ดวงใจจอมกระบี่ บทที่ 4 : เหตุไม่คาดฝันที่สนามแข่งแดร็กไบค์

ดวงใจจอมกระบี่ บทที่ 4 : เหตุไม่คาดฝันที่สนามแข่งแดร็กไบค์

โดย : แสนแก้ว

Loading

ดวงใจจอมกระบี่ นวนิยายดีเด่นกลุ่มนวนิยายรัก โครงการช่องวันอ่านเอาปี 2 โดย แสนแก้ว กับเรื่องของสาวไฮโซที่ถูกวางแผนฆ่า แต่อยู่ๆ เธอก็ได้พบกับหวังอี้เทียน จอมยุทธ์ที่หลุดมาในยุคปัจจุบัน เขามาช่วยชีวิตเธอและสืบความจริงในอดีตจนจับคนร้ายได้และเธอได้ข้ามกลับไปลุยกันต่อที่ฝั่งยุทธภพกับเขา นิยายออนไลน์ที่อยากให้ได้อ่านกันค่ะ

คืนต่อมา นลินญาอยู่ที่สนามแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางตรง  ร่างเพรียวบางในชุดแข่งสีดำกำลังนั่งกอดอกแน่น รอแข่งขันในรุ่นโอเพน อัลลิมิเต็ด เพื่อน ๆ นักแข่งในรุ่นเดียวกันออกไปยืนดูการแข่งขันรุ่นอื่น ๆ ที่หน้าสนามอย่างสนุกสนาน แต่หญิงสาวไม่มีอารมณ์เชียร์ใครทั้งนั้นเพราะยังไม่หายคาใจเรื่องชายโรคจิตที่อ้างว่าตัวเองเป็นหวังอี้เทียน

เหตุการณ์วันตกเขาที่เขาเล่าจากปากตรงกับในนิยายก็จริง แต่เรื่องแบบนี้ใครก็ตามที่เคยอ่านตำนานจอมกระบี่เย้ยฟ้าก็พูดได้เหมือนกัน แต่เรื่องที่ว่าร่างกายของเขาทรหดเหลือเชื่อ ทั้งยังฟื้นฟูรวดเร็วเกินคนปกตินั้น ยังไงก็หาคำอธิบายไม่ได้

‘แล้วหลังจากนี้ล่ะ แกจะพาเขาไปอยู่ที่ไหน’ เรนนี่ถามขึ้นหลังจากผู้ป่วยหนุ่มหลับไปด้วยฤทธิ์ยา นลินญาเบิกตากว้างเพราะแปลกใจที่มีคำถามเช่นนี้

‘แกก็รับเขาไปอยู่ด้วยซิ กรี๊ดเขานักไม่ใช่เหรอ’

‘พ่อฉันได้ตีหัวแตกพอดี พาผู้ชายมาอยู่บ้าน’ แล้วคนขี้อ้อนก็เริ่มเขย่าแขน “นะ นะ แกช่วยรับเขาไปดูแลที ฉันจะพยายามหาเวลาว่างมาช่วยแกเอง ช่วงนี้อาจารย์หมอเพ่งเล็งฉันเป็นพิเศษ ขยับตัวไปไหนไม่ได้เลย เดี๋ยวพออะไรเข้าที่เข้าทางกว่านี้แล้วฉันจะรีบมาดูแลเขาต่อเองนะ ฉันสัญญา”

นลินญาเบือนหน้าหนี ตอบเสียงห้วนว่า

‘ได้ งั้นถ้าเขาออกจากโรงพยาบาลได้แล้วแต่ยังไม่มีญาติมารับละก็ ฉันจะสงเคราะห์ให้เอง’

‘โดยการพาเขาไปอยู่ด้วยใช่ไหม’

‘โดยการพาไปส่งโรงพยาบาลบ้า หรือไม่ก็สถานสงเคราะห์คนจรสักที่ก็แล้วกัน’

คุณหมอเรนนี่ก็กระทืบเท้า ดิ้นเร่าไปมา แลบลิ้นใส่เธออีกต่างหาก

‘ทำเป็นใจร้าย ฉันจะคอยดู แกทำกับเขาแบบนั้นไม่ลงหรอก’

เรื่องพาชายหนุ่มไปส่งที่ไหนนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่เธอยังไม่รู้ต่างหากว่าเขาเป็นใคร ด้วยเบาะแสเท่าที่มีหญิงสาวสรุปกับตัวเองได้เพียงว่า เขาคงเป็นแฟนนิยายชาวจีนที่อินกับตำนานจอมกระบี่เย้ยฟ้าของอาจารย์ถังมากไปหน่อย แต่งตัวคอสเพลย์มาเที่ยวผาชิงดาวแล้วถูกคนแทงตกหน้าผาเหมือนในนิยาย ฟื้นขึ้นมาก็สติฟั่นเฟือนคิดว่าตัวเองเป็นหวังอี้เทียน…เรื่องเหลือเชื่อที่พอจะเป็นไปได้ที่สุดก็มีเพียงเท่านี้

มีสายเรียกเข้าจากคุณอาจารุเดช นลินญาจำต้องออกจากภวังค์ชั่วครู่ กดรับสาย

“เป็นไงบ้างนลิน จะแข่งแล้วใช่ไหม อาโทร. มาอวยพรขอให้หนูชนะเลิศ แล้วก็ขับขี่ปลอดภัยนะลูกนะ”

