ให้หัวใจได้นำทาง บทที่ 2 : มิตรภาพที่งอกงามและ…สิ่งที่อยู่ในความทรงจำ
โดย : ปรียนันทนา
ให้หัวใจนำทาง นวนิยายรักโรแมนติกโดย ปรียนันทนา เรื่องราวของปารัณ ชายหนุ่มที่ไปทำงานยังเมืองแบรสต์ ประเทศฝรั่งเศส และได้พบกับถนนสยาม ซึ่งราชฑูตโกษาปานเคยไปถวายพระราชสาส์น และเรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อเขานิมิตว่าเคยเป็นหนึ่งในคณะราชฑูต และได้พบรักกับสาวฝรั่งเศส นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อ คุณผู้อ่านสามารถสั่งซื้อได้ที่เพจ มีน พงษ์ไพบูลย์
……………………………………………………..
-2-
แอร์โฮสเตสสาวสวยร่างบางแต่แข็งแรงเปิดประตูเครื่องบินขนาดใหญ่ออกอย่างรู้หน้าที่ ผู้โดยสารทยอยมายืนออต่อแถวเพื่อลงจากเครื่องให้เร็วที่สุด ปารัณก็อยากทำเช่นกันหากแต่ตอนนี้เขาไม่อยากเบียดกับใคร เมื่อคู่รักที่นั่งแถวเดียวกันขอเดินแทรกออกมาเขาจึงรีบหลีกทางให้และตนเองนั่งรอต่อไป เขาเป็นผู้โดยสารกลุ่มสุดท้ายที่ลงจากเครื่องบิน เมื่อถึงสายพานรับกระเป๋าเขาเริ่มสอดส่ายสายตาหาใครบางคนแต่ก็ดูเหมือนไร้วี่แววของเธอคนนั้นเสียแล้ว กระเป๋าแต่ละใบถูกลำเลียงออกมาเป็นระยะกระทั่งถึงสัมภาระของชายหนุ่ม ปารัณจัดแจงยกของขึ้นรถเข็นอย่างเป็นระเบียบ เขามีนัดกับเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นที่ประตูทางออกสนามบิน มาโกโตะมาถึงก่อนเขาตั้งแต่เมื่อวาน ปารัณไม่เคยเจอช่างภาพชาวญี่ปุ่นคนนี้หากแต่มิตรภาพก็งอกเงยผ่านสื่อโซเชียลที่ใช้ติดต่อกันนานหลายเดือน อาจเป็นเพราะทั้งคู่อยู่ในสายงานเดียวกันอีกทั้งความเป็นชาวตะวันออกของเขาและมาโกโตะก็ทำให้ต่างเข้าใจและรู้สึกสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
รถเข็นของช่างภาพย่อมมีเพียงช่างภาพด้วยกันเข้าใจและรู้ดีว่าสิ่งของสัมภาระส่วนตัวนั้นหาได้สำคัญเท่าผลงานไม่ มาโกโตะยิ้มจนตาหยีภายใต้กรอบแว่นสีเงินเมื่อเห็นรถของปารัณเข็นออกมา เขาส่งเสียงเรียกอย่างดีใจ
“รัณคุง ทางนี้ๆ”
“สวัสดีมาโกโตะคุง รอนานมั้ย” เขาเห็นมาโกโตะแต่ไกลเช่นกัน ด้วยรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ภายในสนามบินนั่นเอง
“การเดินทางเป็นยังไงบ้าง รัณคุง เหนื่อยมั้ย”
“ไม่เหนื่อยเลย แต่จากเมืองไทยมาปารีสนั่งเครื่องนานจนเมื่อยมากกว่า”
“จากโตเกียวก็ไม่น่าจะต่างกันนะ แต่ผมมาก่อนเพราะว่าจองตั๋วได้เร็วไง”
“ก็คุณมากับแฟนนี่นา” ปารัณแซวเพื่อนใหม่ที่เขารู้สึกคุ้นเคย
“ก็ใช่น่ะสิ นี่เค้าไปเยี่ยมเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยอีกเมืองหนึ่ง อาทิตย์หน้าถึงจะตามมาสมทบกับผม หลังจากเปิดนิทรรศการเราถึงจะไปเที่ยวกันต่อ”
