ปล้นดวงใจมหาสมุทร บทที่ 1 : เจ้าหญิงหอยกาบ
โดย : อสิตา
ปล้นดวงใจมหาสมุทร โดย อสิตา เธอและเขาเป็นลูกคนละแม่ที่แค่เห็นหน้าก็แทบพุ่งเข้ากัดกันแต่อยู่ดีๆ ท่านทวดที่ไม่ใช่มนุษย์แต่หน้าตาเหมือนโพไซดอนก็มาบอกให้ตามล่าหาเนื้อคู่ให้เจอและทั้งคู่จะตายก่อนวันเกิดครบสามสิบ! ศึกแย่งสมบัติของเจ้าสมุทรก็ว่าหนักแล้ว ยังต้องวิ่งหนีจากความตายอีก เรื่องราวจะเป็นยังไง อ่านออนไลน์ได้ที่อ่านเอา
ชายสวมเสื้อนอกขาวก้าวขึ้นรถหรูสีมุก
อายุอานามล่วงเข้าห้าสิบมาหลายปีแต่ผมสั้นเซตไว้แข็งตั้งย้อมจนดำดีสีไม่ตกสักเส้น ด้วยกล้ามแน่นๆ หุ่นฟิตๆ ก็คาดหวังว่าจะประคองคำว่า ‘หนุ่มใหญ่’ ต่อไปได้อีกสักสิบปี อย่างน้อยเปลือกนอกเช่นนี้ก็หลอกตาคนได้ แม้ไม่ได้หวังเรื่องดูดีในสายตาสาวๆ แต่เขาเป็นคนมีมาด ชอบความสง่า ภูมิฐาน
ตึกฝรั่งสีขาวแบบเก่าถูกบำรุงรักษาจนใหม่เอี่ยมเปล่งประกายแทบไม่ต่างจากวัง เห็นความงามของมันได้ชัดเพราะช่วงกลางปีฟ้าสว่างเร็ว ยังไม่หกโมงเช้าแต่งานของเขาเริ่มขึ้นแล้ว เจ้าของร่างบึกบึนในสูทรัดรูปเกินจะเรียกว่าพอดีตัวค่อยๆ ตีรถจากโรงจอดซึ่งแยกออกมาต่างหาก ขับอ้อมไปตามถนนหลังตึกใหญ่ซึ่งโค้งเป็นรูปตัว U หลังส่วนโค้งคือบริเวณหลังบ้าน ชั่วจังหวะเข้าโค้งนิ่มๆ…ไม่วาย ขวดแก้วซึ่งถูกซุกไว้ใต้ที่นั่งข้างคนขับกลิ้งออกมา น้ำสีอำพันแทบไม่เหลือติดก้น
หนุ่มใหญ่ขบกรามกับสุราขวดดังกล่าว
คนดื่มไม่ใช่เขา บ้านที่เหมือนวังนี้ก็ไม่ใช่บ้านเขา!
เขาเป็นคนขับรถ เป็นบอดี้การ์ด เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว
ไม่ได้นึกอยากได้ใคร่มีเทียมหน้านายแต่อย่างใด พอใจจะเป็นคนขับรถผู้โอ่อ่าสง่างามไปจนสิ้นลมด้วยซ้ำ แต่ฉุนเพราะไม่ชอบใจสิ่งใดก็ตามที่ผิดระเบียบ เฉออกนอกลู่นอกทาง และคนที่เขาจำเป็นต้องดูแลไม่ต่างจากลูกหลานก็มักจะออกลายเช่นนั้นเสมอ…ตลอดเวลา! ลับหลังคนนอก! เขาซึ่งไม่อยากแก่แต่อุตส่าห์ยอมให้เรียกลุงก็ได้แต่ขัดใจ ด้วยฐานะต่างกันทำให้ไม่อาจดุว่า ก็ไม่ได้ชอบพูดให้เสียมาดอยู่แล้ว อย่างมากก็ตำหนิด้วยสายตาอย่างรุนแรงจนอีกฝ่ายค่อนว่าจิกจนตาแทบแตก
ตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงตัวกะเปี๊ยกร่ำร้องจะเลี้ยงแมว เขาจำยอมตามใจพาไปซื้อถึงจตุจักร ไม่ใช่ฟาร์มแมวแบบสมัยนิยมเดี๋ยวนี้ แม้ไม่เคยชอบใจเรื่องขนที่มักจะติดเสื้อผ้า ติดไปทั่วบ้าน ถูกตามใจกันเข้าไปทุกเรื่อง แค่ดูๆ ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางมากไปนัก เมื่อคืนยังยืนยันจะออกไปเมาแถมไม่ยอมกลับบ้านจนตีหนึ่ง คนตามเก็บซากจะเป็นใครได้อีกนอกจากเขา ทั้งสาวทั้งสวยขนาดนั้น แม้ในสายตาลุง…คนเก่าคนแก่ของบ้านจะมองเป็นเด็กเสมอ แต่พวกเสือหิวไม่คิดเช่นนั้น
ผู้ชายสมัยนี้มันกระจอก! ไม่ว่าหนุ่มหน้าไหนอาศัยกำลังเขาเพียงคนเดียวก็เอาอยู่ หมัดเดียวร่วง แล้วนี่จะไม่ให้รู้สึกว่ายังหนุ่มแน่นได้อย่างไร
หึ เขากับคนที่ตนต้องดูแลอาจเหมือนกันอยู่อย่าง พึงใจจะ ‘ดูดีเป็นอย่างยิ่ง’ ในสายตาชาวบ้าน สันดานดิบหนาเกินขัดเกลา ทว่าหนังหน้าบางเฉียบ