หญิงสาวเอียงหน้า ยิ้มบาง “ขอบคุณมากค่ะอา นลินจะพยายามให้เต็มที่ค่ะ”

“งั้นถ้าแข่งชนะแล้วก็เลิกซะเถอะนะ แข่งบิ๊กไบค์เนี่ย หนูไปแข่งทีไรอาละหวาดเสียว เป็นห่วงจนนอนไม่หลับทุกที ทำไมชอบเล่นอะไรเสี่ยง ๆ อยู่เรื่อยเลย เจ้าหลานคนนี้”

“แหม…ก็ใครสอนนลินล่ะคะว่า ‘เกิดมามีชีวิตเดียว จงทำสิ่งที่อยากทำให้เต็มที่ จะได้ไม่เสียดายทีหลัง’ ก็อาเองไม่ใช่เหรอ”

“แน่ะ ยังมาย้อนอีก อาหมายถึงให้หนูไปท่องเที่ยวทั่วโลก หาประสบการณ์ต่างหาก จะซื้อเสื้อผ้า กระเป๋าแบรนด์หรู ๆ ใส่เครื่องเพชรอะไรแบบที่ผู้หญิงปกติเขาทำกันก็ตามใจ ไม่ได้หมายถึงให้หนูไปทำอะไรเสี่ยงตายแบบนี้ เฮ้ย…เผลอพูดคำว่าตายซะแล้ว ไม่เป็นมงคลเลย”

หลานสาวหัวเราะเบา ๆ “ไม่เป็นไรค่ะอา นลินเอาอยู่”

ไหน ๆ ก็ได้คุยกับคุณอาจารุเดช ประธานใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลแห่งดาราลัยกรุ๊ปแล้ว นลินญาก็เกิดความคิดว่าจะขอปรึกษาเรื่องชายหนุ่มผู้ป่วยปริศนาซะเลย

แต่แล้วกลับพูดไม่ออก…ส่วนลึกในใจบอกว่าอย่าให้เป็นเรื่องใหญ่จะดีกว่า คงจริงอย่างที่เรนนี่ว่า ใจของเธออย่างน้อย ๆ ก็หนึ่งส่วนคงแอบแตกแถวไปเชื่อว่า เขาคือหวังอี้เทียนตัวจริง

 

เวลาแห่งการแข่งขันมาถึง พอโฆษกสนามประกาศชื่อนักแข่ง นลินญาก็พาบิ๊กไบค์สีดำเงาวับคู่ใจเข้ามายังจุดปล่อยตัว เสียงฮือฮาจากผู้ชมบนอัฒจันทร์ดังอื้ออึงทั่วทุกสารทิศ ช่างภาพนิ่งและวิดีโอกรูกันเข้ามาถ่ายรูปยิงแฟลชรัวเร็ว ไม่บ่อยนักที่จะมีนักแข่งแดร็กไบค์เป็นผู้หญิงเช่นนี้

นลินญาเริ่มเบิร์นยางหรือเร่งเครื่องโดยให้รถอยู่กับที่ เป็นสิ่งที่รถแข่งต้องทำเพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้ล้อยาง  ซึ่งจะส่งผลให้ยางยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น ล้อหลังบดเบียดถนนปัดส่ายไปมา ฝุ่นควันลอยคลุ้งจนตลบมาข้างหน้า นลินญามองเส้นทางยาวไกลเบื้องหน้าผ่านหมวกกันน็อก สมาธิจดจ่อนิ่ง

ระหว่างรอเบิร์นยาง โฆษกสนามเล่าออกไมค์อย่างออกรสถึงนักแข่งหญิงคนเดียวในรายการ พูดถึงสถิติเก่า ๆ ของเธอไปจนถึงชาติกำเนิดสุดไฮโซมั่งคั่ง นลินญาไม่ได้ต้องการให้คนใส่ใจเรื่องนั้น สิ่งเดียวที่เธอหวังให้ผู้ชมทั้งสนามจดจำก็คือ ผู้หญิงคนหนึ่งหากตั้งใจทำอะไรแล้วก็สามารถทำได้เก่งไม่แพ้ผู้ชาย

บางคนมาเป็นนักแข่งแดร็กเรซซิงเพราะชอบความเร็ว บางคนชอบเพราะเท่ บางคนยึดเป็นอาชีพ บางคนต้องการชัยชนะ อยากโชว์ว่าตัวเองเก่งเทพกว่านักบิดคนอื่น ๆ นลินญาหลับตาลง พ่นลมหายใจแรง ๆ ในสมาธิอันนิ่งสงบปรากฏปีศาจร้ายมาก่อกวนอีกแล้ว มันกรีดร้องออกมาเป็นภาพตอนตัวเองจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ฟาดกรงเล็บมาเป็นภาพแฟนเก่าหักหลัง สำรอกไอสังหารออกมาเป็นภาพพ่อกับแม่กระโดดทะเลฆ่าตัวตาย หญิงสาวกัดฟันแน่น จุดประสงค์ของการแข่งแดร็กไบค์ของเธอมีเพียงข้อเดียว เธอต้องการเอาชนะปีศาจที่เรียกว่าความกลัวก็เท่านั้น!

