ลายรักบนพักตรา บทที่ 1 : คืนวันอันแสนงาม

ลายรักบนพักตรา บทที่ 1 : คืนวันอันแสนงาม

โดย : จรัสพร

Loading

ลายรักบนพักตรา โดย จรัสพร เรื่องราวของสามพี่น้องผู้ถือกำเนิดมาในครอบครัวศิลปินทำหัวโขนที่แม้ลวดลายบนหัวโขนจะแสนงดงาม หากชีวิตของสามพี่น้องกลับไม่สวยงามอย่างโขนบนเวที คลื่นลมที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า จะหล่อหลอมให้พวกเขาเป็นไม้แกร่งหรือพังทลาย อ่านออนไลน์กันได้ในอ่านเอา เว็บไซต์ที่มีนิยายสนุกๆ มากมาย

**************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กชายหญิงดังแว่วมาจากเรือนไม้สองชั้นสีเขียวอ่อนตัดขอบเชิงชายไม้ฉลุสีเขียวเข้ม ตั้งอยู่ในสวนริมคลองบางหลวง ชาวบ้านย่านนั้นเรียกกันว่า บ้านครูทศ ครูช่างหัวโขนแห่งวิทยาลัยช่างศิลป กรมศิลปากร เรือนนั้นเป็นเรือนใต้ถุนสูง 2 ชั้น หน้าบ้านมีศาลาท่าน้ำทรงปั้นหยาสีเดียวกับตัวบ้าน รั้วด้านหน้าปลูกต้นกระถิน รั้วด้านข้างรายล้อมไปด้วยต้นชะอม ตัดแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบ มีลานกว้างปูอิฐมอญสำหรับทำงานกลางแจ้งก่อนจะเข้าถึงตัวบ้าน ใต้ถุนส่วนหน้ามีแท่นวางหุ่นหัวโขน หัวหุ่นที่รอการตกแต่ง และเครื่องมือในการทำหัวโขนจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ถัดมาด้านในเป็นห้องสำหรับทำงานลงสี ติดลายรัก ประดับพลอย มีโถงบันไดขึ้นไปบนชั้นสองของเรือน ซึ่งประกอบไปด้วยห้องโถง ห้องพระซึ่งมองเข้าไปจะเห็นโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูปโบราณและเศียรครูจัดวางไว้ตามลำดับ และห้องนอน 3 ห้อง ถัดไปเป็นนอกชานแล่นกลางไปสู่เรือนครัวที่อยู่ด้านหลัง

ที่มาของเสียงหัวเราะนั้นคือ เด็กหญิงสอง เด็กชายหนึ่ง ซึ่งกำลังเพลิดเพลินกับกะละมังแป้งที่อยู่ตรงหน้า แป้งข้าวเหนียวกับแป้งมันสำปะหลังนำมานวดผสมกันด้วยน้ำสีจากธรรมชาติ สีขาวจากน้ำลอยดอกมะลิ สีเขียวอ่อนจากน้ำใบเตย และสีม่วงอ่อนจากน้ำอัญชัน ซึ่งแม่พิกุล ภรรยาครูทศ ได้มอบหมายให้ลูกๆ ทั้งสามคนปั้นเป็นเม็ดขนมบัวลอยอยู่ตรงนอกชานนั่นเอง

บัวลอยในถาดของเด็กแต่ละคนนั้นก็มีสภาพแตกต่างกันไปอย่างน่าขัน เด็กหญิงรักสมุก พี่สาวคนโตอายุราว 8 ขวบสวมเสื้อคอกระเช้าสีขาวนุ่งผ้าซิ่นสีชมพู ผมยาวสลวยรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย ใบหน้าของเจ้าหล่อนงามราวภาพวาด เด็กหญิงนั่งพับเพียบปั้นบัวลอยเม็ดเล็กๆ เท่าปลายก้อยได้อย่างเป็นระเบียบ เม็ดเท่ากันเรียงสลับสีสวยงาม รักสมุกนั่งปั้นบัวลอยอย่างมีสมาธิ

