ลายรักบนพักตรา บทที่ 4 : สุดแต่ใจจะไขว่คว้า

ลายรักบนพักตรา บทที่ 4 : สุดแต่ใจจะไขว่คว้า

โดย : จรัสพร

ลายรักบนพักตรา โดย จรัสพร เรื่องราวของสามพี่น้องผู้ถือกำเนิดมาในครอบครัวศิลปินทำหัวโขนที่แม้ลวดลายบนหัวโขนจะแสนงดงาม หากชีวิตของสามพี่น้องกลับไม่สวยงามอย่างโขนบนเวที คลื่นลมที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า จะหล่อหลอมให้พวกเขาเป็นไม้แกร่งหรือพังทลาย อ่านออนไลน์กันได้ในอ่านเอา เว็บไซต์ที่มีนิยายสนุกๆ มากมาย

**************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

บรรจงวาดรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในบ้าน ตั้งแต่มีพี่ไม้เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัว พ่อให้ช่างมาทำห้องน้ำตรงนอกชานมุมที่ติดกับตัวบ้านใหญ่ ห้ามไม่ให้ลูกสาวทั้งสองคนลงไปอาบน้ำที่ท่าน้ำตอนกลางคืนอีก

ซึ่งสองพี่น้องดีใจมากเวลาปวดท้องตอนกลางคืนก็ไม่ต้องเดินลงไปข้างล่าง ในห้องน้ำกว้างพอประมาณนอกจากจะมีโอ่งมังกรสำหรับตักอาบแล้ว พ่อยังติดฝักบัวไว้ให้ด้วยเหมือนที่เห็นในโทรทัศน์ เวลาอาบน้ำเปิดฝักบัวแรงๆ รดตัวสดชื่น ที่สำคัญคือถูเนื้อถูตัวขัดขี้ไคลได้อย่างสบายไม่ต้องกลัวผ้าหลุด

ตอนนั้นบรรจงวาดไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร แต่เพิ่งมาเดาออกตอนหลังนี้เองว่าพ่อพยายามปกป้องลูกสาว ไม่เปิดโอกาสให้มีเรื่องไม่งามเกิดขึ้นในบ้าน

แม่พิกุลให้ลูกสาวคนโตขึ้นมาเรียนงานหัวโขนกับพ่อไม่ต้องลงไปช่วยงานข้างล่างอีก ส่วนเอกรงค์นั้นสมัครใจเป็นสาวกพี่ชายคนใหม่หอบหมอน หอบผ้าห่มลงไปนอนด้วยกันเรียบร้อยแล้ว

ไม้เอกสอบเข้าเรียนวิทยาลัยสารพัดช่างได้สมใจ แม่พิกุลเอ็นดูหลานชายมาก ด้วยความเป็นคนหัวไว เรียนรู้ได้เร็วและขยัน จึงช่วยแบ่งเบาได้มากกว่าตอนที่รักสมุกช่วยงานเสียอีก

ไม้เอกได้ค่าจ้างเป็นเงินเดือนมากพอที่จะไม่ต้องใช้เงินจากทางบ้าน ด้วยความเป็นหนุ่มเจ้าสำอางเมื่อมีรายได้ก็ซื้อเสื้อผ้าดีๆ มาใส่ แต่งตัวหล่อ ผมใส่น้ำมันตันโจติ๊ก แม่ค้าสาวๆ ในตลาดรู้จักเขากันทั้งนั้น คนที่หลงเสน่ห์พี่ไม้นั้นไม่ได้มีแต่เพียงแม่ค้าเท่านั้น หากแต่ยังมีสาวอื่นอีกมากทั้งเพื่อนที่เรียนด้วยกันและสาวแถวบ้าน

