ข้ามมหาสาคร บทที่ 4 : เหลี่ยมเล่ห์
โดย : กฤษณา อโศกสิน
” ข้ามมหาสาคร ” นวนิยายพีเรียด โดย กฤษณา อโศกสิน ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ เรื่องราวความรักโรแมนติกของสองหนุ่มสาวที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการไปจนถึงความรักชาติรักแผ่นดินและการต่อกรกับชาติตะวันตกที่จ้องจะเข้ามาครอบครอง นิยายออนไลน์อีกหนึ่งเรื่องที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ได้จบลงแล้ว ผู้อ่านใจดี มอบไว้ให้อ่านกัน 5 บทค่ะ และหากใครอยากเก็บไว้อ่านได้บ่อยๆ เท่าที่ต้องการ #ข้ามมหาสาคร นวนิยายโดย กฤษณา อโศกสิน วางจำหน่ายแล้วนะคะ
🛳 ข้ามมหาสาคร โดย กฤษณา อโศกสิน
▪️ นวนิยายแนวรัก-โรแมนติก-พีเรียด
▪️ ราคาปก 340 บาท
▪️ จำนวน 400 หน้า
▪️ รับส่วนลด 15-30% จากโปรโมชั่นปัจจุบัน
▪️ ทดลองอ่าน http://bit.ly/ทดลองอ่านนิยายGROOVE
อาจจะมีเพียงความรักของ ‘กันตัง’ เท่านั้น ที่จะพาเธอฝ่าคลื่นลมแห่งโชคชะตา และเดินทางไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย…
สั่งซื้อได้ที่
▪️ Website : groovebooks.com
▪️ Facebook : bit.ly/สั่งซื้อนิยายGROOVE
▪️ Line@ : https://lin.ee/e2UAsQ3 หรือ @groovepublishing (มี @ข้างหน้าด้วยนะ)
************************
– 4 –
แต่ยังมิทันไร เมฆมืดก็เริ่มตั้งเค้า ขณะที่พ่อครัวห้องท้ายเรือเดินเข้ามาพร้อมเสื่อกกผืนกว้าง ปูลงบนพื้นระหว่างเบาะนั่งทั้งสองฟาก มีลูกเรือสยามเชื้อจีนถือถาดตามหลัง
กันตังเห็นดังนั้นจึงบอกกล่าว
“กระผมจะไปช่วยเขายกกับข้าวนะขอรับ”
คุณหลวงก็เลยพยักหน้า ด้วยว่าจะถือโอกาสไต่ถามปันจังเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้มาใหม่
หากดูเหมือนเขาเองก็รู้ตัวเช่นกันว่า เพียงแต่ตนเองคล้อยหลัง คนเหล่านี้จะเอ่ยถึงเขาว่ากระไร
คาดคะเนของเขาหาได้ผิดไม่
นั่นก็เนื่องด้วยคุณหลวงเอ่ยขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเบา หลังจากต่างก็เลื่อนเบาะเข้ามานั่งล้อมวงบนเสื่อ
“ตาว่ามันน่าจะเป็นใคร ปันจัง”
ละไอเย็นจากเบื้องนอกลอดประตูท้ายเรือที่ชายเมื่อครู่เปิดไว้ เข้ามาโกรกภายในจนรู้สึกเย็นสบาย อึดใจต่อมา กันตังก็ถืออีกหนึ่งถาดมาคุกเข่าลง ลำเลียงจานปลาย่างตัวยาว ไก่ย่างหนังเกรียม ไข่ต้มผ่าซีก น้ำพริกถ้วยใหญ่มาวางลงถัดจากโถ ข้าวเปล่ากับถ้วยทองเหลืองใส่น้ำดื่มที่ลูกเรือวางไว้แล้ว