ถาดตรงหน้าเด็กชายเอกรงค์ อายุประมาณ 6 ขวบ ผู้สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว เปิดให้เห็นผิวคล้ำแดดเพราะเจ้าตัวชอบออกไปวิ่งเล่นตามร่องสวนนั้น มีเม็ดบัวลอยขนาดหัวแม่มือสีต่างๆ อยู่ห้าเม็ด เม็ดบัวลอยนั้นมีความมอมแบบที่เรียกว่า ดำขี้มือ นอกนั้นก็เอามาทำกระสุนหนังสติ๊ก ยิงนก ยิงกระรอกที่ผ่านสายตามาแบบปั้นไปยิงไป แล้วส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน

ท่ามกลางเสียงเชียร์ของเด็กหญิงตัวน้อยที่แต่งกายละม้ายพี่สาว หากแต่ผมตรงมันดำขลับตัดเป็นหน้าม้าด้านข้างเป็นบ๊อบสั้นเสมอหู ส่งให้เห็นใบหน้ากลมแก้มป่องน่ารักน่าเอ็นดู ดวงตากลมดำใหญ่เป็นประกายสดใส เด็กหญิงผู้นี้มีนามว่า บรรจงวาด อายุ 4 ขวบ ซึ่งผลงานตรงหน้าของเจ้าหล่อนนั้นถ้าใครมาเห็นคงอดจะทึ่งปนขำไม่ได้ แป้งในถาดตรงหน้าเด็กหญิงมีทั้งบัวลอยขนาดเล็กเท่าปลายก้อยแบบเดียวกับที่พี่สาวปั้น บัวลอยขนาดหัวแม่มือแบบของพี่ชาย ซึ่งคละสีคละขนาดกันอยู่เต็มไปหมด

นอกเหนือจากบัวลอยแล้ว เด็กหญิงยังปั้นวัวลอย และควายลอยอีกอย่างละหลายตัว วัวและควายที่ถูกปั้นขึ้นมานั้นมีสัดส่วนและกล้ามเนื้อที่สวยงาม ราวกับนำวัวควายมาปั้นย่อส่วนด้วยแป้งสีต่างๆ เมื่อพี่ชายหันมาเห็นจึงชวนน้องเล่น

“วาดมาเล่นชนควายกันไหม”

“ไม่เอา เดี๋ยวมันตาย” เด็กหญิงปฏิเสธพี่ชาย

“ไม่ตายหรอกน่า สนุกดีออก มาเอามาจะเล่นชนควาย”

เด็กหญิงตัวน้อยยกถาดแป้งปั้นของตัวเองหนี หากแต่ไม่พ้นมือดำๆ ของพี่ชาย หยิบวัวกับควายอย่างละตัวมาชนกันจนเละไปหมด แล้วเอามาวางคืนไว้ในถาด

“วัวกับควายตายเลย ฮือ เค้าจะฟ้องแม่” เด็กหญิงร้องไห้ด้วยความเสียดายและโกรธพี่ชายที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาโดยตลอด

ขณะที่น้องทั้งสองกำลังทะเลาะกันนั้น รักสมุกเงยหน้าขึ้นมามองนิดเดียวแล้วทำงานในมือต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อะไรกัน ใครแกล้งน้องร้องไห้ เอกละสิ”

มารดาของเด็กทั้งสามเดินออกมาจากครัว เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกสาวคนเล็ก

“พี่เอกมันจับวัวกับควายชนกันตายเลยจ้ะแม่ ฮือ” เด็กหญิงฟ้องแม่ด้วยเสียงเจือสะอื้น

“หนูแค่เอามาชนกันเฉยๆ นี่มันแป้งบัวลอยไม่ใช่วัวควายจริงๆ ซะหน่อย” เด็กชายเริ่มขยับตัวออกห่างรัศมีมือมารดาแล้วลอยหน้าเถียงน้องสาว