เด็กหนุ่มมักจะหายไปในยามค่ำ และกลับมาในยามรุ่งสางทิ้งเอกรงค์ให้นอนอยู่คนเดียว เมื่อกลับมาก็จะมีหมูปิ้งมาฝากไอ้ด่าง ไอ้แดง ไม่ให้มันเห่าให้ผู้ใหญ่ในบ้านตื่นขึ้นมา วีรกรรมความเจ้าชู้ของไม้เอกนั้น เขานำมาเล่าให้เอกรงค์น้องรักฟังอย่างสนุกปาก อีกฝ่ายก็เห็นพี่ชายเป็นฮีโร่ไปด้วย แม้ว่าจะเป็นหนุ่มเนื้อหอมเจ้าชู้ระดับเซียน แต่สิ่งที่เขาไม่ทิ้งคือการเรียน ผลการเรียนของเขานั้นเป็นที่ชื่นชมของน้าพิกุล

ตอนเย็นก่อนกินข้าวเด็กๆ จะมานั่งทำการบ้านกันตรงนอกชาน ด้วยความที่ผลการเรียนของไม้เอกดีมาก แม่พิกุลจึงมอบหมายให้พี่ไม้ขึ้นมาสอนการบ้านน้องๆ และทำการบ้านของตัวเองไปด้วยทำให้เด็กๆ สนิทสนมกันมากขึ้น ไม่นับเอกรงค์ที่สนิทกันมากอยู่แล้ว รักสมุกคนไม่ค่อยพูดก็ดูจะคุยเก่งขึ้นโดยเฉพาะกับพี่ชายคนใหม่ ยิ่งนานวันเข้ายิ่งสนิทสนมลึกซึ้ง ไม่มีใครรู้เลยว่าต้นรักต้นน้อยกำลังเจริญงอกงามอยู่ตรงนอกชานนั้นเอง

ผลจากการมีติวเตอร์ไม้มาสอนการบ้าน ทำให้ลูกๆ ของครูทศเรียนดีขึ้นถึงกับสอบได้เลขตัวเดียวกันทุกคน เด็กๆ ดีใจมากเอาสมุดพกมาอวดพ่อในวงสังสรรค์ต่อหน้าลุงโสภณและน้าสาลี

“พ่อครับดูอะไรนี่ เอกสอบได้เลขตัวเดียวได้ที่ 7 นะพ่อ” เอกรงค์เอาสมุดพกมาอวดพ่ออย่างภาคภูมิใจ

“วาดก็ด้วยจ้ะพ่อจ๋า จากที่ 10 มาเป็นที่ 5 เลยนะจ๊ะ”

“เก่งมากลูก แล้วรักล่ะลูกสอบได้ที่เท่าไรเทอมนี้” ครูทศยิ้มแย้มอารมณ์ดี

“รักสอบได้ที่ 1 จ้ะพ่อ”

รักสมุกค่อยๆ คลานเอาสมุดพกมาให้พ่อดู สีหน้าพ่อปลาบปลื้มและมีความสุขมากๆ ลุงโสภณและน้าสาลีร่วมดีใจกับหลานๆ ด้วย ไม้เอกนั่งยิ้มอยู่มุมหนึ่ง แม่พิกุลเหลือบไปเห็นพอดีจึงพูดขึ้นมาว่า

“ไม้มันขยันนะพี่ ฉันเบาแรงไปเยอะเลย แล้วยังช่วยสอนการบ้านลูกๆ อีก เทอมนี้สอบได้เลขตัวเดียวกันทุกคนเลย ฉันละเอ็นดูมันจริงๆ”

เมื่อแม่พิกุลพูดจบสีหน้าของครูทศกลับเรียบเฉย หันไปขอบใจพี่ไม้แล้วบอกให้พวกเด็กๆ ทุกคนไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน

เมื่อพี่ไม้ พี่เอก พี่รัก ออกไปหมดแล้ว ขณะที่บรรจงวาดค่อยๆ คลานตามออกไปก็ได้ยินเสียงผู้ใหญ่คุยกัน

“นี่แม่พิกุลให้เจ้าไม้มันขึ้นมาสอนการบ้านเด็กๆ เหรอ มันทำดีฉันก็ว่าดีหรอกนะ แต่แม่พิกุลระวังเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน ลูกเราก็เป็นสาว”

