ลายรักบนพักตรา บทที่ 2 : พ่อนี้มีเพียงวิชาจะให้เจ้า
โดย : จรัสพร
ลายรักบนพักตรา โดย จรัสพร เรื่องราวของสามพี่น้องผู้ถือกำเนิดมาในครอบครัวศิลปินทำหัวโขนที่แม้ลวดลายบนหัวโขนจะแสนงดงาม หากชีวิตของสามพี่น้องกลับไม่สวยงามอย่างโขนบนเวที คลื่นลมที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า จะหล่อหลอมให้พวกเขาเป็นไม้แกร่งหรือพังทลาย อ่านออนไลน์กันได้ในอ่านเอา เว็บไซต์ที่มีนิยายสนุกๆ มากมาย
**************************
“พ่อไม่มีมรดกอะไรที่เป็นทรัพย์สินเงินทองจะให้ไว้กับลูก มีแต่วิชาความรู้ที่ให้ไว้เป็นมรดก ใครสามารถทำต่อได้ก็ทำกันไป” นี่คือคำพูดของพ่อที่บรรจงวาดจดจำไว้ด้วยหัวใจ
ครูทศมีความตั้งใจที่จะถ่ายทอดวิชาการทำหัวโขนให้กับลูกๆ ทั้งสามเพื่อให้เป็นความรู้ติดตัว และจะได้สืบทอดมรดกงานหัตถศิลป์ประจำตระกูลให้คงอยู่ตลอดไป เนื่องจากตัวเขานั้นเป็นลูกกำพร้าพ่อแม่แยกทางกัน แม่ตายตั้งแต่วันแรกที่เขาลืมตามาดูโลก
เขาจึงโตมาในอ้อมอกตากับยายที่ทำหัวโขนเป็นอาชีพ เรียกว่าเป็นเด็กที่เกิดมาในบ้านช่างทำหัวโขน นับตั้งแต่รุ่นทวดซึ่งมีบรรดาศักดิ์คุณพระเป็นช่างทำหัวโขนในวังเสด็จพระองค์เจ้าท่านหนึ่ง ตากับยายจึงสืบทอดการทำหัวโขนเป็นอาชีพ โดยมีตาเล็กน้องชายของตาเป็นผู้ช่วย
ครูทศเห็นการทำหัวโขนมาแต่อ้อนแต่ออก เคยช่วยตายายทำงานเล็กๆ น้อยๆ เช่น การประดับเพชรตามลวดลายหัวโขน การสลักหนัง การตีกระจังหัวโขน การช่วยงานหัวโขนของเขานั้นเป็นการช่วยแบบหยิบๆ จับๆ ไม่ได้จริงจังแต่อย่างใด ด้วยความเป็นคนเรียนเก่งจึงอยากเรียนสูงๆ เพื่อจะได้หาเงินมาเลี้ยงดูตา ยาย และตาเล็กซึ่งอายุมากขึ้นทุกวัน
น่าแปลกที่เขาไม่คิดจะทำหัวโขนเป็นอาชีพเหมือนบรรพบุรุษ ครูทศเรียนจนจบระดับอนุปริญญา ในสาขาวิจิตรศิลป์ จากวิทยาลัยเพาะช่าง หลังจากเขาเรียนจบตากับยายก็พร้อมใจกันนอนหลับไปแบบไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย ไม่นานนักตาเล็กก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะตายตามไปอีกคน ทิ้งเขาให้อยู่คนเดียวในบ้านที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์และหัวโขน
ครูทศได้งานที่กระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าแผนกพัสดุ เพื่อนสนิทของตาเล็กเป็นคนฝากให้ แม้จะไม่ตรงกับสาขาวิชาที่เรียนมาแต่ก็สามารถทำงานได้อย่างดี หลังจากทำงานไม่นานนักก็เริ่มไปติดพัน หญิงสาว บังอร เป็นสาวสวยเซ็กซี่ หากจะเปรียบกับคนงามยุคนั้นก็คงจะเทียบได้กับปรียา รุ่งเรือง สาวสวยผู้นี้เป็นเสมียนมีหน้าที่บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับพัสดุต่างๆ ของแผนก