ดูราจึงรับหน้าที่ตักข้าวให้ทุกคน
“เดี๋ยวเจ้าก็กินเสียเลยซีนะ ลองถือท้ายแทนตอนกัปตันกินข้าวได้หรือไม่ ข้าว่าเจ้าก็น่าจะดูเข็มทิศเป็น”
แค่นี้ก็รู้แล้วว่า คุณหลวงสั่งให้เขากินทีหลัง
ทั้งๆเขาเองก็เตรียมตัวมาเป็นผู้รับใช้เรียบร้อยแล้ว
ทันใดนั้น เสียงฝนก็ตกพรูอยู่ข้างนอก กระทบดาดฟ้าเรือที่มีทางระบายน้ำด้านข้าง จึงมิต้องทำสิ่งใด ลมก็กำลังแรง พาเรือวิ่งฉิวประหนึ่งปลิวไปในท้องทะเล
“มิต้องรีบก็ได้”
คุณหลวงรู้สึกสบายทีเดียวที่ไอเย็นจากช่องประตูทั้งหน้าหลังแลบานเกล็ดที่สั่งทำเป็นพิเศษด้านข้างซึ่งบัดนี้ดาบผลักลิ้นแง้มไว้ เพื่อให้ละไอสดชื่นจากสายฝนผ่านเข้ามา ละลายความร้อนจากแสงอาทิตย์ยามสายจนล่วงเข้าเที่ยงกว่าเมื่อพักใหญ่ที่ผ่านมาลงได้
“เรามาเที่ยว ฉลองเรือใหม่ เพียงแต่ต้องล่องไปดูความเป็นไปทางใต้ที่ได้ข่าวว่าฝรั่งมังค่าเข้ามาสอดแนมด้วย จริงรือไม่ ปันจัง”
“จริงขอรับ อังกฤษล่องเรือมาก็คงมาเพราะรักษาประโยชน์”
“ปันจัง” คุณหลวงบัดนี้กำลังเปิบข้าว จึงไม่เอ่ยต่อ นอกจากชมเชยเมื่อดูราช่วยหยิบไก่จิ้มน้ำพริกแลไข่ต้มใส่จานให้ “อร่อยมากเลยลูก น้ำพริกรสดีใครตำ”
“ยายเจ้าค่ะ”
ชายแปลกหน้ามิได้อยู่ในห้องนี้แล้ว หากแต่ออกไปช่วยลูกเรือทำกิจต่างๆ ก่อนไปก็บอกกล่าวด้วยมารยาทอันดี อีกหนึ่งนั้น ก็เพื่อปล่อยให้พ่อลูกอยู่ด้วยกันเป็นส่วนตัว
กินเสร็จ ล้างมือในขันทองเหลือง เช็ดกับผ้าเช็ดมือประจำตัว ด้าวจึงออกไปเรียกลูกเรือเข้ามาเก็บ มีกันตังตามมาด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมมากขึ้น กางเกงค่อนแข้งยังคงเปียกชื้นด้วยสายฝนซึ่งบัดนี้หนักขึ้นตามลำดับ ขณะที่กัปตันเซปาไต่บันไดห้องนายท้ายลงมาโผล่ที่ห้องยาว เปลี่ยนให้กันตังขึ้นไปแทน
“ไม่ตามไปดูมันก่อนดอกหรือ เซปา ว่ามันเก่งสมกับที่อวดรือไม่”
“ไม่ต้องก็ได้ขอรับ เผื่อไม่เข้าที กระผมก็พรวดเดียวถึงตัว”
คุณหลวงก็เลยพยักหน้าขณะมองกัปตันเดินไปทางห้องท้ายเรือเพื่อกินอาหาร ตาปันจังก็เลยอาสา
“ถ้าใต้เท้าไม่ไว้ใจ กระผมขึ้นไปดูให้ก็ได้ขอรับ”
“ไม่ต้อง…เรือล่องไปเรียบร้อยแบบนี้ เชื่อว่ามันคงใช้ได้”
แม้กำลังผจญทั้งลมแลฝนค่อนข้างหนัก แต่กันตังก็ทำหน้าที่กัปตันโดยมิบกพร่อง จนกระทั่งเซปากินข้าวเสร็จกลับมาแทน
“เจ้าก็ลงไปกินข้าวก่อนไป๊ แล้วค่อยขึ้นมาใหม่ มาถือท้ายแทนข้า ข้าจะนั่งอยู่ด้วย จะได้รู้ว่าเจ้าจะช่วยข้าได้เพียงไหน”