ฉับพลันบิ๊กไบค์ดำมืดดุจรัตติกาลก็ออกตัวแรงเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาด นลินญาหมอบลงบิดเต็มมือไม่ยั้ง เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มก้องเสียดแทงแก้วหู โฆษกสนามก็บรรยายกระโชกตามหลังมาว่า

“ออกตัวไปแล้วครับนางฟ้านักบิดของพวกเรา หกสิบฟุตจัดไปที่ 1.463 วิ นับว่าทำได้ดีทีเดียว ที่เหลือใส่ให้ยับครับ เราอาจได้เห็นสถิติใหม่สวย ๆ ของเธอกันในคืนนี้…”

บิ๊กไบค์ระเบิดพลังเต็มสมรรถภาพ พุ่งแหวกอากาศรุนแรงราวจรวดมิสไซล์ เมื่อผ่านเซ็นเซอร์จุดสิ้นสุดก็ไม่ผิดคำที่โฆษกพูดไว้ นลินญาทำได้ที่ 8.688 วินาที ไม่ได้ดีที่สุดในประเทศ ไม่ได้ชนะนักแข่งผู้ชาย แต่เป็นสถิติที่น่าจับตามองและที่สำคัญคือทำลายสถิติเดิมที่เคยทำไว้ได้ของตัวเอง

แต่เรื่องน่าเสียดายมีอยู่ว่า นลินญายังไม่มีโอกาสได้รับรู้

เมื่อขับผ่านจุดสิ้นสุดแล้ว ช่วงท้ายของเส้นทางอันเป็นระยะเบรกนั้นค่อนข้างมืดและแทบไม่มีคนเพราะผู้ชมและทีมงานส่วนใหญ่อยู่กันต้นสนาม หญิงสาวค่อย ๆ ชะลอความเร็วรถตามลำดับ ทว่าทันใดนั้น ภายใต้แสงไฟสนามที่สาดส่องลงบนถนนสีดำมืด เธอเห็นวัตถุประหลาดเป็นเส้นยาวเคลื่อนผ่านแบบคดเคี้ยวไปมา

สัญชาตญาณตะโกนบอกว่า นั่นคืองู

หญิงสาวขนลุกชันไปทั้งกาย หักรถหลบทันใด

ด้วยความเร็วระดับรถแข่งแดร็ก เป็นตายสามารถพลิกผันในชั่วเสี้ยววินาที เพียงไม่กี่วินาทีที่เธอตกใจบิดเครื่องหนีและพุ่งไปผิดทาง บิ๊กไบค์ก็พุ่งแฉลบแนวรั้วเหล็กกั้น ปะทะเข้ากับกองยางรถยนต์ที่ตั้งไว้เป็นแนวกันชนอย่างแรง เสียงรถชนดังสนั่นหวั่นไหว ร่างบอบบางของนักแข่งสาวลอยลิ่วข้ามแนวรั้วหายไปทางทุ่งหญ้าข้างนอกสนามอันมืดมิด

 

นลินญาลืมตาโพลงอยู่ในหมวกกันน็อก หายใจหอบรัวเร็ว บัดนี้เธอนอนหงายอยู่ในพงหญ้าสูง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนจับต้นชนปลายไม่ถูก

พักใหญ่ทีเดียวกว่าจะได้ยินเสียงคนร้องเรียกและเสียงก้าวเท้าสวบสาบมาทางนี้ เหตุที่เจ้าหน้าที่ทีมงานช่วยเหลือได้ค่อนข้างล่าช้าเพราะจากแนวรั้วเหล็กมาถึงพงหญ้าด้านที่นลินญานอนอยู่ต้องข้ามคูน้ำค่อนข้างกว้าง ร่างของเธอกระเด็นมาไกลมากทีเดียว

ชายคนหนึ่งชะโงกหน้าพยายามมองเธอผ่านหมวกกันน็อก พอสบสายตากันเขาก็ร้องบอกพรรคพวก

“เฮ้ย ยังไม่ตาย” แล้วเขาก็เขย่าบ่าเธอ “คุณ คุณ เป็นอะไรมากไหม”

“เฮ้ย ห้ามแตะต้อง เดี๋ยวกระดูกเคลื่อน รอให้รถพยาบาลมาจัดการดีกว่า”

ชายคนที่สองย่อกายข้างเธอ พวกทีมงานแข่งขันคนอื่น ๆ ก็มุงล้อม

“ไม่เป็นไรแล้วนะคุณ อีกแป๊บเดียวรถพยาบาลก็มาแล้ว คุณจะปลอดภัยนะครับ”

นลินญาหลับตาปี๋ กลั้นใจ นับหนึ่งสองสามในใจแล้วผุดลุกขึ้นนั่ง

ผุดพรวดขึ้นมาได้ พวกทีมงานก็วงแตก

“อ้าวเฮ้ย ทำไมไม่เป็นอะไรเลย เป็นไปได้ยังไง”

นลินญาลุกขึ้นยืน กระดูกทุกชิ้นส่วนในร่างกายยังใช้งานได้ตามปกติ อย่าว่าแต่เดินเลย ให้วิ่งตอนนี้เธอก็วิ่งได้ฉิว