เขาเองเพิ่งนอนไปแค่สามชั่วโมง แต่สามารถไหล่ตั้งหลังตึงไปจนดึกได้โดยไม่หลับใน เพราะเขาน่ะแข็งแกร่ง ต่างจากเด็กอ่อนบนตึกที่แน่นอนว่าต้องเมาค้างก็ยังดันทุรัง รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้งานช้างรออยู่
จอดรถเทียบบริเวณขาซ้ายของตึกทรงตัว U ไม่ไกลกัน ด้านนี้ซึ่งเกือบจะติดหน้าบ้านยังมีสะพานข้ามสระ บ้านซึ่งเหมือนเวียงวังถูกแบ่งอาณาเขตชัดเจนด้วยผู้อยู่อาศัยไม่ถูกกัน ทางเชื่อมโค้งตึกเสมือนปิดตายไม่ให้ใครล้ำแดนข้ามไปอีกฝั่ง สระว่ายน้ำทรงยาวที่ทอดอยู่ในโอบล้อมของตึก
ขนาดประตูรั้วกั้นกลางสะพานยังใช้โซ่เส้นโตพันล่ามกุญแจไว้ราวกับอีกฝั่งคือเขตหวงห้าม มีเพียงถนนอ้อมหลังตึกเชื่อมถึงกันให้รถผ่านเข้าออก บางทีแขกที่ไม่รู้ว่าพี่น้องไม่ถูกกันก็ชอบไปเข้าทางประตูใหญ่ตรงโค้งหลังคฤหาสน์นั้นเอง ก่อนจะเลือกเดินแยกไปซ้ายหรือขวา ห้องรับแขกใหญ่จึงไร้ฝุ่นแม้สักเม็ด แม้ไม่มีใครยอมหย่อนบั้นท้ายลงยังโซฟาหรูราวกับตั่งทองพวกนั้นมานานปี
ความบาดหมางในบ้านมีมานานแล้ว
แต่ช่างเถอะ เรื่องของคนอื่น…
หนุ่มวัยดึกพาร่างแน่นหนั่นไปด้วยกล้าม ก้าวอาดๆ ผ่านสาวรับใช้ผู้สวมเครื่องแบบเต็มยศแต่เช้าไม่ต่างกับเขาเอง หึ ที่ฝั่งนี้ของตึกมีแต่ผู้หญิง ตรงข้ามกับอีกฝั่ง มีแต่ผู้ชาย…ถ้าไม่มีเขาถ่วงน้ำหนักอยู่นี่สักคนอาจนับได้ว่าเข้าขั้นเหยียดเพศเลยทีเดียว ถูกแล้ว มีเพียงเขาถึงจะสามารถดูเธอให้อยู่กับร่องกับรอยตามคำผู้ล่วงลับฝากฝัง แม้จะ ‘หวังได้ยาก’
เพราะควบหน้าที่พ่อบ้านด้วยอีกอย่าง เขาดูแลเรื่องข้าวต้มของเช้าจนเรียบร้อย ต้นหอมโรยหั่นละเอียดเป็นพิเศษแทบไม่ต้องเคี้ยว เตรียมไม้จิ้มฟันสำหรับใช้เขี่ยออก หากอะไรเขียวๆ บังเอิญพลัดหลงไปติดในซอกฟันคนกิน ไม้จิ้มฟันเองยังเป็นถึงไม้หอมชุบน้ำยาบ้วนปากตรงปลายแหลม ต้องชุบสดๆ ตอนเช้าเท่านั้น ไหนจะชา น้ำตาลก้อน จัดวางให้สวยไม่กระดิก
“ชามินต์แบรนด์ใหม่นี่ กลิ่น… … …โอเค”
หันไปพยักหน้าให้สาวในชุดเมด เจ้าหล่อนทั้งสองมีท่าทียินดียิ่ง เช้านี้ไม่ถูกลุงพ่อบ้านติ
พวกนี้เข้าใจไปว่าคนที่จะเยื้องกรายลงมาชื่นชอบข้าวต้มและชาชนิดนี้จนต้องจัดเสิร์ฟบ่อยๆ ผิดถนัด ก็แค่เป็นของแก้เมาค้างที่เจ้านายพอจะกินได้คล่องคอต่างหาก
เจ้าของบ้านไม่ชอบให้ใส่รองเท้าเข้ามา เสียงรองเท้าเดินในบ้าน แปะๆๆ ก็ว่าน่ารำคาญ ชายวัยห้าสิบจึงเหยียบบันไดหินอ่อนเบากริบเหมือนแมวด้วยเท้าในถุงเท้านักมวย มีเขาคนเดียวที่ได้ใส่ถุงเท้าตามความชอบส่วนตัว ก้าวขึ้นบันไดอย่างมั่นคงด้วยขาทรงพลังขึ้นกล้ามเป็นมัดๆ ตามแบบฉบับนักเพาะกายสากล ทว่า ทันทีที่ไปหยุดอยู่หน้าประตูขาวบานสูง คนที่ก่นตำหนิบ่นว่าในใจสารพัดมาตลอดทางกลับเคาะเรียกเบาหวิว อย่าให้องค์แม่ลงแต่เช้าเป็นดีที่สุด
ทุกๆ วัน คนเก่าแก่คนนี้มีหน้าที่รักษาหน้าตาเด็กหญิงที่ตนเฝ้าฟูมฟักแทนบุพการีมาเนิ่นนาน ให้ยังดูเป็นประหนึ่งเจ้าหญิง เจิดจรัสในสายตามนุษย์ทุกๆ ราย
“คุณหนูครับ ได้เวลาแล้ว”
รอนานทีเดียว ไม่มีเสียงตอบรับ จนกระทั่ง…
เพล้ง!
