ดวงใจภาดา บทที่ 4 : บ้านที่ไร้หัวใจ

ดวงใจภาดา บทที่ 4 : บ้านที่ไร้หัวใจ

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

ดวงใจภาดา โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เมื่อเด็กชายตัวเล็กทายาทมหาเศรษฐีรอดชีวิตจากการฆ่าล้างตระกูลและได้มาพบกับพี่ชายต่างสายเลือดที่รักกันราวพี่น้อง แต่ทุกอย่างไม่ง่าย เมื่อการกลับเข้าไปในบ้านน้องก็เหมือนเข้าถ้ำเสือร้ายที่พร้อมขย้ำ เขาจะปกป้องน้องต่างสายเลือดคนนี้ได้อย่างไร นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

บ้านหลังใหญ่ของตระกูลมหาเศรษฐีที่เคยอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กๆผู้เป็นหลานทั้งชายและหญิง บัดนี้กลับเงียบเหงา หม่นหมอง ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้พฤกษ์ พันธนะวงศา ผู้เป็นประมุขของบ้านยิ้มได้เลยนับแต่สูญเสียบุตรชายคนโตไปในเหตุการณ์ไฟไหม้บ้านไร่เพชรอาภา ที่จังหวัดนครสวรรค์ หลานชายหายสาบสูญ ลูกสะใภ้ใหญ่ก็สติเลอะเลือน มีหลายครั้งที่ชายสูงวัยอยากจะสติ      ฟั่นเฟือนเพื่อที่จะได้หลุดพ้นไปจากห้วงมหรรณพแห่งความทุกข์นี้

เมื่อหกเดือนก่อนพฤกษ์ตั้งใจจะวางมือจากงานบริหารบริษัท พีค แพลน เฮ้าส์ซิ่งที่เขาสร้างมากับมือเพื่อจะได้พักผ่อนเสียที ไม่นึกว่าหลังจากเขาแต่งตั้งพีรพัฒน์เป็นประธานกรรมการบริหารไม่ถึงสองเดือนบุตรชายคนโตผู้เป็นความหวังจะประสบเหตุร้ายจนเสียชีวิต

ทันทีที่รู้ข่าวเหตุร้ายพฤกษ์กับพีรพลก็รีบรุดไปยังที่เกิดเหตุ เขาไปถึงบ้านไร่เพชรอาภาตอนกลางดึก เรือนหลังใหญ่ไม่ได้รับความเสียหาย ส่วนห้องเก็บของนั้นมอดไหม้ไม่เหลือชิ้นดี พฤกษ์ไปทันเห็นการเคลื่อนย้ายศพของบุตรชายที่ถูกไฟเผาผลาญจนเกรียมไหม้เกือบทั้งร่าง จากนี้จนวันตายพฤกษ์คงไม่สามารถจะลบภาพอันแสนปวดร้าวนั้นออกจากความทรงจำได้

ตำรวจที่ไปถึงที่เกิดเหตุเป็นชุดแรกพบตัวอาภานอนสลบไสลอยู่หน้าห้องรับแขกจึงพาไปส่งโรงพยาบาล เมื่อพฤกษ์ตามไปที่โรงพยาบาลเขาพยายามบอกให้ลูกสะใภ้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อาภาไม่เชื่อ เธอกลับไปที่บ้านหลังนั้นและเที่ยวตามหาลูกและสามี ไม่ว่าพฤกษ์กับบุตรชายคนเล็กจะพยายามอธิบายอย่างไรอาภาก็ไม่ฟัง เธอเที่ยวตามหาลูกไปทั่ว ตั้งแต่กลางดึกจนฟ้าสาง เมื่อไม่พบบุคคลที่รักก็ครวญครางร้องไห้จนสลบไสลไปอีก เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งอาภาก็กลายเป็นคนที่แยกไม่ออกระหว่างโลกความจริงกับโลกความฝัน

