ดวงใจภาดา บทที่ 1 : คืนดาวตก

ดวงใจภาดา บทที่ 1 : คืนดาวตก

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

ดวงใจภาดา โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เมื่อเด็กชายตัวเล็กทายาทมหาเศรษฐีรอดชีวิตจากการฆ่าล้างตระกูลและได้มาพบกับพี่ชายต่างสายเลือดที่รักกันราวพี่น้อง แต่ทุกอย่างไม่ง่าย เมื่อการกลับเข้าไปในบ้านน้องก็เหมือนเข้าถ้ำเสือร้ายที่พร้อมขย้ำ เขาจะปกป้องน้องต่างสายเลือดคนนี้ได้อย่างไร นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

ค่ำคืนหนึ่งในฤดูหนาว คืนที่แสงดาวลางเลือนด้วยมีหมอกปกคลุม แต่ภายใต้สายหมอกนั้นยังมีแสงหนึ่งพุ่งผ่านฟากฟ้าลงมาสู่พื้นดิน แสงอย่างที่ชาวบ้านเรียกขานว่า ผีพุ่งไต้ คนที่เชื่อแนวคิดทางวิทยาศาสตร์อาจอธิบายว่าสิ่งนี้เกิดจากเทหวัตถุจากอวกาศเคลื่อนที่เสียดสีกับชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็วทำให้เกิดการเผาไหม้จึงทำให้เราเห็นเป็นลูกไฟ แต่ชาวบ้านร้านช่องเชื่อกันมานานนมแล้วว่าปรากฏการณ์เช่นนี้หาได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล บ้างว่าผู้มีบุญกำลังจะมาเกิด บ้างก็ว่าผู้มีบุญกำลังจะสิ้นอายุขัย บ้างเชื่อกันไปว่าจะทำให้ชะตาของคนเปลี่ยนแปลง

แต่ที่นี่ เวลานี้ ที่ล่วงเลยมาถึงปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ แล้ว คงไม่มีใครเชื่อแนวคิดเก่าคร่ำครึแบบนั้น

ภายในบ้านไร่เพชรอาภา ที่ตั้งอยู่บนเนินดินกลางสวนดอกไม้งามในจังหวัดนครสวรรค์ ครอบครัวของพีรพัฒน์ ทายาทคนโตของตระกูลพันธนะวงศา กำลังฉลองวันเกิดให้เด็กชายเพชร ลูกชายคนเดียวของเขา

“Happy birthday to you, Happy birthday to you, Happy birthday, Happy birthday, Happy birthday to… เพชร”

เสียงร้องเพลงของพ่อแม่และขนมเค้กที่จุดเทียนสว่างไสวทำให้เด็กชายยิ้มกว้าง ตบมือดีใจเหมือนเด็กเล็กๆ เด็กชายเป่าเค้กอย่างมีความสุข แต่เมื่อนับเล่มเทียนบนเค้กแล้วก็ร้องทักเสียงดัง “เพชรสิบขวบ ทำไมเทียนมีสิบเอ็ด ต้องสิบสิ ต้องสิบ”

“เพชรอายุสิบขวบ เวลาปักเทียนจะต้องบวกอีกหนึ่ง เพชรจะได้มีอายุยืนยาวไงลูก” อาภาผู้เป็นแม่อธิบายให้ลูกชายฟัง แต่ดูเหมือนเด็กชายจะยังไม่เข้าใจ “ไม่ได้ๆ สิบขวบ ต้องสิบอัน สิบอัน”

เพชรเริ่มโวยวายเสียงดัง ผู้เป็นพ่อจึงต้องหาทางแก้ไขสถานการณ์เพื่อรักษาบรรยากาศดีไว้

“เพชร เพชร ไม่เอาลูก อ่ะ เดี๋ยวพ่อเอาเทียนที่เกินออกไปเลยนะ” ลูกชายพยักหน้าดีใจ พีรพัฒน์จึงเบี่ยงเบนความสนใจไปยังสิ่งอื่น