แม่พิกุลมองไล่ไปที่ถาดแป้งบัวลอยที่ให้ลูกๆ ปั้นทีละถาด เอื้อมมือไปหยิบเจ้าวัวและควายหน้ายู่ จากถาดของลูกสาวคนเล็กเอาไปใส่ถาดของลูกชายแล้วบอกลูกๆ ว่า

“เดี๋ยวแม่จะเอาบัวลอยไปต้ม ถือถาดตามแม่มา ใครปั้นถาดไหนกินถาดนั้น”

“แม่ สองตัวนี้หนูไม่ได้ปั้นนะแม่ วาดมันปั้น” ลูกชายจอมทโมนร้องอุทธรณ์ออกมา

“วัวลอย ควายลอย ตัวมันโตหนูกินไม่หมดหรอกจ้ะแม่ ปากหนูเล็ก” ลูกสาวคนเล็กส่งเสียงฉอเลาะ จนพี่สาวหมั่นไส้เอ่ยออกมาว่า

“ก็ใครใช้ให้ตัวปั้นวัวปั้นควายล่ะยะ แม่บอกให้ปั้นบัวลอยไม่ใช่ควายลอยสักกะหน่อย”

“มันน่าเบื่อนี่ ปั้นแต่เม็ดกลมๆ ไม่สนุก ใช่ไหมจ๊ะแม่จ๋า”

เด็กหญิงคนน้องอดจะออดอ้อนไม่ได้ ผู้เป็นแม่ไม่สนใจเดินนำลูกๆ เข้าครัวราวกับงูกินหาง

ในครัวมีเตาถ่านแบบสองหัวมีลักษณะคล้ายเคาน์เตอร์หันชนผนังครัวที่ตั้งไว้ตรงหน้าต่างบานกระทุ้งเพื่อระบายอากาศตอนทำกับข้าว ใต้เตาจะมีช่องสำหรับเก็บถ่าน ปากคีบ ถังใส่ขี้เถ้า และกระบวยตักขี้เถ้า

บนเตาด้านหนึ่งมีกระทะทองเหลืองต้มน้ำเดือดพล่านมีใบเตยมัดไว้เป็นกระจุกลอยอยู่ในน้ำ อีกเตาหนึ่งกำลังเคี่ยวเนื้อกับหางกะทิเพื่อจะทำแกงเผ็ดมื้อเย็น

แม่พิกุลนำบัวลอยของลูกสาวคนโตลงไปต้มในกระทะทองเหลือง แป้งสีสวยปั้นเม็ดกำลังพองาม เมื่อเริ่มสุกก็ลอยตัวขึ้นมา รักสมุกนำทัพพีมีรูมาช้อนเม็ดบัวลอยที่สุกแล้วใส่ในอ่างน้ำเย็น

ต่อมาเป็นของลูกชายตัวแสบ บัวลอยขนาดเท่าลูกชิ้น 5 เม็ด และวัว ควายหน้ายู่ที่เจ้าตัวไปเอาของน้องมาเล่น การต้มจึงต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะลอยขึ้นมาให้ตักได้ และสุดท้ายก็คือวัวลอยควายลอยของสาวน้อยบรรจงวาดนั่นเอง ภาพวัวควายลอยอยู่ในกระทะทองเหลืองทำเอาแม่พิกุลแอบเบือนหน้าไปยิ้มคนเดียว แต่ไม่พ้นสายตาของลูกสาวคนเล็ก

“แม่ชอบควายลอยของวาดใช่ไหมจ๊ะ หนูรู้แม่ยิ้มให้ควายด้วย”

แม่พิกุลตีหน้าปั้นยากทั้งขำทั้งฉิวลูกสาวคนเล็ก แต่ก่อนที่จะตอบอะไรเสียงตะโกนไล่หมาโหวกเหวกของครูทศก็ดังขึ้นมาจากท่าน้ำหน้าบ้าน ท่ามกลางเสียงเห่าขรมของสมาชิกสี่ขา

“ไอ้ด่าง ไอ้แดง ถอยไป”