“คุณพ่อครับ” เสียงเรียกของพีรพลทำให้พฤกษ์ตื่นจากภวังค์ เขาวางกรอบรูปพีรพัฒน์ที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะทำงาน นับแต่เกิดเหตุร้ายพฤกษ์แทบไม่ได้เข้าไปดูแลงานที่บริษัทเลย ดีที่ลูกชายคนเล็กยังทำงานได้ดีไม่มีข้อบกพร่อง

“คุณพ่อได้ดูแฟ้มที่ผมเอามาให้หรือยังครับ”

“ที่พลจะให้พ่อตั้งพลเป็นประธานบริษัทอย่างเป็นทางการใช่ไหม” พฤกษ์เลี่ยงที่จะพูดว่าแต่งตั้ง   พีรพลขึ้นแทนใคร

“คุณพ่อครับ ผมเข้าใจว่าคุณพ่อยังทำใจเรื่องพี่พัฒน์ไม่ได้ ผมเองก็ยังไม่อยากรับตำแหน่งหรอกนะครับ ถ้าคุณพ่อจะให้ผมรักษาการไปตลอดผมก็ไม่ขัดข้องอะไร เพียงแต่ว่าบอร์ดบริหารหลายท่านมาบอกผมว่าเขารู้สึกไม่มั่นคง ผมเองก็ไม่ทราบจะทำยังไง”

“เอาเถอะ ประชุมครั้งหน้า พ่อจะจัดการให้”

“ขอบคุณครับคุณพ่อ” พีรพลไหว้อย่างนอบน้อม

“ตอนนี้พ่อก็ต้องฝากบริษัทให้พลดูแลแล้วนะ”

พีรพลรู้สึกสมใจที่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา แต่เขาก็ปรับสีหน้าให้เศร้าตามบทที่ต้องเล่น

“คดีคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”

“พี่พัฒน์ไม่มีความขัดแย้งกับใครนอกจากเจ้าของไร่ข้างๆที่มันเคยรังวัดที่ดินเกินเข้ามาในที่เรา มีพยานเห็นว่าตอนที่มันมาต่อว่าพี่พัฒน์มันขู่อาฆาตไว้ด้วย แต่ตำรวจก็ยังหาหลักฐานไปถึงตัวมันไม่ได้ครับ”

“เรื่องแค่นี้ไม่น่าต้องทำกันขนาดนี้ แล้วเรื่องตามหาหลานล่ะ”

“ยังไม่มีวี่แว่วเลยครับ ที่เราตั้งรางวัลให้คนที่มาแจ้งเบาะแสก็ดูเหมือนไม่มีใครพูดจริงเลย พวกที่มาก็คิดว่าเผื่อฟลุ๊ค มาเพราะอยากได้เงิน พอสอบถามมากเข้าก็เผยพิรุธว่าโกหก”

“สี่เดือนแล้ว ไม่รู้ว่าเพชรจะเป็นตายร้ายดียังไง”

“คุณพ่อใจเย็นๆก่อนเถอะครับ ผมคิดว่าหลานคงไม่มีอันตรายอะไร เพราะผมให้คนไปสืบดูทุกโรงพยาบาลในนครสวรรค์แล้ว ไม่มีเด็กที่น่าจะเป็นเพชรเลยครับ”

สิ่งที่พีรพลไม่ได้พูดออกไปก็คือ เขาเองก็อยากได้เบาะแสของผู้ที่เป็นหนามยอกอกของเขาเหมือนกัน หากได้เบาะแสของเด็กคนนี้ อย่าหวังเลยว่ามันจะได้กลับมาเหยียบบ้านนี้อีก

“พ่อก็หวังว่าอย่างนั้น”ชายสูงวัยว่า แล้วก็เหม่อมองดูรูปถ่ายของบุตรชายผู้จากไปอีก

พีรพลไม่ได้เซ้าซี้ผู้เป็นบิดาอีก ด้วยรู้สึกแสลงใจกับภาพตรงหน้า คิดไปว่าถ้าหากเขาเป็นผู้จากไป พฤกษ์จะอาลัยอาวรณ์สักครึ่งของที่เป็นอยู่นี้หรือไม่