“มาดูซิว่าพ่อกับแม่มีของขวัญอะไรให้เพชรบ้างนะ ให้คุณแม่ให้ก่อนเลย”

อาภายกของขวัญกล่องใหญ่มาให้ลูกชาย เมื่อเด็กชายแกะกล่องออกดูก็เบ้หน้า “เพชรไม่เอา เพชรไม่ชอบหนังสือ”

“ดูก่อนสิลูก การ์ตูนความรู้ทั้งนั้นเลย เพชรชอบการ์ตูนไม่ใช่เหรอครับ”

“เพชรจะเอากังหัน ทำไมแม่ไม่ซื้อกังหันให้เพชร” เด็กชายว่า ในขณะที่อาภาทำท่าอ่อนอกอ่อนใจ

“เพชร มาดูของขวัญของพ่อดีกว่า นี่ไง สวยไหมลูก” พีรพัฒน์เปิดกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินขนาดเหมาะมือแล้วหยิบเอาสร้อยเงินที่มีจี้รูปเพชรกะรัตออกมาถือชูให้ลูกดู เด็กชายสนใจจี้ที่แกว่งไปมามากกว่าจะสนใจคำอวยพรยืดยาวที่ผู้เป็นพ่อกล่าวต่อ

“พ่อขอให้เพชรลูกรักของพ่อเป็นเด็กดี สุขภาพแข็งแรง ใครเห็นใครก็รัก ใครเห็นใครก็เมตตานะลูกนะ” พีรพัฒน์บอกลูกขณะบรรจงสวมสร้อยคอให้

“คุณพัฒน์ ทำไมต้องอวยพรลูกอย่างนี้ด้วย ฉันไม่ชอบเลย ขอให้คนเขามาเวทนาสงสารอะไรแบบนี้น่ะ”

“ภา คุณก็รู้ว่าลูกเราเป็นยังไง”

“เป็นยังไง ลูกเราแค่เรียนช้า คุณอย่ามาพูดเหมือนว่าลูกปัญญาอ่อนนะ”

“ผมไม่ได้ว่าอย่างนั้นสักหน่อย…”

“ถึงคุณไม่พูดตรงๆ แต่คุณก็ชอบตอกย้ำว่าลูกเราไม่ปกติ ฉันขอทีเถอะ ฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่าเพชรด้อยกว่าภูมิ โดยเฉพาะคุณพ่อ”

“เราอย่าเถียงกันเลย วันนี้วันเกิดลูกนะ มาเพชร มาตัดเค้กกัน” พีรพัฒน์รู้สึกเหนื่อยใจทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้กับภรรยา

ขณะที่พ่อแม่ถกเถียงกันลูกชายก็ง่วนอยู่กับการหมุนจี้เพชรของตัวเองเล่น จนเมื่อผู้เป็นพ่อชักชวนให้ตัดเค้ก เด็กชายจึงละจากจี้ไปสนใจขนมเค้ก

เด็กชายเพชรยิ้มหวาน ดีใจที่จะได้กินขนมเค้ก ใจจดจ่ออยู่กับเค้กที่แม่กำลังตัดแบ่ง

“เพชรเอาไอติมด้วยไหมลูก เดี๋ยวแม่ไปเอาให้นะ” ความรักที่มีต่อลูกทำให้อาภาลืมความขุ่นเคืองที่มีต่อสามีเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรเธอก็รัก เธอจะทำทุกอย่างเพื่อให้เด็กชายคนนี้มีรอยยิ้มเสมอไป

อาภาเดินออกจากห้องโถงรับแขกจะไปยังห้องครัว ทันใดนั้นมีคนร้ายเข้ามาประกบทางด้านหลังแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าโปะเข้าที่จมูกของเธออย่างรวดเร็ว อาภาหมดสติไปทันที คนร้ายอีกคนหนึ่งเข้ามาช่วยลากหญิงสาวให้พ้นทางไป จากนั้นทั้งสองก็บุกเข้าไปในห้องโถง