เสียงแรก แก้วแตก…รู้ทั้งรู้กิริยาอาการตัวเองเป็นแบบนั้นยังชอบวางทิ้งบนพื้นส่งเดช แถมรั้นดื่มด้วยแก้วทรงสูงเพราะมันสวยหรูดูดี
“เอิ้กกกกกก” ตามสำทับด้วยเสียงเรอ
บอดี้การ์ด คนขับรถ ควบตำแหน่งพ่อบ้านคนเก่งหลับตาลงถอนใจ เพราะแบบนี้ สาวๆ พวกนั้นถึงไม่ได้รับอนุญาตให้เหยียบย่างขึ้นมา คนที่จะมาปลุกคุณหนูได้ มีแต่ลุงคนนี้ คนที่ทำความสะอาดห้องนอนได้ ก็ เอ่อ…ไม่ควรปล่อยให้คนอื่นเข้าไปทำอีกเหมือนกัน อายแทนจะแย่ เป็นสาวเป็นนาง ดังนั้นช่วงไหนเขายังไม่ว่าง หลายอย่างจะถูกถีบถูกยัดไปซ่อนไว้ใต้เตียงด้วยฝ่าเท้าเจ้าของห้อง
…เจ้าหญิงที่คนในสังคมไฮโซร่ำลือในความสมบูรณ์แบบผู้นี้
…คุณหนูบังเกิดเกล้าของลุงปู
เรื่องเมื่อคืนคือฝันร้าย ไม่สิ เรียกว่าฝันร้ายฉิบหายวายป่วง
ฉันเริ่มต้นที่ผับคนรวย ในวงเล็บ เป็นชนิดแดนซ์กระจาย ดนตรีติ๊ดชึ่ง ตะลึงตึงๆ สไตล์อินเตอร์เต็มพิกัด แน่นอนว่าลูกคุณหนูชอบแบบนี้ก็มีถมไป แต่เป้าหมายของฉันคือการเมาแบบ ‘ริ้นไม่ยอมให้ไต่ ไรไม่ยอมให้แตะ’
ไฟหลากสีวูบวาบ เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
…ตอนมันก้าวเข้ามาในรัศมีฉันก็รู้แล้ว หมอนี่ไม่ได้มาดีแน่ มันคาบมวนยากลิ่นแปลกๆ คาดว่าไส้ในจะเป็นกัญชาเสรี ตัวมันใหญ่ แต่ดูดปุ๋ยๆ ดูดไปดูดมาสมองมีแต่จะลีบเล็กลงอีก มันคงไม่รู้ ไม่แคร์ ไม่สน
ชั่วขณะ ไฟมืดลงวูบจนติดขึ้นมาใหม่ แสงเขียวๆ ส่องให้เห็นคนน่ารังเกียจเบียดเข้ามาใกล้ แต่ฉันเปิดไฟแดงแลบแสงเตือนวาบออกมาทางสองตา…มันไม่แคร์อีกนั่นแหละ อาจเพราะมันใส่แว่นดำทั้งที่มืดถึงขนาดนี้ ยืนยันความฉลาดน้อยได้เป็นอย่างดี ดนตรีกระแทกเป็นจังหวะ และก่อนไฟจะวูบหาย ใต้แสงวับแวม มันเอื้อมมือกักขฬะมาหาทรวงอกแสนหวงแหน ฉันเร็วกว่า ชิงปัดออกก่อนจะถึงเนื้อ เอื้อมสวนไปดึงมวนยาซึ่งมันคาบไว้ออกจากปาก มันชะงัก เกือบจะยิ้มอยู่แล้วเพราะคิดว่าฉันจะเอามาสูบต่อ จูบทางอ้อม พอดีกับไฟวูบดับ…ที่แทรกผสานเสียงดนตรีกลับเป็นเสียงร้อง “โอ๊กกกก”
ไฟสีน้ำเงินสว่างขึ้นเหนือหัวทุกคน ถึงตอนนี้ฉันก็เห็นจุดไหม้กลางหน้าผากมันชัด ตราหน้าให้โลกรู้ว่าชีกอ
“เจิมสั่งสอน กลับไปนอนให้เมียป้อนนมอยู่บ้านไป๊ อ้าว โทษๆ มืดๆ เลยขยี้ไม่ตรง ไม่ค่อยกลางเท่าไหร่ อีกสักทีไหม”
“…อีเปรต! ” มันคำราม พยายามคว้าแต่ฉันไหวตัวหลบ
“ถึงใส่ส้นเข็มมาแดนซ์ แต่ก็ไม่ได้สูงขนาดนั้นย่ะ” ฉันจุปากเตือนให้มันถอย ทว่าอีกฝ่ายยังคำรามฮื่อเข้ามา
ไฟมืดลงอีกหน จนติดมาอีกที คราวนี้ใต้แสงแดงเลือด…เห็นร่างสูงใหญ่ของมันลงไปนอนวัดพื้น สภาพตาเหลือกจนฉันต้องยกสองมือปิดปาก ไม่ได้ตกใจแต่พยายามกลั้นหัวเราะ
เจ้าของร่างมะขามข้อเดียวผู้กำลังเหยียบไอ้หนุ่มกร่างซึ่งน็อกเอาท์ไปในพริบตา ก็คือ
“ลุงปู…” ฉันไม่แปลกใจ
ตอนแรกหลบไปซ่อนตัวอยู่รูไหนไม่รู้ ตอนนี้ก็โผล่มาไวอย่างกับปูลม แต่เล็กจนโต บอดี้การ์ดจำเป็นคนนี้ไม่เคยบกพร่องต่อหน้าที่สักหน ไม่เคย
“รีบกลับบ้านได้แล้วคุณหนู ลุงรอจนตีหนึ่งตามสัญญาแล้ว”
ถึงไม่ใช่เวลาที่ต้องมาพาฉันกลับลุงก็คอยจับตาอยู่เสมอ ไม่เคยปล่อยให้คลาดสายตา
ทว่า ไอ้คนที่ลงไปนอนสบายพร้อมรอยไหม้เจิมหน้าผากก็ไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบ เพื่อนมันผละจากโต๊ะยืนริมฟลอร์แดนซ์ กร่างเข้ามาอีกสามหน่อ ฉันโบกไม้โบกมือให้ลุงปูหลบชิดใน ชิงยื่นมือพรวดเข้าหาคนนำทีม พวกมันชะงักกึกพร้อมกันเหมือนถูกสาปเป็นหิน ไม่ได้โดนตบโดนต่อย แต่จำต้องหยุด…เมื่อเห็นประกายวาววับของสิ่งที่อยู่ในมือฉัน
