คดีรักข้ามเวลา บทที่ 5 : คนอย่างฉันไม่สิ้นไร้ไม้ตอก
โดย : ณรัญชน์
คดีรักข้ามเวลา โดย ณรัญชน์ เรื่องราวของการเดินทางย้อนอดีต เพื่อไขปริศนาฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งหนทางเดียวที่พิชญาจะพิสูจน์ตัวเองให้ได้คือสืบหาต้นตอของคดีฆาตกรรม ในชาติภพที่ผ่านมา ‘คดีรักข้ามเวลา’ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์
……………………………………………………..
-5-
ท้องฟ้าคืนนี้อึมครึม เมฆหนาทึบคล้ายฝนจะตก เรือนใหญ่ดูวังเวง เห็นเป็นเงาทะมึนท่ามกลางแสงจันทร์เสี้ยว กระนั้นเขมก็สามารถเดินขึ้นเรือนได้โดยไม่ต้องอาศัยแสงตะเกียง เขาตั้งใจจะเดินตัดนอกชานที่เชื่อมเรือนหลังย่อยๆ สามหลังเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อไปยังหอนอน แต่เดินไปไม่กี่ก้าวเสียงสะอื้นแผ่วเบาก็ลอยมากระทบหู ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“นั่นใคร มาทำกระไรตรงนั้น”
เสียงสะอื้นหยุดไปทันที ต้นเสียงมาจากมุมหนึ่งของระเบียงบ้าน แต่คนในเงามืดยังเร้นกายเงียบเชียบ ไม่ยอมเผยตัวออกมา เขมจึงสาวเท้าเข้าไปใกล้ คว้าร่างเล็กๆ นั้นให้หันมาประจันหน้า
“คุณพี่ไพลิน” เขาอุทาน “ผมก็นึกว่าบ่าวคนไหนเสียอีก ดึกดื่นป่านนี้แล้วคุณพี่มาทำกระไรตรงนี้”
ไพลินมองน้องสามีด้วยสายตายากจะเข้าใจ ชายหนุ่มจึงเดินไปหยิบตะเกียงที่แขวนอยู่ริมระเบียง ไขแสงให้สว่าง แล้วเดินกลับมาหาหล่อน แสงไฟเผยให้เห็นคราบน้ำตาบนแก้มหญิงสาว
“ คุณพี่เป็นกระไรขอรับ ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจก็บอกผมได้ ผมพร้อมจะรับฟัง”
ไพลินยังคงมองน้องชายสามีด้วยแววตาประหลาด มันบอกอารมณ์ทั้งรักทั้งแค้นในเวลาเดียวกัน น้ำตาที่สะกดไว้ทะลักออกมาอีกรอบ เมื่อกระซิบเสียงเข้ม
“คุณเรียกฉันว่าคุณพี่อย่างนั้นหรือ คุณเขม ตอนนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากเราสองคน ไม่ต้องเล่นละครทำเป็นไม่รู้จักฉันดอก”
เขมงงไปชั่วขณะ “หมายความว่าอย่างไรขอรับ เรารู้จักกันมาก่อนหรือ”
“คุณไม่ต้องมาตีหน้าซื่อยอกย้อนฉัน” ไพลินกรีดเสียงเคียดแค้น “ที่ฉันยอมแต่งงานกับพี่ชายของคุณ ก็เพื่อให้คุณรู้ว่าคนอย่างฉันไม่สิ้นไร้ไม้ตอก ถึงคุณจะทิ้งไป ก็ยังมีผู้ชายที่ดีกว่ายกขันหมากมาสู่ขอฉัน สาแก่ใจฉันนัก ตอนนี้คุณกลายเป็นน้องผัวฉัน ต้องไหว้ฉันทุกครั้งที่พบหน้า ต่อไปเมื่อสิ้นคุณแม่ สมบัติเงินทองคุณก็ต้องให้ผัวฉันแบ่งให้ คุณเป็นรองฉันทุกอย่างแล้ว รู้ตัวไว้เสียด้วย”
“ผมรู้ตัวอยู่เสมอว่าคุณพี่เป็นพี่สะใภ้ และผมก็ไม่สนใจเรื่องเงินทองด้วย” เขมนิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเรียบๆ สีหน้าของเขาฉายแววสงสารหล่อนอยู่ในที
“คุณพี่ไพลิน ผมคิดว่าผมพอจะเดาเรื่องออกแล้ว คุณพี่กับผมคงจะเคยชอบพอกันมาก่อน แต่ผมทอดทิ้งคุณ คุณพี่ก็เลยมาแต่งงานกับพี่ชายของผมเพื่อแก้แค้น ถูกต้องไหม ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็ขอโทษคุณด้วย ขอโทษจากใจจริงของผมนี่ละ”