“อย่าขยับนะ ไม่งั้นแกตาย” คนร้ายที่สวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้าตะโกนเสียงดัง ชักปืนเล็งไปที่เป้าหมายทันทีที่ถีบประตูห้องโถงรับแขกให้เปิดผางออก เขาบุ้ยใบ้ให้คนร้ายอีกคนที่ปิดบังตัวตนมิดชิดเช่นกันเอาปืนจ่อขมับพีรพัฒน์ไว้ เด็กชายเพชรร้องไห้จ้าด้วยความกลัว กอดผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่น

“แกเป็นใคร ต้องการอะไร อย่าทำร้ายฉันกับลูกเลย แกต้องการอะไรก็เอาไปเลย”

“ฉันต้องการชีวิตแกสองพ่อลูก” ยังไม่ทันขาดคำพีรพัฒน์ก็ถูกท่อนแขนฟาดที่ท้ายทอยอย่างแรงจนสลบไป

 

ทายาทเศรษฐีใหญ่รู้สึกตัวอีกครั้งเพราะเสียงร้องไห้และเสียงเรียกของลูกชาย เขาพบว่าตัวเองถูกจับมัดมือมัดเท้าไว้กับเก้าอี้ ลูกชายก็ถูกมัดเช่นกัน พวกเขาถูกขังอยู่ในห้องซึ่งน่าจะเป็นห้องเก็บของที่แยกออกจากเรือนใหญ่ ห้องนี้ห่างจากเรือนใหญ่พอสมควร มีกลิ่นและควันไฟลอดเข้ามาใต้ประตู เสียงแตกเปรี๊ยะของวัตถุที่ถูกเพลิงเผาไหม้ดังขึ้นเป็นระยะๆ เป็นที่แน่ชัดว่าคนร้ายหมายเอาชีวิตของเขาและลูกด้วยการเผาให้มอดไหม้ไปพร้อมกับห้องนี้ พีรพัฒน์ไม่รู้ว่าเขาไปเป็นศัตรูกับใครตั้งแต่เมื่อไร แต่จะโดนปองร้ายเพราะอะไรไม่สำคัญแล้ว ที่สำคัญคือเขาจะต้องช่วยลูกให้รอดปลอดภัยให้ได้

“พ่อ เพชรกลัว เพชรกลัว” เด็กชายพูดไปร้องไห้ไปไม่หยุด

“ไม่ต้องกลัวนะลูก พ่อจะช่วยลูกออกไป เพชรต้องหยุดร้องไห้ก่อน แล้วฟังพ่อนะลูก” ผู้เป็นพ่อพยายามอธิบายอย่างกระชับชัดเจน เด็กชายก็พยายามกลั้นสะอื้นอย่างสุดความสามารถ

พีรพัฒน์ค่อยๆบอกให้ลูกชายใช้เท้าดันพื้นเพื่อขยับเก้าอี้ให้ถอยหลังมาใกล้หลังเก้าอี้ของเขาเพื่อที่เขาจะได้แก้มัดให้ลูกได้ โชคดีที่คนร้ายมัดตัวเพชรไว้กับพนักเก้าอี้แต่ไม่ได้มัดเท้าไว้กับขาเก้าอี้เด็กชายจึงทำตามคำสั่งของพ่อได้ เพชรที่ปกติคิดได้ช้าพยายามรวบรวมสติค่อยๆขยับเก้าอี้ไปตามที่พ่อสั่ง คอยระวังอย่างที่สุดไม่ให้เก้าอี้ล้ม

เมื่อพนักเก้าอี้สองตัวมาใกล้กันแล้วพีรพัฒน์ก็แก้มัดให้ลูกชาย “คราวนี้เพชรต้องแก้มัดให้พ่อ” เขาบอกลูกขณะที่ไฟเริ่มลามเข้ามาในห้อง ควันไฟก็มากขึ้นเรื่อยๆ

