ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 9 : การสูญเสียที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 9 : การสูญเสียที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

เรือนร่างสูงใหญ่ไร้ลมหายใจของเจ้าสัวทินกรที่นอนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้า ทำให้กรผกามารศรีต้องร่ำไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด

เพราะความเครียดเรื่องธุรกิจพันล้านที่หมุนเงินไม่ทัน ประกอบกับค่าเงินบาทตกต่ำเป็นประวัติการณ์ทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์มรกตพรอพเพอร์ตี้ต้องประสบกับภาวะขาดเงินทุนหมุนเวียน เจ้าสัวทินกรซึ่งเป็นประธานกรรมการจึงต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ อดหลับอดนอนติดต่อกันหลายสัปดาห์ ในวันที่เกิดเหตุจึงหกล้มหมดสติไป

เมื่อคุณหญิงสายหยุดเข้าไปพบสามีเข้าก็สายไปเสียแล้ว เธอและบุตรสาวรีบนำร่างไร้สติของเจ้าสัวส่งโรงพยาบาลเอกชนที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุด ดีที่สุดอย่างรวดเร็ว หมอตรวจพบว่าเจ้าสัวทินกรเส้นเลือดในสมองแตก นอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ในโรงพยาบาลอย่างสิ้นหวัง หมอบอกว่าโอกาสรอดมีน้อยมาก แต่คุณหญิงสายหยุดและกรผกามารศรีก็ขอให้หมอสู้จนถึงที่สุด ไม่ว่าจะต้องใช้เงินมากขนาดไหนก็ตาม

คุณหญิงสายหยุด กรผกามารศรี และแม่นิ่มจะไปเฝ้าเจ้าสัวทินกรอยู่ที่หน้าห้องไอซียูเป็นประจำทุกวัน ส่วนบริษัทนั้น สองแม่ลูกปล่อยให้ประพนธ์ผู้เป็นรองกรรมการผู้จัดการ ดำเนินการบริหารไปโดยลำพัง เพราะทั้งคุณหญิงและธิดาสาวไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจเลยแม้แต่น้อย เวลานี้จิตใจของสองแม่ลูกจดจ่ออยู่กับอาการของเจ้าสัวทินกรเท่านั้น

ประพนธ์เป็นคนเก่าคนแก่ ทำงานมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทจึงสามารถจะไว้วางใจได้ แต่ในสภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ ต่อให้คนเก่งมีความสามารถมากเพียงใดก็ไม่สามารถจะแก้ไขสถานการณ์ของบริษัทให้กลับมาดีได้ดังเดิม ประพนธ์พยายามทุกวิถีทางจนสุดความสามารถก็ไม่เป็นผล เวลานี้เขาได้แต่ภาวนาขอให้เจ้าสัวทินกรหายป่วย และกลับมาแก้ไขปัญหาการเงินของบริษัทโดยเร็ว เพราะหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่ถึงสองเดือนเงินก้อนสุดท้ายจะต้องหมดลง และพนักงานทั้งหมดก็จะถูกลอยแพ ไม่มีเงินเดือนจ่ายอย่างแน่นอน

แต่คำภาวนาของประพนธ์กลับไม่เป็นผล เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปกว่าเก่า ไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าสัวทินกรจะจากไปเร็วถึงเพียงนี้ อาการของเจ้าสัวเพียบหนัก สุดจะเยียวยา บิดาของกรผกามารศรีเสียชีวิตไปหลังจากนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลเพียงไม่กี่วัน ทิ้งคุณหญิงสายหยุด กรผกามารศรี มรกตพรอพเพอร์ตี้ และปัญหาธุรกิจอันยุ่งเหยิงเอาไว้ข้างหลัง

ผู้คนมากมายทยอยมารดน้ำศพผู้วายชนม์ แต่น่าประหลาดใจที่ไม่เห็นครอบครัวของอธิบดีอนันต์โผล่หน้ามาร่วมงาน ทั้งที่ตัวเขาเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าสัวทินกร และอนึกบุตรชายของเขายังเป็นคู่หมั้นของกรผกามารศรีอีกด้วย

แต่คนที่กรผกามารศรีไม่คาดฝันว่าจะได้เห็นเขา ก็คือทินพันธ์…

ไม่เพียงแต่มารดน้ำศพ ชายหนุ่มหน้าตาคมสัน รูปร่างสูงใหญ่ผู้นั้นมาร่วมงานศพของเจ้าสัวทินกรทุกวัน

ทั้งที่ไม่ชอบหน้าทินพันธ์เลย หากหล่อนจำเป็นต้องทักทายและต้อนรับชายหนุ่มตามมารยาท

ทินพันธ์คงจะรู้ดีว่ากรผกามารศรีไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไร เพราะทุกคืนที่ทินพันธ์มาฟังพระสวดอภิธรรม เขาจะพยายามเลี่ยงไปนั่งให้ห่างไกลจากสายตาของหญิงสาวผู้นั้น และลากลับไปอย่างรวดเร็ว