การ์ดขาวเลื่อมพราย ไม่ใช่แพลตตินั่ม ไม่ใช่ไดมอนด์
…เป็นเพิร์ล Pearl Card
คนที่นี่รู้ดี ถ้ากล้าแหย็มมายุ่งกับคนที่ถือบัตรใบนี้ อาจถึงตาย
ฉันเอง…เจ้าแม่ไข่มุก ไม่ได้เป็นเจ้าแม่ประเภทให้หวยให้เลขแต่คนก็พากันยกมือไหว้ กราบขอร้องให้ยกโทษ หรือบางคนก็ร่ำเรียกขาน ยกให้เป็นขาใหญ่ มาเฟียหญิงแห่งสถานบันเทิงยามค่ำคืนของเหล่าไฮโซ ข่าวลือถึงความโหดเป็นเรื่องจอมปลอมทั้งนั้น อยู่แบบรวยๆ สวยๆ โสดๆ ก็สบายดีอยู่แล้ว ใครจะยอมลำบากลักพาฆ่านั่งยาง แค่เพราะไม่อยากให้พวกน่ารำคาญมาแหย็ม การใช้เงินสร้างข่าวก็ไม่ได้ยาก สร้างบารมีเผื่อไว้ใช้ยามจำเป็น
เพราะไม่ได้อยากประกาศตัวตลอด ฉันจึงแต่งหน้าจัดกลบความหน้าอ่อนกว่าวัยของตัวเอง แถมต้องใส่วิกมาเที่ยวให้ร้อนหัว ไม่อยากเด่น ไม่อยากให้ใครมาจดมาจำได้แต่แรกเห็น ถ้าไม่จำเป็นน่ะนะ
ตอนก้าวเฉียดผ่าน พวกมันเปลี่ยนเป็นยืนกุมเป้า ฉันจงใจจิกส้นสูงใส่ปลายรองเท้าเจ้าคนหนึ่ง ได้ยินเสียงร้องอึกอักแต่ก็ไม่ได้ปรายตามอง เพียงใช้บัตรเคลือบมุกพัดให้ตัวเองคลายร้อน ก่อนเก็บบัตรผ่านตลอดซึ่งมีใบเดียวเข้า Micro Mini Bag กระเป๋าสะพายข้างใบจิ๋วทำจากหนังลูกแกะของ ฌักมูส JACQUEMUS สีขาวมุก ขนาดพิเศษ ตัดเย็บขึ้นเพื่อฉันคนเดียวในโลกอีกเหมือนกัน ยามกรายผ่านโต๊ะมันมือก็ฉวยขวดกลมใส่น้ำสีอำพันซึ่งเหลืออยู่ครึ่งติดมาด้วย แทนค่าปรับ ค่าที่บังอาจลามปาม
ฉันยอมให้ลุงคนดีลากกลับบ้านเรา สปอร์ตสีขาวเปิดประทุนออกรับอากาศยามดึก ในใจรื่นรมย์จึงกระชากวิกผมออกโยนทิ้งไปข้างทาง ดึงกิ๊บดึงตัวหนีบโยนตามไปด้วย ปล่อยผมยาวดำขลับที่เกล้าเก็บไว้สะบัดออกรับลม
“วู้ปปี้! ”
“เปลือง…” คนทำหน้าที่ขับรถตำหนิห้วนเหมือนเป็นบุพการี
“อะน่า เผื่อใครเก็บได้ เขาอาจเอาไปใช้ต่อนะคะ หยิบขึ้นมาก็รู้แล้ว แพงหูดับ!”
ฉันผู้ทำตัวเป็นเด็กเฉพาะต่อหน้าบางคนยังไม่เลิกเต้นตามเพลงจากลำโพง ทั้งที่คาดเข็มขัดนิรภัยก็พยายามยื้อมันทิ้ง หมายลุกขึ้นส่ายให้สนุก…ติดที่โดนแรงควาย เอ๊ย แรงจากแขนก้ามปูข้างๆ ฉุดกลับลงนั่ง สุดท้ายเลยยอมอยู่เงียบๆ กระดกดื่มเพียวๆ จากขวดซึ่งฉวยติดมือมา ลุงพูดน้อยคำ แต่แค่นั่งมาด้วยกันก็รู้สึกราวกับโดนบ่นด้วยกระแสจิต เดาเอาจากเสียงถอนใจ จิ๊กๆ จั๊กๆ น่าจะประมาณว่า เพราะแบบนี้ไงถึงได้ขึ้นคาน
“สมัยนี้แล้ว ใครเขาต้องการผู้ชายกัน โสดสวยมาจนจวนสามสิบ ไม่เห็นจะคัน”
“ยังไม่ได้ว่าสักคำ”
“เอิ๊กกกก” ฉันเถียงด้วยเสียงเรอจนลุงปูถอนหายใจแรงกว่าเก่า “เคยว่านี่นา”
เรื่องในผับไม่ใช่ฝันร้าย ชิวมาก นับเป็นฝันดีเสียด้วยซ้ำ ได้อัดคนชั่วๆ ระบายความเครียดจากงานประจำ ลุงปูเองก็ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ชินชาเสียแล้ว
…ทว่า ฝันเริ่มขึ้นตอนหัวถึงหมอน เหมือนจริงอย่างยิ่ง
ฉันถือขวดอยู่ในมือตามปกติ ค่อยๆ ลุกจากท่านั่งชันเข่าเมามายริมเตียง ใช้เท้าเตะประตูระเบียงห้องนอนอ้าออกรับอากาศสดยามค่ำมืด ก็ไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์นี่หว่า แต่ต่อหน้าสังคมโลก…ไม่ได้เป็นอันขาด จะต้องสวย ดูดีมีชาติตระกูลเสมอ
ห้องนอนอยู่สูง เป็นชั้นสี่ที่แต่ละชั้นเพดานสูงเป็นพิเศษ ยุงร้ายยากจะถีบตัวเองขึ้นมารังควาน แถมลมก็แรง…ฉันหรี่ตา มองข้ามสระว่ายน้ำทรงยาวไปยังวิวคุ้นตา ห้องนอนฝั่งตรงข้าม
เพล้ง!