 

พีรพลเดินออกมาจากห้องทำงานของบิดาก็เห็นใจพราวหลานสาวของอาภานั่งร้องไห้อยู่บนขั้นบันไดโถงกลางที่ทอดลงมาจากชั้นบนของบ้าน

“พราว ร้องไห้ทำไม” เขาถามเสียงอ่อนโยน น้อยครั้งนักที่เขาจะใช้เสียงแบบนี้ ปกติพีรพลไม่ชอบเด็ก แต่กับเด็กหญิงใจพราวเขารู้สึกเอ็นดูเป็นพิเศษ เพราะเด็กหญิงเป็นเด็กอ่อนไหว และว้าเหว่ง่ายเช่นเดียวกับเขา

“พราวกลัวป้าภา ป้าภาน่ากลัว” เด็กหญิงบอกเสียงเครือ

“พราวก็รู้นี่คะว่าป้าภากำลังไม่สบายเพราะเสียใจที่พี่เพชรหายไป”

“พราวรู้ค่ะคุณอา แต่พี่เพชรหายไปตั้งนานแล้ว ทำไมป้าภายังไม่หายซักที พราวอยากให้ป้าภาหายเร็วๆ”

“เวลาที่คนที่เรารักหายไปเราก็ต้องคิดถึง กว่าเราจะหายคิดถึงเขาได้ก็ต้องใช้เวลานานนะคะ”

“เหมือนที่พราวคิดถึงคุณแม่” เด็กหญิงพึมพำเสียงเศร้าสร้อย

ใจพราวอายุอ่อนกว่าเพชรหนึ่งปี เธอมาอยู่กับอาภาได้สามปีแล้ว หลังจากที่พ่อของเธอเสียชีวิตด้วยโรคร้าย แม่ของเธอเอาลูกสาวตัวน้อยมาทิ้งไว้กับอาภาซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ก่อนที่จะแต่งงานใหม่กับสามีชาวต่างประเทศและย้ายไปตั้งรกรากอยู่ต่างแดนโดยไม่เคยกลับมาเหลียวแลเด็กหญิงเลย อาภาและพีรพัฒน์ไม่มีลูกสาว ทั้งคู่จึงยินดีรับเลี้ยงเด็กหญิงและต่างก็ตั้งใจไว้ว่าจะเลี้ยงให้เหมือนลูกสาวแท้ๆของตน

ใจพราวมีชีวิตใหม่ที่มีความสุขพอสมควรที่บ้านคุณป้า แต่ทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อเกิดเหตุร้ายกับคุณลุง เด็กหญิงที่เคยร่าเริงสดใสต้องร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นคุณป้าของเธอคลุ้มคลั่งอาละวาด

เสียงกรีดร้องของอาภาที่ดังมาจากห้องนอนชั้นบนทำให้เด็กหญิงใจพราวตกใจและทำท่าจะร้องไห้อีก พีรพลไม่รู้จะปลอบโยนเด็กหญิงอย่างไรก็พอดีภูมิพงษ์ ลูกชายของเขาออกมาจากห้องนั่งเล่น พีรพลจึงหาทางออกได้

“ภูมิ พาน้องไปเล่นข้างนอกไป”

“ครับพ่อ” ภูมิพงษ์รับคำแล้วหันมาพูดกับน้องสาว “พราว ไปเล่นกับพี่ดีกว่าไป” เด็กหญิงยอมให้เด็กชายจูงมือไปโดยดี

พีรพลมองตามอย่างโล่งอก เขาไม่อยากเห็นน้ำตาของใครไม่ว่าเด็กหรือผู้หญิง แว่บหนึ่งเขารู้สึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แต่ชั่วอึดใจเดียวความรู้สึกนั้นก็หายไป

“ไม่จริง… เธอโกหกฉัน เธอโกหกฉันทำไม ทำไม” เสียงตะโกนของอาภาดังขึ้นตามลำดับเมื่อพีรพลก้าวขึ้นบันไดมาถึงชั้นบน ถึงแม้ห้องนอนของอาภาจะอยู่ปีกซ้ายสุดของชั้นสอง แต่เสียงตะโกนก็ยังดังมาถึงบันไดกลาง

