ดวงใจภาดา บทที่ 3 : กังหันกระดาษ
โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต
ดวงใจภาดา โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เมื่อเด็กชายตัวเล็กทายาทมหาเศรษฐีรอดชีวิตจากการฆ่าล้างตระกูลและได้มาพบกับพี่ชายต่างสายเลือดที่รักกันราวพี่น้อง แต่ทุกอย่างไม่ง่าย เมื่อการกลับเข้าไปในบ้านน้องก็เหมือนเข้าถ้ำเสือร้ายที่พร้อมขย้ำ เขาจะปกป้องน้องต่างสายเลือดคนนี้ได้อย่างไร นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
ที่บ้านสวนศิลาในจังหวัดเพชรบูรณ์มีเรื่องวุ่นวายเล็กน้อย เมื่อสองพี่น้องแต่งตัวเตรียมไปโรงเรียน น้องชายยังงงกับการติดกระดุมเสื้อนักเรียน พี่ชายที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วหันมาเห็นก็เข้ามาช่วย
“มา หมอก พี่ติดให้ ยืนตรงๆสิ”
“หนึ่ง สอง สาม” หมอกไม่สนใจอะไร ยุ่งอยู่กับการนับกระดุมเสื้อ แม้ขณะที่พี่ชายสะกิดให้ยกขาใส่กางเกงนักเรียน เด็กชายทำตามแต่ก็ยังก้มหน้านับกระดุมอยู่นั่นเอง เมื่อสายลมยัดชายเสื้อเข้าไปในกางเกงแล้วจะติดตะขอกางเกงให้ หมอกก็ดึงชายเสื้อออกมาอีกเพื่อจะนับกระดุมต่อ สายลมยัดชายเสื้อกลับเข้าไป น้องชายก็ดึงออกมาอีก
“ว้า หมอกอย่าดึงออกสิ”
“จะนับ” เด็กชายว่าโดยไม่สบตา
“อย่าเพิ่งนับ ใส่ก่อนเดี๋ยวค่อยนับใหม่” พี่ชายทำเสียงดุแล้วบอกต่อไปว่า “ถ้าหมอกไม่เชื่อพี่ เดี๋ยวพี่ไม่ให้ไปโรงเรียนด้วยนะ”
“ไม่เอา หมอกไปด้วย”
“งั้นก็ยืนเฉยๆ” พี่ชายว่า คราวนี้น้องชายยืนนิ่งตัวตรงเป๊ะเหมือนทหารจนพี่ชายนึกขำ สายลมยิ่งรู้สึกว่าน้องน่ารัก
“ฉันชักจะมั่นใจขึ้นเรื่อยๆแล้วว่าพี่คิดผิด” โรยทองที่เพิ่งขึ้นไปดูว่าลูกๆแต่งตัวเรียบร้อยไหม เอ่ยกับสามีเมื่อกลับลงไปที่ชั้นล่าง
“เรื่องอะไร” สามีถามขณะช่วยดูแลความเรียบร้อยของสำรับอาหารเช้า
ศิลาไม่ลืมเปลี่ยนแก้วน้ำของเด็กชายตัวเล็กให้เป็นใบเดียวกับที่เขาเอาให้เมื่อวันแรกที่มาถึงบ้าน ที่บ้านนี้มีแก้วพลาสติกหลายสีหลายใบ โรยทองจัดโต๊ะให้ลูกโดยไม่ได้สนใจ หยิบแก้วใบไหนก็เหมือนกัน เมื่อก่อนอาจจะทำแบบนี้ได้ แต่เมื่อหมอกมาอยู่ด้วยแล้ว เขากับภรรยาจะละเลยเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าไม่จัดแก้วน้ำใบเดิมให้ หมอกจะงอแงร้องไห้โวยวายพานไม่ยอมกินข้าว ศิลาเลือกไม่ทักภรรยาว่าจัดแก้วผิด เพราะไม่อยากให้โรยทองรู้สึกรำคาญลูกชายคนใหม่ไปมากกว่านี้
