตนเองว่า
“จริงสิคะแม่นิ่ม…ต่อไปนี้ เราจะต้องสู้กับความยากลำบากและโชคชะตาที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต แต่คอยดูนะคะ ถึงลำบากอย่างไร กรผกาก็จะไม่ยอมแพ้หรอก กรผกาต้องเก็บเงินซื้อบริษัทและบ้านของเราคืนมาจากอีตาทินพันธ์ เกียรติมหึมา…อะไรนะคะคุณแม่ ลูกลืมไปแล้ว”
“เกียรติมหึมามหาเศรษฐีค่ะลูก” คุณหญิงแม่ช่วยเตือนความจำ
“ค่ะ นั่นละค่ะ” หญิงสาวคนงามพยักหน้า “ลูกจะต้องเก็บเงินซื้อบริษัทและคฤหาสน์มรกตคืนมาจากทินพันธ์ เกียรติมหึมามหาเศรษฐีให้ได้”
กรผกามารศรีพยักหน้าช้าๆ ดวงตาคู่งามราวนิลน้ำเอกหม่นเศร้า เมื่อหวนรำลึกไปถึงเรื่องราวอันแสนจะโหดร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัว
หล่อน คุณหญิงแม่ และแม่นิ่มก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของทุกชิ้นทุกอย่างในคฤหาสน์มรกต บรรจุใส่ในรถบรรทุกจำนวนสิบห้าคัน แล้วมุ่งหน้าสู่กระท่อมผุพังเก่าแก่ที่เป็นมรดกชิ้นเดียวที่ยังเหลืออยู่ของตระกูล
คฤหาสน์มรกตของหล่อนถูกยึด และเจ้าของใหม่ก็ไม่ยินยอมให้กรผกามารศรีและคุณหญิงแม่อาศัยอยู่อีกต่อไป เนื่องจากกรผกามารศรีปฏิเสธ ไม่ยอมรับข้อเสนอในการแต่งงานกับทินพันธ์
หลังจากอำลาอาลัยคฤหาสน์ที่เกิดและเติบโตมาจนเรียบร้อย ร้องไห้เสียน้ำตาไปหลายยก ขบวนรถสิบล้อของกรผกามารศรีก็เริ่มออกเดินทางฝ่าการจราจรที่แสนจะแน่นขนัดของกรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าสู่เขตคลองเตย…นิวาสสถานแห่งใหม่…ท่ามกลางเสียงก่นว่าและด่าทอของคนทั้งกรุงเทพฯ ที่จู่ๆ ก็มีขบวนสิบล้อมากมายเคลื่อนตัวตามกันอย่างช้าๆ กีดขวางทุกเส้นทางจราจรในเวลาเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนที่ทุกคนต่างก็เร่งรีบจะไปทำงานให้ทัน
“นี่จะรำพันกันอีกนานไหมป้า” คนขับรถคงจะทนไม่ไหว เลยหันมาตวาดคุณหญิงแม่ของหล่อน “ถ้าจะคร่ำครวญกันอีกนาน ผมจะได้จอดรถลงไปนั่งรอข้างล่างก่อน”
“จ้ะ…จ้ะ…ขอโทษทีจ้ะ” คุณหญิงสายหยุดตกใจเสียงก้าวร้าวของคนขับเลยเผลอตัวรีบยกมือไหว้ขอโทษ
“เอ้า ถ้างั้นก็ลงไปได้แล้ว ถึงแล้ว”
คนขับรถชี้มือไปทางบ้านไม้เก่าๆ ดูสับปะรังเคโย้ไปเย้มาราวจะพังแหล่มิพังแหล่ ซึ่งตั้งอยู่บนเสาไม้ผุๆ ภายใต้มีน้ำครำส่งกลิ่นเน่าเหม็น ยุงบินว่อน
“ตายจริง…บ้านหลังนี้หรือคะลูกกรผกาที่เราจะมาอยู่ บ้านหลังนี้หรือคะที่เป็นสมบัติที่คุณพ่อทิ้งเอาไว้ให้ โอย…แม่จะเป็นลม” คุณหญิงสายหยุดหันไปเห็นบ้านเข้าก็ใจสั่น วิงเวียนแทบจะประคองตัวไม่อยู่ “จำผิดหรือเปล่าคะลูก”
“ไม่ผิดหรอกค่ะคุณแม่” น้ำเสียงของหญิงสาวลิงโลด “สมัยเด็กๆ ลูกเคยตามคุณพ่อมาเก็บค่าเช่า ดูสิคะแม่ ยุงบินหึ่งเลย”
“แม่กลัว บ้านอะไรน่ากลัวแบบนี้ อยู่ไปจะพังหรือเปล่าก็ไม่รู้” คุณหญิงสายหยุดปากคอสั่น ดวงตาที่จ้องมองบ้านหลังเล็กมีแววหวาดหวั่น “ยุงก็เยอะ ประเดี๋ยวยุงกัดแม่ กลายเป็นไข้เลือดออกไปจะว่าไงคะ”
“เราไม่มีทางเลือกอีกแล้วละค่ะคุณแม่” กรผกามารศรีถอนหายใจ ส่ายหน้าด้วยท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง “ลงเถอะค่ะ เราต้องช่วยกันขนของ รถตั้งสิบห้าคันเชียวนะคะ ดูสิ…รถข้างหลังติดกันหมดแล้ว”