“เพชรทำไม่ได้ แสบตา แสบตา” เด็กชายทำท่าจะร้องไห้อีก

“เพชรทำได้ เชื่อพ่อนะลูก เพชรดูปมเชือกนะ มีปมที่หนึ่งอยู่ข้างบน ปมที่สองอยู่ข้างล่างใช่ไหม เพชรต้องดูว่าปมที่หนึ่งผูกยังไง แล้วค่อยๆแกะออก แก้ปมที่หนึ่งแล้วก็แก้ปมที่สอง”

“ปมที่หนึ่งกับปมที่สอง” เด็กชายทวนคำเบาๆ แม้ว่าจะแสบตา แสบจมูก หายใจไม่สะดวกแต่เขาก็อดทน แก้มัดให้พ่อจนได้ แม้จะใช้เวลานานจนไฟลามจากพื้นขึ้นไปตามผนังก็ตาม

พีรพัฒน์เห็นทางรอดทางเดียวคือต้องปีนออกไปทางหน้าต่าง ก่อนจะส่งตัวลูกชายออกไปทางหน้าต่างเขากำชับลูกชายว่า “พอพ่อส่งเพชรออกไป เพชรต้องวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดนะลูก แล้วก็ต้องรีบไปหาที่ซ่อนอย่าให้ใครหาเจอ วิ่งหนี ไปหาที่ซ่อน เข้าใจไหม”

ไฟลามเข้ามาในห้องมากขึ้นทุกขณะ จากผนังสู่เพดาน พีรพัฒน์รีบจับตัวลูกให้ออกไปนอกหน้าต่าง แต่ตัวเขาเองกลับปีนออกมาไม่ทันเพราะคานห้องที่อมความร้อนไว้นั้นยุบตัวลงมาทับตัวเขาเสียก่อน

“พ่อ…” เด็กชายร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีด เด็กชายยังไม่เข้าใจเรื่องความตายดีนัก แต่เขาก็รู้ว่าพ่อจะออกมาหาเขาไม่ได้อีกแล้ว

เสียงร้องของเด็กชายทำให้คนร้ายที่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกหันมาสนใจ

“เฮ้ย… เด็กนั่น” คนร้ายผิวเข้มที่อยู่ใกล้กว่าออกวิ่งไล่กวด

เด็กชายเพชรหันหลังวิ่งสุดชีวิต เขาจำคำพ่อได้ จึงวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่งหนีสุดชีวิต

แต่เด็กหรือจะสาวเท้าได้เร็วเท่าผู้ใหญ่ ในที่สุดคนร้ายก็ตามมาฉุดแขนของเด็กชายไว้ได้ เด็กชายดิ้นสุดชีวิต กัดแขนคนร้ายจนสะดุ้งสะบัดมือจึงสลัดหลุดจากการจับกุมและวิ่งต่อไปได้ คนร้ายเจ็บใจก้มลงฉวยท่อนไม้ใกล้มือวิ่งไล่กวดเด็กชายไม่ลดละ เมื่อคะเนว่าวิ่งเข้าใกล้ในระยะทำการแล้ว เขาก็ยกท่อนไม้ขึ้นฟาดศีรษะเด็กชายหมายจะให้สลบเหมือดอยู่ตรงนั้น ท่อนไม้ฟาดเข้าที่ทัดดอกไม้แต่เคราะห์ดีที่แรงปะทะทำให้เด็กชายกลิ้งตกจากเนิน เด็กชายศีรษะแตกแต่ยังไม่หมดสติ เขารีบคลานไปหลบหลังพุ่มไม้ เด็กชายรู้สึกเจ็บที่ใบหน้า เมื่อแตะดูก็มีเลือดติดมือ ใบหน้าครูดกับก้อนหินตอนที่กลิ้งลงมาจากเนินเป็นแผลใหญ่เกือบทั้งพวงแก้ม

เมื่อคนร้ายหาเด็กไม่พบจึงเดินเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง จังหวะนั้นเด็กชายก็ถลันออกจากที่ซ่อนวิ่งหนีไป