ไพลินมองชายหนุ่มอย่างคาดไม่ถึง ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินคำขออภัยจากปากเขา คุณเขมที่หล่อนรู้จักมีแต่กิริยาเริงร่าไม่ทุกข์ร้อน กับน้ำคำหวานหูทว่าปราศจากความจริงใจ ไม่ใช่ท่าทางมั่นคงเช่นตอนนี้
แม้ในวันที่หล่อนนั่งรับน้ำสังข์เคียงคู่พี่ชาย เขมก็ยังตีหน้าทะเล้น พูดจาเย้าแหย่กนกที่ได้เมียเป็นสาวชาววัง ไม่มีวี่แววเจ็บปวดที่เห็นหญิงคนรักตกเป็นของชายอื่นเลยแม้แต่น้อย ผิดกับหล่อนที่รู้สึกเหมือนถูกคมมีดกรีดหัวใจ ทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา
สำหรับไพลิน เขมคือรอยเปื้อนที่ประทับลงบนชีวิตที่สมบูรณ์แบบราวกับผืนแพรของหล่อน หญิงสาวพบเขาครั้งแรกเมื่อตามเสด็จเจ้านายไปทำบุญที่วัด กิริยาเดินเชิดหน้าผ่านหนุ่มๆ ที่มาแอบดูสาวชาววัง ราวกับผู้ชายเหล่านั้นเป็นเพียงผงธุลีไร้ค่า ดึงดูดความสนใจของเขมได้ในทันที
‘ข้าจะเด็ดดอกฟ้าลงมาเชยชมให้จงได้ พวกเอ็งคอยดูก็แล้วกัน’ ชายหนุ่มประกาศกับพรรคพวก
หากไพลินกลับเข้าใจว่านั่นคือความรัก เพราะทะนงตนว่าลูกสาวพระยาอย่างหล่อน ย่อมมีแต่ชายหมายปองด้วยใจจริงทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้เมื่อเขมเพียรส่งเพลงยาวมาเกี้ยวหลายฉบับเข้า ไพลินก็ใจอ่อนยอมรับไมตรี หล่อนเฝ้าคิดถึงชายหนุ่มทุกลมหายใจ ยอมลอบเร้นออกจากวังไปพบในยามค่ำ แม้จะต้องเสี่ยงภัยใหญ่หลวง แต่เพียงแค่ได้อยู่ในอ้อมกอดของคนรัก ฟังเขาปลอบประโลมด้วยคำหวานที่ไม่เคยได้ยินจากชายใด ไพลินก็รู้สึกว่าโทษทัณฑ์ที่จะได้รับหากถูกจับได้ ไม่มีความหมายเลยแม้แต่น้อย
แต่แล้วหลังจากลอบพบกันได้สองเดือน เขมก็หายตัวไปเฉยๆ ทิ้งให้ไพลินเพ้อคลั่งเหมือนคนบ้า หล่อนให้บ่าวออกไปสืบหาเขาทั่วพระนคร แล้วก็ได้ข่าวที่ทำให้หัวใจสลายว่า
‘คุณเขมกำลังไปติดพันแม่สำอาง ลูกสาวแม่ค้าในตลาดเจ้าค่ะ บ่าวเห็นเดินซื้อของอยู่ด้วยกัน ท่าทางนางนั่นระริกระรี้เชียว’
แม้จะอ่อนต่อโลกสักเพียงใด ไพลินก็รู้โดยพลันว่าหล่อนเสียรู้เขาแล้ว หากเขมรักหล่อนจริง เขาจะต้องส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอหล่อนอย่างที่พูดไว้ ไม่ใช่ทิ้งให้ไพลินรอคอยแทบใจจะขาด ส่วนเขากลับไปสุขสำราญกับหญิงอื่น ที่เขมมาเกี้ยวหล่อนเป็นเพียงวิสัยชายเจ้าชู้ ที่อยากจะเอาชนะผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเอาชนะได้ยากเท่านั้น เมื่อสมประสงค์แล้วเขาก็หมดสนุกและตีจากไป
ด้วยเหตุนี้เมื่อคุณนวลมาทาบทามไพลิน ให้แต่งงานกับบุตรชายคนที่สองของเธอ หล่อนจึงตอบโดยไม่ลังเลว่า ‘ลูกสุดแล้วแต่เจ้าคุณพ่อและคุณแม่เจ้าค่ะ’
ครั้นมาอยู่ร่วมเรือนในฐานะพี่สะใภ้ ไพลินไม่หวังอะไรมากกว่าการได้เห็นเขมเสียดายดอกฟ้าดอกนี้ ที่ได้หลุดลอยไปจากเขาตลอดกาล พร้อมกันนั้นหญิงสาวก็ตั้งใจจะเป็นเมียที่เพียบพร้อม มีชีวิตคู่ที่แสนสุข ให้เขมร้อนรุ่มด้วยความริษยาพี่ชาย ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่หญิงสาวนึกฝันไว้เลยแม้แต่น้อย
