ซ่อนรัก บทที่ 3 : ความทรงจำ

ซ่อนรัก บทที่ 3 : ความทรงจำ

โดย : โสภี พรรณราย

Loading

ซ่อนรัก โดย โสภี พรรณราย เมื่อความรักพังทลาย ปารีสจึงออกเดินทางด้วยหวังว่าโลกกว้างจะช่วยเยียวยาหัวใจ แต่สิ่งที่เธอคิดและตัดสินใจอาจไม่เป็นอย่างที่คาด เมื่อหนุ่มหล่อเข้มคนนี้เข้ามาในชีวิต และความหลังของหล่อนกับเขาเป็นความรักที่ต้องเก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

ปารีสพยายามจะลุกขึ้น แต่เพราะล้มผิดจังหวะ ขาเจ็บมาก ฝืนตัวลุกขึ้นยืน หากจะก้าวแต่ละก้าวลำบาก

และใครคนหนึ่งวิ่งตัดหน้าหล่อนไปอย่างรวดเร็ว วิ่งตามคนกระชากกระเป๋า

ขอให้ได้กระเป๋าคืน ขอคืน ในกระเป๋ามีหนังสือเดินทาง เงินทองไม่สำคัญเท่าเอกสาร

คนที่วิ่งตามคือวิศร์

เขาเดินตามหล่อนและเห็นเหตุการณ์

โจรกระชากกระเป๋าวิ่งลัดเลาะอย่างชำนาญพื้นที่ จนเลี้ยวเข้าไปในซอยเปลี่ยว

ถ้าไม่ใช่เพราะมีพลเมืองดีคนหนึ่งช่วยขัดขาโจรไว้จนล้ม วิศร์อาจวิ่งตามไม่ทัน

โจรยอมโยนกระเป๋าคืนและวิ่งหนีไป

ได้กระเป๋าแล้ว วิศร์จึงหยุดตาม

ชายหนุ่มหยุดชั่วขณะ…แล้วค่อยๆ เปิดกระเป๋า

บางเรื่องที่เขาอยากรู้ และต้องรู้

ปารีส…ชื่อที่สะดุดความรู้สึก ชื่อที่เหมือนคุ้นเคยวัยเยาว์

ถ้า…ใช่…อย่างที่เขาคิดนะ อาจใช่…อาจไม่ใช่

จะใช่หล่อนหรือไม่

ชื่อในหนังสือเดินทาง

ปารีส อรัญวิทย์ !

วิศร์เบิกตาเล็กน้อย และมุมปากมีรอยยิ้ม

 

ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ

หล่อนรับกระเป๋ามากอด และจำได้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่นั่งข้างบนเครื่องบิน

“ต้องระวังหน่อยครับ เดี๋ยวนี้โจรชุกชุม”

“ฉันเผลอเหม่อลอย”

“คุณควรมีกระเป๋าพิเศษอีกใบ แยกเอกสารสำคัญ”

“ปกติเคยมี แต่ไม่คิดว่าจะเจอแบบนี้ ขอบคุณค่ะ” แล้วก็หันหลังเดินไป

หล่อนเดินช้า กระโผลกกระเผลกอย่างยากลำบาก เจ็บมากแต่ละก้าว แต่ทนกัดฟัน

วิศร์…คงปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ เขาเดินตามและเรียก

“คุณ”

หล่อนเลิกคิ้วหันมา

“ทำไมคะ”

“คุณเจ็บขา ยังฝืนเดินเดี๋ยวอาการจะยิ่งเจ็บมากขึ้น”

“คงไม่เป็นไร ฉันอยากกลับโรงแรมไปพักผ่อนแล้ว”

“ผมไปส่งเอง”

“คุณ”

“ผมว่างครับ มาท่องเที่ยวคนเดียว และเราเป็นคนไทยด้วยกัน ไม่หลอกลวงกัน ถ้าคุณไม่ถือสา ผมแบกคุณไปได้”

“แบก”

วิศร์หัวเราะ

“ที่นี่อิตาลี ไม่มีใครรู้จักเราหรอก”