พวกทีมงานที่มาช่วยชีวิตพากันอ้าปากค้าง บางคนผมตั้งขนลุกเกรียวนึกว่าถูกผีหลอก จะไม่ให้ช็อกได้อย่างไร ก็ในขณะที่บิ๊กไบค์ทั้งคันกลายเป็นซากอัดรั้วเหล็กไปแล้ว แต่หญิงสาวผู้ขับขี่กลับปลอดภัยดีเหลือเชื่อ

 

นลินญาก้าวออกจากลิฟต์อย่างเหม่อลอย เธอกลับมาถึงเพนเฮาส์ทั้งชุดแข่งมอมแมม หนีบหมวกกันน็อกไว้ข้างแขน

หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนเกิดอุบัติเหตุอีกครั้ง ขณะที่เธอลอยคว้างข้ามรั้วกั้น แม้จะตกใจสุดขีดจนแทบสิ้นสติ แต่เธอแน่ใจว่าชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง ภายใต้ความมืดมิดแทบมองอะไรไม่เห็น เธอรู้สึกถึงแรงหนึ่งอุ้มพาร่างของเธอลอยผ่านคูน้ำมาวางลงที่พงไม้หนาทึบอย่างนุ่มนวล

ราวกับมีเทพารักษ์ใจดีสักองค์เหาะมารับร่างเธอไว้อย่างไรอย่างนั้น

พอหลังสัมผัสพื้นหญ้าเย็นเฉียบ เทพารักษ์องค์นั้นก็หลบหายไปอย่างรวดเร็ว ชั่วอึดใจหนึ่งในความมืดสลัว เธอทันได้เห็นเสี้ยวหน้าของเขาด้วย

เรื่องน่าประหลาดใจมีอยู่ว่า เขาหน้าเหมือนชายปริศนาที่เธอด่าว่าเป็นไอ้โรคจิตบ้าหนังจีน

นลินญาอยากจะคิดว่าตัวเองตาฝาด แต่การที่เธอยืนเหม่อมองประตูห้องของตัวเองได้ด้วยร่างกายปกติดีเช่นนี้ก็เป็นหลักฐานชัดแจ้ง

แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร… ความรู้สึกแปลก ๆ จู่โจมอีกแล้ว ทั้งที่รู้สึกว่าสิ่งที่คิดเป็นไปไม่ได้ แต่มันก็ดื้อดึงเกินไปหากจะยืนกรานปฏิเสธว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หญิงสาวชักจะปวดหัวจึงระงับความคิดฟุ้งซ่านไว้ก่อน กดรหัสเปิดล็อกห้องแล้วผลักประตูเปิดพร้อมกันทั้งสองบาน

แล้วหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อพบว่าชายหนุ่มปริศนาในชุดคนไข้กลับมานั่งอยู่ที่เดิม

ท่ามกลางแสงสว่างสีนวล หน้าตู้ไม้ขัดเงา ขนาบข้างด้วยแจกันจีนทรงสูง ใต้ภาพวาดภูผาธารา

 

เขาลุกขึ้นยืน นลินญาผงะถอยหลายก้าวแม้ว่าเขาไม่ได้มีท่าทีคุกคาม ครั้งนี้เธอไม่ได้เอ่ยปากไล่เขาเหมือนครั้งแรก แต่ถามตะกุกตะกักว่า

“นี่ คุณ คุณได้ไปที่สนามแข่งมาหรือเปล่า”

เขามีสีหน้าผ่อนคลายคล้ายยิ้ม

“เจ้าเป็นเจ้าชีวิตของข้า เจ้าอยู่ที่ไหนข้าก็ต้องอยู่ที่นั่น”

“คุณ…สะกดรอยตามฉันเหรอ”

ชายหนุ่มไม่ตอบ นลินญาลอบมองสำรวจตามเนื้อตัวของชายหนุ่ม เห็นรอยดินเลอะที่หัวเข่าและชายกางเกง แต่ก็นั่นละ มันไม่ใช่เครื่องพิสูจน์สักหน่อยว่าเขาไปช่วยเธอที่สนามแข่งจริง อาจไปเที่ยวซนแถวไหนมาก็ได้

ทันใดนั้น เรนนี่ก็โทรศัพท์เข้ามาราวกับรู้ใจ โวยวายร้อนรนมาตามสาย

“แก หวังอี้เทียนอยู่กับแกหรือเปล่า เขาหายไปจากโรงพยาบาลอีกแล้ว”

นลินญาเหลือกตามองเพดาน

“เออ เขามาห้องฉันอีกแล้วแหละ”

“เฮ้อ ค่อยยังชั่ว”

หญิงสาวแทบปรี๊ด “ค่อยยังชั่วอะไรเล่า”

“เอ้า ก็นึกว่าหายไปไหน ความจริงเขาอาการดีขึ้นจนเกือบจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ฉันว่านะ แกต้องรับเลี้ยงเขาแล้วแหละ”

“จะบ้าเหรอ” นลินญาสวนกลับแบบไม่ต้องคิด

“แล้วแกจะทิ้งเขาไว้ข้างนอกเหรอ ถ้าทำอย่างนั้นจากที่ไม่ใช่คนบ้าก็อาจจะกลายเป็นคนบ้าจรจัดไปจริง ๆ ก็ได้”