อย่างน้อยการที่เขมมาขอโทษหล่อน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ไพลินคิดว่าจะได้ยิน
“คนอย่างคุณน่ะหรือจะยอมขอโทษ คุณเขม อย่าพยายามหลอกฉันอีกเลย ถึงฉันจะเคยโง่ให้คุณปั่นหัวมาครั้งหนึ่ง แต่ฉันก็รู้จักคุณดี รู้ดีถ้วนถี่ตั้งแต่วันที่คุณทิ้งฉันไปนั่นละ”
“นายเขมคนนั้นไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว เวลานี้มีแต่นายเขมที่เห็นใจคุณ อยากไถ่โทษที่เคยทำไม่ดีกับคุณ อยากเห็นคุณมีความสุขหลังจากผ่านเรื่องเลวร้ายมา” สายตาของเขาเหมือนจะมองทะลุเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของไพลิน “แต่ที่คุณมานั่งร้องไห้อยู่ที่นี่ คงไม่ใช่เพราะผมอย่างเดียว แต่มีเรื่องอื่นด้วยใช่ไหม”
ดวงตาไพลินมีน้ำตาเอ่อขึ้นมาอีก หล่อนแค่นหัวเราะ “คนอย่างฉันจะมีกระไรได้ ฉันก็ยังเป็นไพลินเม็ดเดิม ที่ผู้ชายเห็นค่าเพียงประเดี๋ยวประด๋าว พอสมใจแล้วเขาก็หันไปมองมณีเม็ดใหม่ ทอดทิ้งฉันไปอย่างไม่ไยดี”
เขมมองเลยไปในความมืด เห็นแสงตะเกียงจากเรือนของเมียรองส่องสว่างอยู่ลิบๆ ก็พอจะเข้าใจความทุกข์ของหญิงสาวขึ้นมาได้
“คืนนี้คุณพี่กนกคงไปนอนที่เรือนแม่บุหลันละสิ ผู้ชายก็เห่อของใหม่อย่างนี้เอง แต่วางใจเถิด คุณเป็นเอกภรรยา อย่างไรเสียคุณพี่กนกก็ต้องยกย่องคุณมากกว่าผู้หญิงคนไหนทั้งหมด”
“ฉันเกรงว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น แม่บุหลันเป็นคนสวย ซ้ำคุณแม่ยังชื่นชมว่าดวงชะตาของหล่อนช่วยปัดเป่าเคราะห์ร้ายในเรือน บ่าวไพร่ก็พากันยกย่องเชิดชูหล่อน ส่วนฉัน…” หยาดน้ำใสๆ กลิ้งลงมาตามแก้มบาง แรงสะอื้นทำให้ไพลินพูดต่อแทบไม่ออก
“ฉันไม่มีกระไรจะผูกใจใครเลย เจ้าคุณพ่อกับคุณแม่ก็กลับพิจิตรไปแล้ว ฉันหัวเดียวกระเทียมลีบ จะหันหน้าไปพึ่งใครก็ไม่ได้”
สีหน้าเขมบอกความยุ่งยากคล้ายคนที่ไม่เคยชินกับการปลอบผู้หญิง แต่น้ำเสียงชายหนุ่มหนักแน่น จนคนฟังอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด
“คุณไพลินฟังนะขอรับ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว ต่อไปนี้ผมจะคอยช่วยคุณเอง ถ้าคุณบุหลันหรือคนที่อยู่ใกล้ตัวเขาคิดร้ายกับคุณ ผมจะไม่ปล่อยไว้แน่ ผมสัญญา”
ไพลินกลับเข้าห้องไปแล้วเพราะเกรงจะเกิดข้อครหา หากมีบ่าวมาเห็นหล่อนยืนคุยกับน้องชายสามีในยามวิกาล เขมจึงกลับมายังหอนอนของเขาบ้าง ชายหนุ่มอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเนื้อตัวเย็นสบาย แต่จิตใจก็ยังไม่ปลอดโปร่งพอจะข่มตาหลับได้อยู่ดี เรื่องที่รับรู้มาทำให้เขาอดเป็นห่วงคนบ้านนี้ไม่ได้
ภายใต้ดวงหน้าสวยสง่าราวกับพระจันทร์วันเพ็ญของบุหลัน ซ่อนความร้ายกาจเอาไว้จริงหรือ ไหนจะคนข้างตัวหล่อน ที่เขารู้ว่าเหี้ยมเกรียมพอจะฆ่าคนพิการได้อย่างเลือดเย็นอีกล่ะ… เห็นทีเขาคงต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้คนในบ้านตกเป็นเหยื่อของผู้หญิงสองคนนี้เสียแล้ว!