ทินพันธ์มาฟังพระสวดทุกคืน แต่ครอบครัวคู่หมั้นของเธอกลับไม่เคยมาเลยสักคืนเดียว กว่าที่อนึกและมารดาของเขาจะยอมโผล่หน้ามาร่วมงานก็เป็นวันเผาศพเจ้าสัวทินกร

แม้จะมีเชื้อสายคนจีน หากบรรพบุรุษทุกคนในตระกูลมรกตนั้น เมื่อสิ้นชีวิตลงก็จะสั่งลูกหลานให้จัดการงานศพแบบไทย คือสวดพระอภิธรรมห้าวัน เจ็ดวัน แล้วทำพิธีฌาปนกิจ แทนที่จะนำไปฝังที่สุสาน เพราะไม่อยากให้เป็นภาระของบุตรหลานในภายภาคหน้า บิดาของกรผกามารศรีก็เช่นเดียวกัน

“สวัสดีค่ะคุณแม่ ขอบพระคุณค่ะที่คุณแม่กรุณาแวะมาเป็นเกียรติ”

กรผกามารศรีซึ่งยืนรับแขกอยู่ด้านหน้ายกมือไหว้มารดาของคู่หมั้นด้วยความอ่อนน้อม จำได้ว่าสร้อยไข่มุกเส้นยาวซึ่งอีกฝ่ายสวมอยู่นั้นเคยเป็นของเธอมาก่อน หากคุณอนงค์นาถขอยืมไปใส่แล้วไม่ยอมคืนให้

“เป็นเกียรติเหรอ เชอะ ฉันก็มาตามหน้าที่เท่านั้นละ” น้ำเสียงของคุณอนงค์นาถเย็นชา สายตาเชือดเฉือน “แล้วทีหน้าทีหลังอย่ามาเรียกฉันว่าคุณแม่อีกนะ ใครเป็นคุณแม่หล่อนยะแม่กรผกามารศรี ฉันไม่เคยมีลูกสาวสักหน่อย”

“คุณแม่” อนึกดึงแขนมารดาของเขาเป็นทำนองเตือน ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่ได้ชอบกรผกามารศรีมากนัก หากครั้งนี้เขารู้สึกว่าผู้เป็นมารดาทำเกินไปสักหน่อย

“อะไรอีกล่ะ ตาอนึก” คุณอนงค์นาถหันไปมองลูกชายด้วยสายตาตำหนิ “ก็จริงนี่นา คุณแม่พูดผิดตรงไหน ลูกกับกรผกามารศรียังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย แล้วแม่นั่นจะมาเรียกแม่ว่าคุณแม่ได้ยังไง”

“แต่เราก็หมั้นกันแล้วนี่ครับ อีกไม่นานก็จะต้องแต่งงานกัน” อนึกถอนใจยาว

“แต่งงาน…” คุณอนงค์นาถร้องเสียงหลง ท่าทางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน “เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะลูกขา แม่คิดว่าคงไม่มีวันนั้นแล้วละ อาจจะไม่มีการแต่งงานระหว่างลูกกับแม่กรผกามารศรี”

ประโยคสุดท้ายของคุณอนงค์นาถทำให้คุณหญิงสายหยุดที่เพิ่งเดินมาสมทบกับบุตรสาว ถึงกับหน้าตึง

“อะไรนะคะ หมายความว่ายังไงคะคุณอนงค์นาถ ที่ว่าไม่มีการแต่งงาน”

“หมายความตามที่พูดนั่นละ” คุณอนงค์นาถใช้สายตามองคุณหญิงสายหยุดและกรผกามารศรีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะอธิบายขยายความว่า “ฉันจะขอถอนหมั้นลูกชายของฉันกับลูกสาวของคุณหญิง”

“อะไรนะ” คุณหญิงสายหยุดขมวดคิ้วมุ่น นึกโกรธคุณอนงค์นาถขึ้นมาทันใดที่กล้าแสดงกิริยาเช่นนี้ในงานเผาศพของสามี “ถอนหมั้น…ตอนแรกคุณอนงค์นาถเป็นฝ่ายอยากหมั้นกับทางเราเองนะคะ แล้วจู่ๆ ทำไมจะมาถอนหมั้นกันง่ายๆ แบบนี้ล่ะ”

“เพราะตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปน่ะสิคะ” น้ำเสียงของมารดาอนึกเยาะเย้ยถากถาง “อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะว่ามรกตพรอพเพอร์ตี้มีหนี้สินนับร้อยล้าน ถ้าฉันโง่ยอมให้ลูกชายแต่งกับกรผกามารศรี ก็เท่ากับว่าอนึกต้องรับผิดชอบหนี้สินที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อด้วยน่ะสิ ทำแบบนี้ไม่เห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยหรือคะคุณหญิง”

