คดีรักข้ามเวลา บทที่ 2 : พระนคร ไม่ใช่กรุงเทพ
โดย : ณรัญชน์
คดีรักข้ามเวลา โดย ณรัญชน์ เรื่องราวของการเดินทางย้อนอดีต เพื่อไขปริศนาฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งหนทางเดียวที่พิชญาจะพิสูจน์ตัวเองให้ได้คือสืบหาต้นตอของคดีฆาตกรรม ในชาติภพที่ผ่านมา ‘คดีรักข้ามเวลา’ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์
……………………………………………………..
-2-
ยังไม่ทันที่พิชญาจะเอ่ยปาก ชายคนนั้นก็ทรุดตัวลงไปนั่งยองๆ หลับตาปี๋พลางยกมือไหว้ท่วมหัว ละล่ำละลักออกมาว่า “เจ้าประคู้น! ลูกช้างกลัวแล้วขอรับ ไปที่ชอบๆ เถิด อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย”
ตอนแรกพิชญาไม่เข้าใจว่าเขากำลังไหว้ใคร แต่เหลียวมองรอบตัวก็ไม่เห็นว่าจะมีใครอื่นอยู่ตรงนั้น อีกทั้งหญิงสาวอีกคนก็มองมาที่หล่อนเช่นกัน จึงเริ่มเฉลียวใจว่าชะรอยคนที่ชายผิวเข้มกำลังไหว้ปลกๆ น่าจะเป็นตัวหล่อนนั่นเอง
น่าแปลกที่ชายหญิงสองคนนี้ไม่ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสมัยใหม่ หากฝ่ายชายนุ่งโจงกระเบนหยักรั้ง เปลือยท่อนบนเผยให้เห็นแผงอกล่ำสัน ผมตัดสั้นแนบต้นคอ
ส่วนหญิงสาวเป็นสาวสวยแบบคมเข้ม ผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียน ดวงตาดำเป็นมันขลับรับกับคิ้วโก่งและจมูกโด่งงาม หล่อนไว้ผมยาวถึงกลางหลัง ด้านหน้าหวีเสยขึ้นเป็นตั้งสูง ร่างอรชรซ่อนอยู่ในเสื้อลูกไม้คอตั้ง จับจีบที่ต้นแขนก่อนจะทิ้งตัวเป็นระบายหลายชั้น นุ่งโจงกระเบนสีเขียวหม่น สวมถุงน่องและรองเท้าสีขาว ดูแปลกตาเหมือนตัวละครในละครย้อนยุคไม่มีผิด
นี่หล่อนหลงเข้ามาในกองถ่ายละครหรือนี่!
พิชญามองไปรอบๆ แล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองคงพลัดเข้ามาในกองถ่ายละครย้อนยุคเป็นแน่ เพราะบริเวณที่เห็นไม่ใช่เมืองใหญ่ที่มีตึกสี่เหลี่ยมคุ้นตา แต่กลับเป็นท่าน้ำมีแม่น้ำกว้างใหญ่ไหลผ่าน ผืนดินที่หล่อนยืนอยู่สงบร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่หลากชนิด มีเรือนไทยสองสามหลังตั้งอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม บรรยากาศเหมือนกับฉากสมัยโบราณที่เคยเห็นในละครไม่ผิดเพี้ยน
ความเงียบของพิชญาคงทำให้ชายแปลกหน้านึกสงสัย จึงเปิดตาขึ้นมองอย่างขลาดๆ เมื่อตาต่อตาสบกัน พิชญาก็ถามว่า
“ขอโทษนะคะคุณ พอดีฉันหลงทางมาอยากจะกลับกรุงเทพ แถวนี้พอจะมีสองแถวพาไปถึงท่ารถบ้างไหม”
คนที่หล่อนพูดด้วยหน้าซีด ท่าทางเหมือนจะเป็นลม เขาอุทานเสียงสั่น ”พูดได้ด้วยวุ้ย ตายแน่แล้วกู!”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็หลับหูหลับตาท่องนะโมดังลั่น เหงื่อกาฬไหลชุ่มใบหน้าที่ขาวจนเกือบเขียว เนื้อตัวสั่นพั่บๆ แทบจะทรงตัวไม่อยู่ ทำเอาพิชญาพลอยตกใจ หล่อนรีบเข้าไปประคองร่างที่สั่นเป็นลูกนกตกน้ำไว้ ถามเสียงห่วงใย