ความเป็นหนุ่มหล่อของครูทศทำให้บังอรหวั่นไหว ยอมรับนัดไปกินข้าวดูหนังกันเป็นประจำ จนกระทั่งความรักสุกงอมจนเกิดความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เขาจึงเริ่มเก็บเงินแต่งงาน ด้วยความไว้ใจเงินเก็บทั้งหมดจึงฝากเอาไว้ที่คนรัก ต้นรักของครูทศและสาวสวยดูแล้วน่าจะงอกงามเบ่งบานไปตามครรลองจนกระทั่งจำนวนเงินเก็บนั้นเพิ่มพูนเพียงพอที่จะจัดงานมงคล
จู่ๆ บังอรก็ลางานไปเป็นสัปดาห์โดยไม่บอกกล่าว เมื่อกลับมาก็หลบหน้าหลบตาไม่ยอมมาพบเจอกันอีก ครูทศจึงหาโอกาสดักเจอคนรักจนได้หลังเลิกงานวันหนึ่ง
‘บังอร เป็นอะไรไปทำไมถึงหลบหน้าพี่’
‘พี่ทศ บังอรขอโทษ’
หญิงสาวกล่าวคำขอโทษพร้อมร่ำไห้บอกคนรักว่า เธอถูกเรียกตัวกลับไปแต่งงานกับคู่หมายที่พ่อแม่หาเอาไว้ให้ที่บ้านเกิด และสามีของเธอก็ตามมาอยู่กรุงเทพฯ ด้วย
บังอรนำซองเงินเก็บส่งคืนให้อดีตคนรัก สามีของเธอมาพบเข้าจึงมีการต่อว่าต่อขานกันเกิดขึ้นและพาภรรยาของเขาเดินจากไป ทิ้งให้ผู้พ่ายแพ้ในเกมรักถือซองเงินยืนซึมอยู่ตรงนั้น
วันรุ่งขึ้นสามีของบังอรมาร้องเรียนผู้บังคับบัญชาที่กระทรวงว่าครูทศไปยุ่งกับเมียเขา และมาขอเงินบังอรใช้ ชายหนุ่มผู้พ่ายในเกมรักทนอายไม่ไหวจึงลาออกจากงานทั้งที่เจ้านายและเพื่อนร่วมงานต่างรู้ดีว่าเรื่องไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เพราะสูญเสียทั้งความรักและตกงาน ทำให้ครูทศฝังตัวเงียบอยู่คนเดียวในบ้าน เริ่มทำความสะอาดบ้านและรื้ออุปกรณ์ทำหัวโขนมาปัดฝุ่น เก็บกวาดจัดระเบียบให้เรียบร้อย คงจะเป็นเพราะความผิดหวังและความโดดเดี่ยวทำให้เขาโหยหาบรรยากาศในตอนเด็กสมัยที่ตา ยายและตาเล็กยังทำหัวโขนกันอยู่
ครูทศพบว่ามีหัวโขนที่ตาทำค้างไว้ก่อนจากไปจึงนำมาทำต่อ แต่ติดปัญหาเรื่องสัดส่วนของใบหน้าโขน ซึ่งไม่สามารถที่จะพอกหุ่นออกมาให้พอดีได้ แก้อยู่หลายรอบจนท้อใจ และนึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่เคยสนใจจะเรียนรู้วิชาในขณะที่ตา ยายและตาเล็กยังอยู่ จึงคิดจะวางมือจากหัวโขน
คืนนั้นคุณตาทวดมาเข้าฝันสอนวิธีการกำหนดสัดส่วนปั้นหน้าโขน ครูทศฝันต่อเนื่องอยู่ 3 วัน จนทำหัวโขนออกมาได้สำเร็จสวยงาม เขามักนำเรื่องนี้มาเล่าให้ลูกๆ ฟัง