ประตูห้องนอนของอาภาเปิดแง้มไว้ทำให้พีรพลได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากในห้องอย่างชัดเจน เขาแง้มประตูให้กว้างขึ้นเล็กน้อย หนุ่มใหญ่มองดูอาภาอย่างสมเพชเวทนา อาภาที่เคยแต่งหน้าทำผมสวยงามกลับปล่อยผมรุ่ยร่าย แม้ไม่ถึงขั้นกระเซอะกระเซิงแต่ก็ดูหม่นหมอง ไม่หลงเหลือเค้าของหญิงสาวที่มีเสน่ห์ตราตรึงใจให้เขาหลงรักเลย

อาภาหันมาเห็นพีรพลก็รีบปรี่เข้ามาหา เปิดประตู จับไม้จับมือพีรพลแล้วละล่ำละลักถาม “คุณพล ราตรีบอกว่าลูกเพชรหายไป ไม่จริงใช่ไหม ไม่จริงใช่ไหมคุณพล”

พีรพลสะกดกลั้นความรู้สึกขยะแขยงที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันทันทีที่อาภาสัมผัสตัวเขาเอาไว้ เขาค่อยแกะมือของหญิงสาวออก แล้วบอกว่า “ใจเย็นๆนะภา พวกเรากำลังตามหาเพชรอยู่นะ”

“ลูกเพชรแค่ไปเที่ยวเล่นใช่ไหม” อาภาพร่ำเพ้อไป พีรพลไม่รู้จะตอบอย่างไร หญิงสาวจึงหันไปต่อว่าแม่บ้านคนสนิท “เห็นไหมราตรี เพชรแค่ไปเที่ยวเล่นเดี๋ยวก็กลับมา เธอเอาที่ไหนมาพูดว่าลูกฉันหาย…”

พีรพลหันไปพยักเพยิดกับราตรี แม่บ้านคนสนิทของอาภาเป็นเชิงให้โอนอ่อนผ่อนตามอาภาไป อย่าขัดใจ ราตรีเข้าใจ

“เพชร เพชรไปเล่นที่ไหนลูก” อาภายังพร่ำเพ้อไม่เลิก

“คุณภาคะ ไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณเพชรกลับมาจะได้เห็นคุณแม่สวยๆไงคะ” เมื่อได้จังหวะราตรีจึงเข้าปลอบใจนายหญิง

“แล้วทำไมเธอมาบอกว่าลูกฉันหาย”

“เอ่อ.. อิฉันเข้าใจผิดไปเองค่ะ ขอโทษนะคะคุณภา”

อาภาพยักหน้ารับ แล้วพร่ำเพ้อถึงสามีต่อไปอีก “แล้วคุณพัฒน์อยู่ไหนล่ะ ทำไมฉันโทรไปหาคุณพัฒน์แล้วเขาไม่รับ”

“เดี๋ยวคุณพัฒน์ก็มาค่ะ คุณภาไปอาบน้ำนะคะ เดี๋ยวอิฉันจัดเสื้อผ้าให้” ราตรีพูดหว่านล้อมให้อาภากลับเข้าห้องไป

หลังจากประตูห้องปิดลงพีรพลก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นอีกนาน ความคิดของเขาหวนไปถึงเมื่อสิบห้าปีก่อน