แม้คืนนี้จะไม่ใช่คืนเดือนหงาย แต่พระจันทร์ก็เกือบเต็มดวง ทอแสงนวลลออกระจ่างอยู่บนฟากฟ้า งามจับตาคล้ายใครนำดวงไฟเหลืองอร่ามไปแขวนไว้บนผ้ากำมะหยี่ดำ อากาศเย็นสบาย มีลมเฉื่อยฉิวโชยมาเป็นระยะ บ่าวชายหญิงจึงออกมานั่งจับกลุ่มรับลมอยู่ที่หน้าเรือนของตน พูดคุยเย้าหยอกกันตามประสา ฉับพลันใครคนหนึ่งก็ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ
“เฮ้ย! พวกเอ็งช่วยกันดูที ไอ้ตัวที่อยู่บนหลังคาเรือนคุณบุหลัน ใช่อย่างที่ข้าคิดหรือเปล่าวะ”
“นกแสกนี่นา มันมาจากไหนกัน”
ยายแม่ครัวอุทานเสียงสั่น “นกแสกเกาะหลังคานี่เขาว่าอัปมงคลนัก จะเกิดอาเพศกระไรหรือเปล่านี่ น่ากลัวจริงโว้ย”
นางดวงกระแทกตะกร้าผ้าลงบนพื้นกระดานค่อนข้างแรง ถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะโบกมือกระพือลมให้ตัวเอง เพื่อดับความร้อนที่ก็บอกไม่ถูกว่าระหว่างร้อนกายกับร้อนใจ นางรู้สึกอย่างไหนมากกว่ากัน
ท่าทีของคนสนิททำให้บุหลันต้องวางมาลัยที่กำลังร้อยอยู่ หันไปสบตากับพิชญา ก่อนถามยิ้มๆ “เป็นกระไรรึดวง หน้าตาบอกบุญไม่รับเชียว”
“วุ้ย! ถ้าใครมาบอกบุญตอนนี้บ่าวจะรีบทำเลยละเจ้าค่ะ แต่มันไม่มีบุญให้ทำน่ะสิ ตอนนี้มันมีแต่กรรม คุณบุหลันรู้ไหมเจ้าคะว่าพวกบ่าวมันนินทาคุณกันใหญ่แล้ว บ่าวได้ยินแล้วระคายหู อยากจะตบให้คว่ำนัก”
“พูดกันเซ็งแซ่ขนาดนั้น ฉันจะไม่ได้ยินได้อย่างไรล่ะดวง” บุหลันหยิบมาลัยขึ้นมาร้อยต่อ สีหน้าเรียบเฉยไม่บอกความรู้สึก “หรือต่อให้ไม่ได้ยิน ฉันก็ต้องรู้ถึงความผิดปกติอยู่ดี เพราะคุณพี่ไม่ได้มาหาฉันหลายวันแล้ว คุณแม่ก็ไม่เรียกฉันไปร่วมสำรับอย่างเคย กลับสั่งคนมาบอกให้ฉันกินข้าวอยู่ที่เรือนนี่ จะได้ไม่ต้องพบปะคุณไพลินให้เกิดเรื่อง”
นางดวงกระแทกเสียง “ข้ออ้างละสิเจ้าคะ คุณๆ ท่านคงจะกลัวเรื่องนกแสกที่มาเกาะหลังคาเรือนเรา ว่าเป็นอัปมงคล เฮ่อ! คนบ้านนี้งมงายจริง โง่แท้ๆ”
“ถ้าไม่งมงายฉันจะได้มาเป็นสะใภ้ที่นี่หรือดวง” บุหลันเย้ายิ้มๆ “แต่นกแสกแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตดอก อีกไม่กี่วันคนก็เลิกพูดกันไปเอง”
“แต่ฉันว่าคงจะยากค่ะคุณบุหลัน ตั้งแต่คืนที่นกแสกเกาะหลังคา ก็มีเหตุร้ายเกิดขึ้นทุกวัน ฉันได้ยินมาว่าอยู่ดีๆ ป้าแจ่มแม่ครัวก็ท้องเสีย ทั้งๆ ที่คนอื่นที่กินอาหารสำรับเดียวกับแกไม่เป็นอะไร แล้วยังมีบ่าวคนหนึ่งตกบันไดลงมา ส่วนคุณนวลก็ไม่สบายขึ้นมาอีก” พิชญานิ่วหน้า หล่อนรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ ซ่อนอยู่ในเหตุการณ์เหล่านี้ “ฉันว่าต้องมีคนแกล้งคุณแน่ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างไม่น่าจะประจวบเหมาะมาเกิดพร้อมกันหมด”
บุหลันถอนใจ เรื่องกลั่นแกล้งกันนั้นหล่อนคะเนไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิด แต่หญิงสาวมัวแต่ทะนงในความรักที่สามีมอบให้ จนไม่คิดว่าจะมีอะไรมาเบี่ยงเบนความสนใจของเขาไปได้
แต่นี่…แม้แต่กนกก็พลอยหลงกลคนพวกนั้นไปด้วย
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะคุณบุหลัน ฉันจะหาทางช่วยคุณเอง มีฉันซะอย่าง ไม่ต้องนอยด์ค่ะ”
บุหลันยิ้มขำ นอยด์คืออะไรหล่อนไม่รู้หรอก แต่หล่อนมั่นใจว่าเพื่อนสาวผู้แปลกประหลาดต้องไม่ปล่อยให้หล่อนตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน
เช้าวันรุ่งขึ้นพิชญาหายตัวไปไม่มาช่วยนางดวงเตรียมอาหารเช้าเหมือนเคย พอหล่อนกลับมาในตอนกลางวัน บุหลันที่กำลังทานข้าวอยู่บนตั่งนอกชาน มีนางดวงนั่งรับใช้อยู่ใกล้ๆ ก็ทักขึ้นทันที
“กลับมาแล้วหรือแม่ผิน ฉันกำลังนึกห่วงอยู่เชียว แล้วนี่กินข้าวกินปลามาหรือยัง”
พิชญานั่งลงตรงข้ามบุหลัน “ฉันไม่หิวหรอกค่ะ อยากคุยกับคุณมากกว่า ต้องขอโทษพี่ดวงด้วยนะที่เมื่อเช้าไม่ได้ช่วยทำกับข้าว ฉันอยากไปสืบเรื่องเร็วๆ เลยลงจากเรือนไปตั้งแต่เช้ามืด”