“พ่อมาแล้ว” บรรจงวาดตะโกนเสียงดังลั่น วิ่งออกจากครัวลงบันไดไปรับหน้าบิดาทันที

ครูทศเข้าบ้านมาพร้อม ครูโสภณ และ แม่สาลี ซึ่งเป็นเพื่อนรักแขกประจำบ้านที่จะมากันแทบทุกเย็น ครูโสภณเป็นครูช่างลงรักปิดทองทำงานอยู่ที่เดียวกับเจ้าของบ้าน

แม่สาลีนั้นเป็นช่างเสริมสวยมีร้านอยู่ตรงตลาดปากทางเข้าสวน ด้วยความเป็นหญิงสาวที่มีเครื่องหน้าสวยงามมาก สมัยครูทศยังโสดเคยขอให้มาเป็นแบบวาดหน้าหุ่นกระบอกตัวนาง ใกล้ชิดกันจนฝ่ายหญิงเข้าใจผิดคิดว่าจะได้เลื่อนสถานะเป็นคู่รัก แต่แล้ววันหนึ่งครูทศก็พาแม่พิกุลมาเป็นศรีเรือน แม่สาลีตกใจมากถึงกับต้องมาดูหน้าหญิงสาวผู้มาเป็นภรรยาของคนที่เธอรักถึงบ้าน ตั้งใจจะมาเปิดศึกชิงรักหักสวาท แต่ด้วยความเป็นคนจิตใจดีของแม่พิกุลทำให้คนทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนรักกันในที่สุด

ครูโสภณเองยังโสดจึงพยายามสานสัมพันธ์กับแม่สาลี แต่พยายามมาจนครูทศมีลูกสามแล้วก็ยังไม่คืบหน้าไปกว่าความเป็นสหายร่วมวงสุรา ว่ากันว่าแม่สาลีมีความมั่นคงในรักต่อครูทศจนไม่อาจมีใจให้ใครได้อีก

“พ่อจ๋า…วันนี้วาดปั้นบัวลอย ปั้นวัว ปั้นควายด้วยจ้ะ พี่รักปั้นบัวลอยเม็ด พี่เอกปั้นขี้มือจ้ะ”

เด็กหญิงวิ่งมาถึงตัวบิดา กอดแขนไว้แล้วรายงานยาวเหยียด บิดารั้งตัวลูกสาวคนโปรดขึ้นมาอุ้มแล้วบอกให้ทำความเคารพสหายสนิททั้งสอง

“วาด สวัสดีลุงโสภณกับน้าสาลีหรือยังลูก”

“สวัสดีค่ะลุงโสภณ สวัสดีค่ะน้าสาลี” เด็กหญิงค้อมตัวไหว้สวยงาม

“สวัสดีจ้ะหนูวาด วันนี้แม่เค้าแกงอะไรล่ะลูก” แม่สาลีถามเด็กหญิง

“แม่แกงเนื้อพริกขี้หนู แล้วก็ทอดปลาทูขยำข้าวให้วาดค่ะ”

“วันนี้ลุงมีเป็ดย่างมาฝากด้วยนะ” ครูโสภณพูดกับเด็กหญิงอย่างใจดี

สิ้นเสียงคำว่า “เป็ดย่าง” เด็กชายเอกรงค์ก็โผล่เข้ามาสวัสดีแขกของพ่ออย่างรวดเร็ว ครูโสภณรู้ใจส่งถุงให้ลูกชายของเพื่อนรัก เป็ดย่างเป็นของโปรดของเด็กชายถือเป็นอาหารพิเศษที่ไม่ได้กินบ่อยนัก เขาชอบหนังกรอบและเนื้อนุ่มๆ ของมัน

“สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับลุงโสภณ สวัสดีครับน้าสาลี แฮ่…มีเป็ดย่างด้วย”