ปารีสส่ายหน้าหลายครั้ง

“ไม่ค่ะ ไม่” ไม่รู้จักกันเลย หล่อนจะขึ้นหลังเขาได้อย่างไรกับชายแปลกหน้า

หญิงสาวยังมองเขาเป็นคนแปลกหน้า

“งั้นผมประคองคุณ”

“เอ้อ…”

“ผมเป็นไม้เท้าให้คุณ คุณจะเดินสบายขึ้น”

ปรีสจึงยอมตกลง ใช่นะ…มีไม้เท้าพยุงดีกว่าไม่มี

“ขอโทษครับ” พึมพำเบาๆ แล้วจึงเข้าประคองร่างของหญิงสาว

หญิงสาวสบายขึ้นจริงๆ ไม่ต้องลงขาอย่างแรงยามก้าว ที่จริงอยากให้อุ้มไปด้วยซ้ำ แต่แค่ประคองกับคนแปลกหน้าถือว่าดีที่สุด

สำหรับวิศร์ ตอนนี้หล่อนไม่ใช่คนแปลกหน้าเลย

ปารีส อรัญวิทย์

เคยรู้จัก…เคยพบตั้งแต่เด็ก ความทรงจำในวัยเยาว์ พบครั้งเดียวแต่ไม่เคยลืม

เขากลับมาพบหล่อนอีกจนได้

ชะตาชีวิต ชะตาลิขิตแท้ๆ

เหตุการณ์ผ่านมาสิบกว่าปี หล่อนจะจำได้หรือเปล่า

มิน่าล่ะ ทำไมเขาจึงดูสนใจหล่อนผิดปกติ ทำไมเขาจึงเดินตามหล่อนทั้งที่ไม่ควรทำเช่นนั้น

เพราะ…แรงในอดีตนั่นเอง

เคยพบ รู้จัก ใกล้ชิดในวัยเด็ก วันเดียวคืนเดียว แต่กลายเป็นความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือน

เขายังฝันถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นเสมอ

และแล้วเด็กผู้หญิงคนนั้น ก็อยู่ใกล้กับเขาตรงนี้แล้ว

และเพราะชื่อ ‘ปารีส’ กับดวงตาคู่สวย ฝังใจไม่ลืม

ระยะทางจากที่นี่ไปถึงโรงแรมที่หล่อนระบุ ไม่ใกล้เลย แต่วิศร์ก็ยินดีจะประคองหล่อนไปเรื่อยๆ

ที่สำคัญเขาขำและพูดว่า

“เราพักโรงแรมเดียวกันครับ”

“โรงแรมใกล้เมือง เดินทางสะดวก สวยด้วยนี่คะ”

“คุณคิดเหมือนผม”

“คุณมาเที่ยวคนเดียว” หล่อนเริ่มสงสัย หนทางยังอีกไกล การพูดคุยจึงเริ่มต้น

“ครับ ผมมาคนเดียว เที่ยวด้วย ดูงานด้วย”

“ท่าทางคุณชินทาง”

“ผมมายุโรปบ่อยมากครับ ปีหนึ่งหลายครั้ง”

“อาชีพคุณคงอิสระน่าดู”

“ผมเป็นนักออกแบบ มีบริษัทเล็กๆ กับเพื่อน และเด็กในบริษัทไม่กี่คน แล้วคุณปารีสล่ะ”

หญิงสาวเลิกคิ้ว

“รู้จักชื่อฉันด้วย”

“รู้ตั้งแต่อยู่สนามบินเมืองไทยแล้วครับ ผมนั่งอยู่ข้างๆ คุณ ตอนเพื่อนคุณสองคนวิ่งลุกลี้ลุกลน มาส่งคุณเกือบไม่ทัน”

“หรือคะ”

“แล้วตอนคุณหยิบกระเป๋าเดินทางผิดอีก”

“อ๋อ ค่ะ”

“เรานั่งติดกันบนเครื่องบิน คุณยังพิงแขนผมเลย”

“เอ้อ คุณอีกแล้ว”

“คุณไม่สังเกตอะไรเลยหรือครับ” จริงๆ แล้วหล่อนเป็นแบบนั้น สติไม่อยู่กับตัว ยังทำใจไม่ได้

