ล่ารักสุดขอบฟ้า บทที่ 1 : นักโทษจากเมืองน้ำแข็ง
โดย : พิมพ์อักษรา
ล่ารักสุดขอบฟ้า นิยายออนไลน์ โดย พิมพ์อักษรา หญิงสาวชาวเชียงใหม่ผู้หลงใหลในความงามของอักษร แม้เธอจะเคยมีผลงานวนิยายมาแล้วหลายเรื่อง หาก ล่ารักสุดขอบฟ้า เป็นผลงานในแนวจินตนิยายที่ อ่านเอา ภาคภูมิใจนำเสนอ และเป็นหนึ่งในนิยายได้รับรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกรุ่นที่ ๑ ที่เราอยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์
——————————–
ภาคต้น : นาวาแห่งดินแดนอันเหน็บหนาว
– 1 –
แสงตะวันจัดจ้าต้องผืนน้ำทะเลเวิ้งว้างเกิดประกายระยิบระยับค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเป็นสีส้มอมแดงเมื่อล่วงเข้าสนธยากาล ลำแสงสุดท้ายแห่งวันทอดจับไปยังเรือขนส่งสินค้าลำใหญ่เกิดเป็นเงาทะมึนก่อนที่ความมืดมิดแห่งราตรีกาลจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง มีเพียงแสงซีดสลัวจากจันทร์เสี้ยวบางแลหมู่ดาราวิบวับประปรายทอแสงอ่อนจางเท่านั้น
บนเรือลำนั้นกลับมีแสงสว่างจากตะเกียงหลายสิบดวงในการกินเลี้ยงร่ำสุราอันเนื่องมาจากชายฉกรรจ์ชาวเรือหลายสิบชีวิตนึกเบื่อหน่ายกับการล่องเรือมายาวนาน อีกทั้งหน้าที่เฝ้าระวังสินค้าไม่ได้หนักหนานัก ออกจะน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ…จึงเริ่มการกินดื่มทุกราตรีแลมีสตรีเฝ้าปรนนิบัติเอาใจ
เรือสินค้าจากเมืองเอียโล… เมืองน้ำแข็งอันหนาวเย็นออกทะเลมาได้กว่าสิบราตรี จุดหมายปลายทางคือเมืองท่าบนคาบสมุทรการณะทางตะวันออกไกลอันเป็นชุมทางการค้าสำคัญ ภายในเรือมีสินค้าส่งออกหายากมากมายอย่างหนังหมี หนังปลา ผ้าทอจากใยพืชเมืองหนาวผสมหนังสัตว์ แลอาวุธจำพวกหอกหลาวที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งทนทาน
มีเพียงไม่กี่คนบนเรือเท่านั้นที่รู้ว่าใต้ท้องเรือที่ใช้เก็บพวกโซ่เหล็ก อุปกรณ์สำรองเรือได้แปรสภาพเป็นห้องขังนักโทษชั่วคราว… ผู้ต้องขังคือนักโทษหญิงที่รอดจากโทษประหารและถูกเนรเทศขับไล่ออกนอกเมืองเอียโลตามพระบัญชาแห่งราชินี
ปลายทางของนักโทษคือ ‘เกาะคนคุกเดนดาย’ เกาะห่างไกลที่มีแต่ผู้ร้ายชุกชุม
นักโทษหญิงที่ต้องโทษคิดสังหารราชินีถูกนำตัวฝากมากับเรือขนส่งสินค้าอย่างลับ ๆ มีเพียงชายฉกรรจ์ไม่กี่คนที่ได้รับมอบหมายพิเศษให้เฝ้าคุมอย่างแข็งขัน พระดำรัสสั่งเจาะลึกไปถึงขนาดว่าห้องขังต้องมืดสนิท อย่าให้มีแม้แต่ช่องแสง โดยนักโทษจะได้รับอาหารและน้ำวันละสองมื้อจนกว่าจะไปถึงเกาะคนคุกเดนตาย