“อ้าว แฟนคุณเรียนที่ฝรั่งเศสเหรอ”
“ใช่ครับ” มาโกโตะพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มสุภาพและสดใสก่อนจะอธิบายเรื่องแฟนสาวให้ปารัณฟังต่อ
“เธอเรียนจบทางด้านบริหารงานวัฒนธรรมที่ปารีส แล้วก็กลับไปทำงานที่พิพิธภัณฑ์ในโตเกียว ผมเจอเธอครั้งแรกตอนเรียนมหาวิทยาลัย แต่เราสองคนก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน พอกลับมาเจอกันอีกครั้งที่พิพิธภัณฑ์ผมเลยเริ่มจีบเธอ”
“โอ้โห เรื่องคุณนี่ฟังดูโรแมนติกนะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก แล้วคุณล่ะรัณ มาคราวนี้ไม่พาเธอคนนั้นมาด้วยเหรอ” มาโกโตะคงเห็นรูปของนรียาในเฟซบุ๊ค เขาจึงคิดว่าปารัณยังคงคบกันหญิงสาวเช่นเดิม
“ผมน่ะเหรอ เพิ่งอกหักไง”
“อะไรนะ โอ้ ผมขอโทษด้วยนะที่ถามถึง คุณคงกำลังเศร้าสินะ” มาโกโตะก้มศีระษะแสดงความขอโทษตามแบบฉบับชาวญี่ปุ่นขี้เกรงใจ
“ไม่เป็นไรหรอกมาโกโตะคุง จริงๆแล้วจะเรียกว่าอกหักก็คงไปถูกต้องนักหรอก เพราะผมก็ไม่ได้เศร้าอย่างที่ควรเป็นนัก”
“ถ้าเป็นผมคงเศร้ามากเพราะคบกันมานาน”
มาโกโตะทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินนำเพื่อนชาวไทยออกไปนอกสนามบินเพื่อเรียกแท็กซี่ ปารัณคิดตามคำพูดของเพื่อนแล้วก็คิดตามหากทว่าเขากลับไม่รู้สึกเช่นที่มาโกโตะพูด ความเศร้าของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน สำหรับเขาการที่ความรักไปไม่ถึงฝั่งทำให้เขาเสียใจ แต่นั่นไม่ใช่ความโศกเศร้าที่เขาสูญเสียคนรักไป ปารัณคิดว่าคงเป็นเพราะเขาและนรียายังคงความรู้สึกดีๆที่มีต่อกันไว้ได้เป็นแน่
ไอเย็นแห่งฤดูใบไม้ผลิช่วยให้อารมณ์แช่มชื่นขึ้นจนลืมความคิดที่หมกมุ่นได้ดีทีเดียว ปารัณมองไปรอบกายแล้วก็เห็นว่าชาวปารีเซียงส่วนใหญ่แต่งกายมีสีสันมากขึ้นกว่าครั้งที่แล้วที่เขามาเยือนหากก็ยังไม่มากนักแม้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งคงเป็นเรื่องธรรมดาเพราะชาวตะวันตกส่วนใหญ่ไม่ค่อยนิยมสีสันมากเท่าชาวตะวันออก เขาออกเดินไปพร้อมกับมาโกโตะที่กำลังมุ่งหน้าไปยังจุดเรียกแท็กซี่
“ความจริงเรานั่งรถไฟใต้ดินไปจะเร็วกว่าแต่ของของผมทำให้ไม่ค่อยสะดวกเลยนะ” ปารัณออกตัวอย่างเกรงใจที่เพื่อนต้องมารับ
“ไม่เป็นไรเลย เพราะถึงยังไงผมก็ต้องมารับคุณอยู่แล้ว” มาโกโตะย้ิมให้ปารัณ
“ขอบคุณมากนะมาโกโตะคุง”