“คุณไม่สบายหรือเปล่า ท่าทางจะเป็นลม นี่คนในกองถ่ายไปไหนกันหมด”
ผู้ชายคนนั้นหันมามอง พอเห็นว่าตนอยู่ในอ้อมแขนของใครก็สะดุ้งเฮือก มีอาการเหมือนจะหัวใจวายอยู่รอมร่อ พิชญาแทบทำอะไรไม่ถูก หล่อนหันไปบอกหญิงสาวที่ยืนมองเหตุการณ์เงียบๆ ว่า
“คุณคะ รีบไปตามคนมาเถอะ ฉันจะเฝ้าคนป่วยให้เอง อาการอย่างนี้ไม่น่าไว้ใจ คงต้องพาส่งโรงพยาบาล”
“นายต่วนไม่ได้เป็นกระไร หล่อนไม่ต้องวุ่นวายไปดอก”
หญิงสาวที่ดูเหมือนจะคุมสติได้แล้วเดินเข้ามาใกล้พิชญา เอื้อมมือมาแตะแขนเบาๆ เมื่อสัมผัสเนื้อหนังอ่อนนุ่มมีไออุ่นเหมือนคนทั่วไป หล่อนก็ทำท่าโล่งใจ หันไปบอกชายผิวคล้ำที่กำลังเนื้อตัวอ่อนระทวยว่า
“เลิกตกใจได้แล้วนายต่วน ผู้หญิงคนนี้เป็นคนอย่างเราๆ นี่ละ ไม่ใช่ผีสางที่ไหนดอก”
คำปลอบของหล่อนได้ผล ชายที่หล่อนเรียกว่านายต่วนหยุดสวดมนต์ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองพิชญา เมื่อเหลือบเห็นเงาของอีกฝ่ายทาบทอไปบนไม้กระดานท่าน้ำเป็นทางยาว ก็ค่อยคลายความหวาดกลัวลง
“เป็นคนจริงๆ ดอกรึแม่คุณ แล้วทำอีท่าไหนถึงวิ่งออกมาจากต้นไม้ได้ล่ะ เอ…หรือว่าจะเป็นนางไม้” คราวนี้นายต่วนเปลี่ยนเป็นไหว้อย่างนอบน้อม “ถ้าอย่างนั้นละก็ อย่าถือสาลูกช้างที่ล่วงเกินเลยเจ้าประคู้น ยกโทษให้กระผมด้วยเถิดขอรับ”
“หยุดโวยวายเสียทีเถิดนายต่วน ให้ฉันคุยกับเขาเอง” หญิงสาวในชุดโบราณเอ็ด ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นเมื่อพูดกับพิชญา
“หล่อนมาจากที่ใด เมื่อครู่หล่อนบอกว่าจะกลับกรุงเทพ บ้านของหล่อนอยู่ในพระนครอย่างนั้นรึ”
เอ…ชะรอยสาวสวยคนนี้คงจะอินกับบทละครมากไปหน่อยกระมัง แม้แต่คำพูดคำจายังโบราณราวกับตัวละครย้อนยุคไม่มีผิด
“ฉันเป็นคนกรุงเทพค่ะ จะเรียกว่าพระนครอย่างที่คุณว่าก็คงได้ ฉันกำลังจะไปคอนโดแถวพญาไท แต่พอดีเจอพายุเข้าเสียก่อน พี่ชายที่มาด้วยไม่รู้หายไปไหน ส่วนฉันก็หลงมาที่นี่ อ้อ! แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าที่นี่คือจังหวัดอะไร”
สีหน้าของหญิงสาวดูสับสน แต่ก็แฝงความอดทนอยู่ในที “ฉันคิดว่าหล่อนกับฉันคงต้องค่อยๆ คุยกันแล้วละ บอกตามตรงว่าที่หล่อนพูดมา ฉันไม่สู้จะเข้าใจนัก สิ่งที่ฉันกับนายต่วนเห็นก็คือหล่อนวิ่งออกมาจากต้นตะแบกต้นนี้”
นิ้วเรียวงามชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ด้านหลังพิชญา “หล่อนปรากฏตัวขึ้นราวกับปาฏิหาริย์ เหมือนไม่ใช่คนจริงๆ”
ถ้าหากกระต่ายมีเขาวิ่งผ่านไปต่อหน้าต่อหน้า พิชญาคงประหลาดใจน้อยกว่านี้