ทว่า โปนิน หัวหน้าผู้คุมพิเศษคิดการณ์ใหญ่กว่านั้น นักโทษยังสาวและแข็งแรง หากถึงเมืองท่าสักเมืองแล้วนำนางไปขายเป็นทาส เขาจะได้กำไรงามโข อีกทั้งพอนางกลายเป็นทาส คนซื้ออาจจะพามันไปไกลสุดหล้า ไม่มีทางวนกลับมาถึงเมืองเอียโลให้ราชินีทรงจับได้เป็นแน่…
เสียแต่นางนักโทษเดนตายนี้ดันกลายเป็นโรคร้ายเข้าเสียก่อน ผื่นและตุ่มหนองขึ้นปุปะทั่วตัว อย่างนี้ใครที่ไหนจะอยากได้เล่า ดีไม่ดีอาจถูกกดราคาเสียด้วยซ้ำ
โปนินถอนหายใจเฮือก… ไม่อยากจะเฝ้าคุมมันเสียแล้ว กลัวว่าวันหนึ่งจะติดโรคร้ายนั้นเข้า พวกพ้องต่างก็เกี่ยงกันเอาน้ำเอาอาหารไปให้ เอาเถอะ… ถ้ายุ่งยากนักก็อาจโยนทิ้งทะเลไปเสียก็ได้ แล้วค่อยตัดมือเอามาถวายราชินี
นี่กำลังจะผ่านไปอีกราตรีแล้วสิหนอ… ซีมายน์รำพึง นางอยู่ในห้องมืดเหม็นอับใต้ท้องเรือมาสิบราตรี รู้วันคืนจากแสงที่ลอดผ่านรอยแตกไม้ที่ตอกปิดช่องแสงไว้ เมื่อไม่มีแสงลอดเข้าจึงรู้ได้ว่าราตรีกาลกำลังเยี่ยมเยือน
หญิงสาวเห็นหน้าตัวเองจากก้นชามที่ขัดจนขึ้นเงา และแม้จะเปื้อนสกปรกหากก็ยังพอให้มองเห็นได้บ้าง หน้าตานางซีดเซียว ริมฝีปากแตกแห้ง ผมสีน้ำตาลอ่อนที่เคยยาวสลวยบัดนี้ยุ่งเหยิงกระเซิง เสื้อผ้าเนื้อหยาบดุจผ้ากระสอบเก่าขาดดูซอมซ่อ ที่แย่ที่สุดคือเนื้อตัวปุปะอัปลักษณ์
นางคงจะหาช่องทางหนีได้หากสองมือไม่ถูกพันธนาการไว้ ไม่อย่างนั้นคงพอจะหาอะไรกะเทาะแผ่นเรือออกไปได้ ถึงต้องหนีตายกระโดดลงน้ำก็อาจจะดีกว่าอยู่รอความตายบนเกาะคนคุกที่อาจเลวร้ายยิ่งกว่า
“อาหารมาแล้ว รีบ ๆ มาเอาเสียสิ แล้วส่งชามเก่าคืนมา” เสียงเรียกห้วนห้าวดังมาจากช่องแคบที่ประตู ซีมายน์เดินไปอย่างเชื่องช้า ยื่นมือที่ถูกพันธนาการผ่านช่องน้อยส่งชามเก่าให้ นายผู้คุมรีบผลักชามอาหารและน้ำชุดใหม่ให้นาง และดึงชามเก่ากลับมาอย่างรีบร้อนปนรังเกียจ
“ไม่ต้องมาใกล้มาก เดี๋ยวเชื้อโรคเอ็งติดข้าเข้าจะทำอย่างไร” เขาเบ้ปากอย่างรังเกียจ “นี่เมียข้าต้องล้างจานเอ็งทุกวันมันก็กลัวจะแย่ ทั้งน่าเกลียดน่ากลัวปานนี้ ถ้าข้าเป็นเอ็งคงจะกินยาตายไปเสียนานแล้ว ไม่มาอยู่ให้โรคกินทั้งตัวดูทุเรศเช่นนี้หรอก” มันยังคงกล่าววาจาเชือดเฉือนนางต่อไปไม่หยุด
“ไม่รู้นายคิดอย่างไรหนอถึงจะเอาเอ็งไปขาย… ถ้าเป็นสาวสวยคงได้ราคา แต่นี่… น่าจะปล่อยให้ตายบนเกาะคนคุกตามแผนเดิมเสียยังจะดีกว่า”
พูดจบนายผู้คุมก็ผลุนผลันออกไปเมื่อเห็นนักโทษสาวเอื้อมมือมาหา นางก็แกล้งทำไปอย่างนั้นให้เขากลัวและรีบ ๆ ไปเสีย ไม่ได้โกรธขึ้งใด ๆ กับวาจาเหล่านั้น
ซีมายน์ลูบผิวปุปะของตัวเองอย่างใจเย็น ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ก็คงไม่สามารถรอดจากเงื้อมมือชายฉกรรจ์หลายสิบนายบนเรือนี้เป็นแน่ หากพวกมันเห็นผิวพรรณขาวผุดผ่องและเนื้อตัวแท้จริงอันแสนสมบูรณ์แห่งสตรี พวกมันคงไม่ปล่อยให้นางรอดไปโดยไม่ทำอะไร…