คนฟังทางนี้เงียบไป เอาเข้าจริงเธอก็ไม่ได้ใจดำถึงขั้นนั้น ที่สำคัญ ยังไงเขาก็เคยช่วยชีวิตเธอไว้ ไม่สิ ‘อาจจะ’ เคยช่วยชีวิตเธอไว้ก็ได้

หญิงสาวคิดไม่ตก ได้แต่รำพึงรำพันกับตัวเอง

“เราจะรู้ได้ยังไงนะว่าเขาไม่ได้บ้า แต่เป็นหวังอี้เทียนตัวจริง”

“ถ้าเขาเป็นหวังอี้เทียนตัวจริง แกจะรับเขาไว้ใช่ไหม”

“ก็…ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น”

ถึงจะตอบแบบลังเล แต่ลึก ๆ เธอแน่ใจ จะทิ้งประมุขหวังผู้อาภัพและมีบุญคุณช่วยชีวิตเธอให้เผชิญโลกใบใหม่เพียงลำพังได้อย่างไร

เรนนี่เงียบไปครู่ใหญ่ คงกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ครั้นแล้วก็โพล่งขึ้นว่า

“นึกออกแล้ว หวังอี้เทียนมีรอยสักรูปตราประทับพยัคฆ์เมฆาบนหัวไหล่ซ้าย ถ้าเขามีก็แปลว่าใช่แน่ ๆ”

นลินญาเหลือบมองชายที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาเขาหลุบมองพื้นสงบเสงี่ยม ช่างเป็นคนเรียบร้อยและรอคอยได้อะไรอย่างนี้ ไม่ยุกยิกสมาธิสั้นเหมือนคนปกติทั่วไป นลินญาออกจากห้องไปคุยข้างนอก ปิดประตูห้องสนิทแล้วก็เริ่มพูดต่อ

“เดี๋ยวนะ เรื่องตราประทับอะไรที่แกว่า ถ้าแกรู้ พวกแฟนนิยายก็ต้องรู้เหมือนกันสิ เขาอาจเป็นแฟนนิยายตัวยงก็เลยไปสักเลียนแบบหวังอี้เทียนก็ได้”

“ไม่มีทาง เพราะเรื่องรอยสักอาจารย์ถังเพิ่งกล่าวถึงในตอนใหม่ที่เพิ่งอัปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวานนี้ เมื่อวานเขายังนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีทางไปสักที่ไหนได้แน่”

“ตอนใหม่มาแล้วเหรอ” น้ำเสียงนลินญาแฝงด้วยความยินดี ยอมรับว่าเธอเองก็ติดนิยายเรื่องนี้และเอาใจช่วยหวังอี้เทียนอยู่เหมือนกัน

“ใช่ ตอนใหม่มาแล้ว อ่านแล้วแกจะเซ็ง…”

“ทำไมล่ะ”

“เดี๋ยวแกอ่านก็รู้ แล้วประเด็นรอยสักที่ฉันบอกน่ะ มาจากช่วงตอนที่เล่าเท้าความถึงความแค้นแต่เก่าก่อน ว่าทำไมกองโจรดอกไม้แดงถึงได้โกรธเกลียดประมุขหวังอี้เทียนนักหนา…”

เรนนี่เล่าให้ฟังโดยย่อว่า นานมาแล้ว ตั้งแต่หวังอี้เทียนยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งประมุข เป็นเพียงคุณชายใหญ่ผู้ร่าเริงสนุกสนานของตระกูลหวัง วันหนึ่งเขาได้รับมอบหมายให้นำศิษย์สำนักจำนวนหนึ่งคุ้มกันขบวนสินค้าของเศรษฐีผู้หนึ่งไปส่งทางใต้ ระหว่างทางอันเป็นป่าเขาเกิดจับได้ว่าศิษย์สองคนไม่ใช่พวกพยัคฆ์เมฆา เหตุที่จับได้ก็เพราะคนเหล่านั้นไม่มีรอยสักรูปตราประทับของสำนักบนหัวไหล่ซ้าย

ชาวพยัคฆ์เมฆารู้กันดีว่า ทุกคนในตระกูลหวังรวมทั้งศิษย์สำนักล้วนมีรอยสักเพื่อยืนยันตัวตน ไม่ให้พวกโจรปลอมตัวมาปะปน หรืออ้างตัวว่าเป็นคนของสำนักมานำขบวนสินค้าแล้วลงมือปล้นกลางทาง

แท้จริงแล้วศิษย์สำนักปลอมทั้งสองเป็นคนของกองโจรดอกไม้แดง โจรกลุ่มนี้มีวรยุทธ์ค่อนข้างสูง เกิดจากการรวมตัวของชาวยุทธที่ฐานะค่อนข้างยากจนหรือคนที่เคยถูกความอยุติธรรมทำร้าย จึงมารวมตัวกันและมุ่งเป้าดักปล้นคฤหาสน์หรือขบวนขนสินค้าของเศรษฐี หลังการปล้นแต่ละครั้งจะวางดอกไม้แดงเป็นสัญลักษณ์แทนการเรียกร้องความเท่าเทียมระหว่างชนชั้น

