ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 19 : สอนพิเศษ

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 19 : สอนพิเศษ

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

กรผกามารศรีไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้นให้ใครฟังเลย ไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงสายหยุดหรือแม้แต่แม่นิ่ม หล่อนอยากจะเก็บเรื่องน่าอับอายในวันนั้นเอาไว้เป็นความลับ ไม่ให้ใครรู้ทั้งสิ้น

หญิงสาวตัดสินใจที่จะไม่กลับไปทำงานที่ร้านอาหารสวนป่านั่นอีก เพราะไม่อยากเจอหน้าเฮียแท้และเจ๊จวงผู้เป็นเจ้าของ เธอบอกพี่เก่งและทุกคนว่าเธอไม่อยากนอนดึกก็เลยไม่ไปทำงานที่ร้านอาหารอีก เพราะกว่าจะเลิกร้านก็เลยเที่ยงคืนไปนานโข ปกติแล้วนั้นหล่อนจะเข้านอนแต่หัวค่ำ

หลังจากเลิกทำงานที่ร้านอาหารสวนป่า กรผกามารศรีก็พยายามจะหางานที่เหมาะสมกับตนเอง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้งานที่เหมาะสักที เธอลองไปเป็นลูกจ้างซักผ้าก็ทำไม่ไหว ทำไปได้แค่วันเดียวผงซักฟอกก็กัดมือจนเป็นผื่นคันคะเยอ พับถุงกระดาษไปเร่ขายร้อยใบสิบบาทก็ไม่รุ่ง เพราะเดี๋ยวนี้มีแต่คนใช้ถุงพลาสติก ไม่มีใครใช้ถุงกระดาษอีกแล้ว

เห็นมีคนในสลัมเก็บของเก่าเอาไปขาย หญิงสาวก็ลองไปคุ้ยๆ ดูตามถังขยะ เผื่อจะเฮงเจอของดีกับเขาบ้าง แต่เขี่ยขยะไปได้แค่กองสองกองหล่อนก็ร้อนแดดจนเป็นลม เป็นอันว่าอาชีพนี้ก็ไม่เวิร์กสำหรับหล่อนอีกนั่นละ

แถมตอนก่อนจะเป็นลม ขณะที่กำลังคุ้ยขยะอยู่นั่นเอง อนึก…อดีตคู่หมั้นของกรผกามารศรีบังเอิญมากินข้าวแถวสลัมแห่งนั้น แล้วเลยเดินผ่านมาเห็นเสียอีก เขาจำหญิงสาวรูปร่างผอมบางได้คลับคล้ายคลับคลา แต่ไม่แน่ใจเพราะบัดนี้กรผกามารศรีซีดเชียว ไม่มีสง่าราศีเหมือนแต่ก่อน

“คุณฮะ” ชายหนุ่มที่เดินมากับเพื่อนชายรูปร่างท่าทางล่ำสันอีกคนหนึ่งรีบเรียกหญิงสาวเอาไว้ “นั่นคุณกรผกามารศรีใช่ไหม…ดูสิ จำแทบไม่ได้เลย ไปอยู่กันเสียที่ไหนฮะเนี่ย”

กรผกามารศรีหันกลับไปตามเสียงเรียกของชายหนุ่ม หากพอเห็นถนัดว่าเป็นผู้ใด หล่อนก็รีบก้มหน้างุด แล้วทำเสียงอุบอิบตอบไปว่า

“ใคร ผกาที่ไหน…ไม่มี้ ไม่รู้จัก…ฉันไม่ใช่กรผกาอะไรนั่น”