‘พ่อไม่รู้ว่าถ้าตายไปแล้วจะสามารถมาเข้าฝันสอนพวกลูกได้เหมือนคุณตาทวดหรือเปล่า เพราะฉะนั้นลูกๆ ทุกคนจงรีบกอบโกยความรู้จากพ่อในตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่’
เรื่องคุณตาทวดเข้าฝันสอนทำหัวโขนนี้เป็นเรื่องที่บรรจงวาดและพี่ๆ ฟังแค่พอผ่านหู เพราะเด็กๆ ต้องมานั่งติดเพชรติดพลอยประดับหัวโขน ในขณะที่เด็กลูกบ้านอื่นออกมาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน
การช่วยงานพ่อนั้นมีแรงจูงใจเป็นรายได้พิเศษที่จะได้ตามความขยันและตั้งใจทำงาน บรรจงวาดและพี่ๆ มีความฝันในใจอยากจะใช้เงินรายได้พิเศษเอาไปซื้อของที่ตัวเองชอบ การประดับเพชรตามลวดลายบนหัวโขนนั้นถ้าทำงานเสร็จเรียบร้อยจะได้ค่าจ้างหัวละ 1 บาท ซึ่งในยุคนั้นสามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวได้หนึ่งชามเลยทีเดียว รายได้ดีอย่างนี้ทำให้พอจะลืมเรื่องเล่นซนไปได้บ้าง
จุดมุ่งหมายของสามพี่น้องคือเก็บเงินรอให้ถึงวันเด็ก พ่อกับแม่จะพาไปเที่ยวเขาดิน รักสมุกและบรรจงวาด จะซื้อหมวกกระดาษสีประดับดอกไม้สวยงามมาสวมคนละใบ ในมือจะมีตุ๊กตาแหม่มนุ่งกระโปรงสีสดเป็นชั้นๆ โรยกากเพชรระยิบระยับ ห้อยเชือกผูกปลายไม้ถือเดินกรีดกราย ส่วนเอกรงค์นั้นจะซื้อหมวกคาวบอยและปืนยาวที่มีกระสุนเป็นจุกก๊อกติดสายห้อยสะพายเดินไปทั่ว พอเดินไปถึงกรงเสือ กรงสิงโต ก็หยิบขึ้นมาเล็งทำท่ายิงอย่างสนุกสนาน เที่ยววันเด็กเสร็จครูทศจะพาครอบครัวไปกินไก่ย่างแถวสนามมวยราชดำเนินเป็นประจำ
เมื่อรักสมุกอายุครบ 13 ปี เอกรงค์อายุ 11 ขวบ และบรรจงวาดเองอายุ 9 ขวบ แม่พิกุลได้พาลูกๆ ไปตัดใบตองเก็บดอกไม้มาทำพานขัน 5 เพื่อกราบขอฝากตัวเป็นศิษย์เศียรครู อันได้แก่ พระพิฆเนศวร พระวิษณุกรรม พ่อแก่พระฤๅษีนารอด พระพิราพ
พ่อแก่พระฤๅษีนารอดนี้ครูทศเล่าให้ลูกๆ ฟังว่า คุณทวดผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นคุณพระนั้นใช้ใบหน้าของท่านพิมพ์ต้นแบบ เป็นพ่อปู่ฤๅษีแห่งวงการศิลปะการแสดงที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม เป็นที่เคารพนับถือของศิลปินทั่วไป
รักสมุก เอกรงค์ และบรรจงวาด ถือพานขัน 5 ของตัวเอง ที่แม่พิกุลบรรจงทำอย่างประณีตสวยงาม เดินเรียงแถวกันเข้าไปในห้องพระ บนโต๊ะหมู่บูชาที่เต็มไปด้วยพานผลไม้ พานขนมหวานเครื่องทอง น้ำร้อน น้ำชา แม่พิกุลเตรียมชุดขาวสำหรับทุกคนเพื่อพิธีสำคัญนี้
