ดวงใจภาดา บทที่ 5 : หลงกล
โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต
ดวงใจภาดา โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เมื่อเด็กชายตัวเล็กทายาทมหาเศรษฐีรอดชีวิตจากการฆ่าล้างตระกูลและได้มาพบกับพี่ชายต่างสายเลือดที่รักกันราวพี่น้อง แต่ทุกอย่างไม่ง่าย เมื่อการกลับเข้าไปในบ้านน้องก็เหมือนเข้าถ้ำเสือร้ายที่พร้อมขย้ำ เขาจะปกป้องน้องต่างสายเลือดคนนี้ได้อย่างไร นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
สายวันนี้ที่บ้านสวนศิลามีความวุ่นวายเล็กน้อยเพราะมีการเก็บผลไม้ บรรจุใส่ลังเพื่อเตรียมส่งขาย มีชายฉกรรจ์หลายคนถูกว่าจ้างให้มาช่วยเก็บผลผลิต ลูกชายสองคนของเจ้าของสวนก็ช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง โดยมีแม่คอยควบคุม ส่วนเจ้าของสวนผู้เป็นพ่อไม่ค่อยสบายจึงพักผ่อนอยู่ในบ้าน
40 โอะ 33 โท 1000 1 อิ โอ 36 = 60,000 26 อา 23 เด็กชายหมอกดูบัญชีผลผลิตที่เขาจดเองแล้วอ่านเสียงดัง
“สี่สิบ โอะ สามสิบสาม โท หนึ่งพัน หนึ่ง อิ โอ สามสิบหก เท่ากับ หกหมื่น ยี่สิบหก อา ยี่สิบสาม”
“หมอกต้องเขียนว่ากิโลละเท่าไหร่ด้วยนะ ส้ม หนึ่งพันกิโล กิโลละหกสิบบาท เท่ากับหกหมื่นบาท” สายลมบอกน้อง
“สี่สิบ โอะ สามสิบสาม โท หนึ่งพัน หนึ่ง อิ โอ สามสิบหก หนึ่ง อิ โอ สามสิบหก สามสิบหก อะ หกสิบ เท่ากับ หกหมื่น ยี่สิบหก อา ยี่สิบสาม” น้องชายเขียนใหม่แล้วอ่านทวน
“พูดอะไรกัน แม่ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” โรยทองว่า
“หมอกรู้เรื่องคนเดียว” เด็กชายตัวเล็กว่าแล้วหัวเราะร่วน
สายลมมองดูน้องแล้วยิ้ม เขารู้สึกภูมิใจที่ตนเองคิดค้นวิธีที่ทำให้น้องชายผู้สนใจแต่ตัวเลขอ่านหนังสือได้คล่องขึ้น สายลมสอนให้น้องอ่านโดยใช้ตัวเลขอารบิกแทนลำดับของพยัญชนะไทย เพื่อดึงความสนใจน้องที่สนใจแต่ตัวเลข
หมอกชอบรหัสตัวเลขนี้มาก เขาท่องจำลำดับพยัญชนะได้แม่นยำกว่าพี่ชายเสียอีก เวลาเขางง อ่านคำไหนไม่ออกก็จะเขียนรหัสตัวเลขแล้วพยายามอ่าน ต่อเมื่ออ่านไม่ออกจริงๆจึงมาถาม เด็กชายผู้เรียนรู้ช้าสนใจการเรียนอ่านเขียนหนังสือมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“อ่านแบบถอดรหัสให้แม่ฟังสิหมอก”
“ส้ม..หนึ่งพัน กิโล… กิโล… ละ… หกสิบ เท่ากับ… หกหมื่น บาท…” หมอกอ่านตัวเลขคล่อง แต่สะกดคำได้อย่างช้าๆ
“เอ้อ อย่างนี้ค่อยรู้เรื่องหน่อย… แล้วถ้าเขียนชื่อแม่จะเขียนยังไง”
โอ 35 34 23 43 7 หมอกเขียนรหัสลงบนกระดาษ
“สระโอ สามสิบห้า สามสิบสี่ รอ สระโอ ยอ โรย ยี่สิบสาม สี่สิบสาม เจ็ด ทอ ออ งอ ทอง โรยทอง เขียนเรียงตัว แต่อ่านตามสะกดสระ พี่ลมบอก”