พ่อเตือนแม่ เป็นครั้งแรกที่พ่อพูดสิ่งที่คิดออกมา เรื่องพี่ไม้ขึ้นมาสอนการบ้านพ่อก็เพิ่งรู้จากปากแม่ เพราะกว่าพ่อจะกลับมาจากที่ทำงานพวกเราก็ทำการบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“พี่น่ะคิดมาก มันก็พี่น้องกันทั้งนั้น เวลาทำการบ้านก็ทำกันอยู่ตรงนอกชานออกโล่งโจ้ง อยู่กันตั้งหลายคนจะมีอะไรได้” แม่ค้าน ลุงโสภณกับน้าสาลีมองหน้ากันแล้วน้าสาลีก็เป็นคนพูดขึ้นมา

“แม่พิกุล เรื่องรักเรื่องใคร่ถ้ามันจะเกิดมันไม่เลือกเวลาสถานที่หรอกนะ เขาไม่ได้แสดงให้เห็นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้คิดอะไร เรื่องนี้ฉันบอกตามตรงฉันเห็นด้วยกับครูทศนะ” น้าสาลีพูดจบแม่ก็เงียบไป บรรจงวาดเชื่อว่าแม่คงเก็บเอาเรื่องนี้ไปคิดเหมือนกัน

วันรุ่งขึ้นแม่เรียกพี่รักหายเข้าไปคุยกันในห้องสองต่อสอง ไม่มีใครรู้ว่าแม่คุยอะไร พี่รักเดินตาแดงๆ ออกมาแล้วเลี่ยงเข้าครัวไป ตั้งแต่นั้นมาพี่รักไม่ออกมาทำการบ้านกับพวกเราอีก ทุกอย่างดูเป็นปกติ ทั้งๆ ที่มันอาจจะมีอะไรไม่ปกติซ่อนอยู่ก็ได้

“พ่อจ๋า วาดจะไปสอบนาฏศิลป์ พ่อแวะซื้อใบสมัครให้ด้วยนะจ๊ะ” บรรจงวาดบอกพ่อในเช้าวันหนึ่งขณะที่พ่อกำลังจะออกไปทำงาน พ่อพยักหน้าแล้วเดินออกไป

ปีนี้บรรจงวาดเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตั้งใจจะสอบเข้าเรียนที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ เย็นวันนั้นครูทศกลับบ้านมาพร้อมใบสมัครสอบแล้วเรียกลูกสาวไปคุย แม่พิกุลนั่งทำงานอยู่ไม่ไกลนัก

“วาดอยากเรียนพ่อก็ซื้อใบสมัครให้แล้ว ตั้งใจสอบให้ได้นะลูก” พ่อส่งใบสมัครให้แล้วพูดแค่นั้น แต่แม่อดไม่ได้จึงถามออกมา

“แล้วจะไปเรียนรำละครหรือไง”

“หนูอยากเรียนบัลเลต์จ้ะแม่”

“หึ หึ…” คำตอบของบรรจงวาดทำให้พ่อหันมาหัวเราะ

“อะไรนะจะเรียนบัลเลต์ วาดนี่พิลึก จะไปกระโดดฉีกแข้งฉีกขา แม่นึกว่าจะเรียนรำละคร คิดได้ยังไงลูก”

“หนูชอบบัลเลต์ คนเต้นสวยชุดก็สวยเหมือนตุ๊กตาแหม่มเขาดิน หนูจะตั้งใจเรียนมาเต้นให้พ่อแม่ดูนะจ๊ะ” บรรจงวาดตอบแม่ตามความคิดของเด็กหญิงในขณะนั้น

แม่ฉวยพัดมาโบกไล่ความร้อน ดูท่าทางจะร้อนใจมากกว่าร้อนกาย เมื่อพ่อเห็นแม่เป็นอย่างนั้นก็พูดกับแม่ว่า

“ให้ลูกได้ทำในสิ่งที่อยากทำเถอะแม่พิกุล เดี๋ยวพอถึงเวลาลูกก็จะทำสิ่งที่ต้องทำเองนั่นแหละ”

นี่แหละพ่อที่แสนจะน่ารัก เข้าใจลูกที่สุด เมื่อพ่อสรุปอย่างนี้แล้วแม่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะเชื่อว่าสามีรู้จักนิสัยของลูกสาวคนเล็กดี และบรรจงวาดก็สามารถสอบเข้าไปเรียนชั้นประถมปีที่ 5 ที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ ได้ในที่สุด