“ก็เรื่องที่พี่จะให้ลมมันเอาน้องไปโรงเรียนด้วยนะสิ มันจะไปรอดเหรอ แค่แต่งตัวมันยังเอ๋อขนาดนั้น”
“แม่โรย พอเจ้าหมอกไปโรงเรียนมันก็คงถูกเพื่อนล้อ แค่นั้นก็แย่อยู่แล้ว ฉันไม่อยากให้แม่โรยพูดแบบนั้น ไหนๆ เราก็ตั้งใจจะเลี้ยงเขาเป็นลูกแล้ว”
“พูดแบบไหน พูดว่ามันเอ๋อน่ะเหรอ พี่ก็เห็นนี่ว่ามันเป็นยังไง ฉันก็แค่พูดตามที่เห็นนะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันขอเลยก็แล้วกันนะ ส่วนที่แม่โรยว่ามันจะไปรอดไหม ฉันว่าคงดีกว่าให้มันอยู่บ้าน มีหวังร้องไห้ตามเจ้าลมไม่เลิกแน่ ฉันบอกครูเขาไว้แล้วล่ะว่าอาศัยให้หมอกไปนั่งเรียนในห้องด้วยก็พอ ไม่ต้องไปหวังผลให้มันเรียนอะไรมากมายหรอก”
ศิลาไม่ได้ขยายความเรื่องอาการป่วยของหมอกที่นายแพทย์เล่าให้ฟังในวันที่เขาไปขอพาลูกออกจากโรงพยาบาล หลังจากดูผลเอกซเรย์สมองของเด็กชายตัวเล็ก หมอก็บอกเขาว่าสมองของเด็กชายได้รับความกระทบกระเทือนมาก บวกกับสภาวะอาการของเด็กชายเมื่อฟื้นขึ้นมาทำให้หมอลงความเห็นว่าหมอกน่าจะมีสภาวะออทิสซึ่มและสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ติดตัวมาก่อนแล้ว และเมื่อได้รับความกระทบกระเทือนจากเหตุร้ายที่เกิดขึ้นก็ทำให้ความจำเสื่อมและอาจจะทำให้พัฒนาการถดถอยลงไปอีก
ศิลาจำได้ว่าเขาถามหมอว่า ภาวะออทิสซึ่มที่หมอว่านี้คือปัญญาอ่อนหรือเปล่า คำตอบคือไม่ใช่ หมออธิบายให้ศิลาฟังว่า ภาวะโรคออทิสซึ่ม คือความผิดปกติของสมองที่มีมาแต่กำเนิด ซึ่งจะมีระดับความบกพร่องของพัฒนาการแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าสมองส่วนไหนผิดปกติ คนทั่วไปเรียกเด็กที่เป็นโรคนี้ว่าเด็กออทิสติก แต่หมอยืนยันว่าเด็กออทิสติกไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อน เด็กแค่เรียนรู้ช้า มีปัญหาเรื่อง ปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่น และสนใจแต่เฉพาะสิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น
“อย่างลูกของคุณลุงมีความผิดปกติที่สมองส่วนกลีบขมับก็เลยมีสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ด้วย พอมาโดนตีซ้ำเข้าที่จุดนี้ พัฒนาการก็อาจจะล่าช้าไปอีก เราค่อยๆบำบัด ค่อยพัฒนากันไปได้นะครับ” ศิลายังจำคำที่หมออธิบายทิ้งท้ายได้
ศิลารู้ว่านายแพทย์วัยกลางคนพูดเพื่อให้กำลังใจเขา แต่เขากลับรู้สึกว่าคำพูดที่หมอบอกเป็นการบอกให้ทำใจเสียมากกว่า ศิลารู้ว่าโรยทองยังทำใจไม่ได้ที่ต้องมารับเลี้ยงเด็กไม่สมประกอบอย่างหมอก เขาจึงเลือกไม่เล่าเรื่องนี้ให้ภรรยาฟัง