“ลมเก่งเหมือนกันนะเนี่ย สอนน้องอ่านหนังสือได้ แล้วชื่อเราล่ะ เลขอะไร”
“ชื่อหมอก สี่สิบเอ็ด สามสิบสาม สี่สิบสาม หนึ่ง หอ มอ ออ กอ หมอก”
โรยทองนึกเอ็นดูเจ้าเด็กตัวเล็กแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรหัวหน้าคนงานที่จ้างมาเก็บผลไม้ก็มาแจ้งว่าทำงานเรียบร้อยแล้ว โรยทองจึงเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบเงินมาจ่าย สายลมจะเตือนแม่ว่าให้เอาใบเสร็จรับเงินมาให้ผู้รับเงินเซ็นรับด้วย แต่ก็บอกไม่ทันเพราะตัวเขาเองก็มัวแต่นับจำนวนผลไม้ที่เก็บมาได้ เมื่อนึกขึ้นได้สายลมจึงเดินเข้าไปในบ้านทิ้งให้หมอกอยู่คนเดียว
“หนู น้ามีอะไรจะบอก” หัวหน้าคนงานพูดกับเด็กชายตัวเล็ก
หมอกเห็นชายแปลกหน้าสวมหน้ากากไหมพรมปกปิดใบหน้าเห็นแต่ดวงตาก็กลัว ไม่ยอมพูดด้วย
“หนู น้าขอถามอะไรหน่อยนะครับ”
เด็กชายหมอกลังเลใจว่าจะคุยกับคนแปลกหน้าดีไหม แต่พอคู่สนทนาพูดดีด้วยเด็กชายก็นึกว่าเขาเป็นคนดีและเดินไปคุยกับเขา
เสียงเอะอะของพ่อแม่ทำให้หมอกที่นอนหลับอยู่ในห้องนอนตกใจตื่น
“พี่ลม..พี่ลม” หมอกเขย่าตัวสายลมให้ตื่น
“พ่อแม่ทะเลาะกัน” น้องชายว่า
สายลมไม่ได้ออกความเห็น เขาเพิ่งจะงัวเงียตื่น รู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นแสงที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างมุ้งลวดนั้นสว่างจ้าราวกับกลางวัน
“กี่โมงแล้วเนี่ย” สายลมว่าพลางหยิบนาฬิกาปลุกมาดูแล้วก็ต้องตกใจ เข็มนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงตรง
“เที่ยงแล้วเหรอเนี่ย เป็นไปได้ยังไง” สายลมพูดเสียงดังจนน้องชายที่กำลังเหม่อลอยสะดุ้ง
“ไปล้างหน้าอาบน้ำแต่งตัวเร็วหมอก สายแล้วเดี๋ยวแม่ว่าเอา” พี่ชายว่าแล้วก็ลุกขึ้นพับผ้าห่มเก็บ ที่นอนน้องชายจึงลุกขึ้นตาม
“พ่อแม่ทะเลาะกันเหรอพี่ลม” หมอกถามเมื่อได้ยินเสียงโรยทองกับศิลาถกเถียงกันดังมาจากห้องติดกันซึ่งเป็นห้องนอนของพ่อแม่
“ไม่ใช่หรอก พ่อแม่แค่เถียงกัน” พี่ชายบอกแล้วจูงน้องเข้าห้องน้ำไป
กว่าสายลมจะอาบน้ำแต่งตัวให้น้องและจัดการธุระของตัวเองเสร็จก็ผ่านไปร่วมชั่วโมง ไม่เห็นใครอยู่ในบ้านจึงวิ่งออกไปดูที่สวน พอไปถึงเขาก็เห็นพ่อยืนพิงต้นไม้อย่างหมดอาลัยตายอยาก ส่วนแม่นั่งลงยองๆร้องไห้ไปบ่นไปว่า “หมดกัน หมดตัวแล้วคราวนี้”