แม่นิ่มกระโดดลงมาจากรถและอ้อมมาประคองคุณหนูกรผกามารศรีผู้บอบบางลงมา ขณะที่คุณหญิงสายหยุดก็เดินตามมาสมทบ สามชีวิตมายืนรวมกันตรงหน้ากระท่อมหลังน้อย
ทันทีที่เท้าสัมผัสกับพื้นดิน และสายลมที่แผ่วผ่านหอบเอากลิ่นน้ำครำมาต้อนรับ กรผกามารศรีต้องรีบยกมือขึ้นบีบจมูกเอาไว้จนแน่น แล้วบ่นว่า
“เหม็นอะไรคะเนี่ย คุณแม่ขา”
“นั่นสิคะลูก แม่ก็เหม็น” คุณหญิงสายหยุดขมวดคิ้ว สายตาจ้องมองรถสิบล้อคันแรกที่ค่อยๆ ถอยรถออกไปจากซอย “สงสัยเหม็นน้ำเน่า หรือไม่ก็เหม็นคนจน”
“เฮ้ย คนจนไม่ใช่คนเหรอไง” ป้าแช่มที่อยู่บ้านตรงข้ามเงี่ยหูฟังสองแม่ลูกโต้ตอบกัน เลยส่งเสียงด่าลอยข้ามมา
“ยังไงเราก็รวยกว่าพวกแกละวะ เพราะบ้านของพวกเรามีไฟฟ้าใช้ ส่วนกระท่อมของแกน่ะ ไม่ยอมจ่ายค่าไฟ ถูกการไฟฟ้าตัดไฟไปตั้งนานนมแล้ว คืนนี้ยังไงพวกแกก็ต้องจุดเทียน” เด็กสาวร่างอ้วนเอ่ยสมทบ พร้อมกับหัวเราะออกมาดังลั่น
“ถึงจะต้องจุดเทียน แต่เทียนของฉันก็มาจากร้านมาริยาจ ฝรั่งเศสนะคะ” คุณหญิงสายหยุดทำหน้าเยาะเย้ยชาวสลัมที่มายืนมุงดูครอบครัวใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามา “รู้จักไหมคะ เทียนฝรั่งเศสน่ะค่ะ สงสัยจะไม่รู้ละสิ เฮ้อ ไม่แปลกใจค่ะ ไม่แปลกใจ”
“โธ่เอ๊ย ไอ้พวกผู้ดีตีนแดง หมั่นไส้ว่ะ” ป้าแช่มตะโกนเสียงดังลั่น
กรผกามารศรีทำตาโต รู้สึกใจสั่นด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่เคยเจอใครพูดจากระโชกโฮกฮากด้วยเสียงอันดังเช่นนี้มาก่อน เธอทำหน้าตกใจ เสียงที่ถามนั้นใสซื่อ
“ทำไมป้าถึงว่าพวกฉันอย่างนั้นล่ะจ๊ะ รวยกว่า จนกว่า ไม่เอา ไม่เอา ถึงอย่างไรเราก็คนสลัมเหมือนกัน ฉันกับคุณหญิงแม่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ ยังไงขอฝากเนื้อฝากตัวกับพวกพี่ๆ ด้วยนะจ๊ะ”
“ฉันชื่อแช่ม” ป้าแช่มได้ฟังดังนั้นค่อยยิ้มออกมาได้ เธอยกขนมครกที่ยังร้อนๆ ใส่กระทงใบตองมาให้กับสองแม่ลูกเพื่อเป็นการต้อนรับ “เอ้า…นี่ขนมครกฉันทำเองนะ อร้อย…อร่อย บ้านเราอยู่ใกล้กัน ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยละก็ บอกได้เลยนะ”
“ส่วนฉันชื่อเก่ง เรียกว่าพี่เก่งก็ได้” เด็กสาวร่างอ้วนยิ้มแป้น หล่อนตัดผมสั้น สวมกางเกงขายาว อย่างที่ดูก็รู้ว่าเป็นทอม ยื่นมือให้อย่างมีไมตรี
“ฉันชื่อกรผกาจ้ะ พี่เก่ง”
กรผกามารศรีรีบจับมือกับเด็กสาวคนนั้นด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า ด้วยไม่เคยคิดว่าจะได้รับน้ำใจจากเพื่อนบ้านใหม่เช่นนี้มาก่อน
“พี่ พี่”
เด็กชายป๋อง หลานป้าแช่มคนขายขนมครกซึ่งนั่งดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่บนบ้าน เรียกพร้อมกับชี้มือไปทางรถสิบล้อคันสุดท้ายที่เพิ่งถอยหลังออกจากซอยไป แล้วถามว่า
“ไม่เอาของบนรถเหรอ ขนมาตั้งสิบห้าคัน”
“ไม่เอาหรอกค่ะ” กรผกามารศรีส่งรอยยิ้มด้วยความเอ็นดูให้กับเด็กชายท่าทางแก่นกะโหลก “บ้านหลังแค่นี้เอง จะเอาของพวกนั้นไปไว้ไหนกันล่ะคะ”
“อ้าว แล้วขนมาทำหอกอะไรล่ะ” คราวนี้คนที่สงสัยกลับเป็นป้าแช่ม
