ดวงใจระบายสี บทที่ 2 : สนามหญ้าหน้าบ้าน

ดวงใจระบายสี บทที่ 2 : สนามหญ้าหน้าบ้าน

โดย : ปิยะพร  ศักดิ์เกษม

Loading

ดวงใจระบายสี โดย ปิยะพร ศักดิ์เกษม เรื่องราวของใจสกาว หญิงสาวที่เปรียบเสมือนผ้าขาวสะอาด เมื่อเธอตัดสินใจไปเมืองหลวงโลกอย่างนิวยอร์ก สีสันต่างๆ ก็เริ่มแต่งแต้มชีวิตของเธอ สีสันที่มาพร้อมชายหนุ่มสามคนที่กลายเป็นสีสามสีที่ปาดป้ายระบายลงในดวงใจของเธอ… นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาจ้า

————————————————————————–

อุบัติเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบสามปีก่อนพรากมารดาของใจสกาวไปอย่างไม่มีวันกลับ เหตุการณ์ครั้งนั้นกลายเป็นเรื่องเล่าขานอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ เธอเองก็ได้ยินเสียงซุบซิบมาตั้งแต่ยังเด็ก

…ทุกครั้งที่หญิงสาวไปที่ที่ทำงานของบิดาก็เหมือนกับตนเองเป็นสายลมที่พัดพาเอาเรื่องเก่าๆ กลับมาให้บรรดาพนักงานได้พูดถึงกันอีกครั้ง

แน่ละ ทุกครั้ง… ทุกคนจะต้องหรี่เสียงซุบซิบ แต่ก่อนคือสงสารอาการแตกสลายเหมือนกับมีแต่ตัวไร้หัวใจของธีรชัย เวทนาเด็กหญิงตัวน้อยที่ขาดมารดา หากเมื่อถึงตอนนี้มันก็แปรไปเป็นการต้องกระซิบกระซาบเพราะเกรงใจณัฐพร ภรรยาคนใหม่

“เขาว่ากันว่าคุณจิตใส แกขดตัวบังท้องเอาไว้” ไม่มีใครได้เห็นกับตาเป็นแต่เพียงเขาเล่าว่าต่อๆ กันมาทั้งสิ้น “แกถึงได้รับบาดเจ็บหนักที่หลังและหัว ถึงจะอยู่ ก็ไม่พ้นสภาพเป็นผัก… ลูกสาวเองก็ต้องอยู่ในตู้อบนานมาก ผ่าควักออกมาตัวเล็กเท่าลูกหนูเขาเลยเรียกกันว่าน้องหนู ยายหนูไงล่ะ”

แม้จะตกใจและเสียใจจนแทบล้มทั้งยืนเมื่อได้ข่าวภรรยา หากธีรชัยก็สู้สุดแรงเพื่อให้ทั้งภรรยาและลูกสาวที่ต้องผ่าออกมาก่อนกำหนดมีชีวิตอยู่ เขาหวังว่าภรรยาจะหายเป็นปกติและฟื้นคืน… ทุกคนที่ทำงานอยู่ในช่วงนั้นยังจำภาพในอดีตได้ดี…

ภาพชายหนุ่มผู้กำลังมีอนาคตก้าวหน้าในองค์กรยืนข้างเตียงภรรยาที่มีสายระโยงระยาง สลับกับการไปยืนเกาะบานกระจกดูลูกลูกสาวตัวเล็กจ้อยที่ยังอยู่ในตู้อบทุกวัน

“คุณจิตใสแกเจ็บหนักยับเยิน แก้ไขไม่ขึ้น ตอนนั้นอยู่ได้ด้วยเครื่อง คุณธีรชัยแกก็ไม่ยอมให้ปลด ยังหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์”

หากปาฎิหาริย์ไม่เคยมีจริง… วันที่ใจสกาวออกจากตู้อบมาอยู่ในอ้อมแขนพ่อเป็นครั้งแรก คือวันที่จิตใสลาโลก

“แกไปเองไม่ต้องให้ใครตัดสินใจถอดปลั๊ก… คุณธีรชัยรักลูกรักเมีย รักมากจนไม่เคยมองหาใครมาแทน… เป็นหนุ่มโสดเนื้อหอมอยู่จนน้องหนูโตเป็นสาว”

เมื่อซุบซิบกันมาถึงตรงนี้ก็มักมีคนพูดกลั้วหัวเราะด้วยเสียงที่เบายิ่งกว่า… “เอาตัวรอดมาได้ตลอดจนกระทั่งมาติดบ่วงเพราะความซื่อของน้องหนู”