เพชรวิ่งหนีไปเรื่อยๆ ภายนอกบ้านมีหมอกลงจัด อากาศหนาว บาดแผลที่ศีรษะเริ่มมีเลือดไหลซึมออกมามากขึ้น เด็กชายเจ็บมากแต่ก็กัดฟันทน มองไปรอบตัวท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว เด็กชายยิ่งกลัวจับใจ มองไปก็ไม่เห็นใคร มองเห็นรถบรรทุกคันหนึ่งอยู่ในสายหมอก รถคันนั้นที่มีผ้าใบคลุมจอดอยู่บนถนนหน้าบ้าน เด็กชายคิดถึงคำพูดของพ่อ ‘ต้องหาที่ซ่อน ต้องหาที่ซ่อน’

 

บนกระบะท้ายของรถบรรทุก เด็กชายอีกคนหนึ่งกำลังนั่งหน้าบึ้งหน้างอ ปากก็บ่นกระปอดกระแปด “ปีนี้ยังไม่ได้เป่าเค้กเลย เซ็งจัง” เด็กชายกำลังคิดหาเหตุผลเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น แล้วเสียงที่แว่วดังจากท้ายรถก็ทำให้เขาตื่นจากภวังค์

“พี่ ช่วยผมด้วย”

เด็กชายผู้อยู่บนรถหันไปตามเสียง เขาเห็นเด็กชายตัวเล็กยืนอยู่ที่ท้ายรถ เด็กแปลกหน้าผอมบางกว่าเขามีเลือดและน้ำตาไหลอาบหน้า เขารู้ทันทีว่าเด็กคนนี้หนีภัยมา เมื่อแอบมองออกไปนอกรถ เขาเห็นเงาคนตะคุ่มๆค่อยๆเคลื่อนไหวใกล้เข้ามาในความมืด เขาที่ถูกเรียกว่าพี่รีบกวักมือให้เด็กตัวเล็กปีนขึ้นมาหลบซ่อนบนกระบะท้ายรถ ทั้งช่วยดึงและประคับประคองให้เด็กชายปีนได้เร็วขึ้น จากนั้นจึงดึงผ้าใบคลุมกระบะรถให้แนบสนิทไม่เกิดช่องว่าง

เพชรรู้สึกเจ็บแผลมากขึ้น เขายึดเอาพี่ชายแปลกหน้าเป็นที่พึ่ง ใช้มือข้างหนึ่งกอดไว้แน่น เด็กชายแปลกหน้าก็ประคองเด็กชายตัวเล็กไว้ในอ้อมกอด ความดีใจที่พบคนให้ความช่วยเหลือทำให้เพชรร้องไห้ออกมา แต่ก่อนจะอ้าปากสะอึกสะอื้นก็มีมือของคนใกล้ตัวมาปิดปาก และทำท่าจุปากให้เงียบ

เด็กชายตัวโตมองไปที่ผ้าใบท้ายรถเห็นเงาคนทาบอยู่บนผ้าใบก็เกิดความกลัวจับขั้วหัวใจ คนร้ายอยู่ใกล้เหลือเกิน เด็กตัวเล็กมองตาม เขาตกใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมา แต่เมื่อหันไปเห็นเด็กชายตัวโตส่ายหน้าเขาก็เข้าใจว่าต้องไม่ส่งเสียง

“เราต้องหาไอ้เด็กนั่นให้เจอ แล้วจัดการมันให้สิ้นซาก” เสียงคนร้ายพูดขึ้น

“เด็กตัวนิดเดียว ปล่อยมันไปเถอะพี่”

“ไม่ได้เว้ย นายพีรพลสั่งให้ฆ่าให้หมดทั้งพ่อทั้งลูก”

คำที่ได้ยินทำให้เด็กสองคนยิ่งกอดกันแน่น เด็กชายผู้ให้ความช่วยเหลือได้แต่ภาวนาในใจให้พ่อของเขาเคลื่อนรถออกไปโดยเร็ว