เงินกับของมีค่าที่ปล้นมาได้ถูกนำมาแบ่งปันใช้จ่ายในกลุ่ม เหลือจากนั้นก็แจกจ่ายให้คนยากจน ดูคล้ายมีคุณธรรม แต่หวังอี้เทียนไม่เคยสรรเสริญหรือยอมรับคนกลุ่มนี้ วิธีช่วยเหลือคนยากไร้ยังมีอีกมากมายหลายวิธีที่ไม่ใช่การปล้น

พอโจรสองคนถูกจับได้ โจรกลุ่มใหญ่ที่ซุ่มดูลาดเลาระหว่างทางก็บุกเข้าล้อม พวกเขาแต่งกายชุดดำหัวจรดเท้า คาดผ้าปิดหน้าสีดำ หวังอี้เทียนและศิษย์สำนักต่อสู้เต็มกำลังจนกำจัดไปได้เป็นส่วนใหญ่ แต่พวกกองโจรก็ไหลบ่าเติมเข้ามาอีกร่วมร้อยคนราวกับเขื่อนแตก

เมื่อฝ่ายพยัคฆ์เมฆามีคนน้อยกว่าและเรี่ยวแรงเริ่มถดถอย หวังอี้เทียนจึงพุ่งเป้าสังหารหัวหน้าโจรกลุ่มนั้น ต่อสู้กันอยู่หลายกระบวนท่า ในที่สุดหัวหน้าโจรก็มีอันต้องสิ้นใจใต้คมกระบี่เทียมฟ้า ลูกน้องที่เหลือก็แตกพ่ายหนีหัวซุกหัวซุนไป

ภายหลังจึงได้ข่าวว่า หัวหน้าโจรคนนั้นเป็นมือขวาคนสนิทของหัวหน้าใหญ่ที่ไม่มีใครรู้จัก นับจากวันนั้นหวังอี้เทียนก็ถูกหมายหัวเป็นศัตรูคู่แค้นอันดับหนึ่งของกองโจรดอกไม้แดง

“อ้าว แล้วตอนแกผ่าตัดเห็นรอยสักเขาหรือเปล่าล่ะ” นลินญาถาม

“สารภาพว่าจำไม่ได้แฮะ ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าเขาจะไม่ใช่คนปกติธรรมดา คุ้น ๆ ว่าเห็นรอยสักนะ แต่ไม่ทันดูให้ดีว่าเป็นรูปอะไร”

นลินญาชักฉุน

“แกคิดไปเองหรือเปล่า เข้าข้างเขาอีกแล้วสิเนี่ย”

“งั้นแกก็พิสูจน์เองเลยสิ ไหน ๆ เขาก็อยู่ที่ห้องแกแล้วนี่ แกเป็นเจ้าชีวิตเขา สั่งให้เขาไปตายก็ยังได้ นี่แค่สั่งให้แก้ผ้าให้ดูก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

“บ้า…” พวงแก้มใสจู่ ๆ ก็ร้อนฉ่า “จะบ้าเหรอ”

 

เมื่อกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ยังยืนอยู่ที่เดิม หญิงสาวลอบมองหัวไหล่ข้างซ้ายซึ่งมีชุดคนไข้ปิดบังอยู่ ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี สั่งให้เขาแก้ผ้าตรง ๆ อย่างที่เรนนี่บอกจะดีไหม แต่มันก็กระดากปากจนพูดไม่ออก

เวลานี้ดึกมากแล้ว เธอตัดสินใจให้เขาพักด้วยก่อน เดินนำเข้ามาในโซนด้านในของเพนเฮาส์สองชั้นบวกดาดฟ้าส่วนตัว ตกแต่งสไตล์จีนอย่างหรูหราที่เธอแสนภาคภูมิใจ เธอกางโซฟาเบดกลางห้องโถงนั่งเล่นให้เป็นที่พักนอน ถึงแม้ที่นี่จะมีสองห้องนอนแต่ก็ยังไม่สะดวกใจให้เข้าไปพักอยู่ดี

ชายหนุ่มยังคงมีท่าทีสงบเสงี่ยม มีเพียงดวงตารียาวที่มองทุกสิ่งรอบตัวอย่างสนใจใคร่รู้ ของทุกชิ้นในห้องไม่ใช่แค่ใหม่แปลกตา แต่เป็นของที่เขาไม่เคยรู้จักเลยด้วยซ้ำ นลินญาเริ่มปวดหัวเมื่อต้องสอนเขาแม้กระทั่งการใช้โถสุขภัณฑ์ อ่างอาบน้ำ และฝักบัว

เขาตั้งใจเรียนรู้ดีอยู่หรอก แต่พอเรียนจบแล้วกลับรำพึงรำพันออกมาว่า

“การอาบน้ำในปรโลกยุ่งยากถึงเพียงนี้เลยหรือ”

“ก็บอกอยู่ว่านี่ไม่ใช่ปรโลก เดี๋ยวเหอะ แล้วมันยุ่งยากตรงไหนฮะ นี่น่ะสะดวกสบายกว่าโลกของคุณตั้งเยอะ เทคโนโลยีเขามาไกลขนาดนี้แล้ว ยังจะบ่นอีก”

เขาเอียงหน้า แววตาเปี่ยมความสงสัย นลินญาชักจะได้กลิ่นความวุ่นวายซะแล้ว หากต้องมาอธิบายว่าเธอรู้จักยุทธภพได้อย่างไร คืนนี้คงไม่ต้องอาบน้ำนอนกันพอดี