บุหลันสั่งให้นางดวงตักข้าวให้พิชญา ก่อนจะบอกอย่างใจดี “ขอโทษขอโพยกระไรกัน ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าหล่อนอยู่ที่นี่ในฐานะน้องสาวของฉัน เท่ากับเป็นนายคนหนึ่งของดวง ไม่จำเป็นต้องทำงานดอก”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันถือคติว่าจะไม่อยู่บ้านใครเปล่าๆ อะไรที่ตอบแทนได้ฉันก็ต้องทำ อ้อ! ตอนนี้ฉันรู้แล้วนะว่าเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้น เกิดจากอะไร”
ทั้งบุหลันและนางดวงหันมามองหล่อนเป็นตาเดียวกัน พิชญาเห็นอย่างนั้นก็ยืดอกด้วยความภูมิใจ เล่าต่อเสียงใส
“ฉันลงไปช่วยป้าแจ่มทำกับข้าวในครัว แล้วปะเหลาะถามแกไปด้วย ได้ความว่าวันที่แกท้องเสีย คุณไพลินเรียกป้าแจ่มไปสั่งงาน พอกลับมาบ่าวคนอื่นกินข้าวกันเสร็จหมดแล้ว แกเลยกินน้ำพริกที่เหลืออยู่ก้นถ้วยเป็นคนสุดท้าย สมมติว่ามีคนเอายาถ่ายใส่ลงไปในถ้วยน้ำพริก ฉันว่าไม่แปลกที่ป้าแจ่มจะท้องเสียอยู่คนเดียว ทั้งๆ ที่กินของเหมือนคนอื่น”
นางดวงทำท่าคันปากขึ้นมาทันที “คุณไพลินเรียกไปสั่งงานหรือเจ้าคะ แหม! ช่างเรียกไปได้จังหวะจริงจริ๊ง”
“ยังไม่หมดแค่นี้พี่ดวง นายสนบ่าวที่ตกบันไดบอกว่าวันนั้นขั้นบั้นไดลื่นมาก เหมือนถูกทาน้ำมันไว้ พอดีเขากำลังเจ็บ ต้องให้คนพยุงไปทายาเลยไม่ได้ฉุกคิด พอทายาเสร็จกลับมาดูที่เรือน ก็เหมือนมีคนเอาผ้ามาเช็ดน้ำมันออกแล้ว แต่นายสนมั่นใจว่าขั้นบันไดลื่นจริงๆ และที่เด็ดสุดนะ…” พิชญาทำน้ำเสียงตื่นเต้นเป็นสองเท่าเพื่อเร้าอารมณ์คนฟัง “ฉันให้นายสนปีนขึ้นไปดูหลังคาเรือนของเรา ด้านที่หันไปทางเรือนบ่าว บนนั้นมีซากหนูซากกบเหลืออยู่จ้า! เพราะอย่างนี้ไงนกแสกถึงมาเกาะหลังคา มันมากินอาหารที่คนเอาไปโปรยไว้”
“ร้ายกาจที่สุด” บุหลันอุทาน โกรธจนระงับอารมณ์แทบไม่อยู่ “ฉันไม่คิดเลยว่าแม่ไพลินจะใช้แผนการสกปรกพรรค์นี้กลั่นแกล้งฉัน เสียแรงเป็นสาวชาววัง พฤติกรรมกลับต่ำช้าไม่ผิดกับกุ๊ยข้างถนน”
พิชญามองหน้าบึ้งตึงของบุหลัน คนสวยๆ เวลาโกรธนี่ก็น่ากลัวเอาเรื่องเหมือนกันแฮะ แต่หล่อนยังไม่ปักใจเชื่อนักว่าไพลินจะอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้
”ฉันว่าใจเย็นก่อนดีกว่าค่ะ คุณไพลินไม่น่าจะทำเรื่องทั้งหมดนี้คนเดียว เราอย่าเพิ่งวู่วามเลย รอดูให้แน่ใจก่อนว่ามีใครร่วมมือบ้าง ทีหลังจะได้ไม่ประมาทอีก”
“ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือจะทำอย่างไร ให้คุณบุหลันกลับมาเป็นคนโปรดของคุณนวลและคุณกนกเหมือนเดิมเจ้าค่ะ ถ้าคุณท่านสองคนเมตตา ต่อให้คนชั่วมากลั่นแกล้ง มันก็ทำกระไรไม่ได้” นางดวงออกความเห็น
“ปัญหามันอยู่ที่คุณนวลท่านเชื่อเรื่องโชคชะตาเอามากๆ น่ะสิพี่ดวง” พิชญาชักมืดแปดด้าน “คนทำรู้ใจท่าน ถึง
ได้จับจุดอ่อนนี้มาใช้ ตอนแรกท่านอาจจะลังเล เพราะยังเอ็นดูคุณบุหลันอยู่ แต่พอเกิดเรื่องร้ายติดกันหลายครั้งเข้า ท่านเลยเชื่อว่าคุณบุหลันเป็นคนนำโชคร้ายมาให้จริงๆ ที่สองสามวันนี้ท่านไม่สบาย คงเพราะกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับนี่ละ”
คิดแล้วพิชญาก็ชักจะกลุ้ม คุณนวลนั้นแม้จะปกครองบ้านช่องร้านค้าเก่งฉกาจเพียงใด แต่ก็ยังเป็นเหมือนผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เชื่อเรื่องโชคลาง เมื่อมีนกแสกมาเกาะหลังคาเรือนของบุหลัน และเกิดเรื่องกับบริวารในบ้านถึงสองคน เธอจึงระแวงว่าโชคร้ายคงไม่หยุดเพียงเท่านี้ ผู้รับเคราะห์รายต่อไปอาจเป็นเธอก็ได้ พอกังวลมากๆ เข้าก็เกิดอุปาทานว่าตนเองปวดหัว เป็นไข้ จะลุกนั่งก็ไม่สบายเนื้อตัวไปหมด ยิ่งไม่สบาย ความเชื่อของเธอก็ยิ่งหยั่งลึก วนเวียนเป็นวงกลม ตรงตามความต้องการของผู้บงการพอดี
ใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังแผนการนี้ พิชญาขอคารวะ…
แสบนักนะแก!