“ฉันว่าจะถามพี่ตั้งนานแล้วว่าเราเอาเด็กมาเลี้ยงโดยไม่แจ้งทางการมันไม่ผิดกฏหมายหรือพี่“
“ทำยังไงได้ล่ะแม่โรย เราก็คงต้องให้มันอยู่ไปแบบคนเถื่อน ฉันเห็นข่าวในทีวีว่าคนที่ไม่มีบัตรประชาชนเขาก็ยังอยู่กันได้เยอะแยะไป”
โรยทองทอดถอนใจไม่รู้จะทำอย่างไรกับความใจดีของสามี เธออดคิดไม่ได้ว่าสักวันเจ้าเด็กหลงจะนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่ครอบครัวของเธอ
การสนทนาของผู้ใหญ่หยุดลงเมื่อเด็กๆลงมาจากห้องนอนชั้นบน สายลมนำน้องเข้านั่งที่โต๊ะอาหาร ดูแลตักอาหารให้ เจ้าตัวเล็กก็ยิ้มหวานรับแล้วเอียงหัวซบกับแขนของพี่ชาย โรยทองมองความ เอื้ออาทรที่พี่มีต่อน้องและความออดอ้อนที่น้องมีต่อพี่แล้วยิ่งทอดถอนใจ
นักเรียนในชั้นปอห้า โรงเรียนในจังหวัดเพชรบูรณ์ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นที่มีนักเรียนใหม่มาเรียน ตอนแรกเพื่อนๆก็พากันสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆสายลมจึงมีน้องชาย
“น้องเราไม่ค่อยแข็งแรง เมื่อก่อนอยู่กับป้าที่กรุงเทพฯ พอป้าตายน้องก็เลยกลับมาอยู่กับเรา”
“จริงเหรอ แม่นายมีน้องตอนไหนไม่เห็นจะท้องเลย” เด็กชายทศพล หรือโต้ง หัวโจกประจำห้องถาม
“ก็… ก็เมื่อสองปีก่อนไง”
“ตอนนั้นแม่นายแท้งลูกไม่ใช่เหรอ” เด็กชายอีกคนที่เป็นสมุนของหัวโจกถาม
“ไม่ใช่นะ ตอนนั้นน้องคลอดก่อนกำหนด แล้วก็เลยไปอยู่กับป้า”
“จริงอ่ะเหรอ ถ้าเป็นน้องนาย ทำไมมาเรียนชั้นเดียวกันล่ะ”
“หมอกอายุเท่าพี่ลมเลย” เด็กชายหมอกพาซื่อบอกไป
“ไม่ใช่แล้วหมอก” สายลมกลัวว่าคนอื่นจะสงสัยเรื่องที่มาของหมอกมากกว่านี้แล้วหมอกจะมีอันตรายจึงรีบห้าม
“ใช่ สิ หมอกอายุเท่าพี่ลม” เด็กชายตัวเล็กยืนยัน
“น้องจะอายุเท่าพี่ได้ไง อ๋อ…เรารู้แล้ว ครูบอกว่าฝากมานั่งเรียนเฉยๆ แปลว่าเรียนหนังสือไม่ได้ สงสัยเป็นเด็กเอ๋อ เรียนชั้นไหนก็มีค่าเท่ากันใช่ไหมล่ะ เด็กเอ๋อ…” เด็กชายโต้งล้อเลียนด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“อย่ามาว่าน้องเรานะ” สายลมไม่ยอม
“ทำไมจะว่าไม่ได้ น้องนายมันเอ๋อ เด็กเอ๋อ หน้าด่าง เด็กเอ๋อ หน้าด่าง เด็กเอ๋อ หน้าด่าง” เด็กชายโต้งพูดนำ เด็กนักเรียนชายอีกสองคนก็ร้องรับเป็นลูกคู่ คนถูกล้อไม่รู้เรื่องอะไรกลับหัวเราะไปกับเขาด้วย ยิ่งเป็นที่สนุกสนานของแก็งค์เด็กแสบ