“ก็ขนมาอย่างงั้นละค่ะป้า เพื่อให้ได้บรรยากาศว่าพวกเราถูกไล่ออกจากบ้านแล้ว” กรผกามารศรีน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ “และต่อไปนี้ จะมีใครรู้บ้างว่าชะตากรรมของกรผกาจะเป็นอย่างไรต่อไป”
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 33 : ระเบิดภูเขาเผากระท่อม
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 32 : สายเลือดสายรัก
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 31 : นาทีวิกฤติ
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 30 : ลาสต์บอส
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 29 : ที่นี่ที่ไหน
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 28 : ชะตากรรมของดอกฟ้า
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 27 : ล๊อคมง
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 26 : ดวลเพลงชิงเงินล้าน
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 25 : พิโธ่พิถังกะละมังแตก
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 24 : จะไม่ยอมแต่งเพื่อใช้หนี้เด็ดขาด
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 23 : ผีพนัน
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 22 : สร้อยมรกต
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 21 : อาการป่วยของคุณหญิงสายหยุด
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 20 : ดงนักเลง
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 19 : สอนพิเศษ
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 18 : สุภาพบุรุษ
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 17 : สาวเสิร์ฟคนงาม
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 16 : วันแรกในสลัม
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 15 : ชีวิตใหม่
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 14 : ลาก่อนคฤหาสน์มรกต
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 13 : ศักดิ์ศรีของดอกฟ้า
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 12 : ข้อแลกเปลี่ยน
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 11 : ความหวังสุดท้าย
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 10 : เศรษฐีใหม่
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 9 : การสูญเสียที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 8 : ความตึงเครียดในครอบครัว
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 7 : คุณอีกแล้วหรือ
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 6 : แหวนหมั้นหรือไข่มด
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 5 : คู่หมั้นคู่หมาย
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 4 : แรกพบสบตา
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 3 : ทุกวันมีแต่งานสังคม
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 2 : ล้มละลาย
- READ ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 1 : ฉันชื่อกรผกามารศรี