ครูทศสวมเสื้อขาวกางเกงขาวมีผ้าพาดบ่านั่งผึ่งผายรออยู่ บรรจงวาดมองพ่อตาโต วันนี้พ่อดูแปลกไปไม่เหมือนพ่อที่เคยรู้จัก ปากของพ่อแดงด้วยน้ำหมาก ซึ่งตั้งแต่จำความได้เด็กหญิงไม่เคยเห็นพ่อเคี้ยวหมากมาก่อน
ครูทศจุดธูป จุดเทียน นำลูกทั้งสามสวดคาถาบูชาครู บรรจงวาดจำบรรยากาศพิธีอันศักดิ์สิทธิ์วันนั้นได้เป็นอย่างดี แม้อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ห้องพระที่เคยปิดหน้าต่างทึบทึม วันนี้หน้าต่างเปิดออกแสงจากภายนอกส่องเข้ามาดูสว่างไสว ลมพัดโชยมาจากคลองบางหลวง ม่านหน้าต่างสีขาวฉลุลายนกเกาะกิ่งไม้พลิ้วไหวตามสายลม กลิ่นดอกชมนาดที่แม่นำมาแต่งพานขัน 5 หอมอวลไปกับกลิ่นธูปที่พ่อจุดสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้อง
เมื่อถวายขัน 5 และสวดบูชาครูเรียบร้อยแล้ว ครูทศเขยิบขึ้นไปนั่งบนยกพื้นหน้าโต๊ะหมู่บูชา อัญเชิญเศียรพ่อแก่ฤๅษีนารอดมาวางไว้ข้างๆ แล้วจึงพยักหน้าเรียกลูกให้เข้ามาทำพิธีครอบครูทีละคน บรรจงวาดเฝ้ามองพิธีกรรมอย่างสนใจ และใคร่รู้ว่าเมื่อเศียรพ่อแก่ครอบหัวแล้วจะรู้สึกอย่างไร
อาการขนลุกตั้งแต่ท้ายทอยเย็นวาบไปถึงสันหลังเกิดขึ้นในทันที เมื่อพ่อครอบเศียรพ่อแก่ลงมาบนหัว แม้จะอยู่ในท่านั่งพนมมือและหลับตา หากแต่บรรจงวาดกลับมองเห็นหน้าพ่อแก่ฤๅษีนารอดได้อย่างชัดเจน สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นคุ้มครอง รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ราวกับว่านับแต่นี้ไปพ่อแก่จะเป็นครูและผู้นำทางบนเส้นทางการทำงานหัตถศิลป์ให้กับเธอตลอดไป
เวลาไม่ถึงนาทีที่พ่อครอบเศียรครูลงบนหัวนั้นดูช่างยาวนานนัก และเมื่อพ่อยกเศียรครูขึ้นมา บรรจงวาดรู้สึกเหมือนกับเป็นอีกคนหนึ่งที่มีเป้าหมายของชีวิตแน่วแน่ในการสืบสานงานหัวโขน แม้ขณะนั้นจะมีอายุเพียง 9 ขวบ
ครูทศส่งหีบไม้แกะสลักลายเครือเถาละเอียดงดงามให้ลูกทั้งสามคนละใบ ภายในหีบมีช่องชั้นสำหรับบรรจุเครื่องมือช่างทำหัวโขนครบครัน
“เป็นช่างก็ต้องมีเครื่องมือทำมาหากินประจำกายนะลูก ทำงานเสร็จแล้วก็ต้องทำความสะอาดเครื่องมือด้วย ทุกอย่างเป็นครูเราหมด อย่าข้าม อย่าเหยียบเครื่องมือ จะไม่เจริญ” ครูทศบอกกับลูกทุกคน หีบเครื่องมือนี้ให้เก็บไว้ในห้องพระ เมื่อจะใช้งานค่อยมาหยิบเอาไป
คืนนั้นก่อนนอน บรรจงวาดถามพี่สาวที่นอนด้วยกันว่า รู้สึกยังไงตอนพ่อเอาเศียรพ่อแก่ครอบหัวก็ได้รับคำตอบว่า