หลังจากภรรยาจากไป ธีรชัยก็ทุ่มตัวเองลงไปกับการงานจนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องลูกเรื่องบ้าน คุณธีรา มารดาของเขา ก็ก้าวเข้ามาดูแลแทน

แม้จะขาดแม่ หากใจสกาวก็เติบโตอย่างอบอุ่น ผู้เป็นย่ากับบิดาช่วยกันปกป้องดูแลและขจัดปัดเป่าปัญหาทุกเรื่องออกจากชีวิตของเธอได้หมดสิ้น… หมดสิ้นทุกประการจนสร้างให้หญิงสาวกลายเป็นคนไร้เล่ห์เหลี่ยม วางใจโลกและผู้คนง่ายดาย

การดูแลปกป้องและสรรสร้างทุกสิ่งให้ของคุณธีราและคุณธีรชัยทำให้หัวใจของใจสกาวกลายเป็นผ้าขาว สดใส สะอาดสะอ้านและซื่อตรง… มาก… จนถึงขั้นที่เพื่อนฝูงบ่นกันอย่างเบื่อหน่าย

“ยายหนูมันเซ่อ… เอ๊ย! ซื่อบริสุทธิ์… เห็นโลกทั้งใบเป็นทุ่งหญ้า แล้วมันก็กางแขนวิ่งถลาลงมาพลาง ร้องเพลงไปพลาง…”

หากนั่นคือโลกและตัวตนของเธอ! ใจสกาวไม่เคยคิดตำหนิ ไม่เคยน้อยใจ ไม่เคยไม่พอใจกับถ้อยคำของเพื่อน เพราะถึงที่สุดแล้วเพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกันมาตั้งแต่เด็กกลุ่มนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ทุกคนยอมรับตัวตนของเธอ ซ้ำหลายคนยังออกหน้าปกป้องดูแลเธอไม่ต่างจากที่คุณย่าและบิดาของเธอทำ

ชีวิตของใจสกาวจะสะดุดกับความเศร้าและว้าเหว่บ้างก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งเมื่อคุณธีราเจ็บป่วยและเสียชีวิต ช่วงนั้นคือช่วงที่เธอเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า ซ้ำยังเป็นช่วงที่เพื่อนๆ ซึ่งเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลแยกย้ายกันไปเรียนต่างโรงเรียนต่างความสนใจ

บ้านทั้งหลังและชีวิตของเธอจึงโล่ง ว่าง จนสองพ่อลูกตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นกับกิจกรรมของสโมสรพนักงาน

เมื่อกลับจากการท่องเที่ยวในครั้งนั้นแค่สามสี่เดือน หญิงสาวผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามาในชีวิต เจ้าหล่อนเดินเข้ามาทักอย่างง่ายๆ ภายในซูเปอร์มาร์เกตเมื่อเธอเลือกซื้อของใช้ หยิบของเจ้านั้นเจ้านี้ขึ้นมาอ่านรายละเอียด ดูราคา แล้ววางอย่างตัดสินใจไม่ถูก

“เลือกยากใช่ไหมคะ หน้าตามันเหมือนๆ กัน” ใจสกาวไม่เคยหวาดระแวงคนแปลกหน้า คุณย่าของเธอ… คุณธีรา… ก็ช่างพูดช่างคุย รู้จักมักคุ้นกับทั้งพนักงานและลูกค้าของที่นี่แทบทุกคน หญิงสาวที่เข้ามาชวนคุยแม้จะเป็นคนแปลกหน้าที่เธอไม่เคยพบ หากใจสกาวก็ยังคงต่อการสนทนา

แล้วการสนทนานั้นก็เลื่อนไหลไปถึงการเรียน การเลือกสาขาวิชาในมหาวิทยาลัย

“พี่รู้จักน้องหนู… ความจริงพี่ทำงานที่เดียวกับคุณพ่อของน้องหนู แต่พี่อยู่แผนกบัญชี พี่ชื่อพี่นัท”

ใจสกาวไม่เคยรู้ว่าบิดาของตนอยู่ในตำแหน่งที่สูงขนาดไหน แม้จะอายุแค่สี่สิบกลางๆ หากเขาก็เก่งกาจจนกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บริหารระดับสูงขององค์กรและมีแนวโน้มว่าจะก้าวขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุดก่อนการเกษียณอายุ