ตอนนั้นอาภาเข้ามาฝึกงานเป็นพนักงานบัญชีที่ที่พีค แพลน เฮ้าส์ซิ่ง บริษัทรับออกแบบก่อสร้างบ้านของครอบครัว พีรพลชอบอาภาตั้งแต่แรกพบ โดยไม่รู้ว่าพี่ชายของเขารู้จักชอบพอกับอาภามาหลายปีแล้ว พีรพัฒน์รู้จักกับอาภามาก่อนเพราะเธอเป็นน้องสาวของเพื่อน ตลอดเวลาที่อาภามาฝึกงานพีรพัฒน์ไม่เคยเปิดเผยเรื่องที่เขาคบหากับอาภาให้ใครได้รู้เลย พีรพลเดินหน้าจีบอาภา อาภาก็ไม่ได้ปฎิเสธไมตรีของเขาอย่างชัดเจน หญิงสาวพูดคุยด้วยตามปกติ เพียงแต่ไม่ยอมไปไหนต่อไหนกับพีรพลสองต่อสอง ถ้าหากเธอจะไปไหนกับเขาก็จะมีพีรพัฒน์ไปด้วยเสมอ พีรพลเข้าใจไปเองว่าอาภาทำเช่นนั้นเพราะเธอรักนวลสงวนตัว ไม่ต้องการให้ใครครหา กว่าพีรพลจะรู้ว่าศัตรูหัวใจคือพี่ชายของเขาเองก็เมื่อพีรพัฒน์มาขอให้พ่อไปสู่ขออาภาจากพ่อแม่ของเธอ พีรพลแค้นใจมาก เขาคิดว่าพี่ชายจงใจปิดบังเรื่องนี้ทั้งที่รู้ว่าเขารักอาภา แต่พี่ชายกลับบอกว่าทำไปเพราะไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของเขา นั่นยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ

พีรพลเก็บความเคียดแค้นไว้ในใจตลอดมา แม้ว่าเขาจะพบรักกับนลินีซึ่งต่อมากลายเป็นภรรยาและแม่ของลูกของเขา แต่เขาก็ไม่เคยลืมอาภาได้เลย ยิ่งเธอมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเขา เขาก็ยิ่งเสน่หาในตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ  ในที่สุดนลินีก็รู้ความจริงในใจของเขา เธอรับไม่ได้ที่ในหัวใจเขายังมีเงาของอาภาอยู่ ทั้งสองจึงมีเรื่องระหองระแหงกันตลอดนับแต่นั้น และเมื่อไม่นานมานี้ความรักก็จบลงด้วยการหย่าร้าง

และแล้ววันหนึ่งความเจ็บช้ำที่เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความอดทนของพีรพลหมดลงก็คือการที่พ่อแต่งตั้งพีรพัฒน์เป็นประธานบริษัทแทนท่าน ใครๆอาจจะคิดว่าเขาไม่ควรจะต้องใจร้อน เขาเองเป็นรองประธานบริษัทอยู่แล้ว ไม่ช้าไม่นานก็ต้องได้ขึ้นเป็นประธาน แต่พีรพลรู้ว่าไม่มีทางทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เขาหวังเพราะพีรพัฒน์มีลูกชายไว้สืบทอดกิจการแล้ว และพฤกษ์ก็ทั้งรักทั้งหลงหลานชายคนนั้นจนแทบจะลืมเขาและภูมิพงษ์ซึ่งเป็นหลานชายคนโตไปเลย วิธีเดียวที่เขาจะได้ครอบครองสมบัติทุกอย่างก็คือต้องกำจัดเสี้ยนหนามสองพ่อลูกนั้นเสีย

พีรพลตั้งใจไว้ชีวิตอาภาเพราะคิดว่าเมื่อหญิงสาวที่เขารักสิ้นพันธะจากสามีและลูกแล้วเธอจะเห็นเขาเป็นที่พึ่งและยอมเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเขา แต่เมื่อเหตุการณ์กลับตาลปัตรไปเช่นนี้พีรพลก็นึกเสียดายที่ไม่ได้กำจัดเธอไปเสียให้สิ้นซาก ให้สมกับความเสน่หาที่แปรเปลี่ยนไปเป็นความสมเพชเวทนาในยามนี้

“คุณพลครับ มีคนมาขอพบครับ” เดชาลูกน้องคนสนิทเข้ามารายงานเมื่อพีรพลเดินกลับลงมาถึงชั้นล่าง

“ใคร”

“เขาบอกว่าเขามาแจ้งเบาะแสเรื่องคุณหนูเพชรครับ”