“ฉันคงจะเป็นตัวอัปมงคลจริงๆ กระมัง” บุหลันฝืนยิ้ม ทว่าช่างเป็นรอยยิ้มที่เศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน “อยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรังเกียจว่าเป็นตัวขัดขวางความสุขของเขา ไม่ว่าจะในเรือนคุณพ่อหรือที่เรือนสามี”
นางดวงก้มลงกอดเท้านายหญิงของนาง น้ำตารินเป็นสาย “คุณเจ้าขา บ่าวอยากจะรับความทุกข์แทนคุณเหลือเกิน ทำไมชีวิตคุณถึงอาภัพอย่างนี้”
”ช่างเถิด เมื่อมันเป็นชะตากรรมฉันก็ต้องยอมรับ พยายามอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว อยู่ได้แค่ไหนก็แค่นั้น เมื่อไรเจ้าของเรือนท่านไม่เมตตา ฉันก็จะไปตามทางของฉัน”
พิชญามองสองสาวที่เอาแต่สะอื้นแล้วก็ให้อ่อนใจ นางในวรรณคดีประเภทบู๊โลกแตก ไม่ยอมแพ้นางร้ายอย่างนางตะเภาแก้วตะเภาทองก็มี แต่ไม่ยักมีใครยึดเป็นไอดอล กลับหันไปเล่นบทนางเอกแสนดี ประเภทที่ถูกจับลอยแพพร้อมลูกน้อยหอยสังข์กันหมด
บอบบางทั้งสองคนอย่างนี้ เห็นทีผู้ช่วยนางเอกอย่างหล่อนคงต้องลุยเดี่ยวเสียแล้ว!
ตลาดยามสายคลาคล่ำไปด้วยสินค้าใหม่ๆ ทั้งผักสด ปลา สมุนไพรป่า และขนมหวานแบบดั้งเดิมที่หาไม่ได้ในสมัยของหล่อน หลังจากช่วยนางดวงทำอาหารเช้าแล้ว พิชญาจึงปลีกตัวมาเดินชมบรรยากาศที่หาได้ยากนี้ พร้อมกับคิดวิธีแก้ปัญหาของบุหลันไปพร้อมกัน
ขณะเดินทอดน่องเรื่อยเปื่อย ใจหญิงสาวก็กระหวัดคิดถึงโลกที่จากมา ไม่รู้พี่โจจะเป็นอย่างไรบ้าง จะร้อนใจแค่ไหนที่จู่ๆ พีชน้องรักก็มาหายตัวไป ถ้าไม่ร้องไห้ฟูมฟายแต่ก็ยังไม่วายถ่ายเซลฟีไปด้วย ก็คงแจ้งความตามหาตัวหล่อนจ้าละหวั่นกระมัง
เพราะมัวแต่คิดเพลิน หล่อนจึงไม่ได้ตั้งตัวเลยเมื่อมีเสียงเอะอะดังขึ้นทางด้านหลัง ก่อนที่ร่างคล้ำแดดร่างหนึ่งจะวิ่งมาชนเต็มแรง แรงกระแทกทำให้พิชญาเซถลาเข้าหากระทะทอดข้าวเม่าใบใหญ่ น้ำมันร้อนๆ กำลังเดือดพล่านเต็มที่ พิชญากรีดร้องสุดเสียง รู้สึกได้ถึงไอร้อนที่พุ่งขึ้นปะทะผิวหน้า
แต่ก่อนที่ใบหน้าของหญิงสาวจะคว่ำลงไปในกระทะ มือแข็งแรงของใครคนหนึ่งก็เอื้อมมากระชากตัวหล่อนไว้ พอทรงตัวได้พิชญาก็พบว่ารอบข้างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ชายหญิงสองคนกำลังตะโกนด่าทอชายหนุ่มผิวคล้ำ แต่งกายด้วยเสื้อและโจงกระเบนขาว ห้อยประคำเส้นใหญ่ ที่หน้าผากมีเลือดไหลอาบลงมาเปื้อนหน้าอกเป็นดวงโต ส่วนฝ่ายที่ถูกด่าก็เถียงกลับหน้าดำหน้าแดงเช่นกัน
“ไอ้หมอดูชั่ว ทำผัวเมียเขาทะเลาะกัน เมียข้ามันเอาพร้าไล่ฟันข้าเกือบตาย ก็เพราะปากชั่วๆ ของเอ็ง”
“ข้าก็ทำนายไปตามดวงชะตา ไม่ได้ใส่ไคล้ เอ็งแอบมีเมียน้อยเองนี่หว่า ถูกนางเมียมันแหกอกเอาก็สมควรแล้ว”