มิตรภาพของสองหนุ่มต่างเชื้อชาติต่างภาษาที่ไม่ได้ใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจ มีเพียงความรักในอาชีพสายงานเดียวกันก็ทำให้พวกเขาทั้งสองได้มาเจอและถูกอัธยาศัยกัน คงจะเหมือนภาพที่เขาถ่ายนั่นเอง ปารัณคิดว่าครั้งแรกที่เขาเห็นมุมมองที่ถูกใจและกดชัตเตอร์บันทึกช่วงเวลาและเหตุการณ์นั้นไว้นอกจากเขาเป็นผู้เลือกด้วยตนเองแล้วก็คงเป็นโชคชะตาที่นำพาให้ได้พบกับมุมมองใหม่ในชีวิตด้วย
การเดินทางยาวนานสิ้นสุดลงเมื่อหญิงสาวลากกระเป๋ามาวางไว้ในห้องนั่งเล่นเป็นอันดับแรกเมื่อกลับถึงบ้าน โซฟาหนังสีแดงก่ำมีพรมหนานุ่มสีน้ำตาลทองปูวางไว้ข้างหน้าดูราวจะส่งเสียงต้อนรับเมื่อเธอทิ้งตัวลงอย่างเหนื่อยอ่อน เครื่องแก้วคริสตัลที่ตั้งอยู่ในตู้ไม้โอ๊คหลังเก่าส่งแสงประกายระยิบออกมายามที่พ่อของหล่อนเปิดโคมไฟข้างตู้
“แหม ทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อย แต่พ่อยังมีแก่ใจดูของรักนะคะ” มนสิชาแซวผู้เป็นพ่อ
“หึ หึ จากกันไปเป็นเดือน วันนี้จะใช้แก้วใบนี้ดื่มไวน์เสียหน่อย” ฟรองซัวเปิดตู้แล้วหยิบแก้วคริสตัลใบโปรดยี่ห้อดังจากสาธารณรัฐเช็กออกมาอวดลูกสาว
“ค่ะพ่อ ว่าแต่อาหารมื้อเย็นของเราที่แกล้มไวน์จะเป็นอะไรดีคะระหว่างเนื้อสัตว์ที่ยังไม่ได้ออกไปซื้อกับผักสลัดหลังบ้าน” มนสิชาพูดพลางหาวหวอด
“พ่อว่าเรามีวิธีที่ง่ายกว่านั้นนะ” ฟรองซัวมองลูกสาวด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
หลังจากนอนหลับพักผ่อนหลายชั่วโมงก็ถึงเวลามื้อค่ำหน้าโทรทัศน์อันเป็นเหมือนหนึ่งในวัฒนธรรมของบ้านที่ต้องรับประทานอาหารเคล้าเสียงรายการใดรายการหนึ่ง แม้หลายบ้านอื่นๆในละแวกนี้จะไม่มีใครเป็นเช่นนี้แต่ความคุ้นชินเกิดจากเมื่อแม่ของมนสิชามาอยู่ฝรั่งเศสใหม่ๆและต้องการฝึกภาษาให้เข้าใจอย่างรวดเร็ว การดูโทรทัศน์ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยได้ พ่อของหล่อนก็ไม่ได้ว่าอะไรที่ภรรยาทำแบบนี้ กระทั่งมีมนสิชา หญิงสาวจึงติดนิสัยดูโทรทัศน์ในขณะรับประทานอาหาร
“สรุปว่าเรากินมื้อเย็นกันอย่างสนุกสนานเมื่อไม่มีแม่นะคะพ่อ” มนสิชากัดพิซซ่าเข้าปากคำใหญ่อย่างเอร็ดอร่อย ปกติแล้วบ้านของหล่อนเป็นบ้านที่แทบจะเรียกว่าชีววิถีเลยทีเดียวเพราะแม่ของหญิงสาวเป็นคนชอบทำกับข้าวและปลูกผัก ไม่ว่าพื้นที่หลังบ้านจะมากหรือน้อยแต่หญิงสาวก็เห็นว่านอกจากไม้ดอกสีสันงดงามรวมทั้งแปลงกุหลาบฝรั่งเศสแม่ก็ยังมีพื้นที่เหลือให้กับแปลงผักเสมอ เหตุผลของแม่ก็คืออยากให้ครอบครัวได้รับประทานของดีและประหยัดด้วย ด้วยเหตุนี้บ้านของหล่อนจึงไม่ขาดแคลนของกินเลย
“ก็มันง่ายดี ลูกคิดว่าไงล่ะ”
“ใช่ หนูก็ว่างั้นแหละค่ะ แต่เราจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับ” หญิงสาวพูดพร้อมกับยื่นนิ้วก้อยให้บิดาเครื่องแสดงว่าทั้งคู่จะปิดเรื่องอาหารมื้อนี้เป็นความลับ