“อนงค์นาถ…เธอ…” คุณหญิงสายหยุดยกมือขึ้นกุมหน้าอก รู้สึกหัวใจเต้นระรัวจนหน้าซีด “นี่งานศพเจ้าสัวทินกรสามีฉันนะยะ มีอะไรให้เสร็จงานแล้วค่อยพูดกันใหม่ดีกว่า”

“ไม่” คุณอนงค์นาถสะบัดหน้า “พูดช้าหรือพูดเร็วก็มีค่าเท่ากัน ยิ่งพูดช้ายิ่งไม่ดี เพราะลูกชายของฉันอาจจะต้องมาแบกรับหนี้สินที่ไม่ได้เป็นคนก่อ”

“เธอ…เธอ…” คุณหญิงสายหยุดแน่นหน้าอกจนพูดอะไรไม่ออก เหงื่อผุดพรายเต็มดวงหน้า

“คุณแม่…” กรผกามารศรีรีบประคองมารดาไปนั่งที่เก้าอี้ตัวซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดแล้วหันไปเรียกแม่นิ่ม “แม่นิ่ม แม่นิ่มคะ ช่วยดูคุณแม่หน่อย สงสัยอาการของโรคหัวใจกำเริบ”

“คุณท่านคะ หายใจลึกๆ ค่ะ ทำใจดีๆ ไว้”

แม่นิ่มรีบวางมือจากการจัดเตรียมเครื่องดื่มให้แขกที่มางานศพ แล้วรีบวิ่งมาดูแลคุณหญิงสายหยุดอย่างรวดเร็ว ขณะที่กรผกามารศรีลุกขึ้นยืน หันหน้าไปเผชิญกับคุณอนงค์นาถและอนึกด้วยความกล้าหาญ

เธอถอดแหวนหมั้นที่สวมอยู่ในมือ แล้วยื่นให้กับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งด้วยสายตาเยือกเย็น น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นหนักแน่นเด็ดเดี่ยว

“ฉันขอถอนหมั้นคุณค่ะ อนึก”

“น้องกรผกา…” อนึกตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าผู้หญิงสวยใส ท่าทางอ่อนต่อโลกอย่างกรผกามารศรีจะกล้าทำแบบนี้ “ใจเย็นๆ ก่อนดีไหมครับ”

“ตายจริงอนึก ยังจะอาลัยอาวรณ์อะไรมันอีกคะลูก เขาขอถอนหมั้นก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องพูดกันมาก” คุณอนงค์นาถรีบคว้าแหวนหมั้นไปถือเอาไว้ในมือเสียเอง ประโยคถัดมาเธอพูดใส่หน้ากรผกามารศรีด้วยเสียงดังจนคนทั่วศาลาวัดได้ยินโดยทั่วกัน “ของหมั้นอื่นๆ ยังมีอีกนะยะ จะถอนหมั้นกับลูกชายฉันน่ะ ก็ต้องคืนมาด้วยนะกรผกามารศรี จะทำไม่รู้ไม่ชี้น่ะ ไม่ได้หรอกนะ”

“ตกลงค่ะ” กรผกามารศรีเชิดหน้าอย่างทระนง น้ำเสียงที่พูดดังจนคนทั่วศาลาวัดได้ยินโดยทั่วหน้าเช่นกัน “พรุ่งนี้คุณอนงค์นาถให้คนที่บ้านมารับเงินและทองที่หมั้นดิฉันกลับคืนไปได้เลย ส่วนสร้อยเพชร สร้อยไข่มุก และเครื่องประดับทั้งหมดที่คุณอนงค์นาถขอยืมดิฉันไปแล้วไม่ยอมคืน ฉันยกให้ค่ะ…ถือว่าทำทาน บุญกุศลจะได้ตกแก่คุณพ่อของดิฉัน”

“ตายจริง นังกรผกามารศรี แกกล้าดียังไงถึงมาลำเลิกฉันแบบนี้ยะ” คุณอนงค์นาถกรี๊ด ไม่คิดว่าสาวน้อยหน้าตาใสซื่ออย่างกรผกามารศรีจะกล้าลุกขึ้นต่อกรกับเธอเช่นนี้

และก่อนที่ผู้ใดจะทันคาดคิด คุณอนงค์นาถก็เงื้อมือขึ้นแล้วฟาดลงบนใบหน้าของหญิงสาวร่างผอมบางโดยแรง จนร่างของกรผกามารศรีเซถลาไปปะทะร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่นั่งดูเหตุการณ์มาพักใหญ่แล้ว

 



Don`t copy text!