เธอจึงตัดบทว่า

“คุณรีบอาบน้ำก็แล้วกัน จะได้รีบนอน ยังป่วยอยู่ก็ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ”

พอหันหลังจะออกจากห้องน้ำก็นึกขึ้นได้อีกอย่าง

“นี่ แล้วแผลข้างหลังน่ะเป็นไงบ้าง โดนน้ำได้เหรอ”

เขาค้อมศีรษะเล็กน้อย

“ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณเจ้าที่เป็นห่วง”

“ขอดูได้หรือเปล่า”

เขาหันหลังให้อย่างว่าง่าย นลินญาตลบชายเสื้อขึ้นดู แผลของเขามีผ้าก๊อซกับเทปกาวแปะทับอยู่ เดี๋ยวพอเขาอาบน้ำเสร็จคงต้องทำแผลให้ใหม่

ครั้นแล้วหญิงสาวก็นึกขึ้นได้ อุบายที่จะขอดูรอยสักอาจไม่ยากอย่างที่คิด

“นี่ ขอดูแผลข้างหน้าด้วยสิ เดี๋ยวจะได้ทำแผลให้”

“ข้างหน้าบาดแผลเล็กน้อย ไม่มีอะไรต้องห่วง”

“เหอะน่า ขอดูนิดเดียว”

ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก็แก้ปมเชือกที่ผูกยึดสาบเสื้อจนหมด แยกสาบเสื้อออกจากกันเล็กน้อย เผยให้เห็นแผงอกกว้างขาวผ่องเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่งได้รูปสวย

เสื้อเปิดออกไม่ถึงหัวไหล่ นลินญาเอื้อมไปจะถอดให้พ้นไปด้านหลัง พริบตานั้นข้อมือของเธอก็ถูกเขาคว้าจับไว้แน่นหนา รวดเร็วเกินกว่าจะทันรู้ตัว

“สตรีในเมืองนี้ ดูบุรุษเปลือยกายเป็นเรื่องปกติหรือ”

สายตาคมปลาบของเขามีแววห้ามปราม นลินญาก็ยิ่งอับอายเข้าไปใหญ่ สะบัดมือออกแก้เก้อ

“อยากดูตายละ ก็บอกอยู่ว่าจะดูแผล แค่นี้ก็ต้องหวงตัวด้วย ไม่ดูก็ไม่ดู เชอะ”

 

ระหว่างรอชายหนุ่มอาบน้ำ นลินญาก็รีบกลับขึ้นห้องนอนส่วนตัวบนชั้นสองเพื่อเปิดอ่านตำนานจอมกระบี่เย้ยฟ้าตอนใหม่ นิ้วเรียวยาวเลื่อนหน้าจอแท็บเลตผ่านเร็ว ๆ ต้องการหาแค่ว่า ตราประทับประจำสำนักหน้าตาเป็นอย่างไร

…ตราประทับวงกลม ลายเส้นพลิ้วไหว ข้างในเป็นหัวพยัคฆ์แบบหันข้าง คมเขี้ยวเคล้าเกลียวคลื่นแห่งหมู่เมฆ…

นลินญาหลับตาจินตนาการตาม

แล้วเมื่อเปลี่ยนผ้าก๊อซทำแผลใหม่ให้เขาที่โซฟาเบด เธอก็บอกเขาว่า

“นี่ ทำแผลไม่ถนัดเลย ถอดเสื้อไม่ได้เหรอ”

ชุดนอนที่เธอหาให้เขาเปลี่ยนเป็นแบบเสื้อฮาวายกับกางเกงขายาว ไม่ได้ถอดยากเหมือนเสื้อยืด แต่เขากลับตอบว่า

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำหรอก ข้าไม่เป็นอะไรมาก”

นลินญาแลบลิ้นใส่หลังพ่อคนจอมหวงเนื้อหวงตัว พอทำแผลเสร็จก็แยกย้ายกันเข้านอน

หญิงสาวเอามือประสานรองแทนหมอนหนุน ครุ่นคิดหาแผนสอง แล้วเธอก็นึกออกอยู่หนึ่งวิธี

 

เธอแอบลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศในห้องโถงนั้นเหลือสิบกว่าองศา เปิดพัดลมแรงสุด เมื่ออากาศเปลี่ยนไปตามที่ต้องการก็ชงชาไปให้ ตั้งใจใช้น้ำที่ไม่ร้อนมากเพราะตอนที่ส่งถ้วยชาให้นั้น เธอจะแกล้งสะดุดแล้วเทชาพรวดใส่ตัวเขา

พอชุดเปียกก็ต้องถอดเปลี่ยน และตอนเปลี่ยนเสื้อใหม่นั่นแหละก็คงได้รู้ความจริงกัน

นลินญาถือถาดใส่กาน้ำชามาตามแผน เขายังไม่นอน นั่งนิ่งคล้ายทำสมาธิอยู่บนโซฟาเบด

“นี่คุณ คืนนี้อากาศหนาวมาก ดื่มชานี่ก่อนสิ เดี๋ยวจะไม่สบาย”

เขาลืมตาขึ้น สีหน้าผ่อนคลาย

“ขอบคุณเจ้ามาก ข้าชอบอากาศหนาวเช่นนี้ บ้านข้าอยู่บนภูเขา เจออากาศแบบนี้เป็นปกติ”