ก็ไม่ได้สันดานนักเลงถึงกับปลุกใครอย่างป่าเถื่อนปานนั้น ฉันเลือกปาขวดที่เหลือเหล้าไม่เท่าไรไปกระแทกโคนสะพานข้ามสระฝั่งกระโน้นอย่างแม่นยำ มองเศษแก้วร่วงกราวลงไปนอนก้นสระ นึกเวทนาคนทำความสะอาดอยู่เล็กน้อย แน่ละ ตามเรื่องราวซึ่งฉันมักสร้างขึ้น พวกเขาก็คงจะคิดว่าฝ่ายที่ทำไม่ใช่ฉันถ้าไม่ได้เห็นด้วยสองตาตัวเอง ใครจะไปเชื่อว่าคุณหนูสวยเนี้ยบความจริงเป็นผู้หญิงขี้เมาร้ายลึก
เพราะอีกฝั่ง…ดูเหมือนจะเฮี้ยนยิ่งกว่า ร้ายประจำวันไม่มีเว้น
นี่ถ้าไม่มีปราการน้ำขีดแบ่งอาณาเขตคงได้กัดกันนัว
แต่คราวนี้น้ำที่กระจายจากขวดแตกกลับดูผิดปกติ มันกลับกลายเป็นขุ่นเข้ม ขยายวงไหลลามไปในสระ คล้ายความชั่วร้ายกำลังแผ่วงกว้างออกไป ภาพนั้นเหนือจริงจนสำนึกได้ว่ากำลังฝัน ฉันรีบวิ่งลงไปดูถึงข้างล่าง ทันใดก็พลันถูกบางอย่างดึงดูดวูบ หล่นตูมลงน้ำ
…ไม่ได้จม ลืมตามากลับพบว่าตัวเองมาอยู่ ณ ที่หนึ่ง คุ้นตา เป็นภาพฝันเมื่อครั้งนานมาแล้ว หลายครั้งที่ฉันฝันถึงชายคนหนึ่ง…เขายังก้มหน้า ยืนเดียวดายคล้ายกำลังรอบางสิ่งมาเนิ่นนาน ที่นี่คล้ายถ้ำ เหลียวหันสำรวจไปรอบๆ อีกครั้ง ดูไปก็เหมือนโถงใหญ่ มืดมน บรรยากาศนอกหน้าต่างเป็นสีครามน้ำเงินลึกล้ำ กระเพื่อมไหว ไม่ใช่ท้องฟ้า แต่เสมือนลงมาอยู่ในวังลับใต้สมุทร
ปกติทำได้เพียงแต่มองเขา ก้าวเข้าไปใกล้ไม่ได้ติดที่สองขาหนักอึ้ง สุ้มเสียงนั่นเล่าก็หายไป แม้พยายามตะโกน ฉันก็…พูดไม่ได้
ทว่าคืนนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ฉันเป็นอิสระ สองเท้าพาตัวเองขยับเข้าไปใกล้เขาผู้ยืนอยู่ลำพัง เงานั้นยังไม่ชัดเจน ไหล่เขากว้างทว่ากลับคุ้มงอสั่นเทา ร่างกาย ผมเผ้า เสื้อผ้าเปียกลู่ไปทั้งหมด คล้ายคนจมน้ำหรือถูกถ่วงไว้ก้นสมุทรมาแสนนาน
…ชายคนนี้มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับฉัน! พอเข้าใกล้เขา หมายใจจะยื่นมือไปปลอบ พลันให้รู้สึกเจ็บแปลบตรงหัวใจคล้ายโดนกระซวก
ก้มมอง มือเปล่าของเขาจมลึกเข้าไปอกฉัน!
กำลังบิด กำลังยื้อหัวใจให้หลุดจากขั้ว
ฉันลืมตาโพลงขึ้นมานั่งหอบหายใจ ในมือไม่มีขวดเหล้าเหมือนในฝัน ด้วยทิ้งมันไว้ในรถตั้งแต่เมื่อคืน แต่ฝันนั้นคล้ายลางร้าย
ชวนให้นึกถึงคำสั่งเสียของย่า…ระวังหัวใจของตัวเองเอาไว้ให้ดีๆ
ยกมือขึ้นกุมขมับ รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย แต่จะเมาค้างหรือไม่เมาฉันก็ยังมีสติแจ่มชัด รู้ดีว่าตัวเองเป็นใคร มีเป้าหมายสำคัญของชีวิตคืออะไร
ไข่มุก ชื่อจริง มุกอันดามัน นามสกุล วังมัจฉา
อันหลังอาจฟังดูแปลก แต่ย่าตอบแบบผ่านๆ ว่าบรรพบุรุษข้าง ‘ไอ้แก่นั่น’ ขี้เกียจคิด
ท่าจะจริง นอกจากนามสกุลแล้ว บ้านขนาดโอฬารที่ฉันโตมาก็ยังชื่อวังมัจฉาเหมือนๆ กัน เราอยู่บ้านเหมือนวัง อย่างไรก็ดี ย่าไม่เคยสอนให้เรียกคุณย่า แม้จะดูไม่หรูหราสมฐานะแต่อันนี้ฉันเห็นด้วย เรียกย่าสั้นๆ ดีแล้ว เราสนิทกันออกจะตาย ข้างปู่นั้นฉันก็ไม่ได้เกลียด เรียกว่า เกือบๆ จะรักแหละมั้ง แต่รักไม่ได้ จะรู้สึกผิด คล้ายๆ ทรยศย่าอย่างไรชอบกล แม้ในใจแอบนับถือปู่ในบางเรื่อง เรื่องแรกก็คือการที่กล้าแต่งงานกับสตรีสายโหดแบบย่า! แต่อย่างว่า หัวแข็งทั้งคู่ ไม่มีใครยอมใคร แต่สู้กันมากเข้าก็ไม่มีใครชนะ อยู่แบบค้างคา คุมเชิงกันไป…
สำหรับเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ ย่าเป็นทั้งหมดของฉัน แต่ฉันก็เสียย่าไปเมื่อปีที่แล้ว
ส่วนคำสั่งเสียก่อนตายน่ะหรือ ไม่มีเสียหรอก ถ้ามันสำคัญจริงใครจะรอมาพูดตอนก่อนตาย เดี๋ยวไม่ได้พูดขึ้นมาจะแย่ อย่างที่บอก เราสนิทกัน ย่าสั่งไว้ล่วงหน้านานแล้ว จนคำที่ว่าฝังลึกเข้าในหัว กลายมาเป็นเป้าหมายสุดบันเทิงในชีวิตฉัน
‘เป็นให้ได้นะ คนที่เหนือกว่าใครๆ แล้วทุกอย่างอาจตกเป็นของแก’
เอ้า หนูเลิศมาตลอดอยู่แล้ว ย่าไม่เห็นหรือไง! แต่ป่านนี้ก็ไม่เห็นจะได้ทุกอย่างมาครอบครอง ช่างเถอะ ฉันยังจำได้ดีว่าน้ำเสียงย่าเปลี่ยนไปตอนฝากฝังคำสั่งเสียที่ดูจริงจัง คนโผงผางอย่างนั้นกลับพูดเบาลงอย่างผิดประหลาด ทว่าหนักแน่นในน้ำคำ
‘แต่ตอนย่าไม่อยู่แล้ว เฝ้าระวังหัวใจของตัวเองเอาไว้ให้ดีๆ อย่าให้ใครช่วงชิงมันไปได้…จงระวัง’
หลังจากนั้นอีกเป็นปี พอย่าจะสิ้นลมขึ้นมาจริงๆ ฉันดันทำได้แค่แหกปาก จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก แต่กลับสะอื้นลมสะอื้นแล้งหน้าแดงก่ำ ปล่อยขี้มูกย้อยหมดมาด จิตใต้สำนึกยังจำได้ ย่าไม่ชอบให้ร้อง แม้ขี้แงแค่ไหนฉันเลยมักไม่ยอมให้หยาดหยดของความอ่อนแอร่วงไหลต่อหน้าย่า
ตั้งแต่แรกเกิดมาแล้ว หยดน้ำตาของฉันจับแข็งเป็นไข่มุก อุแว้ออกมาก็เริ่มผลิตมุกเม็ดจิ๋ว เป็นที่มาของชื่อมุกอันดามันที่ย่าตั้งให้
ตอนแปดขวบฉันเคยสงสัย ‘ย่าบอก…ต้นตระกูลขึ้นมาจากทะเลไทยฝั่งตะวันออก แล้วทำไมให้หลานชื่อนี้อะคะ’
‘หรือแกจะชื่อมุกอ่าวไทย’
เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ฉันไม่เถียงสักคำ กลัวจะถูกเปลี่ยนชื่อเข้าให้จริงๆ
ฉันเคยชอบน้ำตาของตัวเอง ทว่าหลายปีก่อนย่าก็บ่นออกมาว่าฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ที่จะร้องไห้อยู่ร่ำไป ดุทั้งส่ายหัวดิก… ‘หยุดสำออยทีเหอะนังเจ้าหญิง นิยงนิยายเงือก เรื่องไหนๆ ก็ร้องไห้เป็นน้ำตาไข่มุกกันถมเถ เฝือแล้ว ขี้เกียจรำคาญแกอีกตัว น้ำตาพะยูนยังเร้าใจกว่า ใช้ทำเสน่ห์ทำอะไรได้’
‘อย่ามั่วนะย่า พูดแบบนี้การตายของน้องมาเรียมจะสูญเปล่า!’ เถียงพลางเบะหน้า
‘เออๆ เอาเป็นว่ารกบ้าน กวาดทิ้งไม่หมด สีสันก็ไม่สม่ำเสมอ’
ฉันอ้าปากค้าง เงือกในหนังสือหรือหนังละครอาจมีแบบนี้ ตะ แต่ก็ไม่ทุกเรื่องหรอกน่า แถมนอกจอบรรดาเราๆ ไม่มีใครทำได้อย่างฉัน โดยเฉพาะยุคสมัยอย่างนี้…ที่แม้แต่มนตร์ขลังของทะเลยังเลือนจาง หรือเพราะบ้านเรามีเกาะ มีฟาร์มมุกส่วนตัว ก็เลยดูถูกว่าไข่มุกจากสองตาหลานสาวคุณภาพไม่ถึง ก่อนนี้ฉันเคยสะสมใส่กระปุกใส่ปี๊บไว้หลายโหล เอายัดเข้าตู้เซฟเพราะไม่อยากให้คนนอกมาหาประโยชน์ แต่ย่ากลับบอกว่ารกบ้าน สักวันฉันจะหลั่งน้ำตาออกมาเป็นมุกเม็ดงามที่สุดให้ดู คอยดูเถอะ
…แต่ย่ารอไม่ไหว กำลังจะตายลงต่อหน้าฉันแล้ว
ฉันตะโกนว่ามันเร็วไปนะ ยังทำใจไม่พอเลย ย่าจะทิ้งหนูไปไหน! ย่าแยกเขี้ยวหัวเราะเหอๆ คล้ายว่า ฉันเตือนแกล่วงหน้าตั้งนานแล้ว พึมพำว่าไปไหนก็ช่างหัวย่าเหอะ ก่อนจะคอพับแหง่ก แน่นิ่ง การตายช่างรวบรัดแสนสง่าน่าประทับใจสไตล์ย่า
นอนต่อไม่ลง เหลือทางเลือกแค่ลุกมาอาบน้ำแต่งตัว วันนี้จะได้พบหน้าบุคคลสำคัญ อยากเอาฤกษ์เอาชัยสักหน่อยด้วยเครื่องประดับนำโชค มุกเม็ดนั้น ไม่สิ เพราะฝันย้ำเตือนสังหรณ์ สวมสร้อยนี่ติดตัวไว้เลยดีกว่า สายยาวแบบสวมหัวได้ ซ่อนไว้ใต้เสื้อก็ใส่ได้ทุกวัน เข้ากับชื่อไข่มุกของฉันอยู่แล้ว ไม่ผิดสังเกต