“ฉันนี่นะออกมาจากต้นไม้” หล่อนทวนคำ ไม่แน่ใจว่าตนเองหูฝาดหรือฝ่ายตรงข้ามเพี้ยนกันแน่ “เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่ใช่นักมายากลนะคุณ เอ่อ…แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ”
หล่อนตัดสินใจว่าสาวสวยคนนี้อาจมีปัญหาทางจิต ซึ่งก็น่าสงสาร แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของพิชญา “เอาเป็นว่ารบกวนคุณช่วยบอกว่าท่ารถอยู่ที่ไหนก็พอค่ะ เดี๋ยวฉันหาทางกลับกรุงเทพเอง”
“ที่ที่หล่อนยืนอยู่นี่ละคือกรุงเทพ แต่คนทั่วไปเรียกว่าพระนคร” หญิงสาวยืนยัน “หล่อนจะไปที่ใดก็บอกมาเถิด ถ้าไม่ไกลเกินไปนัก ฉันจะให้นายต่วนพาไปส่ง”
“ที่นี่คือกรุงเทพ”
พิชญาทวนคำ มองไปรอบตัว ถ้าที่นี่คือกรุงเทพฯ แล้วตึกรามสูงใหญ่หายไปไหน แล้วทำไมหญิงคนนี้ถึงเรียกเมืองหลวงว่าพระนคร ไหนจะการแต่งตัวและคำพูดคำจาของทั้งคู่อีก สังหรณ์ประหลาดแล่นมากระทบใจ พิชญาเคยดูซีรีส์ต่างประเทศประเภทที่นางเอกย้อนเวลากลับไปในอดีตมาหลายเรื่อง…
แต่ไม่นะ! เรื่องแบบนั้นมีได้แต่ในนิยาย ไม่มีทางจะเกิดขึ้นจริง
เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่คิดเป็นแค่ความเข้าใจผิด พิชญากลั้นใจถามออกไปว่า “คุณคะ ช่วยบอกฉันหน่อยเถอะ ตอนนี้ปี พ.ศ.อะไร”
“วันนี้วันแรม 4 ค่ำ เดือนสาม พ.ศ 2452 ในรัชสมัยของพระพุทธเจ้าหลวง” หญิงสาวในชุดโบราณตอบเรียบๆ น้ำเสียงหนักแน่นชัดเจน
นั่นไง! ทีซื้อหวยทำไมไม่แม่นอย่างนี้
เหนือสิ่งอื่นใด พิชญาอยากเป็นลมลงไปตรงนี้จริงๆ!
เรือนไทยหลังนั้นเป็นเรือนฝากระดานขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ได้รับดูแลอย่างดีจึงสะอาดเรียบร้อย ข้าวของจัดวางเป็นระเบียบ ด้านหลังยกพื้นสูงปลูกเป็นห้องครัวเล็กๆ หญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนแคร่ข้างหน้าต่าง กำลังก้มหน้าก้มตาปอกขิงอย่างตั้งใจ
เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่พิชญามาอยู่ที่นี่ ช่วงแรกแต่ละวันของหญิงสาวผ่านไปด้วยความกลัดกลุ้ม จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เพราะนิสัยหล่อนไม่ใช่คนฟูมฟายเมื่อต้องเผชิญปัญหา พิชญาจึงสะกดความทุรนทุรายในใจเอาไว้ได้สำเร็จ แล้วหันมาสนใจสิ่งต่างๆ รอบตัวแทน
หล่อนอดนึกขอบคุณบุหลัน หญิงสาวที่พบที่ท่าน้ำไม่ได้ ถ้าไม่เพราะความเอื้อเฟื้อของเธอคนนั้น พิชญาคงไม่แคล้วต้องกลายเป็นคนจรจัด ไม่มีแม้แต่บ้านจะซุกหัวนอนไปแล้ว หลังจากซักถามจนรู้ว่าพิชญามาจากไหน ทั้งยังไม่มีญาติพี่น้องที่จะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือได้เลยในยุคนี้ บุหลันก็พาพิชญากลับมาที่เรือน ผลักประตูห้องเล็กห้องหนึ่งให้เปิดออก บอกง่ายๆ ว่า
“ห้องนี้เคยเป็นห้องของฉันเอง หลังจากคุณแม่เสียฉันก็ย้ายไปนอนที่ห้องของท่าน ห้องนี้จึงว่างอยู่ ต่อไปแม่พิศพักที่นี่ก็แล้วกัน”