ตอบเสร็จหล่อนก็รีบวิ่งหนีไปทั้งน้ำตาอาบหน้า ก่อนจะไปเป็นลมในที่สุด

สรุปว่าอาชีพคุ้ยขยะหาของเก่าไปขายก็ยังไม่เหมาะกับหล่อนอยู่ดี ขณะที่กรผกามารศรีพยายามหาสิ่งที่เหมาะกับตนเอง แม่นิ่มก็ยังไม่ยอมแพ้ พอขาหายเจ็บ ก็ร้อยมาลัยไปขายตามสี่แยกต่อ ถือคติหนักเอาเบาสู้ ได้เงินมาไม่กี่บาทก็ยังดีกว่าไม่ได้เลยสักบาท เพราะเงินที่ได้มาจากทินพันธ์ก็ชักจะร่อยหรอลงไปทุกขณะ

อันที่จริงแล้วเงินที่ได้มาจากทินพันธ์นั้นมีไม่ใช่น้อย หากใช้อย่างประหยัดละก็ จะสามารถใช้ไปได้หลายวันเลยทีเดียว แม่นิ่มซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดีในหม้อใบใหญ่ แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น คุณหญิงสายหยุดหิวข้าว เลยเข้าครัวไปทำอาหารกินเอง เกิดค้นเจอเงินที่แม่นิ่มซ่อน ก็เลยแอบเอาบางส่วนไปเล่นไพ่กับบรรดาเพื่อนใหม่ในสลัมจนเงินก้อนสุดท้ายหมดไปอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้คุณหญิงสายหยุดจะหงุดหงิดที่วงไพ่ในสลัม เล่นได้เสียกันตาละห้าบาทสิบบาท ไม่ได้มากมายเหมือนสมัยที่เธอเล่นกับบ่อนใหญ่ หากสิ่งที่คุณหญิงสายหยุดได้กลับคืนมาก็คือมิตรภาพ

ถึงแม้คนสลัมนั้นจะพูดจาไม่เพราะ ปากจัด พูดตรงไปตรงมา หากคุณหญิงสังเกตเห็นน้ำใจที่ทุกคนมีให้กัน ใครมีข้าวปลาอาหาร มีขนมนมเนยก็หยิบมาฝากกันเสมอๆ ไม่หน้าไหว้หลังหลอกเหมือนกับคนในสังคมเก่าของคุณหญิง

ขณะที่ทุกคนมัวกลุ้มใจเรื่องค่าครองชีพอยู่นั่นเอง ก็เหมือนกับโชคช่วย ก่อนที่กรผกามารศรีและทุกคนจะลำบากไปมากกว่านั้น เก่งก็นำข่าวดีมาบอกทุกคน

“เออนี่ น้องผกา”

“มีอะไรคะ พี่เก่ง” หญิงสาวทำตาโตด้วยความประหลาดใจ

“ก่อนจะมาตกยากอยู่ในสลัมเนี่ย น้องผกาเคยเป็นคุณหนูนักเรียนนอกมาก่อนใช่ไหมฮะ” พี่เก่งถามตามที่ได้ยินมา

“ใช่น่ะสิคะ” ดวงตาของหญิงสาวเคลิ้มฝัน เมื่อนึกไปถึงคืนวันเก่าก่อน “กรผกาทั้งสวย ทั้งรวย เป็นดอกฟ้าที่ผู้ชายทุกคนหมายปอง”

“งั้นคุณน้องก็ต้องพูดภาษาอังกฤษได้น่ะสิฮะ” เก่งดีดนิ้วเสียงดังเปาะ

“โธ่เอ๊ย กรผกาไม่อยากคุย…นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว กรผกายังพูดฝรั่งเศสได้อีกต่างหาก แถมยังพูดสเปนและเยอรมันได้อีกนิดหน่อย ประมาณว่าเจ้าของภาษาตัวจริงมาฟังแล้วยังแยกไม่ออกเลยว่ากรผกาเป็นคนไทยแน่หรือ ทำไมพูดภาษาของเขาได้ชัดเจนถึงเพียงนี้”