เปิดเทอมใหม่บรรจงวาดไปโรงเรียนพร้อมพ่อตอนเช้า และกลับพร้อมพ่อตอนเย็นไม่ได้ไปกลับพร้อมพี่ๆ อีกต่อไป เรื่องราวของพี่รักกับพี่ไม้ก็ดูจะเงียบไปไม่มีใครพูดถึงอีก

เมื่อเอกรงค์ย้ายตัวเองลงมานอนกับไม้เอกที่ห้องข้างล่าง รักสมุกจึงยึดห้องของน้องชายเป็นห้องส่วนตัว ปกติสองพี่น้องก็ไม่ค่อยคุยกันมากมายอยู่แล้ว พอแยกห้องนอนก็เลยเหมือนกับต่างคนต่างอยู่

รักสมุกนั้นมุ่งมั่นจะเป็นครูจึงคร่ำเคร่งดูหนังสืออย่างหนักเพื่อที่จะสอบเข้าเรียนที่วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยาให้ได้ แล้วก็สอบได้สมใจท่ามกลางความยินดีของพ่อแม่ รักสมุกยิ่งโตเป็นสาวก็ยิ่งสวย จนผู้เป็นบิดาให้มาเป็นแบบวาดหน้าหุ่นกระบอกตัวนาง ด้วยความเป็นคนค่อนข้างไว้ตัวของลูกสาวทำให้พ่อและแม่ไว้ใจและไม่คิดว่าจะมีความสัมพันธ์ใดๆ กับไม้เอกอีก

เด็กหนุ่มเองก็มีหญิงสาวมาหาที่บ้านไม่ซ้ำหน้ากัน ไม่มีอะไรที่จะทำให้คิดไปถึงความสัมพันธ์ของไม้เอกกับรักสมุกเลย

แม้จะไม่ได้นอนห้องเดียวกันแต่รักสมุกก็ยังเป็นที่ปรึกษาที่ดีของน้องสาวเสมอ เมื่อต้องแสดงบัลเลต์ออกงาน เจ้าหล่อนก็มีหน้าที่ไปเป็นเพื่อนและแต่งหน้าให้น้องสาวคนเล็ก

แต่เมื่อต้องเรียนหนัก รักสมุกไม่มีเวลาจึงสอนให้น้องสาวแต่งหน้าเอง ที่ฝึกฝีมือแต่งหน้าของบรรจงวาดนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้ด่างกับไอ้แดงที่บ้านนั่นเอง

“ต๊ายย จะไปออกงานที่ไหนล่ะจ๊ะ คุณด่าง คุณแดง แต่งหน้าจัดเชียว”

น้าสาลีเปิดประตูบ้านมาเจอไอ้ด่าง ไอ้แดงจึงร้องทัก แล้วหัวเราะร่วนตามประสาคนอารมณ์ดี

“อะไรกันแม่สาลี เข้าบ้านมาก็หัวเราะลั่น” แม่ร้องถามมาจากในครัว

“แม่พิกุลมาดูทีเถอะ คุณด่าง คุณแดง เค้าไม่ธรรมดาหรอกนะ เขียนหน้าเขียนตาเสียเปิ๊ดสะก๊าดทีเดียว”

แม่พิกุลเดินออกมาตามเสียงเรียก เมื่อเห็นหน้าไอ้ด่าง ไอ้แดง ก็ส่ายหัวพลอยหัวเราะไปกับแม่สาลี ไอ้ด่าง ไอ้แดง ไม่รู้เรื่องก็เข้ามาเดินพันแข้งพันขาเพื่อขอของกินดูน่าขัน

“ฝีมือวาดแน่ๆ ลูกคนนี้นี่พิลึกจริงๆ เชียว”

ลูกครูทศทั้งสามคนจะอยู่กันพร้อมหน้าก็ตอนวันหยุดที่ต้องมาเรียนทำหัวโขนกับพ่อและช่วยพ่อทำงาน ตอนนี้ทุกคนสามารถปั้นหน้าหุ่นได้แล้ว เรียกว่าได้เรียนขั้นตอนที่ยากที่สุดของการทำหัวโขน