เออ…นลินญาอุทานในใจ เธอเองก็ลืมไปว่าสำนักพยัคฆ์เมฆาอยู่บนภูเขา

“น่า…ฉันอุตส่าห์ตั้งใจชงมาให้นะ ดื่มสักหน่อยสิ”

เธอรินชาใส่ถ้วย ยื่นไปตรงหน้า

“ตั้งไว้ก่อนเถอะ นี่ดึกมากแล้ว อากาศก็หนาว เจ้าควรเข้านอนมิเช่นนั้นจะไม่สบาย” เขาดันถ้วยชากลับ

นลินญาชักจะหมดความอดทน ยื้อยุดกันอีกครู่เธอก็อาศัยจังหวะชุลมุนเทน้ำชาพรวดลงบนตัวเขา

“เฮ้อ หกหมดเลย ชุดนอนก็เปียกหมดแล้ว ถอดเสื้อออกมาก่อนสิ เดี๋ยวจะไม่สบาย”

เขายังคงนิ่งเฉย ดูไม่ตกใจกับอะไรทั้งนั้น หญิงสาวจะช่วยปลดกระดุมถอดเสื้อให้ เขาก็คว้าจับข้อมือไว้แล้วพริบตาก็เหวี่ยงร่างเธอลงนอนบนโซฟาเบด กดตรึงข้อมือทั้งสองไว้แน่นหนา ร่างของชายหนุ่มที่คร่อมอยู่บดบังแสงไฟกลายเป็นทึบทะมึน ดวงตาของเขาส่องประกายกล้ายิ่งทำให้รู้สึกเหมือนเป็นกวางน้อยที่กำลังจะถูกเสือขย้ำ

“เจ้าทำแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่”

“ฉัน…ฉัน…” นลินญาปากคอสั่น มือของเขาที่พันธนาการข้อมือเธออยู่รัดแน่นยิ่งขึ้นราวจะรีดเอาความจริงออกมาให้ได้ “ฉันก็แค่จะเปลี่ยนเสื้อให้จริง ๆ”

“จู่ ๆ อากาศที่นี่ก็เย็นเยือกลงทั้งที่ข้างนอกยังปกติ เจ้าบอกว่าอากาศหนาวเย็นแต่ตัวเจ้าเองก็ไม่ใส่เสื้อคลุม เจ้าว่าชงชาร้อนมาให้แก้หนาวแต่น้ำชานั้นไม่ร้อน ยังไม่นับที่จงใจเทใส่ข้าอีก”

หญิงสาวใต้ร่างสุดจะทึ่ง หากคิดวิเคราะห์ได้เป็นฉาก ๆ ขนาดนี้เขาคงไม่ใช่คนบ้า หรือถ้าบ้าจริงก็คงเป็นคนบ้าระดับอัจฉริยะ

“หากเป็นยาพิษที่ซึมทางผิวหนัง เจ้าคงไม่เสี่ยงนำมันมาให้ข้าด้วยตัวเอง มิสู้ผสมในน้ำอาบ หรือหากผสมพิษลงในชาให้ข้าดื่ม ก็ไม่จำเป็นต้องเททิ้ง”

“โอ๊ย พอแล้ว ก็บอกแล้วไงว่าแค่ต้องการจะ…จะเปลี่ยนเสื้อให้เฉย ๆ”

“เปลี่ยนเพื่ออะไร ทำไมถึงไม่บอกตามตรง”

“ก็บอกตั้งหลายครั้งแล้ว คุณก็ไม่ยอมถอดเสื้อนี่”

“ถอดนั้นถอดได้ แต่จำเป็นต้องถอดต่อหน้าเจ้าด้วยหรือ”

“ใช่” นลินญาตอบชัดเจน อยู่ใต้กรงเล็บเสือขนาดนี้โยกโย้ไปก็มีแต่เสียเปรียบ “ฉันจะดูคุณถอดเสื้อต่อหน้า มีอะไรไหม”

ได้ผลเกินคาด เขายอมคลายมือออกในที่สุด

ทว่าดวงตารียาวนั้นถึงกับเบิกกว้าง ฉายแววตกตะลึงสุดขีดจนน่าขัน ใบหน้าขาวใสพลันขึ้นสีชมพูเข้มราวกับราดน้ำหวานรสสตรอเบอรีลงบนขนมบิงซู

“เจ้าต้องการให้ข้าถอดเสื้อให้ดู…”

“ใช่”

“เจ้า…ปรารถนาในตัวข้าหรือ”

คราวนี้เป็นเธอบ้างที่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง พวงแก้มกลายเป็นบิงซูสตรอเบอรีไปอีกคน

“ไม่ใช่! ไม่ใช่นะ”

หญิงสาวรีบดิ้นหนีขลุกขลัก กระเสือกกระสนออกจากใต้ร่างแข็งแกร่งนั้นแล้ววิ่งขึ้นบันไดกลับห้องไป

เขาปล่อยเธอไปแต่โดยดี ไม่มีท่าทีเหนี่ยวรั้งคุกคาม เพียงแต่ใบหน้าขาวราวหยกเปราะบางของเขาบัดนี้ร้อนวูบวาบราวกับถูกไฟลน



Don`t copy text!