“ขอรับ” ชายหนุ่มตอบคำ พลางเคลื่อนตัวออกมากัปตันเซปาจึงเข้าไปนั่งแทน “คุณลุงมีอะไรจะใช้ฉันก็ใช้นะขอรับ อะไรที่ฉันไม่รู้ ก็ช่วยบอกด้วย”
“เออ…แล้วจะบอก” อีกฝ่ายออกเสียงเป็นมิตรทั้งๆสะกิดใจมิวาย
ชายผู้นี้…จริงสินะ…ชายผู้นี้…กัปตันเซปามองหน้าอีกฝ่ายขณะคำนึงในใจ…ก็ใคร่จะค้นจากก้นลิ้นชักสมองของเขานั่นเองว่า…เคยเห็นหน้าชายผู้นี้บ้างรือไม่ ถ้าเคยพบปะมาก่อน ควรจะพบกัน ณ ที่ใด
หากเมื่อคิดยังไม่ออกจึงมองไปข้างหน้าซึ่งใบเรือกำลังขึงตึง ลมกระโชกแรงเป็นบางครั้ง พาเอาสายฝนเบนไปราวสร้อยแก้วไกวแกว่ง แสงจากฟากฟ้าที่มัวลงพาเอาทะเลทั้งผืนมัวตาม ถ้าไม่ได้ประกายน้ำตามยอดคลื่นที่กำลังโยนตัวขึ้นลง ก็คงมืดคล้ำทั้งสาคร
“ดีเหมือนกันที่ได้เจ้ามา…ข้าจะได้เบาใจขึ้น” กัปตันพูดอย่างมีไมตรี เนื่องด้วยอีกฝ่ายอ่อนน้อมถ่อมตน “ก็ยังดี…เรือนี่เรือเล็ก ถ้าเป็นเรือใหญ่ คนสิบคนหาพอไม่…เจ้าเคยทำงานในเรือมานานเท่าไรแล้ว จึงได้ดูทะมัดทะแมงแข็งขัน”
ผู้ถูกถามถึงแก่นิ่งไปอึดใจเต็ม จึงตอบ
“เรายังมีเวลาคุยกันอีกนานใช่ไหม คุณลุง ถ้าจะให้ดี ฉันอยากถามคุณลุงเรื่องเรือใหม่ลำนี้ของคุณหลวงมากกว่า”
ยังมิทันขาดคำ ทั้งคู่ก็แลเห็นลูกชายคนใหญ่ของคุณหลวงปรากฏกายขึ้นบันไดมายังห้องนายท้าย สายตาที่มองชายแปลกหน้ามีแววขรึมนิดหนึ่ง หากก็มิถึงกับเคืองขุ่น พลางก็นั่งลงบนม้าไม้ยาวเท่าความยาวห้องอันตรึงติดอยู่ด้านหลัง
“ข้าอยากคุยกับกันตังสักหน่อย”
“ได้เลยขอรับ” ฝ่ายตอบรับยังคงนอบน้อมพร้อมนัยน์ตาระแวดระวัง “แต่ก็ขอให้กระผมลงไปกินข้าวก่อนแล้วจะกลับมาขอรับ”
เขาจักมิแลเห็นเชียวหรือว่าระหว่างคุณหลวงซักถามด้วยความกรุณา บุตรชายทั้งสามของคหบดีต่างก็มีอาการให้เห็นเด่นชัดว่ามิวางใจ โดยเฉพาะพี่ชายคนโตผู้บัดนี้…ก้าวเข้ามานั่งอย่างหวังจะเอาเรื่อง แม้ไม่หวังจะมีเรื่อง เขาเองก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เช่นกัน
“ไปเสียไป๊ กินเสร็จแล้วก็มานี่” ดาบออกคำสั่งอย่างหวังจะ ‘กด’ ไว้ตั้งแต่นาทีแรก จะได้ไม่กำเริบเมื่อนานไป
“ขอรับ” อีกฝ่ายยังคงนอบน้อมพลางก้าวลงบันไดกลับมาเปิดประตูไม้ทึบที่กั้นระหว่างห้องบันไดแลห้องในเรือ เลี่ยงออกไปยังห้องครัว
“กัปตันคิดว่ามันเป็นใคร” ดาบถามพลาง มองออกสู่ทะเลกว้างที่ยังมิสร่างฝนหนัก