สายลมวิ่งไปดูที่รถบรรทุกของพ่อก็เห็นว่ากระบะหลังรถที่เคยมีลังบรรจจุผลไม้หลายร้อยลังตั้งอยู่ บัดนี้ว่างเปล่า ไม่เหลืออะไรเลย เด็กชายพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อกลับเข้าบ้านศิลาก็ได้แต่กลัดกลุ้ม ครุ่นคิดวนไปวนมาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โรยทองเองก็กลุ้มใจไม่แพ้กัน แต่จะทำอย่างไรได้ ไม่ว่าอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป โรยทองจัดการทำอาหารให้เด็กๆกิน สายลมรับรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กชายเห็นพ่อแม่ไม่กินอะไรก็พลอยกลุ้มใจไปกับพ่อแม่จึงกินอาหารได้เพียงเล็กน้อย ผิดกับเจ้าตัวเล็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร ยังเอร็ดอร่อยกับอาหารตรงหน้าอย่างเคย
“มันเป็นไปได้ยังไง ขโมยเข้ามาในสวน ขนผลไม้ไปจนหมด มันใช้เวลาไม่ใช่น้อยๆ ทำไมไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรเลย” ศิลาพูดขึ้นหลังจากเงียบอยู่พักใหญ่
“นั่นสิพี่ ทำไมฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ปกตินาฬิกาปลุกไม่ได้ดังมากมาย ฉันยังตื่นเลยนะพี่ แต่นี่ตื่นตั้งเที่…”
“แม่โรย…” ศิลาพูดโพล่งขึ้นมา “หรือเราจะโดนวางยา”
“จะโดนได้ยังไงพี่ อาหารน้ำที่พวกเรากิน ฉันก็เป็นคนทำเองตลอด”
“น้ำ หมอกใส่ยาในน้ำ” หมอกพึมพำ
“หมอกว่าอะไรนะ” สายลมถาม
“หมอกใส่ยาในน้ำ” น้องชายตอบ
“ยาอะไร หมอกใส่ยาอะไรบอกให้รู้เรื่องซิลูก” ศิลาถาม
“ยา.. ยาบำรุง พี่คนนั้น บอกว่ายาบำรุงนะพ่อ”
“พี่คนนั้นน่ะใคร”
“คนที่มาเก็บส้ม เขาบอกว่าถ้าใส่ยาบำรุงในน้ำ…”
“นั่นไง ทำไมแกถึงได้โง่อย่างนี้นะ” โรยทองโวยขึ้น เมื่อแม่เสียงดังใส่เด็กชายตัวเล็กก็ตกใจกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“ใจเย็นก่อนแม่โรย ฟังลูกก่อน” ศิลาปราม
“จะต้องฟังอะไรอีกล่ะพี่ ฉันบอกพี่แล้ว ว่าเด็กคนนี้จะทำให้เราเดือดร้อนเข้าสักวัน แล้วเป็นไงล่ะ”
“พอเถอะแม่โรย หมอกมันไม่รู้เรื่อง ว่าไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา”
“อ้อ… มันทำขนาดนี้ ฉันยังว่ามันไม่ได้อีกเหรอ… มองหน้าทำไม หา เพราะความ โง่… ของแกไง เราถึงฉิบหายวายวอดอย่างนี้”
โรยทองระงับอารมณ์ไม่อยู่หันไปมองเจ้าตัวเล็ก เห็นเด็กน้อยมองหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆก็ยิ่งโมโห เดินเข้าไปต่อว่า เอานิ้วจิ้มหน้าผากหมอกประกอบคำว่า “โง่” พอโดนเข้าอย่างนี้เด็กชายก็น้ำตาร่วง
“พี่เขาบอกว่าเป็นยาบำรุง กินแล้วพ่อจะหายไม่สบาย ทุกคนก็กินได้ จะได้แข็งแรง” เด็กชายหมอกพูดไปร้องไห้ไป
“แข็งแรงเหรอ แล้วแกก็โง่เชื่อเขา โอ๊ย… ฉันทำบาปทำกรรมอะไรเนี่ยถึงต้องมาเลี้ยงดูคนอย่างแกเนี่ย หา ไอ้หมอก หาประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ แล้วฉันจะเลี้ยงแกไปทำไม หยุดเลยนะ ไม่ต้องมาบีบน้ำตา”
“หมอกขอโทษครับ” เด็กชายบอกพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ ขอโทษแล้วได้ของที่ขโมยมันเอาไปคืนมาหรือไง ไปเลยนะ ไปให้พ้นหน้าฉันเลย ไปไหนก็ไป เดี๋ยวแม่ตีตายเลยจริงๆ”