“หยุดเลยนะ”
“จะหยุดทำไม น้องนายยังชอบเลย เห็มไหม” เด็กชายโต้งพูดแกมเยาะเย้ย
สายลมโกรธทั้งเพื่อนเกเรและน้องชายที่พลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย เขาแทบจะกระโจนไปชกหน้าเพื่อนพวกนั้นอยู่แล้ว ถ้าครูประจำวิชาถัดไปไม่เข้ามาสอนเสียก่อน
วิชาถัดไปเป็นวิชาคณิตศาสตร์ เด็กแสบที่เคยล้อเลียนเด็กชายหมอกต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเด็กชายที่พวกเขาปรามาสว่าเป็นเด็กเอ๋อ ปัญญาอ่อน แก้โจทย์เลขได้ทันทีหลังจากครูอ่านทวนโจทย์ที่เขียนบนกระดานดำ ทั้งๆที่ไม่ได้เงยหน้าจากการเล่นกังหันลมกระดาษในมือ เด็กหญิงดอกฝ้าย เพื่อนสนิทของ สายลมนึกชอบใจ ขณะที่เด็กชายโต้งจอมเกเรรู้สึกหมั่นไส้เป็นกำลัง
หลังเลิกเรียนสายลมไม่ได้ไปเล่นกับเพื่อนอย่างเคย เขาต้องตามจดงานที่จดไม่ทัน เพราะหมอกเกิดอยากเข้าห้องน้ำในชั่วโมงเรียนเขาจึงต้องพาน้องไป และต้องอยู่รอจนกว่าน้องจะทำธุระเสร็จ กว่าจะกลับมาเข้าห้องเรียนอีกครั้งก็เรียนตามเพื่อนไม่ทันแล้ว
“หมอกพี่จดเสร็จแล้ว ไป กลับบ้านกัน”สายลมร้องบอกน้องเมื่อจดงานเสร็จ และเก็บสมุดหนังสือลงกระเป๋านักเรียน เขาคิดว่าน้องน่าจะเล่นอยู่แถวหน้าห้องเรียน แต่เมื่อเดินออกไปดูที่หน้าห้องไม่เห็นน้องก็นึกเป็นห่วง ยังไม่ทันจะอ้าปากเรียกซ้ำก็เห็นดอกฝ้ายวิ่งหน้าตาตื่นมา
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วลม ไปดูน้องเร็ว” ได้ยินคำว่า น้อง สายลมก็ลืมทุกอย่าง วิ่งตามดอกฝ้ายไปที่สนามหลังโรงเรียน
“เอาคืนมานะ เอาคืนมา” เด็กชายหมอกร้องโวยวายเสียงดังขณะพยายามจะแย่งเอากังหันกระดาษคืนจากเด็กชายโต้ง
“ไม่คืน เก่งจริงก็มาเอาให้ได้สิ” เด็กชายเกเรที่ตัวโตกว่าท้าทาย พร้อมกับชูกังหันหลอกล่อวิ่งหลบไปมา
“เอามานะ เอามา” เด็กชายตัวเล็กตะโกนร้อง พยายามไล่จับก็ไม่ทัน เอื้อมมือก็ไม่ถึง
“ไม่คืนจะทำไม คนอะไรวะนั่งจ้องกังหันได้ทั้งวัน มันสนุกตรงไหนวะ” เด็กชายโต้งทำท่าล้อเลียนท่าทางเหม่อลอย ไม่สบตาคนของหมอก แล้วหมุนกังหันลมเล่น
“กังหันของหมอก หมอกขอคืนนะครับ”
“ไม่คืนเว้ย ไอ้เอ๋อ…” พูดไม่พูดเปล่า เด็กชายโต้งทิ้งกังหันกระดาษในมือลงพื้น แล้วกระทืบจนยับเยิน
หมอกโกรธมาก เขาคิดแต่ว่านั่นเป็นกังหันที่พี่ชายทำให้ จะให้ใครทำลายไม่ได้ เมื่อสู้ไม่ได้หมอกก็ถอยหลัง ตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้วตัดสินใจเอาหัวพุ่งชนหน้าท้องของคู่ต่อสู้ เด็กชายโต้งที่ไม่ทันตั้งตัวจึงล้มหงายหลังก้นจ้ำเบ้า