…ด้วยตำแหน่งหน้าที่ เขาไม่มีทางรู้จักพนักงานบัญชีตัวเล็กๆ อย่างณัฐพร… ถ้าฝ่ายนั้นจะไม่เดินเคียงคู่มากับลูกสาวคนเดียวของเขา มือหนึ่งแตะรถจ่ายของของซูเปอร์มาร์เกตเหมือนช่วยเข็น ทั้งคู่เอียงหน้าคุยกันอย่างเพลิดเพลิน

เมื่อเข้ามาถึงตัวหญิงสาวก็โน้มตัวลงทำความเคารพ แนะนำตัวแนะนำชื่อและหน่วยงานด้วยมารยาทที่ไม่มีที่ติ

ณัฐพรปรากฏตัวแล้วก้าวเข้ามาอยู่ในโลกของธีรชัยได้… โลกที่เคยมีแต่ใจสกาวและงานที่เขาทุ่มตัวลงไปเพื่อให้ลืมเหตุร้ายในชีวิต เพื่อตัดความระลึกถึงทุกลมหายใจเข้าออกที่มีต่อภรรยาสุดที่รัก… หญิงสาวก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบ แนบเนียน แสนฉลาด และเปี่ยมชั้นเชิง

เธอฉลาดมากพอที่จะไม่ก้าวเข้ามาในโลกของสองพ่อลูกรวดเร็วเกินไป ครั้งแรกก็แค่แนะนำตัว แล้วหลังจากนั้นก็เลือกพบใจสกาวอีกหลายครั้งที่ซูเปอร์มาร์เกตแห่งเดิม ร้านไอศกรีมหรือมิฉะนั้นก็เลาจน์ของลูกค้าห้างสรรพสินค้าใกล้ที่ทำงานของธีรชัย

ทั้งๆ ที่ทำงานอยู่ในตึกเดียวกัน แม้จะต่างชั้นต่างแผนก หากณัฐพรก็เลือกที่จะไม่พบสองพ่อลูกในบริษัท มีบางครั้งที่เดินสวนกับธีรชัย หญิงสาวก็แค่ยกมือไหว้ทำความเคารพ แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทางด้วยสีหน้าท่าทีเรียบละมุนเป็นปกติ

…รู้ดีว่าในที่ทำงาน… มากคนก็มากความ ความสนิทสนมคุ้นเคยกับใจสกาว… หรือไม่ต้องถึงขั้นคุ้นเคย แค่ธีรชัยมองเห็น… เธอก็จะกลายเป็นเป้าสายตา เป็นเป้าหมายให้คนปากมากพากันซุบซิบคาดเดา

แล้วมันจะทำให้เสียเรื่อง!

หญิงสาวเลือกก้าวผ่านประตูบานที่เปิดกว้าง ไร้ขวากหนามอุปสรรค ปราศจากหลุมบ่อค่ายกลใดๆ… ประตูบานที่มีชื่อว่า ‘ใจสกาว’… และหลังจากการพบปะพูดคุยกันไม่กี่ครั้ง ณัฐพรก็สามารถทำให้เด็กสาวบอกกับบิดา

“น้องหนูเปลี่ยนใจแล้วค่ะพ่อ น้องหนูไม่เรียนสถาปัตย์ละ ดูแล้วคงกวดวิชาความสามารถพิเศษไม่ทัน… ไปเรียนบัญชีดีกว่า”

“อะไรก็ได้ที่หนูอยากเรียน เรียนแล้วมีความสุข” ธีรชัยบอกทันควันเขาอยู่ในฐานะที่จะสนับสนุนลูกสาวคนเดียวได้ทุกทาง… โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่คือลูกสาวผู้เป็นตัวแทนของภรรยาสุดที่รัก…

“น้องหนูมีความสุขกับการเรียนหนังสือค่ะ พ่อ” ใจสกาวตอบเสียงใส แล้วก็พูดต่อด้วยถ้อยคำที่เพิ่งค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาในความคิดของเธอเมื่อไม่นานมานี้

มันเข้ามาบ่อยๆ ซ้ำๆ เรียบๆ และแนบเนียน

“พี่นัทเห็นคะแนนของน้องหนูแล้วบอกว่าเสียดายถ้าน้องหนูจะทิ้งคณิตศาสตร์ พี่นัทบอกว่าน้องหนูมีพรสวรรค์ทางคณิตศาสตร์ แต่ไม่ค่อยมีพรสวรรค์ทางฟิสิกส์ เลยอยากให้ยึดคณิตศาสตร์ไว้ อะไรที่เป็นจุดเด่นของเรา เราต้องยึดไว้ค่ะ”