เพียงเท่านี้พิชญาก็กลายมาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเรือนหลังเล็กๆ ที่มีผู้อาศัยเพียงสามคน คือบุหลัน ตัวหล่อน และบ่าวชื่อนางดวง นางดวงเป็นลูกสาวเจ๊กสวนผักที่คุณพุดซ้อน มารดาของบุหลันอุปการะไว้ หลังจากเตี่ยของนางถูกงูกัดตาย ต่อมาเมื่อคุณพุดซ้อนเสียชีวิตไปบ้าง พี่เลี้ยงผู้จงรักภักดีคนนี้ก็เป็นทั้งบ่าวและเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขเพียงคนเดียวของบุหลัน
และนางดวงนี่เองที่เป็นคนถ่ายทอดประวัติของบุหลันให้พิชญาได้รู้
“คุณบุหลันเธองามไม่ผิดคุณแม่ ส่วนคุณพ่อของเธอก็เคยเป็นถึงหัวหมื่น ถึงต่อมาจะป่วยจนต้องลาออกจากราชการก็เถอะ แต่อย่างไรคุณบุหลันก็ยังได้ชื่อว่ามีเชื้อมีสาย เป็นผู้ลากมากดีทุกกระเบียดนิ้ว”
“แล้วคุณพ่อคุณบุหลันไปอยู่เสียที่ไหนล่ะพี่ดวง ที่เรือนนี่ฉันเห็นพี่อยู่กับเธอสองคนเท่านั้น”
สีหน้าคนเล่าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันควัน น้ำเสียงก็กระฟัดกระเฟียดเมื่อพูดต่อ
“จะไปอยู่ที่ไหนได้ล่ะเจ้าคะ ก็อยู่กับเมียน้อยน่ะสิ คุณพุดซ้อนเธอบุญน้อย สิ้นบุญไปตอนคุณบุหลันกำลังรุ่นสาว คุณบุหลันเธอเป็นหนามทิ่มตาทิ่มใจนางเมียน้อยอยู่แล้ว พอคุณแม่เสียมันเลยได้โอกาส กีดกันลูกเลี้ยงให้จมปลักอยู่กระต๊อบท้ายเรือนนี่ละ ไม่ยอมให้ขึ้นไปแข่งบุญวาสนาบนเรือนใหญ่”
“น่าสงสารคุณบุหลัน” หัวใจพิชญาดิ่งวูบด้วยความเวทนาหญิงสาวผู้อารี “แต่ถึงอย่างไรคุณพ่อก็น่าจะเมตตาเธอบ้าง ลูกสาวทั้งคน”
“ผู้ชายเวลาหลงเมียใหม่ เมียเก่าลูกเก่าไม่มีความหมายดอกเจ้าค่ะ” นางดวงน้ำตาคลอด้วยความคับแค้นแทนนาย “ยิ่งนางเมียน้อยมันมีลูกสาวเหมือนกัน คุณพ่อก็เลยเลิกดูดำดูดีคุณบุหลัน ที่เธอเติบโตขึ้นมางดงามเพียบพร้อมได้ทุกวันนี้ ก็เพราะความใฝ่ดีของเธอเองแท้ๆ เชียว แต่พวกอิจฉาริษยามันก็ยังไม่วายตามกลั่นแกล้ง”
เล่ามาถึงตรงนี้น้ำตาหยดโตๆ ก็กลิ้งลงมาตามผิวหน้าหยาบกร้าน นางก้มลงใช้ชายผ้าแถบเช็ดตาป้อยๆ พิชญาจึงเดาได้ว่าชีวิตของบุหลันคงจะเต็มไปด้วยความขรุขระไม่น้อย แน่ละ แม่เลี้ยงเล่นมีลูกสาวอีกคน ก็คงจะมีการชิงดีชิงเด่น ไม่ยอมให้ลูกเลี้ยงได้ดีกว่าลูกสาวตัวเป็นแน่
ใครว่าซินเดอเรลลามีแต่ในนิทาน ผู้หญิงแบบนี้มีอยู่ทุกยุคทุกสมัยต่างหากเล่า
พิชญามัวแต่คิดเพลินจนไม่ทันฟังว่านางดวงพูดอะไร ได้ยินเพียงประโยคหลังแว่วๆ ว่า “มันรังแกคุณบุหลันสารพัด จนเธอต้องไปโดดน้ำฆ่าตัวตาย ดีที่ไอ้ต่วนมาห้ามไว้ ไม่อย่างนั้นคุณบุหลันเธอคงยอมตายให้พ้นอายไปแล้วละเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ ถึงกับฆ่าตัวตายเลยหรือ” ปกติพิชญาเป็นคนตาโตอยู่แล้ว แต่หล่อนมั่นใจว่ายามนี้ดวงตาของตัวเองคงเบิกกว้าง ชนิดที่เรียกว่าโตเป็นไข่ห่าน
