เจเน็ต…ดวงมณีแห่งลำน้ำโขง บทที่ 3 : บนพูสี
โดย :
อัตชีวประวัติของ เจเน็ต ดวงเนตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณอ่านออนไลน์ กับเรื่องราวของ “เจเน็ต” หรือ “จันทร์นวล” หญิงสาวลูกครึ่งลาว-ฝรั่งเศส ที่มีชีวิตผกพันตลอดเวลา จากชาติกำเนิดสูงส่ง เธอต้องกลายเป็นกำพร้าทั้งบิดามารดาและโชคชะตาพัดพาให้เธอต้องเดินทางไกลไปหลายประเทศ ก่อนจะมากหยั่งรากลงที่ผืนแผ่นดินไทยในบั้นปลายของชีวิต
****************************
“ จันทร… จันทร… ”
ในอาการสะลึมสะลือ กึ่งหลับกึ่งตื่นอันสืบเนื่องมาจากความอ่อนเพลียจากการคลอด เจ้านางจันทร์ฟองเหมือนกับได้ยินเสียงของตัวเองเรียกชื่อพี่ชายจันทร เธอไม่เคยเรียกพี่ชายคนนี้ว่า “ พี่ ” เพราะมีอายุห่างกันเพียงปีเดียวเท่านั้น
“ เอ… หรือว่าเราฝันไป… เราเคยเรียกชื่อพี่ชายแบบนี้มาก่อนนี่นะ มันเป็นเมื่อไหร่กันหนอ?”
“ จันทร… จันทร… มาดูขบวนเดินทางของฝรั่งต่างชาติสิ ครั้งนี้ขบวนยาวกว่าครั้งใดๆ นะจันทร ”
“ คงเจ้านายใหญ่โตกระมังจันทร์ฟอง ถึงมากันมากมายแบบนี้ ”
พี่ชายบอกกับน้องสาว แล้วก็หันหลังกลับเข้าวังไปอย่างไม่สนใจ ไม่ว่าน้องสาวจะดึงแขนอย่างไร จันทรก็ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม
“ ไม่เห็นต้องไปดูพวกมันเลย มันทำอะไรกับบ้านเมืองของเราเจ้าก็รู้อยู่เต็มอก แล้วจะไปยืนมองพวกมันทำไม ”
“ ยังไง น้องก็จะเฝ้าดูไม่เห็นเป็นไรเลย ”
เจ้านางจันทร์ฟองจึงยืนดูอยู่หน้าประตูวังหลวงด้วยความสนใจตามลำพัง นานๆ ครั้งจึงจะมีขบวนยาวแบบนี้ บางที… เธออาจจะมองเห็นอะไรแปลกไปจากสิ่งจำเจที่เธอเห็นทุกเมื่อเชื่อวันก็เป็นได้
ช้างตัวใหญ่สามเชือกเดินนำหน้ามา มีลูกช้างตัวเล็กเดินเคียงข้างแม่ของมัน มันยังเล็กมากคงจะยังไม่รู้วิธีใช้งวง จึงสะบัดงวงไปมาอย่างสนุกสนาน
บนกูบช้างตัวที่สามมีฝรั่งหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอไม่ได้มองหน้าตาของเขาอย่างถนัดถนี่นัก เพียงแต่จ้องตรงไปเฉยๆ
…แต่เมื่อประสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้น เธอก็ยืนตะลึงราวกับถูกมนตร์สะกด…
เขามองเธอจนเหลียวหลัง ส่วนตัวเธอก็มองตามโดยไม่รู้สึกตัว
จนกระทั่งขบวนทั้งหมดลับสายตาไป เธอจึงตื่นจากภวังค์ เธอสะบัดศีรษะไปมาอย่างไม่เข้าใจนัก แล้วก็หันหลังกลับเข้าวังหลวงไป โดยไม่ให้ความสนใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีก
เจ้านางจันทร์ฟองเป็นหลานของเจ้ามหาชีวิตลาว เธออาศัยอยู่ในคุ้มที่แยกออกมาต่างหากจากคุ้มหลวง ซึ่งตั้งเป็นสง่าอยู่ในเขตพระราชวัง ด้านหลังกับด้านข้างของคุ้มหลวงจึงเป็นคุ้มเล็กคุ้มน้อยของเจ้านายลาวชั้นสูง