ไม้เอกมักจะมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ตรงที่ครูและลูกๆ ทำงานเสมอ เอกรงค์บอกพ่อว่าพี่ไม้อยากเรียนทำหัวโขน ซึ่งพ่อก็ไม่ได้สนใจในความอยากของพี่ไม้แต่ก็ไม่ได้ไล่เขาไปไหน เหมือนกับจะให้เรียนแบบครูพักลักจำเอานั่นเอง

ด้วยความมานะพยายาม ไม้เอกเก็บเอาเศษวัสดุทำหัวโขนที่ทิ้งๆ อยู่ข้างบ้าน มาค่อยๆ ทำหัวโขนอันเท่ากำปั้นขึ้นมาหลายแบบ พยายามทำออกมาตามแบบที่จำมาจากการไปนั่งดูครูทศสอนลูกๆ บรรจงวาดชอบดูหัวโขนอันเล็กของพี่ไม้ มันน่าเอ็นดูแต่ไม่มีชีวิตชีวา เมื่อพ่อเห็นงานของพี่ไม้ก็พูดกับแม่ว่า

“เจ้าไม้นี่เป็นเด็กใฝ่เรียนใฝ่รู้นะแม่พิกุล แต่ฝีมืออย่างมันนี่เอาดีได้แค่หัวโขนกำมะลอเท่านั้นแหละ”

เมื่อกิจการของแม่พิกุลขยายใหญ่โตขึ้น แม่จ้าง พี่สนิท กับ พี่สังวร สองผัวเมียที่มีอาชีพรับจ้างทั่วไปมาช่วยทำงานในวันธรรมดาตอนกลางวัน พอตกเย็นไม้เอกกลับมาจากเรียนหนังสือก็จะมาช่วยตรวจดูงานที่ลูกจ้างทำไว้ให้เรียบร้อย

“น้าพิกุลจ๊ะ ตอนนี้มีคนช่วยงานแล้ว ฉันอยากเรียนทำหัวโขนกับครูทศบ้างจ้ะ” พี่ไม้พูดกับแม่ในวันหนึ่ง

“อาชีพหัวโขนกำมะลอนี่รายได้ดีนะไม้ น้ายังว่าจะถ่ายทอดตรงนี้ให้ไม้หมดเลย เผื่อวันข้างหน้ากลับไปอยู่บ้านจะได้เอาเป็นอาชีพเลี้ยงตัว” ไม้เอกกราบขอบคุณน้าสาวของเขาอย่างซาบซึ้ง

แม่เป็นคนพูดจาประนีประนอมที่สุดเท่าที่บรรจงวาดเคยเห็นมา พี่ไม้แทบไม่รู้ตัวเลยว่าโดนปฏิเสธแถมยังรู้สึกว่าเป็นบุญคุณเสียอีกที่แม่จะมอบอาชีพทำหัวโขนกำมะลอให้ ทั้งที่จริงๆ แล้วแม่รู้ดีว่าพ่อไม่ชอบพี่ไม้และไม่คิดจะถ่ายทอดวิชาให้อย่างแน่นอน พี่ไม้จึงช่วยแม่ทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจมาถึง 5 ปี พี่ไม้เรียนจนจบ ปวส. ยังเป็นหนุ่มเนื้อหอมมีสาวๆ ติดกันตรึมเหมือนเดิม ไม่เคยมีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วหัวใจพี่ไม้นั้นฝากไว้ที่สาวคนไหน

“ข่าวดีจ้ะ พ่อจ๋า แม่จ๋า”

เสียงตะโกนลั่นตั้งแต่ท่าเรือมาแข่งกับเสียงเห่าของไอ้ด่าง ไอ้แดง เอกรงค์ไปฟังผลสอบเข้าโรงเรียนชุมพลทหารเรือกลับมาตอนเย็น ครูโสภณและแม่สาลีมาสังสรรค์กับครูทศตรงนอกชาน

แม่พิกุลอยู่ในครัวกับลูกสาวทั้งสอง แม่สาลีตามเข้ามาสมทบช่วยกันทำกับข้าว วันนี้ของหวานมีบัวลอย บรรจงวาดกับพี่สาวช่วยกันปั้นบัวลอยเม็ดเล็กๆ โดนเย้าว่าไม่ปั้นวัวลอยควายลอยแล้วหรือ เรียกเสียงหัวเราะออกมาลั่นครัว