ทั้งหมดเดินขึ้นมาบนนอกชานซึ่งเปรียบเสมือนลานอเนกประสงค์ของบ้าน แม่พิกุลและลูกสาวคนโตปูเสื่อจันทบูรลงบนพื้นกระดานแล้วปูทับด้วยผ้าขาว จัดสำรับไว้ให้สามีและเพื่อนๆ ได้ตั้งวงสังสรรค์กัน เด็กๆ นั่งล้อมวงกินข้าวอยู่ไม่ห่าง ครูโสภณและแม่สาลีเอ่ยชมแกงเนื้อของแม่พิกุลไม่ขาดปากว่าแกงได้ถึงเครื่องสุดๆ ครูทศยิ้มด้วยความปลื้มใจ

รักสมุกนั้นเป็นเด็กที่ชอบกินอาหารรสจัด เด็กหญิงตักแกงเผ็ดคลุกข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อย เอกรงค์เคี้ยวเป็ดชิ้นโตเต็มคำปากมันแผล็บหน้าตาเคลิบเคลิ้มมีความสุขแบบที่สมัยนี้เรียกกันว่า ‘ฟินสุดๆ’ แต่สำหรับบรรจงวาดแล้วอะไรจะอร่อยเท่าข้าวคลุกปลาทูโรยน้ำปลาบีบมะนาวฝีมือแม่เป็นไม่มี

เด็กๆ กินข้าวเสร็จแม่พิกุลก็แจกบัวลอยให้คนละถ้วย รักสมุกนั่งกินบัวลอยของตัวเองอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนเอกรงค์นั้นถือถ้วยบัวลอยขี้มือเม็ดใหญ่กับวัวลอยควายลอยหน้ายู่เดินเลี่ยงลงไปชวน      ไอ้ด่าง ไอ้แดงกินอยู่ใต้ถุนบ้าน ลูกสาวคนเล็กค่อยๆ เขยิบไปนั่งกระแซะบิดาพร้อมถ้วยควายลอยในมือ

“พ่อจ๋า ชิมขนมหน่อยนะจ๊ะ”

“หือ ขนมอะไรลูก”

“ควายลอยจ้ะพ่อ วาดปั้นเองนะจ๊ะ”

ครูทศรับถ้วยขนมจากลูกสาวแล้วตักเจ้าควายลอยขึ้นมาดู แม่สาลีถึงกับหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล

“ลูกสาวเพื่อนทศคนนี้สำคัญ ดูปั้นวัวปั้นควายได้สวยสมส่วนจริงๆ” ครูโสภณกล่าวชม

“ฉันก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละนะแม่พิกุล วัวลอย ควายลอย กินอย่างละตัวก็คงอิ่มแล้วมั้ง โอยขำ” แม่สาลีพูดไปหัวเราะไป

“ดูเอาเถอะแม่สาลี เหลือทนจริงๆ ละลูกคนนี้” แม่พิกุลกล่าวยิ้มๆ

เด็กหญิงพยายามคะยั้นคะยอให้พ่อและเพื่อนของพ่อชิมควายลอยของเธอ แม่พิกุลเอ็ดลูกสาวให้รับผิดชอบผลงานของตัวเอง แต่ครูทศและเพื่อนๆ บอกว่าจะช่วยกินเอง วงสุราวันนั้นนอกจากจะมีแกงเนื้อ และเป็ดย่างเป็นกับแกล้มแล้ว ยังมีวัวลอยควายลอยเป็นกับแกล้มที่ทุกคนต้องรีบกำจัดให้หมดอีกอย่างหนึ่งด้วย

เด็กๆ อิ่มข้าวแล้วก็ชักแถวพากันไปอาบน้ำที่ท่าน้ำหน้าบ้าน ในเวลานั้นน้ำในคลองบางหลวงยังสะอาดสามารถอาบน้ำซักผ้าได้อย่างสบาย ลูกๆ ของครูทศว่ายน้ำเป็นกันตั้งแต่รู้ความ เอกรงค์นั้นว่ายน้ำเก่งราวกับปลา บางวันเขายังงมกุ้งแม่น้ำตัวโตตรงใต้บันไดท่าน้ำมาให้แม่ทำกับข้าวได้คราวละหลายตัวทีเดียว