“เกิดอะไรขึ้น พี่ดวงเล่าให้พีชฟังให้หมดเลยนะ คุณบุหลันเธอมีบุญคุณกับพีชมาก ถ้ามีอะไรที่พอช่วยได้ พีชจะทำเต็มที่เลย”
ดวงตาของนางดวงฉายแววสมใจออกมาวูบหนึ่ง ราวกับรอเวลานี้อยู่แล้ว จากนั้นเรื่องราวต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมาราวทำนบทลาย ย้อนกลับไปสมัยที่มารดาของบุหลันยังมีชีวิตอยู่ คุณพุดซ้อนได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามจับตาจับใจ นับเป็นความภาคภูมิใจของหมื่นสินที่ช่วงชิงเธอมาครองได้สำเร็จ
ทว่าเมื่ออยู่ในยุคที่จะมีเมียสักกี่คนก็ได้ เรื่องอะไรหมื่นสินจะยอมหยุดที่หญิงงามเพียงคนเดียว ด้วยเหตุนี้ระหว่างที่ภรรยากำลังอยู่ไฟหลังจากคลอดลูกสาว หมื่นสินก็พาหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาในห้อง แล้วบอกพุดซ้อนด้วยท่าทางเหมือนกำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศว่า
‘แม่พุดซ้อนจ๋า นี่แม่เจิด พี่จะให้มาอยู่รับใช้ที่เรือนของเรา น้องจะได้พักฟื้นได้เต็มที่ ไม่ต้องห่วงว่าระหว่างที่น้องอยู่ไฟพี่จะไม่มีคนดูแลอย่างไรล่ะ’
พุดซ้อนรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ อยากจะออกปากค้าน แต่เมื่อเห็นสามียิ้มแย้มราวกับสิ่งที่เขาทำ เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของเธอก็พูดไม่ออก หมื่นสินฉวยจังหวะที่ภรรยากำลังตะลึงงัน หันไปพยักหน้าให้แม่เจิดไหว้ฝากเนื้อฝากตัวกับภรรยาเอก ก่อนจะพาหล่อนกลับออกไป โดยไม่เหลือบแลพุดซ้อนอีกเลย
สายตาเย้ยหยันที่แม่เจิดลอบมองมาก่อนออกจากห้อง ทำให้พุดซ้อนหนาวเยือกจับขั้วหัวใจ รู้ทันทีว่าชีวิตคู่ที่สงบสุขในกาลก่อน จะไม่เป็นดังเดิมอีกต่อไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ในช่วงแรกแม่เจิดจะเป็นคนโปรดของสามี แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผิวพรรณผุดผาดและรูปร่างอรชรที่พุดซ้อนเสียไประหว่างตั้งท้องก็กลับคืนมา หมื่นสินจึงคลายความหลงใหลเมียน้อย หันมาชื่นชมเมียคนงามตามเดิม ยิ่งเมื่อแม่เจิดคลอดลูกออกมาเป็นหญิง ไม่ใช่ลูกชายอย่างที่หวังไว้ พุดซ้อนก็ยิ่งดำรงตำแหน่งเมียรักเพียงคนเดียวอย่างเต็มภาคภูมิ
ชีวิตในช่วงนี้ของบุหลันจึงเปี่ยมไปด้วยความสุข หล่อนเติบโตท่ามกลางการดูแลอย่างริ้นไม่ให้ไตไรไม่ให้ตอม ในฐานะลูกสาวคนโตของเจ้าของบ้าน จนไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่เห็นจะเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ
พอบุหลันอายุ 12 ปี พุดซ้อนก็ล้มป่วยด้วยไข้ทรพิษ ร่างกายที่เต็มไปด้วยแผลพุพอง สร้างความหวาดกลัวให้กับคนทั้งบ้าน หมื่นสินผู้ให้ความสำคัญกับความสวยงามเหนือสิ่งอื่นใด จึงย้ายภรรยาไปรักษาตัวที่เรือนเล็กท้ายสวน