สืบเนื่องมาจากมีพี่ชายเพียงคนเดียว เธอจึงตามเจ้าจันทรอยู่ไม่ห่างนับตั้งแต่เล็กเพราะอยากเล่นด้วย ฝ่ายเจ้านางบัวเงินผู้เป็นมารดามิวายจะบ่นว่าอยู่เนืองๆ เพื่อให้บุตรีหันมาให้ความสนใจกับงานบ้านงานเรือนบ้าง ซึ่งก็ไม่ลำบากนัก เพราะเจ้านางจันทร์ฟองเป็นคนว่านอนสอนง่ายและตั้งใจในสิ่งที่ตนเองทำ แต่เมื่อมีเวลาว่างคราใดก็มักตามเจ้าจันทรพี่ชายออกไปอยู่เสมอมิได้ขาด สองคนพี่น้องจึงรักใคร่สนิทสนมกันมากกว่าพี่น้องของครอบครัวเจ้านายอื่นๆ ในเขตวังหลวง
“ วันนี้เจ้าจะไปตลาดกับเจ้าแม่ไหมจันทร์ฟอง? ”
“ ทำไมรึ ? ทำไมจันทรจึงถามเล่า? ”
“ พี่จะออกไปเที่ยวเล่น อาจจะขึ้นไปวัดพูสี ด้านหน้าวัง แล้วลงไปอีกด้านหนึ่งของวัด เจ้าอยากไปไหม? ”
เจ้านางจันทร์ฟองแม้จะเป็นสาวรุ่นแล้ว ก็ยังแสดงความตื่นเต้นราวกับเด็ก เพราะรู้ว่าวัดพูสีคงไม่ใช่ที่เดียวที่เจ้าจันทรจะไปเป็นแน่
“ ไปสิจันทร ไปด้วยคนนะ ”
พูดจบก็เดินตามพี่ชายลัดเลาะออกไปทางประตูหลังวังซึ่งไปบรรจบลานกว้างที่เป็นฝั่งโขง แล้วจึงค่อยๆ เดินตามกำแพงวังด้านข้างออกไปถึงประตูหน้าวังซึ่งมีคนพลุกพล่าน
ตลาดเช้าของที่นี่มีพ่อค้าแม่ค้ามาวางขายพืชผักและสินค้าหัตถกรรมของตนเองตรงพื้นทางเดิน ยาวเหยียดไปตามลำน้ำแม่โขง คนจึงไปมาซื้อขายกันขยายออกมาถึงถนนหน้าวัง
เจ้าจันทรก้าวเท้าข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งที่มีวัดพูสีตั้งอยู่ บันไดที่ทอดยาวขึ้นสู่เบื้องบนค่อนข้างชัน สองข้างบันไดมีต้นลั่นทมหรือจำปาลาวปลูกเรียงรายลดหลั่นขึ้นไปจนถึงวัดซึ่งตั้งอยู่ด้านบนสุด ทั้งสองคนย่ำเท้าขึ้นบันไดไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
มีบางครั้งที่ฝ่ายพี่ชายจะโน้มกิ่งลั่นทมลงมาให้น้องสาวเด็ดดอกลั่นทมใส่ไว้ในกรวยใบไม้ขนาดใหญ่ที่ทำจากใบต้นสัก ดอกลั่นทมสีขาวเหลืองสลับกับดอกลั่นทมสีชมพูและแดงเข้มเคล้าคละปะปนกันไป ส่งกลิ่นหอมระรวยออกมาให้สูดดมอย่างชื่นใจ
เมื่อขึ้นไปถึงลานกว้างตรงบริเวณวัด สองคนพี่น้องจึงเดินอ้อมเจดีย์ออกไปอีกด้านหนึ่งซึ่งมีแม่น้ำคานไหลเอื่อยผ่านเมืองไปบรรจบกับแม่น้ำโขง ต่างคนต่างก็ยืนดูบ้านหลังเล็กหลังน้อยที่กระจัดกระจายอยู่เบื้องล่างราวกับเป็นบ้านตุ๊กตา
“ เจ้าพ่อจะให้พี่บวชนะจันทร์ฟอง ตอนพี่บวชเจ้าต้องอยู่คนเดียว อย่าออกไปไหนล่ะ ต้องมีคนไปด้วยนะ ”
“ จันทรจะบวชที่ไหนเหรอ ? ”
“ ที่นี่แหละ ! ใกล้คุ้มดี ”
“ ดีนะ จันทร์ฟองจะได้ขึ้นมาหาจันทรที่นี่ได้บ่อยๆ ”
“ อย่ามาบ่อยนัก เพราะพี่บวชอยู่ เจ้าอย่าดื้อนักก็แล้วกัน เจ้าพ่อเจ้าแม่ว่ากล่าวอะไรก็ให้ฟัง พี่รู้ว่าเจ้าก็เถียงไปอย่างนั้นเอง เพราะถึงที่สุดแล้วเจ้าก็ทำตาม เราเดินลงไปข้างล่างกันเถอะ ไปเที่ยวเล่นกันตามทางเดินเลียบแม่น้ำกันดีกว่า ลงบันไดด้านหลังนี่แหละ ”