“แน่นอน”
แล้วบรรยากาศมื้อแรกแห่งการกลับบ้านของสองพ่อลูกก็ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายแต่อบอุ่น แม้จะขาดหญิงผู้เป็นที่รักคนหนึ่งซึ่งอยู่อีกซีกโลกก็ตาม
หอไอเฟลยังคงตั้งตระหง่านที่เดิมหากจะมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือใจของคนมองนั่นเอง ปารัณเดินทอดน่องเพื่อชมบรรยากาศยามค่ำคืนแห่งมหานครที่ได้ชื่อว่าโรแมนติกที่สุดในโลก สำหรับเขาแล้วเสน่ห์ของปารีสอาจไม่ใช่เฉพาะเพียงเป็นเมืองของคู่รักเท่านั้น หากแต่ปารีสยังมีมนต์สะกดสำหรับช่างภาพอย่างเขาที่ชอบและสนใจเรื่องราวของบางสิ่งบางอย่างที่บางคนอาจมองข้ามไป แน่นอนว่าการที่เขาไม่มีคนรักไม่ใช่ข้ออ้างที่จะใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินชมเมืองยามค่ำคืน โรงแรมที่เขาและมาโกโตะพักเป็นโรงแรมกลางใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินที่สำคัญคือไม่ไกลกับแกลเลอรี่ที่จะจัดแสดงงานของพวกเขาด้วย
“รัณคุง หิวหรือยัง” มาโกโตะเดินมาสมทบหลังจากที่ทั้งคู่แยกย้ายกันออกไปถ่ายภาพถนนโดยรอบ
“ก็นิดหน่อยนะ”
“ผมเห็นร้านอาหารเวียดนามตรงหัวมุมถนนโน้นน่ะ เราไปกินกันมั้ย”
“แหม ผมกำลังจะบอกว่าอยากกินอาหารญี่ปุ่นอยู่เชียว”
“อยากกินเหรอ ผมกินได้นะ” มาโกโตะตอบกลับอย่างพาซื่อด้วยหารู้ไม่ว่าเพื่อนกำลังพูดเล่น
“ผมพูดเล่นน่ะ สงสารคนญี่ปุ่นถ้าต้องมากินอาหารต่างบ้านต่างเมือง กลัวไม่อร่อย กินอาหารเวียดนามก็ดี”
“แต่ผมว่าอาหารญี่ปุ่นที่นี่ก็อร่อยนะ เพราะอาหารบ้านเราหมายถึงอาหารญี่ปุ่นโดยทั่วไปมีรสชาติที่ไม่ซับซ้อน เราเน้นวัตถุดิบที่สดใหม่มากกว่า”
“นั่นละ ผมว่ายากเพราะของต้องสดและปรุงใหม่จริง”
“ก็อาจเป็นอย่างที่คุณบอก ว่าแต่เราอย่ามัวมาเถียงกันเลย ตอนนี้ผมหิวละ” มาโกโตะตัดบทพร้อมกับออกเดินนำปารัณไปยังจุดหมายปลายทางที่ทั้งสองคนตกลงกันไว้ อากาศเริ่มเย็นลงกว่าเมื่อกลางวันจนชายหนุ่มอย่างปารัณกระชับเสื้อกันหนาวให้แนบกายมากขึ้นพร้อมกับตลบปลายผ้าพันคอขึ้นมาเพื่อให้อุ่นกว่าเดิม คู่รักที่กำลังเดินสวนกับเขาใช้วงแขนโอบกอดกันไว้ราวกับว่าเป็นเครื่องทดแทนความอบอุ่น เขามองไปรอบกายก็พบแต่คนที่มาเป็นคู่ อาจมีทั้งคนฝรั่งเศสและไม่ใช่ ส่วนชาวเอเชียที่เขาเห็นก็มักเป็นคนหนุ่มสาวที่แน่นอนว่าปารีสย่อมเป็นเมืองหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่คู่รักควรมาเยือน เพราะท่ามกลางคนเหล่านั้นก็เคยมีเขาเช่นกัน ทั้งที่เขาไม่คิดว่าตนเองยังอาลัยอาวรณ์นรียาแล้วหากบรรยากาศในค่ำคืนนี้ก็พาใจให้นึกถึง อาจเพราะสถานที่เหล่านี้เคยเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำที่ดีและงดงามของเขาและเธอก็เป็นได้ ปารัณเดินตามมาโกโตะไปเงียบๆพร้อมกับเรื่องราวหลากหลายในอดีตที่กำลังวนเวียนอยู่ในความคิด แต่ไม่ว่าจะทบทวนอีกกี่ครั้งเมื่อเขาไม่อาจหาปลายทางแห่งคำตอบที่ลงตัวได้ ณ ขณะนี้ เขาก็คิดว่าทางที่กำลังเลือกเดินย่อมเหมาะสมกับเขาและนรียาแล้ว