ในห้องคนขับ นายศิลาผู้เป็นเจ้าของรถ กำลังดูแผ่นพับของร้านเค้ก เขาเลือกไม่ถูกว่าจะเลือกเค้กแบบไหนเพื่อเซอร์ไพร้วันเกิดลูกชาย ไม่รู้ว่าแบบไหนจึงจะถูกใจเจ้าตัว คิดไปศิลาก็หงุดหงิด เขาตั้งใจว่าส่งผลไม้เสร็จวันนี้จะพาลูกชายไปเลือกซื้อขนมเค้ก เอาไปเป่าฉลองกันที่บ้านให้ลูกตื่นเต้นดีใจ วันนี้ตั้งแต่เช้าเขาอุตส่าห์อดใจไม่ทักว่าเป็นวันเกิดลูก แต่หม้อน้ำรถก็เกิดรั่ว กว่าจะหาน้ำกลั่นมาเติมได้ก็ค่ำมืด ทำให้เสียแผนไปหมด

“เฮ้อ.. เดี๋ยวให้เจ้าตัวเลือกเอาเองก็แล้วกัน ร้านไหนยังไม่ปิด เหลือเค้กแบบไหนก็แบบนั้นก็แล้วกัน” คิดได้ดังนี้ศิลาก็ออกรถ

รถบรรทุกเคลื่อนออกจากหน้าบ้านหลังใหญ่ที่เขาจอดพักรถมาได้ราวห้านาที ก็มีเสียงตบกระจกหลังรัวๆ พร้อมกับเสียงลูกชายตะโกนโหวกเหวก

“จอดก่อนฮะพ่อ จอดรถก่อน”

ศิลาตกใจมาก เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นกับสายลม ลูกชายของเขาหรือนี่

 

“แม่เร็วๆสิครับ” สายลมที่นั่งอยู่บนกระบะท้ายรถตะโกนเร่งให้แม่รีบขึ้นรถ เด็กชายตื่นเต้นตั้งแต่เช้าเมื่อรู้ว่าจากพ่อว่าทางโรงพยาบาลโทรศัพท์มาบอกว่าเด็กชายเคราะห์ร้ายฟื้นแล้ว เขากังวลมาตลอดสองวันว่าเด็กชายตัวเล็กจะเป็นอะไรหรือเปล่า

คืนนั้นหลังจากรถบรรทุกแล่นห่างออกมาจากบ้านบนเนินหลังนั้นจนสายลมคิดว่าปลอดภัยแล้ว เขาก็รีบเคาะกระจกเรียกให้พ่อหยุดรถ พอพ่อจอดรถลงมาดู เด็กคนนั้นก็สลบไป ไม่ได้สติเลยจนได้ข่าวจากโรงพยาบาล

“จะเร่งอะไรนักหนานะลม” โรยทองแม่ของสายลมเอ่ยปากบ่นขณะหิ้วกระติกเก็บความร้อนเดินออกมาจากในบ้าน

“ก็ลมอยากไปดูว่าน้องเป็นยังไงบ้าง”

“น้อง น้อง เขาเป็นน้องแกตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็เขาตัวเล็กกว่าลมนี่” เด็กชายว่า

“อย่าเถียงกัน แม่โรยก็ขึ้นรถเถอะ ฉันก็ร้อนใจเหมือนกัน” ศิลาที่พร้อมออกรถแล้วร้องบอก

“พี่ก็อีกคน หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ แล้วดูซิเนี่ย เจ้าลมมาเจ้ากี้เจ้าการให้ฉันต้มซุปไก่ บอกว่าคนป่วยกินแล้วจะได้หายเร็วๆ” โรยทองขึ้นรถพลางพูดไป

“ก็ลมมันอยากมีน้อง…” ศิลานึกอยากจะพูดต่อไปว่าโรยทองก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ก็ยั้งปากเอาไว้ทัน เขารู้ว่าโรยทองเองก็เสียใจที่แท้งลูกเพราะเผลอทำงานหนักเมื่อสองปีก่อน และเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เธอมีลูกไม่ได้อีก