“รู้สึกกลัวสิ วาดจำไม่ได้เหรอที่พี่เคยไปแอบหยิบทองหยิบ ทองหยอดที่พ่อเอาไปบูชาเศียรครูกินน่ะ พี่เห็นกับตาเลยนะทั้งสี่เศียรหมุนเองได้หันหน้าเข้าฝาห้องกันหมดเลย ยิ่งพ่อแก่นี่พี่ยิ่งกลัวจะแย่”
“ตอนพ่อครอบพี่ลืมตาหรือหลับตาล่ะ แล้วเห็นพ่อแก่มายิ้มให้ไหม”
บรรจงวาดซักพี่สาวด้วยความอยากรู้ว่าพี่จะมีความรู้สึกเหมือนกันหรือไม่ หากแต่อีกฝ่ายกลับหันหลังให้แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมโปงเพื่อยุติการสนทนาเสียอย่างนั้น
‘ไม่เป็นไรเดี๋ยวพรุ่งนี้ลองถามพี่เอกดูก็ได้’ เด็กหญิงคิดในใจแล้วก็หลับไปในที่สุด
“เซียมซีเสี่ยงรัก ทักทำนายว่า…ใบที่เก้านั้นหนาชีวิตเกิดมาเหมือนฟ้ามืดมน”
เสียงเพลงจากวิทยุธานินทร์ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งอยู่บนโต๊ะมุมเสา ดังกังวานไปทั่วบริเวณชั้นล่าง ขณะที่สมาชิกในบ้านทุกคนกำลังทำงานของตัวเอง
เมื่อเพลงดังขึ้นครูทศก็จะร้องคลอตามไป มือก็ขยำขี้เลื่อยป่นที่นวดกับแป้งสุกมาปั้นหน้าหุ่นอย่างเพลิดเพลิน แต่ที่บรรจงวาดคิดว่าไม่น่าจะมีใครทำได้เหมือนคือพ่อสามารถร้องเพลงได้เพราะมากทั้งๆ ที่คาบบุหรี่ไว้ โดยบุหรี่ไม่ร่วงจากปาก
ส่วนแม่พิกุลของบรรจงวาดก็จะนั่งปิดหุ่นอยู่ใกล้ๆ การปิดหุ่นนั้นคล้ายการทำเปเปอร์มาเช่ แม่จะนำกระดาษข่อยมาฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ ทาแป้งเปียกสูตรพิเศษแปะไปบนหุ่นหัวโขนที่ทาดินสอพองเอาไว้กันแป้งติด แล้วจึงใช้ไม้กวดหุ่นรีดจนเรียบเป็นเนื้อเดียวกัน พ่อชมเสมอว่าฝีมือปิดหุ่นของแม่นั้นเนี้ยบมาก แม้แต่พ่อที่เป็นคนสอนแม่เองยังสู้ไม่ได้เลย
รักสมุกและบรรจงวาดนั่งติดเพชรกระจังหน้าหัวโขน โดยใช้ไม้คล้ายไม้เสียบลูกชิ้นจิ้มกาวแล้วไปแตะเพชรขึ้นมาประดับกระจังหน้า ซึ่งดูจะเป็นงานที่ถูกใจรักสมุก เจ้าหล่อนนั่งทำไปฮัมเพลงไปอย่างเพลิดเพลิน
ส่วนเอกรงค์นั้นทำงานสลักหนังเป็นลายจอนหูและกะบังหน้า โดยใช้ค้อนตอกสิ่วลงบนกระดาษลอกลายที่วางอยู่บนหนังวัว พอพ่อลุกไปเข้าห้องน้ำพี่ชายตัวแสบก็จะวางงานในมือของตัวเอง แล้ววิ่งไปหมุนคลื่นวิทยุฟังเพลงลูกทุ่งยอดฮิตอย่างเพลงสิบหมื่น แล้วมานั่งยักเอวยักไหล่ตามจังหวะเพลงไปทำงานไป เมื่อพ่อออกจากห้องน้ำก็มาหมุนคลื่นกลับเป็นเพลงลูกกรุงอีก
ในสายตาของบรรจงวาด งานของพี่ชายดูน่าสนุกกว่างานประดับเพชรที่ทำอยู่ ยิ่งมองก็ยิ่งอยากลองทำดูบ้างจึงหันไปอ้อนพ่อ
“พ่อจ๋า…วาดอยากสลักหนัง”
พ่อวางมือจากงานที่กำลังทำอยู่หันมามองหน้าลูกสาวคนเล็ก