“งั้นดีเลยฮะ” พี่เก่งยิ้มร่า “เพราะเมื่อเช้าวันนี้ พี่เก่งขี่มอเตอร์ไชค์พาลูกค้าคนหนึ่งไปส่ง เขากำลังหาครูสอนพิเศษภาษาฝรั่งเศสให้ลูกสาว ก็เลยมาถามพี่เก่งว่าพอจะรู้จักใครบ้างไหมที่พอจะพูดภาษาฝรั่งเศสได้ พี่เก่งนึกได้ก็เลยมาถามน้องผกานี่ละฮะ”

“แหม ดีจังเลย” กรผกามารศรีดีใจจึงกระโดดหอมแก้มพี่เก่งฟอดใหญ่ เล่นเอาทอมสาวหน้าแดงซ่านด้วยความขวยอาย “ขอบคุณพี่เก่งนะคะ กรผกาคิดว่าอาชีพนี้ละเหมาะกับผกาที่สุดแล้ว”

ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี อาชีพดังกล่าวเหมาะกับกรผกามารศรีจริงเสียด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความถนัด ความชำนาญ และรายได้จากการสอนพิเศษให้แก่เด็กหญิงเอม เด็กนักเรียนตัวน้อยๆ อายุสิบขวบของคุณครูกรผกามารศรี

ทุกๆ เย็นหลังจากที่น้องเอมเลิกเรียน พี่เก่งก็จะขี่มอเตอร์ไซค์พากรผกามารศรีไปสอนพิเศษภาษาฝรั่งเศสที่บ้านของน้องเอมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสลัมมากนัก กรผกามารศรีจะสอนเด็กหญิงผู้นั้นวันละสองชั่วโมง เมื่อสอนเสร็จคุณพ่อของน้องเอมก็จะเอาเงินใส่ซองให้ เป็นเช่นนี้ทุกวัน

ครั้งแรกที่เปิดซองเงินออกดู กรผกามารศรีต้องทำตาโต ไม่คิดว่าแค่สอนพิเศษเพียงแค่สองชั่วโมงเท่านั้น คุณโชติ…บิดาของน้องเอมจะให้เงินค่าจ้างมากขนาดนี้

“กรผการับไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวแบ่งเงินในซองคืนให้คุณพ่อของเด็กหญิงไปครึ่งหนึ่ง “มันมากเกินกว่าความสามารถของกรผกา”

“รับไว้เถอะครับ คุณกรผกามารศรี คุณทิน…เอ๊ย…ผมว่าเหมาะสมกับความสามารถของคุณกรผกาดีแล้วละครับ ตั้งแต่เรียนพิเศษกับคุณกรผกา ผลการเรียนของหนูเอมดีขึ้นมาก”

เมื่อบิดาของลูกศิษย์ตัวน้อยยืนยันเช่นนั้น หญิงสาวก็จำใจต้องยอมรับแต่โดยดี ทั้งที่ลึกลงไปแล้ว หล่อนรู้สึกผิดปกติ เพราะเกิดรู้สึกเหมือนกับว่าเคยเห็นหน้าบิดาของหนูเอมที่ไหนมาก่อน

จนกระทั่งวันหนึ่งที่กรผกามารศรีมาสอนหนูเอมนั้นตรงกับวันคริสต์มาสและหนูเอมทำหน้าตาเหมือนเบื่อไม่อยากเรียน กรผกามารศรีจึงถามลูกศิษย์ของเธอว่า

“วันนี้ไม่อยากเรียนหรือคะหนูเอม”

“ไม่ใช่วันนี้หรอกค่ะ แต่หนูไม่อยากเรียนเลยสักวันเดียว” หนูเอมคงอดทนถึงที่สุดแล้ว วันนี้จึงได้เผยความในใจออกมาให้คุณครูฟัง

“อ้าว แล้วทำไมหนูไม่บอกคุณพ่อล่ะคะ วันไหนเบื่อก็ไม่ต้องเรียนก็ได้”