หญิงวัยกลางคนท่วงท่าสง่างามสวมกางเกงและเสื้อลินินสีดำตัวยาวคลุมสะโพก ที่เด่นจัดชัดเจนที่สุดคงเป็นสร้อยเทอร์คอยซ์เส้นยาวซึ่งตัดกับลิปสติกสีแดงบนริมฝีปาก ปารัณและมาโกโตะตรงเข้าไปทักทายสุภาพสตรีคนนั้นอย่างเป็นกันเองนั่นเพราะทั้งหมดได้ติดต่อกันมาแล้ว เอแลนเป็นภัณฑารักษ์ของหอศิลป์แห่งนี้ที่ในแต่ละปีจะจัดนิทรรศการหมุนเวียนมากพอสมควร
“บงชูร์มิสเตอร์ปารัณ บงชูร์มิสเตอร์มาโกโตะ ยินดีที่ได้พบคุณสองคนนะคะ”
“ยินดีที่ได้พบเช่นกันครับคุณเอแลน” ปารัณตอบกลับพร้อมรอยยิ้มสดใส เขารู้สึกว่าความฝันของเขาใกล้เข้าความจริงแล้ว แม้ว่าหอศิลป์แห่งนี้ไม่ใหญ่โตแต่ก็อยู่ในย่านเก่าแก่ของปารีสที่สวยงามและน่ารักอย่างมาเรส์ ปารัณคิดว่าท่ามกลางหอศิลป์มากมายในมหานครใหญ่แห่งนี้ ผลงานชิ้นเยี่ยมอาจซุกตัวอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของเมืองและไม่แน่ว่าผลงานชิ้นเยี่ยมนั้นอาจมีเขาเป็นเจ้าของก็เป็นได้
“พวกคุณมากันเร็วจัง แต่ก็ดีค่ะเพราะจะได้ติดตั้งงานให้เสร็จเร็วๆและไปเที่ยว”
“ผมไม่เร็วหรอกครับเพิ่งมาถึงปารีสเมื่อวาน ส่วนมาโกโตะมาถึงก่อนผมตั้งหนึ่งวัน”
“แต่เราเปิดให้เข้าติดตั้งงานได้วันนี้นะคุณมาโกโตะ” เอแลนทำหน้าสงสัย
“อ๋อ พอดีผมมาเที่ยวด้วยครับ”
“กับแฟน” ปารัณต่อท้ายทันทีเมื่อมาโกโตะพูดจบสร้างเสียงหัวเราะในวงสนทนาเล็กๆได้อย่างรื่นรมย์ก่อนหน้าที่เอแลนจะนำช่างภาพทั้งสองไปยังจุดติดตั้งนิทรรศการ จากบริเวณด้านหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของหอศิลป์ ทั้งสามเดินผ่านทางเดินเล็กๆที่ผนังเป็นกระจกใส ปารัณมองไปก็พบห้องโถงนิทรรศการห้องหนึ่งซึ่งจัดแสดงงานอยู่ หากแต่เขาก็ไม่ได้ถามว่าเป็นผลงานของใคร
“งานนี้จะเก็บเย็นนี้ค่ะ ดิฉันถึงบอกว่าพวกคุณมาเร็วเพราะยังไงก็ยังติดตั้งไม่ได้อยู่ดี แต่ไม่เป็นไรนะคะ เรามีห้องสำหรับเตรียมงานได้ พวกคุณก็เตรียมพร้อมไว้ได้เลยค่ะพอถึงเวลาก็จะได้เร็ว”
“อ้อ ครับ” ปารัณรับคำภัณฑารักษ์ผู้ใจดี
“ผลงานของพวกคุณน่าสนใจมากๆนะคะ เป็นมุมมองของช่างภาพที่แตกต่างจากที่พวกเราคุ้นเคย และที่สำคัญทั้งกรุงเทพฯและโตเกียวเป็นเมืองหลวงที่น่าไปมากๆค่ะ”
“ถ้าคุณเอแลนไปเมืองไทยอย่าลืมแจ้งให้ผมทราบนะครับ เราจะได้เจอกันอีก”