“ฉันก็รู้ล่ะ แต่พูดก็พูดเถอะนะพี่ พี่ไปช่วยเด็กแบบนั้นน่ะ มันจะทำให้เราเดือดร้อนหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“หมาแมวถูกรถชนเรายังหยุดช่วยมันเลย แล้วนี่คนทั้งคนนะแม่โรย แม่โรยน่าจะดีใจนะที่ลูกเราเป็นคนดีมีน้ำใจ”

เจอคำพูดแบบนี้ โรยทองจึงต้องปิดปากเงียบแม้ว่าในใจจะกังวลไปร้อยแปด

 

สามคนพ่อแม่ลูกไปเยี่ยมเพชรที่ตอนนี้ถูกย้ายจากห้องฉุกเฉินไปที่ห้องคนไข้รวมแบบสี่คนแล้ว สายลมต้องผิดหวังเพราะคนที่เขาเป็นห่วงฟื้นแล้วแต่หลับไปอีกก่อนที่เขาจะมาถึง เขาไปยืนดูที่ข้างเตียงเห็นเด็กชายตัวเล็กมีผ้าพันแผลพันศีรษะและผ้ากอซปิดที่แก้มก็สงสารจับใจ สายลมนั่งจับมือคนไข้อยู่นานจนโรยทองรู้สึกเมื่อยแทนจึงบอกให้ลูกชายตามพ่อลงไปจ่ายเงินที่แผนกการเงินชั้นล่างของตึกโรงพยาบาล ตอนแรกเด็กชายก็อิดออด จนเมื่อแม่บอกว่า “แม่จะโทรไปบอกทันทีที่น้องตื่น” นั่นแหละเด็กชายสายลมจึงยอมปล่อยมือจากน้อง

 

“พ่อขอโทษนะ ที่ไม่ได้ซื้อของขวัญวันเกิดให้ลม พ่อตั้งใจว่าส่งลิ้นจี่ได้เงินแล้วจะซื้อให้ แต่ก็ต้องเอามาจ่ายค่านี่ก่อน เอาไว้ส้มออกรอบหน้า แล้วพ่อจะซื้อให้นะลูก” ศิลาบอกลูกหลังจากจ่ายค่ารักษาพยาบาลเสร็จ

“ไม่เป็นไรหรอกครับพ่อ ลมไม่เอาของขวัญก็ได้ น้องปลอดภัยก็เป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดของลมแล้ว”

“ลมคิดอย่างนี้จริงๆเหรอลูก ไม่เสียใจนะที่ไม่ได้ของขวัญ”

“ไม่เสียใจครับพ่อ”

คืนวันเกิดเหตุศิลาตัดสินใจพาเด็กชายบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเท่าที่เขาจะนึกออก สวนศิลาของเขาอยู่ในอำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ซึ่งเป็นเขตติดต่อกับจังหวัดนครสวรรค์ เขาจึงขับรถข้ามจากบ้านไร่เพชรอาภาในเขตอำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์พาเด็กมาส่งที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ตลอดทางเขาอดสงสารลูกไม่ได้ สายลมเป็นเด็กมีน้ำใจ จริงจังกับทุกอย่าง เขารู้ดีว่าลูกชายห่วงใยเด็กชายผู้เคราะห์ร้ายมากแค่ไหน พอเขาพาเด็กมาถึงโรงพยาบาล สายลมก็นั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน กลัวว่าเด็กคนนั้นจะตาย เขาจะพากลับบ้านก็ไม่ยอม ต้องรออยู่จนดึก จนหมอออกมายืนยันว่าเด็กปลอดภัยแล้วเพียงแต่ยังไม่ฟื้น สายลมจึงยอมกลับบ้าน ศิลารู้ดีว่าหากเด็กชายตัวเล็กฟื้นขึ้นมา เขาก็ต้องส่งตัวเด็กคืนให้ครอบครัว ถ้าเวลานั้นมาถึงสายลมคงจะเศร้าใจมาก