ในเวลากลางวันที่บันไดตีนท่านี่เป็นที่สังสรรค์ของเหล่าแม่บ้าน เวลาออกมานั่งซักผ้าที่ท่าน้ำบ้านใครบ้านมัน ได้ชะโงกหน้าคุยกันหรือตะโกนข้ามคลองคุยกันบ้าง ถ้าหิวหรือคอแห้งก็จะมีเรือกาแฟของตาปู๊ด มาให้เรียกซื้อดื่มแก้คอแห้งกัน มีพวงถุงขนมต่างๆ เช่น ขนมปังไส้สังขยาสีส้มแปร๊ด ถั่วตัด ขนมหูช้างที่มีลักษณะคล้ายข้าวเกรียบแผ่นใหญ่หนาคล้ายหูช้างจริงๆ วันหยุดพ่อชอบใช้ให้ลูกๆ ซื้อโอเลี้ยงใส่กระติกลายสกอตใบกลมใหญ่ เด็กๆ ก็จะถือโอกาสใช้เงินทอนที่เหลือซื้อขนมตาปู๊ดมากินกัน

นอกจากเรือกาแฟตาปู๊ดแล้ว ยังมีก๋วยเตี๋ยวเรือเจ๊กเส็ง ที่อร่อยนักหนา เป็นก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำใส่กุ้งแห้ง มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับก๋วยเตี๋ยวเจ้านี้ว่า เจ๊กเส็งนั้นเวลาลวกก๋วยเตี๋ยวเสร็จพอจะออกเรือก็ชอบเอาตะกร้อลวกเส้นราน้ำในคลองเพื่อล้างตะกร้อขณะออกเรือ มีลุงคนหนึ่งติดใจก๋วยเตี๋ยวเจ๊กเส็งมาก ถึงกับไปร่ำลือว่าก๋วยเตี๋ยวเจ๊กเส็งอร่อยใส่มันปูด้วย แล้วไปชวนเพื่อนมากินก๋วยเตี๋ยวมันปู เมื่อสั่งเจ๊กเส็งว่าเส้นเล็กต้มยำใส่มันปูเยอะๆ ทุกคนก็พากันสั่งตาม เจ๊กเส็งก็บอกว่าไม่เคยใส่มันปู ลุงนั่นก็เถียงว่าเพิ่งกินไปเองที่เหลืองๆ อยู่บนก๋วยเตี๋ยวเมื่อวันก่อนไง แล้วทุกคนก็เห็นเจ๊กเส็งเอาตะกร้อลวกเส้นราน้ำในคลองที่มีเศษขยะและสิ่งปฏิกูลลอยมา ก่อนที่จะหยิบเส้นมาใส่ตะกร้อ ชาวคณะก๋วยเตี๋ยวมันปูถึงกับแยกย้ายกันทันที เรื่องเล่านี้จริงหรือเท็จไม่รู้แต่ที่แน่ๆ แม่พิกุลไม่เคยอุดหนุนก๋วยเตี๋ยวเจ๊กเส็งเลย

แม่พิกุลเย็บผ้าซิ่นใส่หูรูดมีผ้าเย็บเป็นไส้ไก่สอดร้อยรูดมาผูกตรงกลางเพื่อกระชับผ้าซิ่นให้แน่นแนบอก สำหรับลูกสาวทั้งสองคนใส่อาบน้ำจะได้ไม่หลุด ส่วนเอกรงค์นั้นนุ่งกางเกงบอลตัวเดียวก็กระโจนลงไปดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน น้ำในคลองบางหลวงดำสนิทในยามวิกาล เด็กๆ ชาวบ้านริมคลองออกมาอาบน้ำที่ท่ากันแทบทุกบ้าน ชาวบ้านริมคลองจะทำห้องส้วมไว้ใต้ถุนบ้าน เวลาอาบน้ำก็จะลงคลองกันเป็นส่วนใหญ่