พูดจบ พี่ชายก็ออกเดินนำหน้า พอดีกับที่มีคนต่างชาติกับคนลาวเดินสวนขึ้นมากลุ่มหนึ่ง เมื่อมองออกไปเจ้านางจันทร์ฟองก็พบกับสายตาคู่นั้น คู่ที่อยู่บนหลังช้าง ใบหน้าของเธอเรื่อขึ้นจนพวงแก้มแดงปลั่ง
“ ทำไมต้องอายด้วยเล่าจันทร์ฟอง เจ้าไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนนี่นา ”
เธอบอกกับตัวเอง
ชายคนนั้น เดินนำหน้าชาวต่างชาติอีกสองคน กับชาวลาวอีกจำนวนหนึ่งเดินตามมาติดๆ เนื่องจากบันไดขึ้นลงตรงบริเวณนี้ค่อนข้างแคบ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องหลบให้กัน เจ้านางจันทร์ฟองเดินรุดลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ใจระทึกอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเดินมาถึงเบื้องล่างกับพี่ชาย เจ้าจันทรจึงพูดขึ้นว่า
“ เจ้าพ่อจะให้บวชกับหลวงเจ้าตาที่วัดนี้แหละ เจ้ามาหาพี่บ้างนะ เพราะพี่คงบวชหลายเดือน อาจจะอยู่ยาวเลยก็ได้เพื่อเรียนหนังสือกับหลวงเจ้าตา”
“ ฮื่อ… ”
เจ้านางจันทร์ฟองอือออไปอย่างนั้นเอง โดยไม่ได้ใส่ใจว่าพี่ชายพูดว่ากระไร เพราะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอเดินตามพี่ชายไปพลางทักทายผู้คนที่ตนเองกับพี่ชายรู้จัก จนกระทั่งอ้อมกลับมายังวังหลวงตามเดิม
“ คำปันรู้จักผู้หญิงผู้ชายที่เดินสวนกันเมื่อกี้รึเปล่า ? ”
จอร์จหันไปถามผู้ช่วยชาวลาว
“ รู้จักขอรับนายฝรั่ง ”
“ เป็นผู้ใดรึ? ”
“ ผู้ชายชื่อเจ้าจันทร เป็นพี่ชาย ส่วนผู้หญิงชื่อเจ้านางจันทร์ฟอง เป็นลูกของเจ้าสีลากับเจ้านางบัวเงินขอรับ ทั้งเจ้าจันทรกับเจ้านางจันทร์ฟองเป็นหลานของเจ้ามหาชีวิต ”
“ อ้อ กระนั้นเองดอกรึ ขอบใจมาก ”
จอร์จมิได้กล่าวสิ่งใดออกไปอีก และเดินดุ่มๆ ขึ้นบันไดไปยังวัดเบื้องบน
เขาขึ้นมาดูปริมณฑลโดยรอบของหลวงพระบางด้วยความสนใจ นครหลวงแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านช้างตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 และปกครองด้วยกษัตริย์สืบต่อกันมาไม่ขาดสาย
หลวงพระบางยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าหลายอย่าง เช่น โลหะมีค่า เป็นต้นว่า ทองคำ สัตว์ป่า พันธุ์ไม้หอม เป็นต้นว่า กำยานและของป่าอื่นๆ ทั้งยังเป็นจุดเชื่อมโยงของเส้นทางการค้าการติดต่อระหว่างภูมิภาค และยังเชื่อมโยงกับจีนยูนนาน เขตล้านนา เช่น เชียงราย เชียงใหม่ น่าน เป็นต้น ดังนั้นหลวงพระบางจึงเป็นแหล่งรวบรวมสินค้าต่างๆ ก่อนจะส่งออกไปยังศูนย์การค้าอื่นๆ ไม่ว่าที่เวียงคุกหรือเวียงจันทน์ ฯลฯ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีพ่อค้าต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาวจีนหรือพ่อค้าอินเดีย หรือพ่อค้าจากเขตอื่นๆ ในบริเวณโดยรอบ พ่อค้าต่างชาติเหล่านี้เข้ามาติดต่อค้าขายกับหลวงพระบางเป็นจำนวนมาก นับได้ว่านครหลวงแห่งนี้มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเมืองสำคัญๆ อื่นๆ