กรผกามารศรีสงสัย รายได้เสริมนั้นหล่อนก็อยากได้อยู่หรอก แต่พอเห็นเด็กหญิงเอมถูกบิดาบังคับให้มานั่งเรียนพิเศษทุกวันก็นึกสงสาร และอยากให้ลูกศิษย์ตัวน้อยมีโอกาสได้ใช้ชีวิตสนุกสนานเหมือนเด็กๆ คนอื่นบ้าง ไม่ใช่จะเอาแต่เรียนพิเศษเพียงอย่างเดียว

“ที่จริงคุณครูว่าเรียนพิเศษอาทิตย์ละสองสามวันก็พอแล้วละค่ะ วันอื่นๆ จะได้ไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ บ้าง”

“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณอาทินพันธ์บอกให้หนูเรียนกับคุณครูทุกวัน” หนูเอมพูดโดยซื่อ

หากกรผกามารศรีได้ยินชื่อ ‘คุณอาทินพันธ์’ ที่เด็กหญิงเอมเอ่ยออกมาแล้ว ก็ต้องทำตาโตด้วยความตกใจ

“อะไรนะคะ…คุณอาทินพันธ์…ใช่ที่นามสกุล เกียรติมหึมามหาเศรษฐีหรือเปล่า”

“นั่นละค่ะ นามสกุลยาวๆ นั่นละค่ะ” หนูเอมยิ้มจนตาหยี “คุณอาจ้างให้หนูมาเรียนพิเศษทุกวัน บอกว่าถ้าหนูทำได้ คุณอาจะให้เงินคุณพ่อให้พาหนูไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ค่ะ”

กรผกามารศรีได้ยินดังนั้นได้แต่นิ่งขึงไปด้วยความตกใจ และเมื่อบิดาของเด็กหญิงเอาเงินค่าสอนมาให้ในตอนเย็นวันนั้น หญิงสาวจึงปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวล

“เก็บเงินเอาไว้เถอะค่ะคุณโชติ…ดิฉันไม่ขอรับ”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ” โชติหน้าซีด นึกสงสัยขึ้นมาในใจว่าแผนการของเจ้านายที่จะช่วยหญิงสาวนั้น บัดนี้กรผกามารศรีคงจะรู้ความจริงแน่แล้ว “ก็ค่าสอนของคุณไงฮะ”

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่มาสอนน้องเอมอีกแล้ว” กรผกามารศรีพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ทำไมคุณต้องหลอกฉันด้วยคะคุณโชติ…ทำไมคุณต้องร่วมมือกับเจ้านายของคุณหลอกฉันด้วย สนุกนักหรือไง ใช้เงินมาล่อ เพื่อหลอกให้ผู้หญิงจนๆ คนหนึ่งดีใจ”

“อย่าเข้าใจผิดสิฮะคุณกรผกา” โชติรีบอธิบาย “เจ้านายผมหวังดี อยากช่วยคุณจริงๆ นะฮะ คุณทินพันธ์รู้ว่าให้เงินคุณ คุณก็คงจะไม่ยอมรับ ก็เลยต้องใช้วิธีนี้…ก็ยุติธรรมดีแล้วไม่ใช่หรือฮะ คุณสอนหนังสือลูกสาวผม ผมก็จ่ายค่าสอนให้คุณ”

“ฉันไม่ต้องการเงินจากนายทินพันธ์นั่น” กรผกามารศรีเน้นเสียงยามที่เอ่ยชื่อของชายหนุ่ม “ฉันว่าแล้วว่าทำไมต้องจ่ายให้ฉันมากขนาดนั้น แถมเด็กเล็กขนาดนี้ ทำไมถึงสนใจอยากเรียนภาษาฝรั่งเศส ที่แท้ทั้งหมดก็เป็นเรื่องโกหก ฉันนี่โง่จริงๆ”

พูดจบ กรผกามารศรีก็เดินกระแทกเท้าจากไป ทิ้งซองเงินค่าสอนพิเศษวันนั้นเอาไว้บนโต๊ะอย่างไม่สนใจไยดี



Don`t copy text!