พอได้ยินว่าจะถูกตี เด็กชายก็ตกใจทั้งยังเสียใจที่ตัวเองทำผิด เมื่อโดนไล่จึงวิ่งร้องไห้ออกจากบ้านไป
“แม่โรยอย่า…” ศิลาจะร้องห้ามภรรยา แต่ไม่ทันไรก็ซวนเซจะล้ม โรยทองร้องเรียกให้ลูกชายมาช่วย สายลมที่กำลังจะวิ่งตามน้องไปจึงหยุดชะงัก
โรยทองพยุงสามีเข้าไปพักในห้องนอน ศิลาตั้งท่าจะต่อว่าภรรยาที่ดุว่าเจ้าตัวเล็ก แต่โรยทองไม่ฟังซ้ำยังห้ามไม่ให้เขาพูดเพราะกำลังไม่สบาย โรยทองจัดการให้สามีนอนพักผ่อนบนเตียงแล้วหันไปสั่งลูกชาย
“ลม ไปตามลุงหมอวัฒน์มาดูพ่อหน่อยไปลูกไป เอาจักรยานไปนะ จะได้เร็วๆ”
สายลมรีบวิ่งออกมาที่หน้าบ้าน คว้าจักรยานปั่นไปที่บ้านหมอสุวัฒน์ หมอประจำของพ่อทันที แม้เด็กชายจะเป็นห่วงน้องที่วิ่งหายไป แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าหมอกเป็นเด็กขี้กลัวคงหนีไปไหนไม่ได้ไกล ตอนนี้สิ่งที่ต้องเป็นห่วงมากกว่าคืออาการป่วยของผู้เป็นพ่อ
ปกติวันศุกร์แบบนี้หมอสุวัฒน์มักจะออกตรวจที่โรงพยาบาลแค่ครึ่งวัน แต่บ่ายวันนี้เมื่อสายลมไปถึงบ้านของคุณหมอที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนักกลับไม่พบตัวท่าน ลูกสาวของคุณหมอบอกว่าคุณหมอเพิ่งถูกตามตัวไปที่โรงพยาบาลเพราะมีคนไข้อาการหนัก สายลมตัดสินใจปั่นจักรยานตามไปที่โรงพยาบาล
คุณหมอสุวัฒน์ทำการรักษาคนไข้อยู่นานถึงสองชั่วโมง กว่าเด็กชายสายลมจะได้ติดรถคุณหมอกลับมาที่บ้านก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆเกือบจะล่วงเข้าสู่เวลาเย็น สายลมเป็นห่วงน้องชายมาก เขาถามถึงน้องก่อนจะถามอาการของพ่อเสียอีก
“หายไปไหนของมันก็ไม่รู้” แม่บอกสายลมเมื่อเขาถามถึงน้องหมอก ถึงแม้แม่จะพูดเหมือนไปสนใจไยดีน้อง แต่น้ำเสียงก็ไม่เกรี้ยวกราดเหมือนตอนที่ดุน้องแล้ว สายลมยิ่งแน่ใจว่าแม่ไม่โกรธน้องแล้วเมื่อแม่เรียกให้เขารอก่อน แล้วหิ้วถุงพลาสติกใส่กระบอกน้ำพลาสติกใสใบใหญ่แบบมีหลอดพลาสติกและฝาปิดออกจากครัวมาส่งให้ ภายในกระบอกใบนั้นมีนมสดผสมน้ำแดงบรรจุอยู่เกือบเต็ม
สายลมวิ่งร้องเรียกตามหาน้องจนทั่วสวนก็ไม่พบ เด็กชายเอาถุงกระบอกน้ำใส่ไว้ในตะกร้าหน้ารถจักรยาน แล้วปั่นไปตามหาน้องที่โรงเรียนและตลาดใกล้บ้าน เจอคนรู้จักก็ถามหา แต่ก็ไม่มีใครพบหมอกเลย ท้องฟ้าก็มืดลงทุกที เมื่อหมดหวังที่จะพบน้องเด็กชายก็ตัดสินใจกลับบ้าน
สายลมเอาจักรยานเข้าจอดในที่ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองไปเห็นรถบรรทุกที่มีผ้าใบคลุมกระบะท้ายมิดชิด เด็กชายแทบจะตบหัวตัวเองด้วยความเจ็บใจที่ไม่สังเกตเห็นสิ่งนี้ตั้งแต่แรก