แต่เดิมนั้นเขตที่เรียกว่าล้านนาจรดฝั่งขวาของแม่น้ำโขง แต่รัฐบาลฝรั่งเศสกลับส่งเจ้าหน้าที่จากหลวงพระบางไปปกครองดินแดนทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงซึ่งเป็นเขตล้านนาถึง 25 กิโลเมตร
สาเหตุสำคัญคือ ปัญหาการแย่งชิงบ่อเกลือซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตต้นแม่น้ำน่าน เมืองที่มีบ่อเกลือมากที่สุดคือ เมืองเงิน (กุฏสาวดี) ที่เมืองเงินแห่งนี้มีราษฎรไทลื้อที่มีความสัมพันธ์กับผู้คนในเมืองน่าน
การดำเนินงานของฝรั่งเศสเพื่อแทรกแซงดินแดนส่วนนี้ใช้หลวงพระบางเป็นแนวหน้า โดยรัฐบาลอาณานิคมฝรั่งเศสสนับสนุนเจ้ามหาชีวิตลาวที่หลวงพระบางให้ส่งคนเข้าไปแทรกแซงดินแดนในเขตเมืองน่าน และยังให้เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสที่ประจำอยู่เมืองน่านสนับสนุนการดำเนินงานครั้งนี้
นับตั้งแต่ต้น เมอซิเออร์ ฮาดูแวง รองกงสุลฝรั่งเศสประจำเมืองน่านให้การสนับสนุนเจ้ามหาชีวิตลาวที่หลวงพระบาง เพื่อส่งคนมาปกครองดินแดนที่ติดกับแม่น้ำโขง มิหนำซ้ำยังกวาดต้อนผู้คนกลับไป และฝรั่งเศสยังส่งทหารเข้ายึดบ่อเกลือ จนนำไปสู่การยึดครองดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศสในที่สุด
จอร์จครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้และคิดเลยไปถึงบทบาทของฝรั่งเศสในดินแดนลาว เขารู้ดีว่าในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลฝรั่งเศสท่านจำต้องรักษาผลประโยชน์ไว้ให้มากที่สุด แม้ว่าในเบื้องลึกของหัวใจ จอร์จกลับคิดไปอีกอย่างหนึ่ง ผู้คนในหลวงพระบางมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย แม้แต่ชนชั้นปกครองและเชื้อพระวงศ์ก็ยังไม่แตกต่างกันไปแบบที่ท่านเห็นในฝรั่งเศสหรือประเทศในยุโรปอื่นๆ
ชีวิตของพวกเขาเหล่านี้น่าจะดำเนินต่อไปอย่างสงบดังที่เคยปฏิบัติมาหลายชั่วคน แต่กลับมิใช่เช่นนั้น การเข้ามาของฝรั่งเศสสร้างความด่างพร้อยมาให้กับคนลาวโดยถ้วนหน้าไม่มากก็น้อย ตัวของเขาเองเป็นผู้แทนสภาสูงสุดของรัฐบาลฝรั่งเศสในอาณาจักรเก่าแก่แห่งนี้ จะทำประการใดจึงจะไม่กระทบกระทั่งความรู้สึกของผู้คนในแผ่นดินที่ท่านอาศัยอยู่ในขณะนี้
สายตาของพวกเขาที่มองมามีทั้งความหวาดกลัว ความเกลียดชัง แทบจะไม่มีผู้ใดมองจอร์จด้วยความยินดีเลย อย่างดีที่สุดที่ได้รับก็คือ สายตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ ราวกับว่าเขามิได้ยืนอยู่ตรงนั้น