หญิงสาวอีกคนชี้หน้าบ้าง “อ้อ! ที่แท้ก็พวกต้มตุ๋นนี่เอง หน็อยแน่…มาทำนายข้าเสียๆ หายๆ ดีนะที่เอาพานดอกไม้ธูปเทียนฟาดกบาลพอหายแค้นไปได้บ้าง เอาค่าดูดวงคืนมาเชียว ไม่อย่างนั้นแม่จะแพ่นกบาลอีกที ให้ไปดูดวงในนรกเลย”
“ข้าไม่ใช่พวกต้มตุ๋นโว้ย หลวงพ่อสุ่นอาจารย์ข้าเรื่องทำนายทายทักท่านฉมังนัก วิชาข้าถ่ายทอดมาจากท่านมีหรือจะเก๊ แต่ดวงเอ็งมันปากตำแย ชอบด่าผัว แต่งไปบ้านไหนก็ทำครอบครัวผัวฉิบหาย ข้าก็ทำนายไปตามพื้นดวง จะมาโกรธข้าได้รึ”
“ยังจะปากดีอีกนะมึง ขอกระทืบทีเถิดวะ” ชายคนนั้นร้องแล้วโดดเข้าชกชายหมอดู ส่วนหญิงสาวก็เข้าผสมโรงตบตีเป็นพัลวัน พิชญายืนดูความโกลาหลทั้งหมดอย่างมึนงง ครั้นพอนึกขึ้นได้จึงหันไปมองคนข้างๆ… ฮีโร่ที่มาช่วยหล่อนไว้ในช่วงเวลาคับขัน
“คุณเขม”
หญิงสาวอุทานอย่างคาดไม่ถึง ชายหนุ่มที่ยังจับแขนหล่อนอยู่เหลือบมองร่างเล็กๆ ข้างตัวแวบหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตากลับไปข้างหน้า พอเห็นว่าหมอดูผิวคล้ำเริ่มจะเพลี่ยงพล้ำ เพราะคู่ต่อสู้มีรูปร่างกำยำกว่ามาก เขาก็ร้องห้าม
“พอที เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” ชายหนุ่มเข้าไปผลักชายร่างใหญ่ที่กำลังรัวกำปั้นใส่คู่แค้นกระเด็นไป ก่อนจะหันไปรั้งตัวแม่สาวที่กำลังอาละวาดไว้ “ใครก็ได้ช่วยไปตามนครบาลมาที เดี๋ยวก็มีคนตายหรอก”
ชายที่ถูกผลักล้มกระแทกดินจึงทั้งเจ็บทั้งอาย เมื่อหันรีหันขวางไปพบพร้าที่แม่ค้าวางอยู่ข้างแผง ก็หยิบขึ้นมากำแน่น สายตาที่มองเขมแข็งกร้าวน่ากลัว
“เอ็งเป็นพวกเดียวกับไอ้หมอดูกำมะลอนี่หรือ งั้นก็อย่าอยู่เลย”
ร่างใหญ่หนาโผนเข้าหาชายหนุ่มพร้อมอาวุธในมือ ทันใดนั้นลูกชายหุ่นสำอางของคุณนวลก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วตวัดมือด้วยท่าทางแปลกๆ จนพร้าในมืออีกฝ่ายหลุดกระเด็น แต่คู่ต่อสู้ของเขามีทักษะเชิงมวยพอตัว ทั้งสองจึงต้องแลกหมัดกันอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่เขมจะได้ทีใช้สันมือฟันไปที่ท้ายทอยของอีกฝ่ายเต็มรัก ส่งผลให้ชายร่างใหญ่ล้มไปกองกับพื้น ชาวบ้านรอบข้างจึงกรูเข้าไปจับตัวเขาไว้ ซึ่งก็แทบจะไม่จำเป็นเลย เพราะถึงตอนนี้เจ้าตัวก็มึนจนลุกไม่ขึ้นอยู่แล้ว
พอความวุ่นวายจบลง หมอดูหนุ่มก็ปรี่เข้ามาไหว้เขม “ขอบคุณจริงๆ พ่อคุณ ขอให้จำเริญๆ นะพ่อนะ ถ้าไม่ได้พ่อช่วยฉันเห็นทีจะแย่”
เขมมองฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ค่อยชอบหน้า แต่ยังถามอย่างอดห่วงไม่ได้ “ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก แต่เลือดไหลเต็มไปหมดอย่างนี้ น่าจะไปหาหมอสักหน่อยนะ”
พิชญาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเลือดให้คนเจ็บ ไม่รู้ทำไมหล่อนถึงรู้สึกคุ้นหน้าเขาอย่างประหลาด นอกจากความคุ้นเคยทางสายตาแล้ว แม้แต่จิตใต้สำนึกของหญิงสาวก็ไหวยวบ ราวกับมีสายใยที่มองไม่เห็นรัดพันหล่อนกับชายผิวคล้ำคนนี้ ทำให้รู้สึกผูกพันกับเขาอย่างบอกไม่ถูก