“ข่าวดีอะไรล่ะพ่อเอก”

ครูโสภณถามเมื่อเห็นลูกชายเพื่อนรักที่โตเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาคมสันวิ่งขึ้นบันไดเรือนมา

“หนูสอบเข้าโรงเรียนชุมพลทหารเรือได้จ้ะลุง ดีใจไหมจ๊ะพ่อ” เอกรงค์เอาเอกสารให้พ่อดู

“เก่งจริงหลานชาย ดีแล้วนะเป็นทหารเรือเป็นลูกเสด็จเตี่ย*” ครูโสภณพูดอย่างยินดี

(*เสด็จเตี่ย – พลเรือเอกพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์)

“อยากเป็นทหารต้องเป็นทหารที่ดี ซื่อสัตย์ ขยัน อดทนนะลูก”

ครูทศพูดกับลูกชาย สายตามีแววปลื้มใจอย่างปิดไม่มิด แต่ครูทศก็คือพ่อที่จะไม่แสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้าเสมอ

แม่พิกุลและแม่สาลีช่วยกันยกกับแกล้มออกมาจากในครัว บรรจงวาดยกถาดแก้วน้ำจานช้อนส้อมตามออกมา รักสมุกยังทำบัวลอยอยู่ในครัว ไม่มีใครทันสังเกตว่าไม้เอกผลุบเข้าไปในครัวตอนไหน

“น้องรัก รับนี่ด้วยจ้ะ”

ในขณะที่ทุกคนตรงนอกชานกำลังปลื้มปริ่มกับข่าวดี เรื่องร้ายกำลังก่อตัวขึ้นในครัว บรรจงวาดเข้ามาหยิบถ้วยน้ำปลาพริกทันได้เห็นพี่ไม้ส่งอะไรบางอย่างให้พี่รัก เมื่อทั้งสองคนหันมาเห็นว่ามีคนเข้ามาในครัวก็ขยับออกห่างจากกัน พี่รักยัดของที่รับมาจากพี่ไม้ใส่ชายพกผ้าถุงไว้ ซึ่งบรรจงวาดเองก็ไม่ได้สนใจหยิบน้ำปลาพริกแล้วก็เดินออกจากครัวไป พี่ไม้นั้นค่อยๆ เลี่ยงออกมานั่งอยู่ข้างๆ พี่เอก

“พ่อเอกเก่งมากจ้ะ แหมฉันละปลื้มใจกับแม่พิกุลและครูทศจริงๆ” แม่สาลีลูบหน้าลูบหลังหลานชาย

“แม่ดีใจด้วยนะลูก เอกว่ายน้ำเก่งเหมือนปลาเป็นทหารเรือก็เหมาะดีแล้วลูก ฝึกหนักต้องอดทนนะลูกนะ” แม่พิกุลพูดกับลูกชายคนเดียวด้วยความปลื้มใจ

สามชีวิตเลือดเนื้อเชื้อไขของครูทศและแม่พิกุล เกิดและเติบโตใต้ชายคาเรือนไม้ชายน้ำแห่งนี้      ล้วนอยู่ในจุดเริ่มต้นของอนาคตอันงดงามเป็นความหวังของพ่อแม่ เหมือนนาวาลำน้อยสามลำที่จะล่องลอยไปตามเส้นทางของตัวเอง ไม่มีใครบอกได้ว่าลำไหนจะอับปาง ลำไหนจะเจอคลื่นลมโหมกระหน่ำ หรือลำไหนจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง ทุกชีวิตหลับใหลอย่างมีความสุขในวันนี้ หากแต่วันพรุ่งนี้ที่กำลังจะมาถึงนั้นจะมีอะไรรอคอยอยู่เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา

“วาดกระดาษอะไรหล่นอยู่ตรงนั้นน่ะ” เอกรงค์ชี้ให้น้องสาวดูกระดาษสีชมพูพับเป็นรูปสามเหลี่ยมที่ตกอยู่ตรงพื้นนอกชานขณะที่สองพี่น้องกำลังนั่งทำหัวโขนกันอยู่ พี่ชายลุกไปหยิบกระดาษปริศนานั้นมาคลี่ดูแล้วอ่านเสียงดัง