ชายหนุ่มก้าวลงบันไดด้านหน้าของวัดพูสีลงไป บันไดด้านนี้ตรงไปยังถนนที่พระราชวังของเจ้ามหาชีวิตตั้งอยู่ ประตูวังด้านหน้าอยู่เยื้องกับบันไดวัดไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตรงประตูวัง ชายหนุ่มทันเห็นพี่น้องสองคนที่ท่านเดินสวนกันตรงบันไดด้านหลังของวัด
ในใจของจอร์จยังประหวัดไปถึงวันแรกที่ได้พบหน้าหญิงสาวผู้นี้
เขาพยายามมองหาเธออยู่เสมอเมื่อออกมาจากสำนักงานอาณานิคมแต่ไม่เคยพบพานเลย ราวกับว่าเธอไม่เคยมีตัวตนอยู่ในนครหลวงเล็กๆ แห่งนี้
ตลอดเวลาตั้งแต่พบเธอ จอร์จก็ไม่เคยลืมใบหน้ากับดวงตาคู่นี้อีกเลย เฝ้าแต่คนึงหาอยู่ไม่เสื่อมคลาย และเมื่อรู้แล้วว่าเจ้าหล่อนคือผู้ใด เขาคงหาเธอได้ง่ายขึ้น มิใช่มองหาไปทั่วเมืองอย่างที่ทำอยู่
พรุ่งนี้เขาต้องเข้าวัง เพื่อนำเอกสารอาณานิคมไปถวายเจ้ามหาชีวิต
พรุ่งนี้แล้วสินะที่เขาจะได้เข้าไปใกล้เธอผู้นั้น คิดเพียงนี้จิตใจของจอร์จก็อิ่มเอมไปแล้ว
ในวันรุ่งขึ้น จอร์จออกจากที่ทำการอาณานิคมฝรั่งเศสเพื่อมุ่งไปสู่พระราชวัง ก่อนหน้านี้ เขาได้ส่งคนไปแจ้งฝ่ายพระราชวังทราบเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงประตูวังจึงมีคนมารอรับ
ตัวจอร์จเพียงลำพังเท่านั้นจะเข้าไปยังท้องพระโรง ส่วนคนที่เหลือต้องรออยู่ด้านนอก
เขาเคยเข้ามาที่นี่หลายครั้งแล้ว และมีความรู้สึกถึงความสง่างามของเจ้ามหาชีวิตที่ท่านมีโอกาสเข้าเฝ้า จริยาวัตรของพระองค์ที่ท่านรับรู้ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปจากราชสำนักในยุโรปหลายๆ แห่งที่ท่านเคยไปเลย
ในครั้งนี้ก็เช่นกัน นอกเหนือไปจากข้าราชบริพารที่เข้าเฝ้ารายล้อมองค์เจ้ามหาชีวิต ก็ยังมีพระมเหสีประทับรออยู่ด้วย
จอร์จเคยเข้าเฝ้าพระมเหสีอยู่สองสามครั้ง และรู้สึกถูกชะตากับพระองค์เป็นอย่างยิ่ง แม้จะไม่เคยเจรจากันด้วยอุปสรรคทางภาษาแต่สายตาที่ท่านมองเห็น มิใช่สายตาของผู้ไม่เป็นมิตร เพียงนี้ก็พอแล้วสำหรับคนต่างชาติอย่างเขา
จอร์จมักจะมีของกำนัลไปถวายทุกครั้งที่เข้าเฝ้าเจ้ามหาชีวิต ถ้าครั้งใดพระมเหสีมิได้ออกท้องพระโรงด้วย เขาก็จะฝากไปถวายเป็นนิจ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน สิ่งที่แปลกไปกว่าทุกๆ ครั้งที่เข้าวังคือ พระมเหสีตรัสขอบใจด้วยภาษาฝรั่งเศส เมื่อจอร์จถวายนาฬิกาตั้งโต๊ะ
นาฬิกาเป็นของใหม่สำหรับราชอาณาจักรลาว ดังนั้นของถวายครั้งนี้จึงนำความปลาบปลื้มมาสู่ผู้รับเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เจ้ามหาชีวิตยังแย้มสรวลด้วยความพอพระทัย
เมื่อกลับออกมาจากท้องพระโรง สายตาของจอร์จก็กวาดมองหาคนที่อยู่ในใจของท่าน แต่ก็มิได้พบพาน ท่านบอกกับตัวเองว่า
“ต้องพยายามมากกว่านี้ สักวันหนึ่ง…เราจะต้องพบเธออีก ”