จี้มุกน้ำเค็มล้ำค่า สวยเลิศ วาววามกว่ามุกน้ำจืด ไม่ได้ส่งตรงมาจากเกาะไข่มุกมิกิโมโตะอะไรที่ไหน หยาดมาจากตัวฉันนี่เอง …มันคือ น้ำตาของฉันในวินาทีที่ย่าหมดลม
ฉันก้มหน้าสะอื้นฮัก กัดฟันจนไหล่สะท้าน วูบนั้นเองอะไรบางอย่างทะลักออกตา ในท่าก้มอยู่ น้ำจากสองตาพลันไหลรวมกันเป็นมุกเม็ดมหึมาหยดลงจากปลายจมูก ฉันรับมันไว้ได้พอดิบพอดี กลมดิก…สีเหลือบรุ้งพรายจับตา สวยยิ่งกว่ามุกเม็ดไหนๆ เพราะมันรวมเป็นหนึ่งฉันจึงนับเป็นหยดเดียว แล้วจากวินาทีนั้นมาท่อน้ำตาก็ราวกับตีบตัน ฉันรู้ ตนจะไม่อาจผลิตมุกล้ำค่าออกมาได้เหมือนเดิม
ทั้งที่เคยเจ้าน้ำตาเป็นที่สุด รู้ว่าร้องใส่คนใกล้ตัวแล้วมักได้ในสิ่งที่ต้องการ เงือกขี้แยแต่แก่นเซี้ยวคนเก่าพลันร้ายกาจ ไม่มีเหลือน้ำตาไว้ให้ใคร ปัจจุบันนี้ไม่อีกต่อไป คล้ายกับว่าความเสียใจที่สุดในชีวิตได้เค้นคั้นเอาหัวใจอันอ่อนไหวทะลักออกมาเป็นมุกเม็ดโต
แต่นอกจากซ่อนปี๊บไว้ในเซฟ มุมลึกสุดของตู้เสื้อผ้าก็ยังมีปี๊บขนาดเล็กใบสุดท้ายที่เม็ดมุกยังไม่เต็มซุกไว้ เผื่อวันไหนเกิดน้ำตาไหลอีกครั้งจะได้เอาไปใส่รวมเหมือนเก่า
ลุงปูมาเคาะประตูปลุกตอนแต่งตัวเรียบร้อยพอดี ฉันรีบหัน คล้ายเมาค้างจึงเซไปเตะแก้วซึ่งมักวางทิ้งไว้มั่วซั่วบนพื้นล้มแตก ถลาหลบ แซ่ดๆๆ จนได้เรอออกมาเสียทีหนึ่ง ค่อยยังชั่ว จากนั้นจึงเปิดพรวดออกไปทำตาขวางใส่ลุงผู้มีพลังงานเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ดูไม่ง่วงไม่เพลีย แต่ฉันง่วง!
“ขี้โกงนี่”
เพราะรู้ใจกันดี สบตาก็รู้เลยว่าหมายถึงอะไร ลุงจึงย้อนนิ่มๆ ”เตือนแล้วว่ามีงานเช้า อยากร่ำร้องจะเที่ยวเอง”
“เอาเถอะค่ะ ไปก่อนเวลาสักหน่อยก็ดี” เป็นฉันเสียอีกที่พูดจามีหางเสียงกับอีกฝ่ายซึ่งดูแลกันมานาน
ฉันเดินนำลุงลงบันได เฉิดฉายผ่านห้องอาหารไปเสียเฉยๆ จนลุงร้องทัก
“ข้าวต้ม…”
“ไม่กินดีกว่าค่ะลุงปู ไม่มีอารมณ์”
คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงถอนใจจากลุง แต่สาวๆ สองสามนางที่อุตส่าห์ตั้งโต๊ะให้อย่างดีก็แอบถอนใจด้วย พวกนี้ไม่รู้ว่าฉันหูดีมาก ฉันเพียงหันไปส่งรอยยิ้มมีไมตรีตามประสาคุณหนูผู้มาดเหมือนเจ้าหญิง เท่านั้นคนได้รับก็ยิ้มปลื้ม ใช่แล้ว สวยจนผู้หญิงด้วยกันยังละลาย
เฮ้อ เจ้าหญิง…ย่านั่นแหละเป็นคนตั้งฉายานี้ขึ้นมาแทนชื่อเล่น แถมแสยะยิ้ม ประชดประเทียดว่าแง่หนึ่งหลานดื้อๆ อย่างฉันน่ะเป็นเจ้าหญิงจริงๆ เพราะมีสายเลือดจากดินแดนที่แสนไกลลึกลงไปใต้สมุทร ถึงเวลานั้นฉันก็จะแยกเขี้ยวใส่ย่า ไม่เห็นอยากสักนิด เพราะเรื่องบ้าๆ บอๆ หลายอย่างมีที่มาจากความแปลกประหลาดในตัว มันทำให้ฉันเป็นเด็กไม่มีเพื่อน ไม่ยอมรับหรอกว่าเพราะตัวเองนิสัยไม่ค่อยดี ฉันสร้างภาพเก่งมากถ้าอยากจะทำ แต่เพราะร่างกายนี้กับน้ำตาที่เผลอหลุดร่วงทำให้เกือบพังมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
มองซ้ายมองขวายังไม่เห็นเงาของมาหยารัศมี เปอร์เซียขนขาวเปล่งออร่า คล้ายว่ามันเองก็เป็นเจ้าหญิง นางเทพี เป็นแสงเจิดจ้าผุดมาจากท้องทะเล
แต่ถึงรักแค่ไหน วันนี้จะยอมให้เข้าใกล้ไม่ได้!