 

ที่รักของพี่

พี่คิดถึงรักมากมายรู้ไหม แม้ว่าเราจะอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่เหมือนเราอยู่ห่างกันคนละฟากฟ้า รักของพี่อยู่สูงเทียมจันทร์พี่ได้แต่ชะเง้อคอคอยมอง รักอยู่สูงสุดสอยสำหรับคนด้อยวาสนาอย่างพี่ ตั้งแต่ได้เห็นหน้ารักครั้งแรก รู้ไหมเสียงหัวใจพี่มันไม่ได้เต้นตึกตักเหมือนก่อน มันเต้นดังว่า รัก รัก รัก อยากจะเห็นหน้า อยากจะอยู่ใกล้รักสมุกคนนี้ตลอดไป พี่คงอัดอั้นตันใจถ้าไม่ได้เอาหัวใจใส่คำรักมาฝากน้อง

หวังว่ารักคงจะเห็นใจและรับฝากหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักของพี่ไว้นะจ๊ะ วันจันทร์พี่จะไปรับที่วิทยาลัย รอพี่นะจ๊ะ

รักที่สุด สุดที่รัก

ไม้เอก

 

“ไอ้เอก…แกเอาจดหมายชั้นคืนมาเดี๋ยวนี้นะ”

เสียงพี่สาวที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำตวาดดังลั่นด้วยความโกรธจัด ฉวยไม้กวดหุ่นฟาดไปที่กลางหลังของน้องชายอย่างแรงหลายครั้ง เอกรงค์สะดุ้งสุดตัวหันมามองอย่างคาดไม่ถึงว่าพี่สาวจะทำร้ายเขาได้ พี่รักคนเรียบร้อยใจดีวันนี้เปลี่ยนไปเป็นคนเจ้าโทโส ทีแรกเขากะจะล้อเล่นกับน้องสาวคนเล็กแล้วจะเอาจดหมายไปคืนพี่สาว แต่เมื่อทำร้ายกันได้ขนาดนี้เด็กหนุ่มก็เกิดอารมณ์โมโหขึ้นมาบ้างจึงหันไปตอบโต้พี่สาว

“พี่รักเป็นแฟนพี่ไม้ เค้าจะเอาจดหมายให้พ่อดู”

พูดจบก็วิ่งลงบันไดหนีพี่สาวที่กำลังวิ่งไล่ตามมา เอกรงค์วิ่งไปหันมองพี่สาวไปไม่ทันระวังจึงชนเสาใต้ถุนเรือน หัวไปโดนตะปูที่ตอกเอาไว้แขวนของ ทำให้หัวแตกเลือดไหลอาบ

รักสมุกวิ่งตามมาทันแย่งจดหมายจากมือน้องชาย เมื่อเงยหน้ามาเห็นน้องหัวแตกเลือดอาบก็ร้องกรี๊ดด้วยความตกใจจนจดหมายหล่นจากมือ ไม้เอกได้ยินเสียงกรี๊ดของคนรักก็เดินออกมาเห็นภาพตรงหน้าจึงรีบเข้าไปประคองเอกรงค์ให้นอนที่แคร่ไม้ไผ่ แล้ววิ่งไปหาสำลีกับยาล้างแผลมาจัดการห้ามเลือดแล้วทำแผล บรรจงวาดรีบเข้ามาเป็นลูกมือพี่ไม้อย่างแคล่วคล่อง

“ใครเป็นอะไรน่ะ”

แม่กลับจากตลาดมาเห็นลูกๆ กำลังชุลมุนกันอยู่ บรรจงวาดคนเก่งที่ช่วยทำแผลอยู่เมื่อครู่กลับร้องไห้โฮอย่างสุดกลั้นเมื่อเห็นหน้าแม่ ไม้เอกจึงหันมาตอบ

“เอกวิ่งชนเสาโดนตะปูเจาะหัวแตกครับน้าพิกุล”