โรคร้ายครั้งนั้นไม่ได้คร่าชีวิตพุดซ้อนไปก็จริง ทว่าเมื่อหายดีแล้ว ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น แม้จะรักษาเท่าไรก็ไม่อาจเรียกความงามกลับคืนมาได้ หมื่นสินจึงเลิกไยดีภรรยาเอก หันไปรับการเอาอกเอาใจจากแม่เจิดแทน
เมื่อมารดาสิ้นวาสนา ลูกสาวอย่างบุหลันก็พลอยตกจากวิมานไปด้วย ชีวิตรุ่นสาวของหล่อนจึงเต็มไปด้วยความขาดแคลนและต่ำต้อยน้อยหน้า ทุกสิ่งที่เคยครอบครองไม่ว่าจะเป็นห้องบนเรือนใหญ่ ข้าวของเงินทอง การยกย่องจากบ่าวไพร่ ล้วนตกเป็นของคุณโฉม ลูกสาวต่างแม่ที่อายุห่างกันเพียงปีเดียว
“คุณพุดซ้อนท่านตรอมใจอยู่สองปีก็ป่วยตายไป คุณบุหลันเธอเลยยิ่งอกไหม้ไส้ขม บ่าวละสงสารเหลือเกิน คุณพ่อก็ไม่มาเหลียวแล ทิ้งให้อยู่เรือนนี้คนเดียว ไหนจะนางแม่เลี้ยงกับลูกสาวที่ชอบมาเยาะเย้ยถากถางให้เธอเจ็บใจอีก”
สีหน้าของคนเล่าฉายแววโกรธแค้นแสนสาหัส จนพิชญาอดขนลุกไม่ได้ พร้อมกันนั้นหล่อนก็นึกสงสารบุหลันขึ้นมาจับใจ หญิงสาวคนนั้นดีงามเกินกว่าจะต้องมาประสบกับความขมขื่นเช่นนี้
“เพราะอย่างนี้หรือพี่ดวง คุณบุหลันถึงต้องไปกระโดดน้ำตาย”
“ไม่ใช่ดอกเจ้าค่ะ หัวใจคุณบุหลันเธอยิ่งกว่าเหล็กกล้า ลำพังถูกรังแกทุกวันเธอยังทนได้ แต่คนชั่วมันกลั่นแกล้งทำลายชื่อเสียง จนเธอต้องเป็นหม้ายขันหมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของลูกผู้หญิง คนรักศักดิ์ศรีอย่างคุณบุหลันยอมตายเสียดีกว่าจะอยู่ให้ชาวบ้านหัวเราะเยาะ”
เจ้าของขันหมากที่ทำให้บุหลันต้องกลายเป็นหม้าย เป็นลูกชายคนโตของนายแจ้ง หรือเศรษฐีแจ้ง คหบดีชื่อดังผู้เป็นเกลอกับหมื่นสินมาตั้งแต่เด็ก แม้เมื่อต่างเติบใหญ่มีครอบครัวไปแล้ว ทั้งคู่ก็ยังไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ลูกสาวของหมื่นสินจึงมีโอกาสได้วิ่งเล่นกับลูกชายของนายแจ้งอยู่เสมอ จวบจนนายแจ้งถึงแก่กรรม ทิ้งทรัพย์สินและลูกๆ ให้อยู่ในการปกครองของคุณนวลผู้เป็นภรรยา สองครอบครัวจึงค่อยห่างเหินกันไป
ปกติคุณนวลเป็นคนแข็งแรง ไม่เคยล้มหมอนนอนเสื่อมาเป็นสิบปี แต่สองปีที่ผ่านมาเธอกลับป่วยกระเสาะกระแสะ ซ้ำลูกชายคนเล็กก็ทำตัวเกเร มีเรื่องให้แม่ร้อนใจไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อหมดหนทางแก้ปัญหา คุณนวลก็ทำในสิ่งที่คนมีทุกข์ส่วนใหญ่เลือกที่จะทำ นั่นคือไปหาหมอดู
‘ครอบครัวเจ้ากำลังมีเคราะห์หนัก ถ้าปล่อยไว้บ้านช่องจะฉิบหาย ดวงชะตาถึงฆาตเลยทีเดียว’ หมอดูชื่อดังที่ญาติของเธอพาไปบอก ‘วิธีสะเดาะเคราะห์มีอยู่ทางเดียว คือเจ้าต้องพึ่งบารมีของบรรพบุรุษ’
‘แต่ทั้งคุณพ่อคุณแม่ฉัน และญาติผู้ใหญ่ฝั่งคุณแจ้งก็สิ้นบุญไปหมดแล้ว ฉันจะไปพึ่งบรรพบุรุษคนไหนได้ล่ะพ่อหมอ’