วันนี้ทุกอย่างจะต้องดูดีทุกกระเบียด ฉันจึงไม่ยอมให้แมวตัวดีเบียดเสียดสีอ้อนจนขนติดเสื้อ แม้จะหลงมาจากไหนก็ไม่รู้ก็ยังเป็นเปอร์เซียสะสวยสมฐานะคุณหนูอย่างฉัน เป็นแมวรุ่นสอง เข้ามาแทนดาวพระศุกร์แมวสุดที่รักตัวแรก แม่ดาวน้อยเพิ่งถึงแก่กรรมเมื่อปีกลาย สิริรวมอายุสิบแปดปีเต็ม ตอนมันตายฉันร้องไห้ออกมาหลายกำมือ หนักกว่าย่าตายเสียอีก เออ ก็ตอนย่าตายร้องออกแค่เม็ดเดียวน่ะนะ
ก้าวพ้นตัวตึกทรงยุโรป ครั้งที่เท่าไรไม่รู้ได้ ยังต้องหยุดถอนใจยืดยาวอย่างภาคภูมิ ทอดตามองไป นี่คือเอกลักษณ์ของบ้านวังมัจฉา ท้ายสระว่ายน้ำเป็นภาพอันแสนคุ้นเคย ของบ้านอื่นอาจเห็นนางฟ้ายืนแต่งจริตแบกคนโทเทน้ำลงสระ บ้างเป็นกามเทพตัวน้อยแอ่นจู๋ปล่อยฉี่รวยริน แต่บ้านฉัน…พญาปลาแสนสง่าทรงกายในท่าเลียนอย่างสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ ร่างขาวสะท้อนรับแสง และที่เหนือหัวปลายังเทินลูกกลมๆ เลี้ยงไว้อย่างสง่างาม ปล่อยน้ำลายไหลพลั่กๆ ออกมาข้างมุมปาก
‘แมวน้ำรึ’ สหายในบรรดาจำนวนน้อยนิดที่ฉันมีเห็นเข้าก็เคยออกปากทัก
‘ปลาทูแหละแก’ เป็นคำพูดของอีกคนที่ฉันไม่นับเป็นเพื่อนแต่เกาะติดมาถึงบ้าน พอได้ยินเท่านั้นฉันยิ่งตาขุ่นเขียวปั้ดจนคนพูดสำลักน้ำลาย
‘อย่าพูดพล่อยๆ นี่สัญลักษณ์ประจำตระกูลวังมัจฉา’
ถึงบรรพบุรุษจะไม่ได้มีหางเหมือนนางเงือก แต่ก็นะ สัญลักษณ์!
อันที่จริงคนพูดมีเหตุผล แต่…อย่างน้อยๆ ก็ควรดูออกว่านี่มันปลาซาร์ดีน! บรรพบุรุษขึ้นฝั่งมาก็ร่ำรวยจากการตั้งโรงงานปลากระป๋อง คล้ายดั่งมีมนตร์เรียกปลา ดูจะโหดร้ายไปสักหน่อย เหมือนลวงผู้ร่วมบ้านเกิดมาปิดประตูตีหัวฆ่าอย่างไรชอบกล ครั้นพอตั้งตัวได้จึงเบนเข็มไปทำอย่างอื่น ทั้งยังรีบทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลให้เหล่าปลามหาศาลที่เสียชีวิตไป จากนั้นมาทำอะไรก็รุ่ง จนเปลี่ยนมาทำธุรกิจหอยมุกเพราะหอยมันดูไม่ค่อยมีชีวิตจิตใจเท่าไร แถมมุกเลี้ยงเป็นสมบัติของเรา เหมือนเลี้ยงไก่ไว้เชือด…ทว่าเนื่องจากคนเลี้ยงมุกเป็นชาวทะเล ภายหลังใช้เทคนิคข่มขู่ด้วยวิธีลับเฉพาะ หอยตัวที่รักชีวิตจึงลนลานยอมคายมุกออกมาเอง เมื่อถูกกระซิบเบาๆ ว่า ‘จะเอาแบบไหน’ สุดท้ายจึงพากันปรับตัวเป็นหอยคายมุก เสมือนวิวัฒนาการเป็นไก่ออกไข่แทนไก่เนื้อเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสีย วังมัจฉาจึงแผ่อำนาจไปสู่วงการอื่นด้วยทุนทรัพย์อันนั้น ไม่ว่าจะโรงแรม สถานบันเทิง อสังหาริมทรัพย์
ดังนั้นรูปปั้นมัจฉาเลี้ยงมุกถึงจะ…ทรงคล้ายแมวน้ำเล่นลูกบอล
ทว่าแง่หนึ่งก็เหมือนตั้งศาลไว้บูชา ฉันไม่ชอบให้ใครมาลบหลู่!
ยังมีเวลาถมเถจึงก้าวเข้าไปชื่นชมความงามใกล้ๆ สระ เนื้อตัวฉันเนี้ยบกริบแต่หัวจรดเท้าพร้อมออกจากบ้านไปคุยธุรกิจ ต้อนรับแขกเมืองผู้กำลังจะลงจากเครื่องมาพบ และถึงในห้องส่วนตัวคุณหนูคนนี้จะมืดมน อย่างไรบรรยากาศหน้าบ้านก็เรียบร้อยสะอาดตา ดูดี…ฉันยิ้มง่วงๆ อย่างพึงใจ สายตาพลันไปสะดุดเข้ากับรั้วสูงสองเมตรกั้นกลางสะพานข้ามสระ ปกติรั้วจะถูกล่ามกุญแจพันโซ่ไว้เสมอ ทว่าตอนนี้ช่องประตูตรงกลางกลับเปิดอ้า
ฉันอ้าปากค้างตาม ก่อนหูจะได้ยินเสียงซึ่งทำเอาขนลุกเกรียว
“โฮ่ง!”
มัน…ข้ามมาอยู่ฝั่งนี้ตั้งนานแล้ว อีกมุมสวนไกลจากสระ มันกำลังยืนจังก้าส่ายหางม้วนๆ ของมันระรัว แลบลิ้นแฮ่กๆ จ้องฉันตาวาวราวกับเห็นเหยื่อ
“ไป๊! หมาหน้าเหม็น อย่าเชียวนะ”
หมาชิบะหลังดำเมี่ยมคิ้วจุดที่ฉันแสนจะเกลียด
ที่สยองก็คือ มันดันรักฉัน มากทีเดียว…
“อย่าาาา อีแม่ร่วง! ลูกหล่น!” ส่งเสียงระรัว แต่ละคำล้วนติดมาจากย่าทั้งนั้น ฉันถอยหลังกรูดอย่างยากจะควบคุมตัวเอง คล้ายภาพสโลว์โมชันเมื่อหมานรกวิ่งตุเลงพรวดๆ สปริงตัวโดดเข้าหา ฉันกรีดเสียงโหยหวนลั่นตอนตัวเองเซแซ่ดๆๆ จะร่วงลงน้ำเพราะแรงที่โถมเข้าใส่ “หอยหก แตก แหกกกกก!”
ฉันที่ตะเกียกตะกายทันได้เห็นลุงปูในชุดสูทเต็มยศพุ่งหลาวตามลงมา ท่าสวยจัดอย่างกับนักกระโดดน้ำมืออาชีพ
ฉันมีสายเลือดเงือก
เทียบได้กับนางพญาปลา
แต่ใช่…
ว่ายน้ำไม่เป็น…