“ใช่ครับ ถ้าไปญี่ปุ่นก็อย่าลืมบอกผมด้วย”
“แน่นอนค่ะ แต่ที่จริงดิฉันก็เคยไปกรุงเทพฯแล้วนะคะ แต่มันนานมากๆเกือบยี่สิบปีได้แล้ว”
“นานไปครับ คงต้องไปอีกรอบเพราะตอนนี้เมืองหลวงเปลี่ยนไปมาก”
ปารัณกับมาโกโตะมาถึงห้องเตรียมงานแล้วก็แยกย้ายกันไปทำงานของตน ห้องเตรียมงานนี้อยู่ติดกับห้องนิทรรศการพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการขนย้าย แม้ว่าเขาสามารถใส่กรอบรูปภาพมาจากเมืองไทยได้ แต่ปารัณเลือกนำมาประกอบที่นี่เพื่อมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดแตกหักระหว่างการขนย้าย ห้องสีน้ำเงินติดกับห้องสีดำที่เป็นสถานที่จัดนิทรรศการดูแคบลงไปถนัดตาเมื่อสองหนุ่มชาวเอเชียกำลังทำการ “ลำเลียง” ผลงานของแต่ละคนออกมาเพื่อตัดกรอบและประกอบให้สวยงาม เขาเลือกรูปออกมาวางลงบนโต๊ะขนาดใหญ่ด้านขวามือซึ่งมาโกโตะก็ทำเช่นเดียวกัน
“ผมจะใช้รูปกรุงเทพฯทั้งหมดแต่รูปสุดท้ายขอรูปนี้ละกัน” ชายหนุ่มหยิบรูปหอไอเฟลที่เขาถ่ายไว้เมื่อปีที่แล้วคราวที่มากับนรียา
“ผมก็เหมือนกันรัณคุง ว่าจะขอโชว์รูปนี้เป็นรูปสุดท้าย” มาโกโตะหยิบรูปหอไอเฟลยามที่ตั้งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางหิมะในฤดูหนาว เพราะงานของเพื่อนชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นภาพของแสงเงาแห่งหอโตเกียวในยามค่ำ มองดูแล้วทุกภาพสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืนทีเดียว
“สวยดีนะ ผมชอบ แล้วคุณไม่ใช้กรอบไม้เหรอ” ปารัณถามอย่างสงสัย เพราะเขาเห็นเพื่อนลากระเป๋าที่ดูหนักกว่าของตนหากแต่เมื่อมาโกโตะเปิดกระเป๋าออกมากลับไม่มีเครื่องมือสำหรับทำกรอบเลย
“ผมมีวิธีง่ายกว่านั้นรัณคุง” มาโกโตะหยิบแผ่นอะคริลิคใสออกมาสองแผ่นแล้วทำการประกบเข้ากันซึ่งตรงมุมทั้งสี่มีแม่เหล็ก เพียงแค่เขานำภาพไปวางแล้วนำอีกแผ่นประกบลงไปแผ่นอคริลิคใสก็กลายเป็นกรอบรูปงดงามได้
“เจ๋ง แบบนี้ผมคงต้องอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วมั้ง”
“ไม่เป็นไร ผมจะอยู่ช่วยคุณเอง” มาโกโตะมีสีหน้าร้อนใจเมื่อปารัณพูดเช่นนั้น
“โธ่ ผมไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย มาโกโตะคุงอย่าคิดมากสิ” ปารัณยิ้มให้เพื่อน
“งั้นเดี๋ยวผมมาช่วยนะ”
“ได้สิ”