‘เมื่อเจ้าออกเรือนมา ความสัมพันธ์กับญาติพี่น้องทางตระกูลของเจ้า ก็ถือว่าสิ้นสุดไปแล้ว มีแต่บรรพบุรุษทางผัวเจ้าเท่านั้นที่จะปกปักรักษาลูกหลานได้’ เสียงของหมอดูกังวานน่าเกรงขาม
‘คิดดูให้ดี ในบรรดาญาติผู้ใหญ่ของผัวเจ้า ใครมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่สุด’
‘ถ้าถามอย่างนั้นก็มีอยู่คนเดียวละเจ้าค่ะ เจ้าคุณปู่ของคุณแจ้ง ท่านรับราชการได้เป็นถึงพระยาอรรถนิติกร มีศักดินาให้เก็บกินหลายพันไร่ ที่คุณพี่ของอิฉันร่ำรวยมีที่นา ร้านค้า ร้านทองทุกวันนี้ ก็ได้ทุนรอนมาจากทรัพย์สมบัติที่ท่านทิ้งไว้’
‘นั่นละ เจ้าต้องไปหาผู้หญิงที่เกิดวันเดียวเดือนเดียวกับท่านพระยามาเป็นลูกสะใภ้ แต่งเข้าบ้านเมื่อไร เคราะห์ร้ายที่วนเวียนอยู่ในบ้านของเจ้าก็จะหมดไปทันที’
ในสมัยที่พระยาอรรถนิติกรมีชีวิตอยู่ ตระกูลของคุณแจ้งเฟื่องฟูถึงขีดสุด ไม่ว่าจะย่างกรายไปทางไหนก็มีแต่ผู้คนเคารพนบนอบ เมื่อหมอดูอ้างถึงท่านพระยาผู้เกรียงไกร คุณนวลจึงเชื่อสนิท
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังอัศจรรย์ใจเป็นล้นพ้น เพราะหญิงสาวที่เกิดวันเดียวเดือนเดียวกับพระยาอรรถนิติกรนั้น ถ้าจะพูดลอยๆ ก็นับว่าหายากนักหนา แทบจะเรียกว่างมเข็มในมหาสมุทร แต่ใครจะคาดว่าเธอกลับรู้จักหญิงสาวผู้นี้อยู่แล้ว ก็แม่บุหลัน ลูกสาวหมื่นสิน เกลอเก่าของสามีเธออย่างไรเล่า เธอรู้จักเด็กคนนี้มาตั้งแต่เล็ก ถ้าจะรับมาเป็นสะใภ้ก็ทำได้โดยสนิทใจ
ไม่อัศจรรย์เหมือนสิ่งศักดิสิทธิ์ดลบันดาล แล้วจะเรียกว่ากระไร!
ถึงแม้ครอบครัวของบุหลันจะไม่มั่งคั่งเท่าครอบครัวของเธอ คุณนวลก็ไม่รังเกียจ กลับคิดว่าดีเสียอีกที่หญิงสาวมีจุดอ่อนในเรื่องนี้ เพราะคุณทรัพย์ลูกชายคนโตของเธอนั้น แม้อายุอานามจะย่างเข้าสามสิบปีแล้ว แต่ก็ยังหาเมียไม่ได้ เนื่องจากเจ้าตัวหน้าตาขี้ริ้ว ซ้ำขาข้างหนึ่งยังพิการ อันเป็นผลจากการตกต้นไม้เมื่อครั้งยังเยาว์ ไม่ว่าจะไปขอลูกสาวผู้ดีบ้านใด ก็ไม่มีใครยอมแต่งด้วย
ครั้นจะไปคว้าเอาผู้หญิงชาวบ้านมาเป็นสะใภ้ คุณนวลก็ทำใจไม่ได้อีกนั่นละ เรื่องภรรยาของคุณทรัพย์จึงยังคาราคาซังอยู่
คุณนวลรู้ถึงสภาพของบุหลันในบ้านเป็นอย่างดี จึงมั่นใจว่าคราวนี้เธอต้องได้ลูกสะใภ้สมใจแน่ หมื่นสินคงไม่โง่พอจะปล่อยให้สินสอดกองโต ที่คุณนวลจะมอบให้หลุดมือไปง่ายๆ ส่วนบุหลันก็ย่อมต้องการหนีให้พ้นจากสภาพต่ำต้อยน้อยหน้าในบ้านบิดา เมื่อมีราชรถมาเกยถึงที่ มีหรือสาวเจ้าจะปฏิเสธ
การคาดคะเนของคุณนวลถูกต้องทุกประการ ทันทีที่รู้ว่าใครมาทาบทามลูกสาวคนโต หมื่นสินก็แทบจะจับบุหลันใส่พานถวายไปโดยไม่รอช้า แต่หลังจากพูดจาสู่ขอได้ไม่ถึงเดือน คุณทรัพย์ก็ถึงแก่กรรมไปอย่างกะทันหัน มัจจุราชไม่ได้คร่าชีวิตของเขาไปเพียงคนเดียว แต่ยังพรากเอาความหวังของหญิงสาวผู้อาภัพ ติดมือไปสู่ปรโลกด้วย