ความสุขความกระตือรือร้น และความมั่นใจในดวงตาของบุตรสาวทำให้ธีรชัยเบาใจยิ่งนัก หลังมรณกรรมของคุณธีรา ดวงตาคู่ที่เขารักที่สุดคู่นี้… ดวงตาที่ถอดแบบออกมาจากจิตใสภรรยาผู้ล่วงลับของเขา… เจือไปด้วยความหม่นหมองและว้าเหว่อยู่พักหนึ่ง

ตอนนี้ความอบอุ่นและความสุขที่เคยขาดหายไปกลับมาแล้ว มาพร้อมๆ กับความเชื่อมั่นวางใจในตัวหญิงสาวที่ใจสกาวเรียกว่า ‘พี่นัท’

“บ่ายๆ พรุ่งนี้พี่นัทชวนน้องหนูไปเดินเล่นค่ะ เราจะเข้าไปดูคณะที่พี่นัทเคยเรียน พี่นัทจบบัญชีค่ะพ่อ จบที่นี่แหละได้เกียรตินิยมอันดับสอง… พี่นัทบอกว่าถ้ามีพรสวรรค์ทางคณิตศาสตร์อย่างน้องหนู ต้องได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองแน่ๆ”

ธีรชัยฟังคำพูดกลั้วหัวเราะของลูกสาวอย่างเพลิดเพลิน ชื่อของพนักงานสาวในบริษัทมีอยู่ในคำพูดของใจสกาวทุกประโยค ประโยคละหลายๆ ครั้ง… เป็นแบบนี้มาตั้งแค่ครั้งแรกที่ได้เห็นกันที่ซูเปอร์มาร์เกตใกล้บ้าน…

มันสร้างความไว้วางใจ และก่อให้เกิดความรู้สึกเหมือนติดค้างบุญคุณ… หนุ่มใหญ่จึงไม่คัดค้านเลยเมื่อลูกสาวบอก

“พรุ่งนี้น้องหนูจะเลี้ยงข้าวเย็นพี่นัท ว่าจะหาร้านอาหารดีๆ แถวๆ นั้นแหละค่ะ… เราจะไปกันด้วยรถไฟใต้ดิน พ่อไปรับน้องหนูที่จามสแควร์นะคะ… ไม่เอาละ! พ่อมากินข้าวเย็นกับพวกเราดีกว่า”

มื้อเย็นวันนั้นเองคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ณัฐพรได้ก้าวเข้าไปอยู่ในชีวิตของสองพ่อลูกเต็มตัว ถึงวันนี้หากมีใครถามใจสกาวก็คงจะยังงุนงง ตอบไม่ถูกเหมือนกันว่า ชื่อภัตตาคารที่มีบรรยากาศโรแมนติก หรูหราและแสนแพงที่อยู่ในตึกสูงแห่งนั้นเข้ามาอยู่ในใจเธอได้อย่างไร

…ได้อ่านพบจากนิตยสาร เสิร์ชเจอในอินเทอร์เน็ต หรือใครกันที่เป็นคนบอก?…

ใจสกาวจำรายละเอียดใดๆ ในค่ำวันนั้นไม่ได้มากนัก รู้เพียงว่ามันมีแต่ความสนุกสนานรื่นรมย์ รู้สึกว่าได้อบอุ่นปลอดภัยอยู่กับบิดา… มีมือที่แสนฉลาดและนุ่มนวลอีกมือหนึ่งสอดเข้ามาช่วยรองรับและประคับประคองเธอ

คืนวันนั้นสองพ่อลูกตั้งใจจะขับรถย้อนไปส่งณัฐพร ซึ่งจอดรถเอาไว้ที่ที่จอดรถของของบริษัทก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน หากเมื่อขึ้นรถไปได้แค่ไม่กี่นาทีใจสกาวก็หลับพับลงกับเบาะ อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ไวน์ที่ได้ดื่มเข้าไประหว่างมื้ออาหารตามที่มีคำแนะนำ “หัวหน้าให้น้องหนูรู้รสเสียบ้างก็ดีค่ะ ได้ลองได้รู้อยู่ในสายตาเรา ดีที่สุด” แผนที่กะการณ์กันไว้จึงเปลี่ยน…

ก่อนที่เธอจะเคลิ้มหลับสนิทก็คือเสียงหัวเราะเบาๆ ของณัฐพร

“หลับพับแบบนี้เมื่อยแย่ ผ่านบ้านหัวหน้า แวะเอาน้องหนูไปนอนเสียก่อนดีไหมคะ แล้วนัท เอ้อ! ดิฉันนั่งแท็กซี่ต่อได้ค่ะ”

เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นใจสกาวไม่รู้อีกแล้ว… ไม่รู้ว่าหลังจากที่เธอเดินเซเปะปะงุนงงด้วยความง่วงเข้าไปในบ้าน ธีรชัยก็ปฎิเสธเด็ดขาดไม่ยอมให้ณัฐพรนั่งแท็กซี่ต่อไปเองตามที่อีกฝ่ายอาสา เขาเป็นผู้ขับรถไปส่งถึงที่จอดรถของบริษัท และระหว่างทางที่อยู่ตามลำพังนั่นเองคือโอกาสของการพูดคุยกัน

…จะมีการพูดคุยเรื่องไหนแบบใดที่ทำให้ธีรชัยสนใจ และเปิดใจได้มากไปกว่าเรื่องของลูกสาวคนเดียว… และณัฐพรก็เลือกเรื่องนั้น

“เกรดคณิตศาสตร์ของน้องหนูดีอย่างน่าทึ่งเชียวค่ะ ดูเหมือนจะมีพรสวรรค์ในทางนั้น ความจริงถ้าจะเรียนคณะที่ตั้งใจไว้แต่เดิมก็คงจะพอได้ไม่น่าพลาด” หญิงสาวพูดอย่างนุ่มนวล

“แต่นัท… เอ้อ! ขอโทษค่ะ ดิฉัน…” หญิงสาวทำท่าเหมือนตกใจที่ตนเองพูดจาตีสนิทกับผู้บริหารของบริษัท แต่การเรียกตัวเองด้วยชื่อเล่นก็ตามมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่าจน จนกลายเป็นความเคยชินทั้งของผู้พูดและผู้ฟัง

“…นัทมีความเห็นว่าชีวิตของน้องหนูไม่ควรแค่คำว่าพอได้น่ะค่ะ เขาโดดเด่นมาก มีพรสวรรค์เรื่องตัวเลขมาก ก็เลยอยากให้เขาไปในทางที่เขาถนัด” ในดวงตากับคำพูดของเธอมีแต่ความจริงจังและเป็นห่วงเป็นใย

ณัฐพรไม่พูดถึงความต้องการที่แท้จริงของตนเองว่า เธอขอเลือกไม่ปล่อยให้ใจสกาวออกไปเรียนรู้โลกที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์ โลกที่จะทำให้เจ้าหล่อนแคล่วคล่องว่องไว หูตากว้างขวาง แต่ขอเลือกเก็บเจ้าหล่อนไว้กับตารางตัวเลขและความซื่อตรงแบบที่เจ้าตัวเป็นอยู่ดีกว่า!

“อีกเรื่องหนึ่งก็คือเวลาที่จะไปกวดวิชาด้านความถนัดมันน้อยเกินไปค่ะ กลัวว่าถ้าเกิดพลาดขึ้นมาจะเสียใจ ถ้าจะให้น้องหนูทำงานหนักดูหนังสือให้หนักกว่านี้ก็เกรงว่าจะเหนื่อย นัทอยากให้เขาสบายๆ กับชีวิตมากกว่า… ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เรียนอะไร เราดูแลเขาได้นะคะ ไม่จำเป็นต้องไปผลักดันให้เขาทำงานหนักเลยค่ะ”

คำว่า ‘เรา’ เลื่อนผ่านปากณัฐพรไปราวกับเป็นคำที่ใช้มาแล้วนับพันนับหมื่นครั้ง และมันก็ค่อยๆ ฝังลงไปในใจของธีรชัยอย่างหนักแน่นและแนบเนียน…

หญิงสาวค่อย ๆ แทรกเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างสองพ่อลูก แล้วในที่สุดก็ได้ก้าวเข้ามาอยู่ในบ้านในฐานะภรรยาคนใหม่ของธีรชัย

เป็นมารดาเลี้ยงและผู้ดูแลที่มีอายุแก่กว่าเพียงหนึ่งรอบของใจสกาว

 


ดวงใจระบายสี โดย ปิยะพร ศักดิ์เกษม เรื่องราวของใจสกาว หญิงสาวที่เปรียบเสมือนผ้าขาวสะอาด เมื่อเธอตัดสินใจไปเมืองหลวงโลกอย่างนิวยอร์ก สีสันต่างๆ ก็เริ่มแต่งแต้มชีวิตของเธอ สีสันที่มาพร้อมชายหนุ่มสามคนที่กลายเป็นสีสามสีที่ปาดป้ายระบายลงในดวงใจของเธอ… นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาจ้า



Don`t copy text!