“เหลวอีกละมัง” เจ้านายว่า

“ผมว่าไม่นะครับ ผมสอบถามเบี้องต้นแล้ว คนนี้ให้เบาะแสดีกว่าคนอื่น”

 

พีรพลมองดูชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขาแล้วรู้สึกไม่เชื่อคำพูดของลูกน้องคนสนิทเลย เขามองผู้ที่มาขอพบตั้งแต่หัวจรดเท้า ชายหนุ่มร่างผอม ตาตี่  คิ้วหนา สายตาเจ้าเล่ห์ ดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด ชายคนนี้ดูไม่ต่างจากคนอื่นๆที่มาให้เบาะแสของเด็กชายเพชร พีรพลอยากจะถามคนสนิทว่าอะไรทำให้มั่นใจว่าคนนี้มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ แต่ก็คิดว่าอดใจไว้สอบถามด้วยตัวเองจะดีกว่า

“คุณมีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับหลานชายของผม” พีรพลถามขึ้น

“หลานชายของคุณเป็นคนไข้ในโรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่ ผมคิดว่าต้องใช่แน่ๆครับ…”

แล้วชายหนุ่มที่ดูไม่น่าเชื่อถือก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ ยิ่งเล่าพีรพลก็ยิ่งรู้สึกว่าคำพูดของชายคนนี้ยิ่งน่าเชื่อถือ

คนส่วนใหญ่ที่มาให้เบาะแสมักจะอ้างข้อมูลจากข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์ เวลาที่อ้างว่าพบเพชรก็มักใกล้เวลาที่เกิดเหตุ แต่ชายคนนี้เป็นคนแรกที่อ้างถึงเวลาที่พบตัวเด็กห่างจากเวลาเกิดเหตุเกือบหนึ่งชั่วโมงซึ่งน่าจะตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด เขาบอกว่าเด็กชายมีบาดแผลศีรษะแตกและสลบเพราะสูดควันไฟไปมาก ทั้งยังบอกสีเสื้อผ้าของเด็กชายตรงกับที่อาภาให้การกับตำรวจว่าลูกชายของเธอสวมใส่ในคืนวันนั้นด้วย

“ขอบคุณมากนะครับที่มาให้เบาะแส ถ้าเบาะแสของคุณทำให้ผมพบตัวหลานชายจริง ผมจะติดต่อให้คุณมารับเงินตามที่แจ้งไว้นะครับ” พีรพลกล่าวด้วยเสียงเรียบแต่เฉียบขาด

“อ้าว ผมแจ้งเบาะแสแล้วไม่ได้เงินเลยหรอกเหรอครับ” ชายผู้มาให้เบาะแสบอกอย่างหัวเสีย

“เราต้องพิสูจน์ก่อนว่าข้อมูลที่คุณให้มีมูลความจริงหรือเปล่า”

“อ้าว ผมพูดความจริงนะคุณ”

“ถึงยังไงเราก็ต้องตรวจสอบก่อนครับ” พีรพลว่าแล้วหันไปสั่งลูกน้อง “จดชื่อที่อยู่ของคุณคนนี้ไว้ แล้วให้ค่ารถไปด้วยนะ”

เมื่อได้ยินว่าได้ค่ารถชายร่างผอมก็ไม่พูดอะไรต่อ ราวกับกลัวว่าพีรพลจะเปลี่ยนใจ เขายกมือไหว้แล้วเดินออกไปเงียบๆ

เมื่ออยู่ลำพังในห้องทำงานพีรพลก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก

“ไอ้เข้ม ฉันมีงานให้แกทำ… คราวนี้ฉันจะให้แกแก้ตัว แกต้องจัดการเด็กนั่นให้สิ้นซาก”

“ครับนายพีรพล มันอยู่ที่ไหน นายบอกผมมาเลย”

“เพชรบูรณ์…” พีรพลพูดเบาเหมือนรำพึง แต่ในใจของเขานั้นคาดหมายผลสำเร็จอย่างเต็มเปี่ยม



Don`t copy text!