“กำลังคิดอยู่เหมือนกันขอรับ” เซปาพึมพำอย่างตรึกตรอง “หน้าตามันออกมลายูขนาดนี้ก็ต้องเดาเอาเองว่าที่มันเล่าก็คงจริงขอรับ…คงมีวิชาความรู้จากคนอังกฤษ แต่จะมากเท่าไหร่ก็ยังไม่ได้ถามกัน…มันว่าไม่ต้องรีบก็ได้ เพราะยังจะอยู่ด้วยกันไปอีกนาน…อ้อ…มันว่าจะถามกระผมเรื่องเรือลำใหม่นี่…ลำนี้นะขอรับ”
ดาบฟังแล้วค่อนข้างเอะใจ
“งั้นรึ มันจะถามไปทำไม”
“ยังไม่ทันพูดจากัน ท่านก็เข้ามาขอรับ”
ดาบก็เลยนิ่งไป…ครั้นแล้วกัปตันก็เอ่ยขึ้นอีก
“แต่ก็คงมิเป็นไรดอกขอรับ…ท้ายที่สุดก็คงต้องสืบเอาความจนได้ว่ามันเป็นพวกไหน…แต่คงไม่ใช่พวกผู้ดีมีเงินปลอมตัวมาดอกขอรับ”
ชายหนุ่มวัยยี่สิบสอง หน้าตาท่าทางสะอาดสะอ้าน กิริยามารยาทสุภาพสมเป็นบุตรชายคนโตของหลวงประกาศบุรี ได้รับการศึกษาชั้นต้นจากพระเถระผู้ใหญ่แห่งวัดมีชื่อเสียงของพังงา เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวกับชาวอังกฤษนามว่ามิสเตอร์ฮาราลด์ รอบินสัน ผู้เดินทางมารับจ้างทำเหมืองที่ตะกั่วป่า ด้วยว่าเป็นนักผจญภัย…จึงรับเอาทีท่าไม่เกรงใครไว้ในอัชฌาสัยโดยมิทันรู้ตัว
เมื่อครู่ก่อน ตอนที่ชายแปลกหน้ากวาดสายตามองไปที่ ‘นางของเขา’ นางผู้เป็นน้องเลี้ยงแกมน้องแท้ นางผู้ที่เขาเองก็แน่ใจว่า หากไม่มีชายใดดีพอ เขานี่แหละจักขอนางไว้ มิยอมให้พลัดพรายหายห่าง จำเพาะถูกชายแต่ร่างชิงไป…จึงได้แต่ไหวหวั่นพรั่นพรึง
“กัปตันต้องรู้ไว้ด้วยนะว่า ข้ากำลังสงสัย”
“ทุกคนก็สงสัยเหมือนท่านนั่นแหละขอรับ แต่ก็หวังว่าท่านจะใจเย็น”
นั่นก็ต้องใช่แน่ๆอีกเช่นกัน
อย่างน้อย บิดาก็เป็นตัวอย่างอันดี ด้วยว่าสอนสั่งอยู่มิขาด
‘หากลุแก่อำนาจจนถึงขาดสติยามใด ก็จงแน่ใจเถิดว่า เจ้าคงอยู่ยากในเวลาถัดจากนั้น’
ครั้นแล้ว เพียงไม่กี่นาทีต่อมา กันตังกินข้าวเสร็จก็กลับขึ้นมา ดาบจึงพยักหน้าให้นั่งที่ปลายม้ายาวตัวเดียวกับเขาโดยเขานั่งที่ปลายอีกด้าน
ในที่สุด ภายในเนื้อที่แคบก็มีชายสามคนรวมอยู่ด้วยกัน บานเกล็ดที่คุณหลวงสั่งทำพิเศษด้านข้าง เมื่อแง้มออกก็ช่วยให้ห้องนายท้ายคลายกลิ่นอับ
ขณะที่ลมยังคงแรงอย่างต่อเนื่อง พาเอาคลื่นสูงใหญ่โยนเรือขึ้นลง
“อยากรู้จริงว่า คนอังกฤษที่ว่าเข้ามาสอดแนมแถวไทรบุรี มาจริงรือมาเล่น…เจ้าพอจะได้ข่าวบ้างรือไม่” ดาบถามไถ่เสียงดังแข่งกับเสียงลมแลคลื่นที่กระแทกกระทั้นไปมา
เขาก็เสแสร้งแกล้งถามไปอย่างนั้น
ถ้าบอกว่ารู้…แม้ว่าดูจะแสนแปลก แต่ย่อมนับว่าดี
“ได้ข่าวขอรับ” หนุ่มผิวสองสีนัยน์ตาคมตอบคำ