ส่วนหมื่นสินก็หัวเสียจนคนในบ้านเข้าหน้าไม่ติด เขาฟาดหัวฟาดหางด่าทอโชคชะตา และพาลพาโลมาถึงลูกสาวผู้เป็นต้นเหตุของความผิดหวังครั้งใหญ่
“น่าสงสารคุณบุหลันจริงๆ ผู้ชายที่จะแต่งงานด้วยมาตายไปก็แย่แล้ว พ่อตัวเองยังมาด่าว่าซ้ำเติมอีก”
“ท่านหมื่นน่ะไม่กระไรนักดอกเจ้าค่ะ แต่คนอื่นมันคอยเป่าหูให้ท่านเกลียดลูก คุณบุหลันเธอถึงต้องรับเคราะห์” นางดวงค้อนขวับไปทางเรือนใหญ่
“คุณเจิดน่ะแทบจะอกแตกตาย ตอนที่คุณนวลมาสู่ขอคุณบุหลันไปเป็นสะใภ้ เธอกลัวคุณบุหลันจะได้ดีกว่าคุณโฉม ลูกสาวเธอ”
ดูไปแล้วชีวิตคุณบุหลันคนสวยรันทดยิ่งกว่าซินเดอเรลลาอีกแฮะ พิชญารำพึงด้วยความสลดใจ ขนาดมีเจ้าชายจะมาพาออกไปจากก้นครัวอยู่แล้วเชียว เจ้าชายยังมาดวงกุด ชิงตายไปเสียนี่
“แต่อย่างที่พระท่านว่า คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้นั่นละเจ้าค่ะ” นางดวงเล่าต่อ “ถึงคุณทรัพย์จะไม่อยู่แล้ว แต่คุณนวลก็ไม่อยากให้ผู้หญิงงามพร้อมอย่างคุณบุหลันหลุดมือไป ท่านก็เลยทาบทามคุณบุหลันให้คุณกนก ลูกชายคนรองของท่านแทน วุ้ย! คุณกนกเธอรูปงาม เหมาะสมกับคุณบุหลันอย่างกับอิเหนากับนางบุษบาก็ไม่ปาน”
“ใครว่าคุณป้านวลท่านเสียดายฉันเล่าดวง ที่ท่านมาสู่ขอ เพราะอยากได้ดวงชะตาของฉันไปช่วยสะเดาะเคราะห์ต่างหาก ใช่ว่ารักใคร่เมตตาฉันดอก“
เสียงหวานละมุนดังขัดจังหวะการเล่าสาวใช้ จากนั้นบุหลันก็ก้าวเข้ามา บอกให้รู้ว่ายืนฟังนางดวงสาธยายประวัติของตนอยู่นานแล้ว แต่หญิงสาวก็ไม่มีท่าทีโกรธขึ้ง ที่พี่เลี้ยงเปิดเผยเรื่องส่วนตัวให้พิชญาได้รู้
ความนิ่งของหล่อนทำเอาพิชญานึกเกรงใจ “ขอโทษนะคะที่ฉันละลาบละล้วงเรื่องของคุณ แต่ฉันไม่มีเจตนาร้าย ฉันแค่อยากรู้เผื่อว่าจะช่วยเหลืออะไรคุณได้บ้าง”
“ฉันไม่ถือโทษหล่อนดอก” บุหลันหยิบขิงที่พิชญาปอกค้างไว้ขึ้นมาปอกต่อ พลางพูดเรื่อยๆ “เมื่อฉันรับแม่พิศเข้ามาอยู่ร่วมเรือน ฉันก็ถือเสมือนหล่อนเป็นน้องสาวของฉัน แต่ฉันเกรงว่าดวงจะเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาทำให้หล่อนรำคาญใจมากกว่า”
“เรื่องไม่เป็นเรื่องอะไรกันเจ้าคะ นี่เรื่องใหญ่ เกี่ยวพันถึงศักดิ์ศรีของคุณแท้ๆ” นางดวงบ่นกระปอดประแปด
“เปิดเรื่องมาขนาดนี้แล้ว ยังไงฉันก็ต้องฟังต่อ” พิชญารีบบอกเมื่อเห็นท่าไม่ดีว่าบุหลันอาจยุติเรื่องเอาดื้อๆ
“ให้พี่ดวงเล่าต่อเถอะนะคุณบุหลัน เมื่อคุณถือว่าฉันเป็นคนในครอบครัวของคุณแล้ว ก็ให้ฉันได้ร่วมแบ่งปันความทุกข์ของคุณบ้าง”
“ขอบใจเหลือเกินที่หล่อนมีน้ำใจกับฉัน เอาเถิด ไม่ต้องให้ดวงเล่าดอก ฉันจะเล่าให้หล่อนฟังเอง”