“สังเกตไปทำไม คนที่เรารู้จักกันมาจะแต่งงานกันแล้ว ยังเปลี่ยนไปทั้งที่อยู่ใกล้กันเกือบทุกวัน ไม่มีอะไรตองสังเกตหรือต้องจับผิด”  หล่อนแค่นหัวเราะ “คนจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเลย แนบเนียนมากๆ คุณ…เอ้อ…เห็นด้วยไหมคะ”

“ผมชื่อวิศร์ครับ”

“คุณวิศร์ว่าอย่างไรล่ะ”

“ผมถือว่าอะไรที่ไม่ใช่ของเราก็ไม่ใช่ของเรา สิ่งที่เป็นของเรา อย่างไรก็เป็นของเราจนได้”

“เขา…ไม่ใช่ของเราจริงๆ”

“คุณต้องเข้มแข็งนะครับ”

“ไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอกค่ะ พูดไปเถอะ ใครจะฟัง”

ชายหนุ่มพยักหน้า

“ผมเข้าใจครับ มันต้องอยู่ที่ตัวเอง ต้องผ่านไปอย่างไรให้รวดเร็วและเจ็บน้อยสุด”

แล้วการพูดคุยก็หยุดชะงัก เมื่อมองออกไปเบื้องหน้ามีคู่บ่าวสาวกำลังถ่ายรูปแต่งงานริมถนน

ตอกย้ำความเจ็บปวดให้กับปารีส

“ผมรู้ทาง เราจะเลี่ยงไปทางอื่นก็ได้” เพื่อหล่อนจะไม่เห็นภาพ

“ไม่ค่ะ”

ปารีสกลับอยากหยุดดู

บ่าวสาวผมทอง หนุ่มหล่อกับสาวสวย พวกเขาถ่ายริมทาง ซึ่งวิวยุโรปสวยมาก มุมไหนก็สวย ยิ่งใกล้วันคริสต์มาส ปีใหม่ ร้านค้าตกแต่งตลอดทาง

วิศร์ขยับแต่หล่อนไม่ขยับ

เขาเดินไม่ได้เพราะประคองหญิงสาว ถ้าหล่อนไม่ขยับ เขาก็ก้าวต่อไม่ได้ ที่สำคัญเขาปล่อยร่างเธอไม่ได้เลย

“งดงามมาก” หล่อนพึมพำ จ้องภาพเบื้องหน้า

“ครับ”

“สวยไปหมด ทั้งคนทั้งวิวด้านหลัง”

“ใกล้วันคริสต์มาสและปีใหม่ ยุโรปสวยงามเสมอ ยิ่งตอนกลางคืน ประดับไฟสว่างไสว”

“ฉันชอบค่ะ ต้นคริสต์มาสประดับของขวัญ ทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างตื่นเต้นได้ ทำให้รู้ว่าโลกนี้ยังงดงามเสมอ”

“คุณไม่เป็นไรนะ”

“ฉันหวั่นไหวเกินไปกับทุกอย่าง”

“เวลาจะช่วยคุณเอง”

“ทำไมเราเหมือนสนิทสนมกัน ทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน” หล่อนเหมือนถามตัวเอง

แทบจะเรียกว่าหล่อนอยู่ในอ้อมแขนเขา เขาประคองหล่อนแนบชิด

กับ…คนแปลกหน้า

กับ…คนไทยด้วยกันในต่างแดน

เขา…บอกว่าเห็นหล่อนตั้งแต่อยู่สนามบิน

“คุณคงลืมอดีตหมดแล้ว”

“อะไรนะคะ” เพราะเขาพูดเบามาก

“ตอนเด็ก”

“เด็ก”

“คุณลืมจริงๆ”

“เดี๋ยวนะคะ คุณพูดแปลกๆ เด็ก…เราเคยรู้จักกันหรือ”

“มันคงนานเกินไป และคุณก็เพิ่งหกเจ็ดขวบเอง ตอนั้นผมสิบเอ็ดแล้ว จดจำได้ดีกว่าเด็ก”

“เจ็ดขวบ…เด็ก”

จำได้สิ จำได้แล้ว

กับพี่ชายตัวโตคนนั้น

หล่อนไปเที่ยวป่ากับพ่อแม่ และเพราะตนซุกซนทำให้หลงทาง ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลผู้คน