รักสมุกนั่งลงที่บันไดท่าน้ำค่อยๆ ใช้ขันตักน้ำราดตัว ล้างหน้าถูสบู่นกแก้วจนฟองเต็มหน้าไปหมด แล้วล้างเอาสบู่ออก ถูสบู่แขนขา เจ้าหล่อนค่อยๆ หย่อนตัวลงไปในน้ำเพื่อชำระร่างกาย บรรจงวาดพยายามหลับตาฟอกสบู่ฟองเยอะๆ จนเต็มหน้าแบบพี่สาวบ้าง แต่ก็เผลอลืมตาตอนจะตักน้ำล้างหน้าสบู่เข้าตาร้องลั่นทุกทีไป

หลังอาบน้ำเสร็จเด็กๆ ก็ประแป้งเม็ดหน้าลายเป็นแมวคราวมานั่งเล่นที่นอกชาน ครูทศลุกไปหยิบไวโอลินมาขยับลองเสียง ไม่นานนักเสียงเพลงไทยเดิมก็ดังกังวานขึ้นในคืนที่ดาวเต็มฟ้า ด้วยเพลงราตรีประดับดาว เพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 7 ครูโสภณกระแอมแล้วเอื้อนออกมาอย่างเสนาะ โดยแกล้งแปลงเนื้อเกี้ยวแม่สาลีพอครึ้มใจ

“วันนี้แสนสุดยินดี พระจันทร์วันเพ็ญ ขอเชิญสายใจเจ้า ไปเที่ยวเล่น ลมพัดเย็นเย็น หอมกลิ่นสาลี หอมดอกราตรี แม้ไม่สดสีแต่หอมดีน่าดม” แม่สาลีชายตาค้อนอย่างมีจริต เรียกเสียงหัวเราะจากพวกผู้ใหญ่

“พ่อจ๋า วาดอยากฟังเพลงดาวเอ๋ยดาว” วาดส่งเสียงฉอเลาะพ่อ

ครูทศขึ้นเพลงใหม่แล้วส่งสายตาไปยังภรรยาที่นั่งพับเพียบใช้แส้โหม่งจากโบกปัดยุงให้ลูกๆ       แม่พิกุลเอื้อนเสียงร้องออกมาอย่างไพเราะ เนื้อเพลงที่กล่าวถึงดวงดาวที่พราวระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า บรรจงวาดค่อยๆ เคลื่อนตัวไปนอนหนุนตักแม่คนละข้างกับเอกรงค์ ส่วนรักสมุกนั้นรับแส้ปัดยุงมาโบกไล่ยุงให้แม่และน้องๆ ครูโสภณหันไปพยักพเยิดกับแม่สาลีแล้วพูดว่า

“ลูกสาวคนโตของครูทศคนนี้เค้าได้แม่นะ ดูเป็นแม่บ้านแม่เรือน”

“ถอดแบบแม่พิกุลมาเลยละ เรียบร้อยไม่ค่อยพูด” แม่สาลีตอบครูโสภณ

แขกทั้งคู่ลากลับไปแล้ว เด็กๆ เคลิ้มจะหลับ แม่พิกุลร้องเพลงขวัญเอย ขวัญแม่ หรือที่มีชื่อว่าเพลงกล่อมดรุณ เพลงโปรดของรักสมุก เด็กหญิงร้องคลอไปกับมารดาเบาๆ บรรจงวาดได้ยินเพลงนี้ทีไรอยากกอดแม่แน่นๆ ทุกที ส่วนเอกรงค์นั้นเบะปากร้องไห้สะอึกสะอื้นทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้มาตั้งแต่เด็ก พอมีคนถามเด็กชายก็ตอบว่าฟังแล้วมันซึ้ง มันคิดถึงแม่

เสียงไวโอลินของพ่อหวานอ้อยส้อยท่ามกลางดวงดาวเต็มฟ้า คลอไปกับเสียงเพลงของแม่ คือความทรงจำในคืนวันอันแสนงดงามของบรรจงวาดตลอดมา…



Don`t copy text!