“แกกล้าสู้ฉันเหรอ” เด็กชายหัวโจกฉุนขาด เขาทะนงตัวมาตลอดว่าคนอย่างเขาไม่มีใครกล้าสู้ แล้วไอ้เด็กปัญญาอ่อนนี่เป็นใครถึงกล้ามาสู้กับเขา
เมื่อมีคนตะโกนใส่หน้าเด็กชายหมอกก็กลัวจนทำอะไรไม่ถูก ยังไม่ทันจะคิดว่าจะสู้หรือถอย ก็ถูกเด็กชายตัวโตกระชากคอเสื้อจนเท้าลอยจากพื้น หมอกกลัวจนจะร้องไห้อยู่แล้ว ถ้าไม่มีเท้าของใครคนหนึ่งลอยมาถีบคนเกเรทำให้ทั้งสองคนล้มไปด้วยกัน
เมื่อหันไปเห็นพี่ชายเจ้าตัวเล็กก็รีบลุกขึ้นจะวิ่งไปหา แต่ช้ากว่าตัวการจอมเกเรที่ลุกขึ้นวิ่งเข้าหาสายลมอย่างเอาเรื่อง สายลมต่อยหมัดตรงสวนเข้าให้ แล้วเด็กชายสองคนก็ชกต่อยกันพัลวัน ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของเด็กชายตัวเล็ก
“ควับ ควับ” เสียงไม้เรียวแหวกอากาศกระทบกางเกงนักเรียนดังมาจากหน้าบ้านสวนศิลา คลอด้วยเสียงร้องไห้พลางร้องห้ามของเด็กชายที่ยืนดูอยู่ข้างทางเดินหน้าบ้าน หมอกอยากเข้าไปช่วยแต่ถูกแม่ โรยทองยึดตัวไว้ไม่ให้ไปยุ่งกับพี่ชายที่กำลังถูกลงโทษ
“พ่อเคยสอนแล้วใช่ไหม ว่าไม่ให้ใช้กำลังแก้ปัญหา” ศิลาถามลูกชายในขณะหวดก้านมะยมในมือลงที่ก้นของเด็กชายที่ยืนกอดอกเม้มปากแน่น
“ก็พวกนั้นมารังแกน้อง” สายลมบอกอย่างไม่กลัว
“แล้วถ้าพวกนั้นมารังแกน้องทุกวัน ลมก็ต้องไปต่อยกับเขาทุกวันใช่ไหม”
ศิลาไม่ได้ตีลูกด้วยอารมณ์ น้ำหนักมือที่ตวัดไม้เรียวยิ่งแรงขึ้นอย่างจงใจ ความเจ็บทำให้สายลมเม้มปากแน่นขึ้น แต่ก็ยังไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมา พอกลั้นน้ำตาไว้ได้ เด็กชายก็เถียง “ใช่ ถ้ามันมาแกล้งน้องอีก ลมก็จะต่อยมันอีก”
“ดี งั้นพ่อก็จะตีให้แรงอีก” ไม้ก้านมะยมเงื้อสูง แล้วลงน้ำหนักแรงขึ้น คราวนี้สายลมน้ำตาไหล ผู้เป็นพ่อจึงสั่งสอนต่อ “เจ็บไหม ถ้าเจ็บก็คิด คิดว่าคนที่ถูกลมต่อยจะเจ็บไหม” เด็กชายสายลมยังไม่เข้าใจที่พ่อพูด เพื่อนเกเรมาแกล้งน้อง ทำไมพ่อจึงว่าเขาผิด
“ลองคิดดูว่าเราต่อยเขา แล้วจะทำให้อะไรดีขึ้นไหม… ชกต่อยกัน เกลียดชังกัน แล้วเขาจะเลิกมารังแกน้องไหม… ลมจะปกป้องน้องได้ตลอดเวลาไหม…” ไม้เรียวถูกหวดลงมาอีกสามที ปิดท้ายทุกประโยคที่พ่อถาม ความแรงไม่ลดลงเลย สายลมค่อยๆเข้าใจขึ้นทีละน้อย
“ลมเข้าใจแล้วครับพ่อ” เด็กชายบอก
“เข้าใจว่าไง”
“ว่าถ้าต่อยกันแล้วเกลียดกัน พวกนั้นต้องแกล้งน้องอีกตอนลมเผลอ”