“พี่ชายเจ็บมากหรือเปล่า ฉันว่าไปหาหมอดีกว่า มาเถอะ เดี๋ยวฉันพาไปเอง”
หมอดูหนุ่มยิ้มให้หล่อนอย่างขอบใจ มือก็กดผ้าห้ามเลือดไปด้วย “ขอบใจนางหนู ข้าไม่เป็นไรมากหรอก พอดีข้าหลบทัน พานที่นางเอียดมันเอาฟาดกบาลเลยแค่เฉี่ยวไป ไม่โดนจังๆ”
“นี่คงไปหลอกเขาเข้าละสิ เขาถึงตามมาเล่นงานเอา” เขมถามเสียงเข้ม หน้าดุบอกให้รู้ว่าไม่อยากเสวนาด้วย “ทีหลังอย่าทำอีกนะ เห็นไหมว่าคนที่ถูกหลอกเขาเจ็บแค้นแค่ไหน แล้วตัวเราเองก็ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“ใครว่าข้าหลอกลวง นี่พ่อน้องชายคงคิดว่าข้าเป็นหมอดูเก๊อย่างที่ไอ้สองคนนั่นพูดละสิท่า เอาข้าไปสาบานที่ไหนก็ได้ ข้าไม่ได้ต้มมันเลย ตำราว่ายังไงข้าก็ดูไปตามตำราจริงๆ”
แม้จะถูกชะตากับชายผิวคล้ำ แต่พิชญาก็อดเอนเอียงเข้าข้างเขมไม่ได้ เพราะหล่อนเองก็ไม่ศรัทธาพวกหมอดูเช่นกัน ไม่เหมือนพี่โจ รายนั้นคลั่งไคล้ศาสตร์แขนงนี้อย่างหนัก ซ้ำยังชอบมาคุยอวดด้วยว่ามีบรรพบุรุษเป็นหมอดูชื่อดัง มีลูกศิษย์ลูกหานับถือกันทั้งเมือง
พอคิดถึงหนุ่มรุ่นพี่ พิชญาก็เอะใจ หล่อนพิจารณาชายตรงหน้าอย่างเอาใจใส่ หากร่างนี้ขาวขึ้นอีกเท่าตัว อ้วนกว่านี้สัก 50 กิโล เพิ่มปานดำขนาดใหญ่ที่แก้มเข้าไปหน่อย บวกกับท่าทางตุ้งติ้งอีกนิด…
“พี่โจ” พิชญาครางออกมาโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของชายคนนี้ประพิมพ์ประพายพี่ชายหัวใจหญิงที่หล่อนเคารพรัก ชนิดที่เรียกว่าจำลองกันมาเลยทีเดียว
“นางหนูๆ”
หมอดูหนุ่มโบกมือไปมาตรงหน้าพิชญา เมื่อเห็นหล่อนจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย “เป็นกระไรวะ เห็นข้าแล้วถึงกับใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยรึ เอาเถิด จะเชื่อข้าหรือไม่ก็ช่าง แต่ข้าขอบใจพ่อน้องชายน้องสาวมากที่ช่วยเหลือ ข้าชื่อกุหลาบ ต่อไปถ้าอยากดูโชคชะตาราศีก็ไปหาข้าได้ เรือนข้าอยู่เลยคลองท้ายวัดไปหน่อย ไปถามหาหมอกุหลาบใครๆ ก็รู้จัก”
“ฉันคงไม่มีความจำเป็นต้องดูดวงหรอก เมื่อพี่ชายไม่ได้เป็นอะไรก็ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อน” เขมตัดบท ก่อนจะหันหลังเดินดุ่มๆ ไปโดยไม่เหลือบมองหญิงสาว
พิชญาขบริมฝีปาก อารมณ์หมั่นไส้พุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ แต่เมื่อเขาไม่สนใจหล่อนก็ไม่คิดจะง้อ ที่สำคัญการพบชายหมอดูทำให้หล่อนคิดวิธีแก้ปัญหาของบุหลันได้แล้ว เพียงแต่ยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยเท่านั้น
“หมอกุหลาบ ฉันมีเรื่องอยากถาม เราไปนั่งคุยกันที่ร้านน้ำชาตรงนั้นได้ไหม”