“ไปทำอีท่าไหน ให้แม่ดูซิเป็นอะไรมากไหมลูก” แม่พิกุลนั่งลงดูแผลลูกชายคนเดียวอย่างเป็นห่วง รักสมุกนั้นไปยืนหลบอยู่หลังคนรักอย่างไม่รู้ตัว

“แม่จ๋า พี่รักตีหนู วิ่งไล่หนูหัวชนเสาเลย หนูจะฟ้องพ่อ พี่รักกับพี่ไม้เป็นแฟนกัน ไม่เชื่อถามวาดเลยหนูจับจดหมายได้” เอกรงค์รีบฟ้องแม่ด้วยความเจ็บใจ แม่พิกุลหันไปมองลูกสาวคนโตที่ตอนนี้ใช้หลังไม้เอกเป็นที่กำบังกาย

“จดหมายอะไรกัน”

“นี่จ้ะแม่”

บรรจงวาดหยิบจดหมายที่พี่สาวทำหล่นไว้ส่งให้แม่ ท่ามกลางสายตาพี่สาวที่มองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ จริงๆ แล้วการที่เอาจดหมายต้นเหตุให้แม่นั้น บรรจงวาดไม่ได้มีเจตนาจะฟ้องให้แม่ดุว่าพี่สาว แต่กลับรู้สึกว่าแม่จะเข้าใจและจัดการกับปัญหานี้ได้ดี โดยที่เรื่องนี้อาจจะไม่ถึงหูพ่อเลย

แม่พิกุลอ่านจดหมายจนจบแล้วเงยหน้าขึ้นมา มองหลานชายกับลูกสาวที่ตอนนี้ยืนหน้าซีดเหมือนนักโทษกำลังรอคำสั่งประหารจากผู้พิพากษา

“ไม้ น้าขอให้นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะทำอะไรอย่างนี้นะ น้องยังเด็กยังเรียนไม่จบ ไม้ไม่ควรมาคิดเรื่องรักใคร่อะไรกับน้อง” ไม้เอกยืนฟังคอตก แม่พิกุลเตือนไม้เอกแล้วหันมาเตือนลูกสาว

“แม่คิดว่าวันนั้นเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว รักรู้ไหมว่ารักสมุกนี่เป็นของมีค่า เป็นของสำคัญในการทำหัวโขนชั้นสูงนะ พ่อกับแม่เห็นลูกเป็นสิ่งมีค่าเสมอ ถ้ารักไม่ทำตัวให้มีคุณค่าก็จะไม่มีใครเห็นค่าของรักนะ แม่ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะพูดกันเรื่องนี้”

แม่พิกุลให้หลานชายช่วยประคองเอกรงค์ขึ้นไปนอนที่ห้องโถงชั้นบน ตอนกลางคืนเผื่อเป็นไข้จะได้มาดูแล รักสมุกร้องไห้ขอโทษแม่ แล้วหันมาหาน้องชายได้สบตาที่ว่างเปล่าจนน่าใจหาย

“ฉันจะฟ้องพ่อ…” เอกรงค์กลายเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อพาเอกรงค์ขึ้นมานอนชั้นบนเรียบร้อยแล้ว แม่พิกุลก็เปิดโทรทัศน์ให้ลูกชายคนโปรดดู แล้วเรียกลูกสาวคนเล็กเข้าไปช่วยทำกับข้าวในครัว รักสมุกยังคงเข้าหน้าแม่ไม่ติดเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันน่าตกใจ ทุกคนคงต้องการเวลาทำใจกันสักนิด

ฝนหลงฤดูตกกระหน่ำลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ราวกับจะหลั่งน้ำตาให้กับความเปลี่ยนแปลงของครอบครัวน้อยๆ อันแสนอบอุ่นนี้ ขณะที่กำลังช่วยแม่เด็ดใบกะเพราเตรียมทำต้มโคล้งอยู่นั้น บรรจงวาดและแม่ก็สะดุ้งสุดตัวด้วยเสียงตวาดดังลั่นของพ่อ ตามด้วยเสียงโครมครามที่ดังแข่งกับเสียงพายุที่กระหน่ำอยู่ด้านนอก

“เฮ้ย…!!!”

 



Don`t copy text!