ขาตั้งกรอบรูปวางเรียงรายรอบห้องสีดำซึ่งผนังบางส่วนก็มีคนกำลังติดตั้งภาพถ่ายอยู่ ปารัณมองประเมินด้วยสายตาก็พบว่าในห้องบรรจุคนได้ไม่เกินห้าสิบคน แต่นิทรรศการนี้มีศิลปินราวสิบคนซึ่งคงเป็นช่างภาพอิสระเช่นเขาจากทั่วโลกทำให้แม้เป็นเพียงวันติดตั้งงานแต่มีคนมากมายเพราะช่างภาพแต่ละคนก็มักมีผู้ช่วยมาด้วย ทุกคนล้วนมีสีหน้ากระตือรือร้นรวมทั้งตัวเขา แม้วันนี้จะเป็นวันแรกที่เปิดให้ศิลปินเข้าติดตั้งงานแต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะพร้อมสำหรับงานวันมะรืนนี้แล้ว ปารัณถอยออกมาจากผนังเพื่อมองดูงานของตนเองซึ่งติดตั้งไปเรียบร้อยแล้วสองภาพ ภาพของเขามีทั้งตึกรามบ้านช่องและวิถีชีวิตของผู้คนเมืองหลวง เขาเลือกถ่ายภาพในจุดเดิมสองเวลาสะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงอันเป็นหัวข้อของนิทรรศการในครั้งนี้ ความภูมิใจในตนเองเอ่อล้นขึ้นมาอย่างเงียบๆก่อนที่ชายหนุ่มจะหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาบันทึกบรรยากาศตรงหน้าเอาไว้ แม้ไม่มีใครให้ร่วมแบ่งปันความสุขนี้แต่เขาก็หวังว่าอีกไม่นานความรู้สึกหม่นๆในในจะจางหายจนกลายเป็นความอบอุ่นในใจได้ดังเดิม
ผนังด้านตรงข้ามผลงานปารัณปรากฏภาพถ่ายหลากสีเนื่องด้วยเป็นมุมของภาพสีซึ่งมีผลงานของมาโกโตะอยู่บนมุมนั้น ปารัณเดินชื่นชมผลงานของเพื่อนร่วมอาชีพไปเรื่อยๆ มีช่างภาพสาวชาวยุโรปผมสีบลอนด์ส่งยิ้มให้เขาทันทีและเริ่มชวนคุยเมื่อเขาหยุดยืนตรงหน้าภาพของเธอ เขาตอบเธอไปอย่างมีมารยาทแต่ก็รู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีที่ดูมีเลศนัยมากเกินกว่ามิตรภาพที่ควรเกิดในครั้งแรก ปารัณจึงเดินเลี่ยงออกมาเมื่อมีเพื่อนช่างภาพอีกคนเดินมาสมทบ เขาแอบเห็นว่าสาวผมบลอนด์ส่งสายตาตามมาอย่างมีความหมายจึงรีบเดินไปหามาโกโตะทันที
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“หัวเราะอะไรมาโกโตะคุง” เขาถามเพื่อนออกไปอย่างหัวเสีย
“คุณนี่ก็สเน่ห์แรงเหมือนกันนะรัณคุง” มาโกโตะหัวเราะ
“ผมว่าแปลกๆนะ เดี๋ยวเรารีบกลับกันเถอะ”
“ไปสิ ผมหิวแล้วเหมือนกัน แต่เมื่อกี้ช่างภาพเยอรมันคนนั้นมาชวนไปดื่มเบียร์นะ ผมก็ว่าจะถามคุณอยู่” มาโกโตะหมายถึงช่างภาพคนที่เพิ่งเดินเข้าไปตรงช่างภาพหญิงคนนั้น
“ไม่ดีกว่า ไปเถอะ”
เขารีบดันเพื่อนไปข้างหน้าเพื่อรีบออกไปจากตรงนั้นพลันสายตาก็สะดุดเอาที่รูปสุดท้ายของมาโกโตะที่ไม่ทันสังเกตเมื่อตอนเช้า ท่ามกลางหิมะสีขาวยังมีผู้คนเดินสวนกันหน้าหอไอเฟลและหนึ่งในนั้นคือเสี้ยวหน้าที่เขาจดจำได้ขึ้นใจ เขาบอกตัวเองว่าด้วยสายตาของช่างภาพคงทำให้ตรึงใจในใบหน้านั้นแต่ลึกลงไปเขาก็ไม่อาจหาคำตอบได้ว่าเหตุใดเมื่อเวลาอาจล่วงผ่านมาแล้วแต่ภาพเธอคนนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำอยู่มิรู้คลาย อาจเป็นเพราะเวลากว่าสิบสองชั่วโมงที่ร่วมทางช่างประทับอยู่ในความรู้สึกหรือไม่ก็เป็นอย่างอื่นที่ตัวเขาก็ไม่กล้าหาคำตอบให้ตนเองเช่นกัน