“แล้วถ้าพวกนั้นมาแกล้งน้องอีก ลมจะทำยังไง”
“ลมจะอธิบายว่าน้องเป็นยังไง ให้เพื่อนสงสารน้อง ช่วยดูแลน้อง”
“ดีมากที่ลมเข้าใจ แต่พ่อต้องตีให้ครบสิบทีตามที่ตกลงนะ”
สายลมพยักหน้ารับ ยืนหันหลังกอดอกเตรียมพร้อม
ทันใดนั้นเจ้าตัวเล็กที่สลัดหลุดจากการจับยึดก็วิ่งมากอดพี่ชายทางด้านหลัง
“พอแล้ว หมอกไม่ให้พ่อตีพี่ลมแล้ว” เด็กชายร้องบอกเสียงเครือ
“งั้นพ่อตีหมอกแทนนะ” ศิลาแกล้งทำเสียงเข้มขู่
“ตีหมอกก็ได้ ไม่ให้ตีพี่ลม”
ศิลาแกล้งเงื้อไม้เรียวขึ้นไปสูง แต่ผ่อนแรงตีให้เบาลง เมื่อปลายไม้เรียวสัมผัสกางเกงนักเรียน เด็กชายก็สะดุ้งเพราะตกใจมากกว่าเพราะเจ็บ แต่เท่านั้นก็ทำให้เด็กชายอีกคนร้องขึ้น “พ่อ..ตีน้องทำไม”
“หมอกหลบไปสิ” พี่ชายหันกลับมา พยายามแกะมือน้อง แต่คนเป็นน้องไม่ยอมหนีไปไหน
“ลมจำไว้นะ ถ้าลมไปมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนอีก พ่อจะตีเป็นสองเท่า” ผู้เป็นพ่อพูดเท่านั้นก็กลับเข้าบ้านไป
ศิลาต้องยอมรับว่าเขาเองก็หลงรักเจ้าหมอกไม่แพ้สายลม เจ้าตัวเล็กเป็นเด็กซื่อ รักใครก็ทุ่มเทใจไม่ผิดกับลูกชายของเขาเลย เขารู้ว่าเมื่อครู่หมอกกลัวมากแต่ก็ยังฝืนข่มใจเพื่อปกป้องพี่ชาย เขาอดนับถือหัวใจดวงเล็กๆที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวไม่ได้ เขาเดินกลับเข้าบ้านด้วยความดีใจที่ลูกชายได้มีพี่น้องที่รักกันถึงเพียงนี้
สายลมเหนี่อยมาทั้งวัน เขาง่วงมาก หลับไปเกือบทันทีที่ล้มตัวลงนอน แต่ไม่นานนักก็รู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงพึมพำไม่หยุดของหมอก
“เพราะหมอกโง่ โง่ โง่ นี่แน่ะ… โง่ โง่” หมอกบ่นพึมพำพลางใช้กำปั้นทุบหัวตัวเอง
“หมอก ทำอะไรน่ะ” สายลมรีบลุกมาดูน้อง
“เพราะหมอกโง่ พวกนั้นเลยชอบแกล้งหมอก พี่ลมเลยไปต่อยเขา แล้วพี่ลมก็ถูกตี เพราะหมอกโง่” หมอกทุบหัวตัวเองอีก สายลมต้องดึงมือน้องไว้
“ไม่จริงสักหน่อย ที่พี่ต่อยมัน เพราะมันนิสัยไม่ดีต่างหาก”
“ไม่จริง เพราะหมอกโง่” เจ้าตัวเล็กยังไม่ยอมแพ้ ทำท่าจะทุบหัวตัวเองอีกแต่สู้แรงพี่ชายไม่ได้
“ใครบอกว่าหมอกโง่”
“ดอกฝ้าย”
“ดอกฝ้ายเนี่ยน่ะ” สายลมแปลกใจ เพราะสำหรับเขา ดอกฝ้ายเป็นเพื่อนที่จิตใจดีมีเมตตา
“หมอกถามว่าเอ๋อแปลว่าอะไร ดอกฝ้ายก็บอกว่าแปลว่าโง่” พอน้องชายบอกพี่ชายก็ถึงบางอ้อ หลุดยิ้มขำ
“โธ่เอ๊ย…” พี่ชายอดเอ็นดูไม่ได้จึงขยี้ผมเจ้าตัวเล็กแล้วแกล้งถาม “๒๓+๔๙”