เด็กชายหมอกซ่อนตัวอยู่บนกระบะท้ายรถบรรทุก เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงต้องมาอยู่ที่นี่ รู้เพียงแต่ว่าที่นี่ทำให้รู้สึกปลอดภัย เมื่อฟื้นขึ้นที่โรงพยาบาลหลังเกิดเหตุร้ายหมอกก็จำเรื่องราวก่อนหน้านั้นไม่ได้ เด็กชายจึงไม่รู้ว่าความรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้พบกับพี่ชายนั่นเองที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก และทำให้เด็กชายกลับมาอยู่ที่นี่เมื่อรู้สึกไร้ที่พึ่ง
“จ๊ะเอ๋ หมอกอยู่นี่เอง” พี่ชายร้องทักเมื่อแหวกผ้าใบโผล่หน้าเข้ามาดู น้องชายหันมามองด้วยหางตา แล้วเมินหน้าไป พี่ชายรีบปีนขึ้นมาบนรถ เมื่อเห็นว่าน้องไม่หันมามองก็ซ่อนกระบอกน้ำไว้ข้างหลัง
“หมอกมาหลบอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่ตามหา เรียกหาตั้งนาน ทำไมหมอกไม่ตอบ”
“หมอกไม่อยากตอบ”
“ทำไมล่ะ หมอกโกรธที่แม่ดุเหรอ”
“หมอกกลัว ไม่รู้ว่าแม่มากับพี่ลมหรือเปล่า”
“โธ่..” พี่ชายร้อง
“หมอกกลับไปบ้านไม่ได้แล้ว แม่บอกให้หมอกไปให้พ้น แม่ไม่ให้หมอกอยู่ด้วยแล้ว แต่หมอกไม่รู้จะไปไหน”
“โธ่เอ๊ย แม่กำลังโกรธ แม่ก็พูดไปอย่างงั้นแหละ”
“แม่พูดจริงๆ หมอกรู้ แม่ทำงี้ด้วย” น้องชายเอานิ้วมือจิ้มหน้าผากพี่ชายเหมือนกับที่แม่ทำกับตัวเอง
พี่ชายหัวเราะ แล้วว่า “แม่ไม่โกรธหมอกแล้วล่ะ แม่รักหมอกนะ เชื่อพี่สิ”
น้องชายส่ายหน้าดิกๆ พี่ชายจึงเอากระบอกพลาสติกที่ซ่อนไว้ข้างหลังส่งให้
“นมชมพู” เด็กตัวเล็กร้องอย่างตื่นเต้น
“แม่ฝากมาให้หมอก”
“ใส่ขนมปังด้วยนะพี่ลม” เด็กชายตื่นเต้นกว่าเดิม
“ใช่สิ แม่ทำให้พิเศษเลยนะ ถ้าแม่ไม่รักหมอก แม่จะทำให้หมอกทำไม ใช่ไหม”
“หมอกโง่จะตายไป เดี๋ยวหมอกก็ทำให้พ่อแม่เดือดร้อนอีก แล้วแม่ก็จะไล่หมอกอีก”
“ไม่หรอกน่า หมอกเป็นน้องพี่ลม พี่ลมไม่ให้ใครมาไล่หมอกหรอก”
“จริงๆนะ” น้องชายถาม
“จริงสิ… กินนมซะ” พี่ชายว่า
คราวนี้น้องชายยิ้มได้ จึงค่อยๆดูดนมอย่างสบายอารมณ์ ทำให้พี่ชายค่อยโล่งใจ
“สามสิบสอง สระอา ยี่สิบ สระอา” หมอกพึมพำหลังจากอิ่มนมแล้ว
“อะไรเหรอหมอก” พี่ชายถาม
“สามสิบสอง สระอา ยี่สิบ สระอา” น้องชายพึมพำซ้ำอีก
“สามสิบสอง คือ ภ สำเภา ยี่สิบ คือ ด เด็ก… ภ สระอา ด สระอา” สายลมถอดรหัส “ภาดา ภาดา คืออะไรเหรอหมอก”
“ภาดา หมายถึง พี่ชายหรือน้องชาย”
“หมอกรู้ได้ยังไง” สายลมถามแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเองเป็นคนสั่งให้น้องชายหาและหัดอ่านคำศัพท์ที่มีสระอา หมอกคงจะเจอคำศัพท์นี้ในพจนานุกรม
“พี่ลมเป็นภาดาของหมอก หมอกก็เป็นภาดาของพี่ลม” เจ้าตัวเล็กพูดแล้วหัวเราะร่วน
“ใช่แล้ว เราเป็นพี่น้อง เราจะเป็นพี่น้องกันตลอดไปนะ” สายลมบอก แล้วสอนให้น้องชายเกี่ยวก้อยสัญญากัน