จำได้ว่าตอนนั้นเย็นมากแล้ว เริ่มหนาว เริ่มกลัว เรียกหาพ่อแม่ช่วย แต่ไร้การตอบรับ

จนได้พบพี่ผู้ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเดินตามหล่อนมา

“ไม่ต้องกลัว” คำแรก

แต่ตนร้องไห้แล้วละ ร้องไห้ไม่หยุด

เด็กผู้ชายตัวโตปลอบโยน

“ไม่เป็นไร…ไม่ต้องกลัว” ซ้ำซากอยู่อย่างนั้น

แล้วหลงทางทั้งคู่ กลับไปทางเก่าไม่ถูก

ยิ่งเดินยิ่งลึกเข้าไปในป่า และยิ่งมืด

เขาคือวิศร์ในวัยสิบเอ็ด กับปารีสวัยเจ็ดขวบ

เคยพบกันแล้ว เพราะเขาเห็นเธอเดินตามลำพัง อยู่ๆ ก็วิ่งตามเธอเสียอย่างนั้น เพราะห่วงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กลายเป็นว่าตามไปตามมากลับหลงด้วยกัน

เด็กสองคนกับค่ำคืนในป่าเขา

เด็กหญิงคนนั้นกลัวและอยู่ในอ้อมแขนวิศร์ตลอดคืน

กลางคืนทั้งมืด ทั้งหนาวเย็น ทั้งวังเวง และมีเสียงสารพัดสัตว์น้อยใหญ่

เขาเสมือนเป็นพี่ชายปกป้องน้องสาวตัวเล็กๆ

สำหรับเด็กน้อยสองคนแล้ว ค่ำคืนยาวนาน…ยาวแสนยาว ยังดีที่มีเวลาช่วงหนึ่งที่เด็กหญิงหลับ

เด็กชายแค่หลับเป็นช่วงๆ สั้นๆ สะดุ้งตื่นหลายครั้งเพราะเด็กหญิงละเมออย่างหวาดกลัว

รู้ทั้งรู้ว่าต้องมีผู้ใหญ่มาตามตัวตนกับเด็กหญิง แต่ค่ำคืนนี้จะค้นหาพบหรือเปล่า ต้องรออีกนานแค่ไหน

“หนาวจังค่ะ” เด็กหญิงพึมพำ

“ใกล้จะเช้าแล้วละ”

“เราจะตายไหมคะ”

“ไม่ตายหรอก”

“เราต้องอดตายอยู่ที่นี่ เราหลงทาง พ่อแม่ไม่รู้ว่าปาอยู่ที่ไหน”

“ชื่อ…ปา”

“ปารีสค่ะ หนูชื่อปารีส อรัญวิทย์” พ่อกับแม่สอนให้รู้จักชื่อตัวเองอย่างแม่นยำ “ปากลัวตาย”

“ไม่ตายแน่ๆ ไม่ตาย”

“ปากลัวจริงๆ เราต้องตาย” แล้วก็ร้องไห้อีก ร้องๆ หยุดๆ เป็นพักๆ เหมือนกับหลับๆ ตื่นๆ ตลอดเวลา

“ไม่ตายแน่นอน” เขามองเห็นกิ๊บติดผมเด็กน้อยเป็นรูปดาว ประดับด้วยหินคล้ายเพชรระยิบระยับบนศีรษะ “ดาวเพชรจะช่วยปกป้องเธอนะ เธอมีดาวเพชรบนหัว นั่นคือดาวคุ้มครองเธอให้ปลอดภัย”

“ดาวคุ้มครอง”

“จ้ะ…เด็กน้อย ดาวจะคุ้มครองเธอ และเราจะปลอดภัย”

ใช่สิ…และสุดท้าย วันรุ่งขึ้น…มีคนมาตามตัวเด็กๆ จนพบและพวกเขาปลอดภัย

ทั้งสองถูกแยกจากกันและถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล

วันนั้นจนวันนี้…ไม่เคยพบกัน

ชะตาลิขิต…วันนี้…วันนี้ ได้กลับมาพบกัน

สาวน้อยปารีส เด็กน้อยตัวเล็กในอ้อมแขน กลายเป็นสาวสวยหน้าหวาน ยังคงบอบบางน่าทะนุถนอมเช่นเดิม



Don`t copy text!