“๗๒” เจ้าตัวเล็กตอบทันที
“๕๖+๒๕”
“๘๑”
“เห็นไหม หมอกไม่ได้โง่สักหน่อย คนโง่จะคิดเลขได้ยังไง” สายลมดึงตัวน้องให้นั่งตัวตรง เขาอยู่กับน้องมาหลายวันจนรู้ว่าน้องชายไม่ชอบสบตา เขาจึงใช้สองมือประคองใบหน้าน้องให้หันมามองเขาตรงๆ แต่หมอกก็ยังก้มหน้างุดๆ “หมอก ไม่ ได้ โง่ เข้าใจไหม ”สายลมตั้งใจพูดเน้นคำช้าๆ คราวนี้น้องชายพยักหน้า
“แล้วเวลาใครมาว่าหมอกเป็นเด็กเอ๋อ ปัญญาอ่อน หมอกก็ไม่ต้องไปสนใจฟังเขา แล้วเวลาเขาหัวเราะก็ไม่ต้องไปหัวเราะกับเขานะ”
“ทำไมไม่ให้หัวเราะ เวลาหมอกเห็นคนหัวเราะ หมอกอยากหัวเราะด้วย”
“เออน่า บอกว่าห้ามหัวเราะก็ห้ามหัวเราะสิ” สายลมเกือบจะหลุดหัวเราะแต่ต้องฝืนทำเสียงเข้ม
“ไปนอนได้แล้วไป แม่พาแปรงฟันแล้วใช่ไหม”
หมอกพยักหน้าแล้วยิ้มยิงฟันให้ดู
สายลมกลับขึ้นเตียง ตบหมอนหนุนข้างๆ เป็นเชิงให้น้องมานอน หมอกยังไม่มานอนทันที เด็กชายเดินไปหยิบกังหันลมกระดาษที่เปื้อนดินขาดยับเยินจากกระเป๋านักเรียน แล้วเดินถือมานอนด้วย
“พี่ลม มันพังแล้ว” เด็กชายบอกเสียงอ่อย เมื่อล้มตัวลงนอนแล้วหมุนกังหันในมือไปมา
“เฮ้ย.. เก็บมาทำไม มันสกปรก ทิ้งไป” สายลมตกใจเมื่อหันมาเห็น
สายลมจะดึงกังหันออกแต่หมอกกำไว้แน่น ร้องเอ๊ะอ๊ะเบาๆอย่างขัดใจ เด็กชายคิดในใจว่ากังหันอันนี้พี่ลมทำให้หมอกจะทิ้งได้ยังไง
“ทิ้งไปเถอะ เดี๋ยวพี่ทำอันใหม่ให้ ให้สวยกว่าอันนี้อีกนะ” พี่ชายค่อยๆดึงของเล่นออกจากมือน้องชาย
สายลมจำได้ว่าวันที่หมอกมาอยู่ที่บ้านวันแรก หมอกบังเอิญเข้าไปในครัวตอนที่แม่ติดเตาถ่านปิ้งปลา หมอกเห็นไฟก็กลัวจนร้องไห้ สายลมจึงพาน้องออกไปเล่นนอกบ้าน หมอกบอกว่าอยากได้กังหัน โชคดีที่สายลมเพิ่งเรียนวิธีทำกังหันลมกระดาษมาจากโรงเรียน เขาจึงพับกังหันลมกระดาษอันเล็กๆจากแผ่นพับโฆษณาสินค้าที่พ่อใช้ห่อผลไม้และใช้ไม้ไผ่ที่พ่อใช้ดามกิ่งไม้เป็นด้ามกังหัน เมื่อพับเสร็จสายลม ไม่ชอบลายของกังหันเลย เขาคิดว่าลวดลายสะเปะสะปะและมีหลายสีมากเกินไป แต่หมอกชอบมาก ตั้งแต่ทำให้ก็ถือไม่ยอมวางเลย
“อันใหม่ เอาสีอะไรดีนะ”
“สีชมพู” น้องชายตอบแล้วส่งยิ้มหวานให้
“เหมือนนมชมพูที่หมอกชอบเลยเนอะ คราวนี้พี่จะซื้อกระดาษสีสวยๆมาทำให้หมอกเลย” พี่ชายว่า
แทนคำขอบคุณ น้องชายพลิกตัวไปกอดพี่ชายแน่น สายลมกอดตอบน้อง เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะปกป้องดูแลน้องชายคนนี้ให้ดีที่สุด