“แล้วลมจะเสียใจไหม ถ้าน้องฟื้นแล้ว พ่อต้องไปแจ้งความ ให้ตำรวจไปบอกครอบครัวของน้องว่าน้องอยู่กับเรา แล้วก็ส่งน้องกลับไปให้ครอบครัวเขา”

“เสียใจแล้วจะทำยังไงล่ะครับพ่อ ก็เขาไม่ใช่น้องลมจริงๆนี่นา” สายลมบอกหน้าม่อย

“ไปดูกันเถอะว่าน้องตื่นมาอีกหรือยัง” ศิลาไม่อยากให้ลูกเศร้าจึงเปลี่ยนเรื่อง

สายลมไม่ได้เดินตามพ่อไปทันที เขายังเศร้าอยู่ เด็กชายไม่เคยคิดถึงเรื่องที่จะคืนตัวเด็กชายตัวเล็กคนนั้นกลับไปให้ครอบครัว จนกระทั่งพ่อพูด เขารู้ว่าถึงอย่างไรเด็กคนนั้นก็ไม่ใช่น้องแท้ๆ แต่เขาก็ยังอยากมีความสุขกับการเล่นละครเป็นพี่ชายไปอีกหลายๆวันก่อน

ศิลาต้องเรียกซ้ำ สายลมจึงเดินตามไป ทันใดนั้นเสียงที่ดังมาจากโทรทัศน์ในโถงชั้นล่างของตึกก็ดึงดูดให้เด็กชายสนใจ

“มาติดตามความคืบหน้าคดีปล้นฆ่าเผาบ้านเศรษฐีเจ้าของธุรกิจรับออกแบบก่อสร้างบ้านชื่อดังกันนะคะ บ้านไร่ที่เกิดเหตุอยู่ในจังหวัดนครสวรรค์ นายพีรพล น้องชายของผู้เสียชีวิตแถลงข่าวตั้งรางวัลนำจับหนึ่งแสนบาทให้แก่ผู้ที่แจ้งเบาะแสของคนร้ายที่สังหารนายพีรพัฒ์น์พี่ชาย และผู้ที่พบเบาะแสของเด็กชายเพชร หลานชายที่หายตัวไป ไปฟังเสียงของนายพีรพลกันค่ะ”

‘พีรพล’ ชื่อนี้สะดุดใจเด็กชายสายลมให้นึกถึงเหตุการณ์ในคืนเกิดเหตุร้าย

‘ไม่ได้เว้ย นายพีรพลสั่งให้ฆ่าให้หมดทั้งพ่อทั้งลูก’

สายลมหันไปดูภาพในจอโทรทัศน์ เห็นภาพหนุ่มใหญ่คนหนึ่งกำลังถือไมโครโฟนพูดอะไรบางอย่างอยู่ สายลมไม่ได้สนใจฟังคำที่เขาพูด สายตาของเด็กชายจับอยู่ที่ตัวหนังสือบนจอที่เขียนชื่อ  พีรพล พันธนะวงศา น้องชายของผู้เสียชีวิต

พีรพล ไม่ผิดแน่ สายลมจำได้ คนร้ายสองคนคุยกันว่าพีรพลสั่งให้ฆ่าทั้งพ่อทั้งลูก แล้วในข่าวก็บอกว่าคนคนนั้นเป็นน้องของผู้เสียชีวิต แปลว่าพี่ชายที่เสียชีวิตก็คือพ่อของน้องตัวเล็ก คนร้ายคงฆ่าพ่อของน้องไปแล้ว เหลือแต่น้องที่พวกนั้นยังหาไม่เจอ คนร้ายคืออาของน้อง ถ้าส่งน้องกลับไปน้องต้องถูกฆ่าตายแน่ๆ

“พ่อครับ พ่อจะไปแจ้งความไม่ได้นะครับ” สายลมละล่ำละลักบอกพ่อ



Don`t copy text!