“เอาอย่างนั้นเลยเหรอลูก มันหนักอยู่นะ”
“นะจ๊ะพ่อ พี่เอกทำได้ลูกก็ทำได้ ไม่หนักหรอกจ้ะ”
แล้วบรรจงวาดก็ได้ทำงานสลักหนังสมใจ พ่อหยิบแผ่นหนังมาทาบกระดาษลอกลาย แล้วสอนวิธีจับสิ่วตอกไล่ไปตามลายฉลุ แผ่นหนังวัวมีความเหนียวต้องใช้แรงตอกจึงจะขาดทะลุเป็นลาย เรี่ยวแรงของเด็กหญิงอายุไม่เต็มสิบตอนนั้นมีเท่าไรก็ตอกลงไปอย่างเต็มที่ แผ่นหนังขาดบ้างไม่ขาดบ้าง โย้ไปเย้มาเมื่อเอามาอวดพ่อก็ได้รับคำชมว่า
“ลูกพ่อตอกหนังเหมือนหมาฟัด”
“เหมือนหมาฟัด เหมือนหมาฟัด ชะเอิงเอย”
พี่ชายล้อเลียนอย่างสนุกสนาน พี่สาวก็พลอยหัวเราะขำไปด้วย ทำให้บรรจงวาดฮึดสู้ไปเอาแผ่นหนังมาตอกใหม่อีกหลายแผ่นจนแม่ดุเอาว่าจะเสียของ
“ไม่เป็นไรหรอกแม่ พ่ออยากดูเหมือนกันว่าลูกจะทำได้แค่ไหน”
แล้วคืนนั้นครูทศกับแม่พิกุลต้องตื่นขึ้นมากลางดึก เมื่อรักสมุกมาเรียกให้ไปดูน้องสาวที่ปวดแขนจนไข้ขึ้น แม่พิกุลตัดใบพลับพลึงมาผิงไฟแล้วนำมาพันรอบแขนข้างที่ปวด ครูทศนั่งลูบหัวลูกสาวที่จับไข้ไม่ได้สติ
ในระหว่างที่พิษไข้เล่นงานนั้น บรรจงวาดพบตัวเองอยู่ในห้องพระที่มีเพียงพ่อแก่ฤๅษีนารอดนั่งอยู่บนยกพื้นตรงที่พ่อเคยนั่งครอบเศียรครูให้ พ่อแก่กลายเป็นคนจริงๆ หน้าท่านไม่ใช่หน้าทองอย่างที่เคยเห็น บนศีรษะก็ไม่ได้พันด้วยหนังเสือมีเส้นผมสีเงินเต็มไปหมด พ่อแก่ฟันหลอเหมือนกับเศียรครู สวมเสื้อผ้าป่านสีขาว กางเกงสีขาว พาดผ้าขาวม้าไว้บนบ่าข้างหนึ่ง กลิ่นดอกชมนาดหอมอวลระคนกลิ่นธูป คล้ายวันที่พ่อทำพิธีครอบครูให้
“มาหาทวดสิลูก”
เสียงเรียกอย่างปรานีของท่านทำให้เด็กหญิงคลานเข้าไปหาโดยปราศจากความหวาดกลัว ข้างกายท่านมีอุปกรณ์ตอกหนังแบบเดียวกับที่ใช้เมื่อกลางวัน ในความฝันพ่อแก่ได้จับมือสอนการใช้สิ่วตอกลงไปบนแผ่นหนัง ไม่ต้องออกแรงมากนักหนังโดนคมสิ่วตอกออกมาเป็นลวดลายงดงาม ไม่รุ่ยเป็นหมาฟัดอย่างที่พ่อล้อ เด็กหญิงจับสิ่วมาลองตอกเองแล้วมองผลงานอย่างตื่นเต้น
“สวยจังค่ะคุณทวด ไม่เป็นหมาฟัดแล้ว”
“ใช่ลูก ไม่เหมือนหมาฟัดแล้ว จำไว้นะลูกทำงานศิลปะต้องมีสมาธิ ต้องทำด้วยใจ”
บรรจงวาดเป็นไข้นอนซมอยู่ 2 วัน เมื่อหายเป็นปกติแล้วก็ไปหยิบหนังมาตอกอีก น่าแปลกที่เด็กหญิงสามารถตอกหนังได้เรียบกริบราวกับช่างผู้ชำนาญ ความฝันในวันที่จับไข้นั้นบรรจงวาดเองก็ไม่เคยคิดจะบอกใครเพราะไม่รู้ว่าจะมีใครเชื่อหรือเปล่า ครูทศดูงานของลูกสาวคนเล็กแล้วพูดกับแม่พิกุลว่า
“นี่แหละผู้สืบทอดของเรา”