หญิงสาวใช้ยางไม้เคี่ยวกับสีแต่งแต้มเนื้อตัวตลอดเวลาที่ถูกคุมขังอยู่ในเอียโล จนเมื่อลงเรือไปนั้น พวกผู้คุมจึงได้เห็นว่านักโทษเป็นโรคร้าย…
หญิงสาวห่อตัวเมื่อนึกถึงโชคชะตาที่พลิกผันในชั่วข้ามคืน จากเจ้าหญิงซีมายน์ พระน้องนางในราชินีเนริซาแห่งเมืองน้ำแข็งเอียโล กลับกลายเป็นนักโทษที่มีความเป็นอยู่ยิ่งกว่ายาจกเข็ญใจ ถูกปฏิบัติเยี่ยงคนคุกน่ารังเกียจ ถูกมองไร้ค่าไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ
นางนึกเสียใจอยู่ตลอดว่าถ้าพระบิดาแลพระมารดาไม่ด่วนสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน พี่หญิงเนริซาคงไม่ต้องอภิเษกกับแม่ทัพอลัน แล้วสถาปนาเขาขึ้นเป็นพระราชาแห่งเอียโล… โชคร้ายที่พระบิดามีแต่พระธิดาหลายพระองค์ โอรสมีเพียงหนึ่งก็ประชวรกระเสาะกระแสะจนไม่สามารถขึ้นปกครองบ้านเมืองได้
ต้องมีใครสักคนคิดเกลียดชังอย่างร้ายกาจถึงขั้นใส่ร้ายว่านางวางยาพิษพระราชินี คนผู้นั้นคงวางแผนมาอย่างรอบคอบ ซีมายน์จึงถูกจับได้พร้อมหลักฐานมัดตัวต่อหน้าธารกำนัล ถูกถอดพระยศเป็นเพียงสามัญชนแล้วนำตัวไปคุมขังยังหอคอยน้ำแข็งรอวันประหารเมื่อพ้นวันออกศีล
พระราชินีเนริซาคงมีพระกรุณาช่วยนางได้มากที่สุดเท่านั้น… ช่วย… ด้วยการพาหนีจากที่คุมขังให้รอดจากโทษประหาร แล้วไปเอาตัวรอดต่อเอาเองบนเกาะคนคุกเดนตาย
‘เอาตัวรอดกลับมาให้ได้เถิดซีมายน์น้องรัก… ใช้มนตร์จันทร์เพ็ญของเจ้า’ พระราชินีเนริซาแอบกระซิบเมื่อเสด็จมาพบพระขนิษฐาเป็นครั้งสุดท้าย
มนตร์จันทร์เพ็ญ… มนตราที่นางจะใช้ได้ในคืนเดือนเต็มดวง แสงจันทร์สาดส่องนวลกระจ่าง แต่ช่างโชคร้ายนักที่ห้องคุมขังในท้องเรือนี้มืดทึบ ไม่มีช่องให้สัมผัสแสงจันทร์ มีเพียงรอยแตกเล็ก ๆ ให้ลำแสงจาง ๆ ยามรุ่งอรุณลอดเข้ามาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นึกแล้วก็ประหลาด… ราวกับมีคนรู้อย่างนั้นว่าการอาบแสงจันทร์วันเพ็ญจะทำให้นางมีอิทธิฤทธิ์ ช่องลมถูกปิดเกือบหมด หน้าต่างที่เป็นช่องแสงถูกตอกไม้ปิดทับอีกชั้นอย่างจงใจ…
ซีมายน์ไม่อยากสงสัยพระราชินีผู้เป็นพี่สาวที่รักยิ่ง… พี่หญิงเนริซาไม่มีเหตุผลจะทำเช่นนั้นในเมื่อทั้งคู่เป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกันอย่างยิ่ง อีกทั้งพระนางเองคงไม่ทรงเชื่อเป็นแน่ว่าพระขนิษฐาซีมายน์จะทำเรื่องเลวร้ายถึงขั้นคิดปลงพระชนม์พระภคินีได้
พี่หญิงอาจไม่เชื่อว่าขนิษฐาต่างพระมารดาคิดปองร้าย แต่เรื่องที่วางยากำหนัดหวังผูกมัดราชันแห่งเอียโลนั้นซีมายน์ไม่แน่ใจ พระราชินีเนริซาอาจคลางแคลงพระทัยข้อนี้อยู่บ้าง จึงไม่รู้จะมีพระดำรัสแก้ต่างให้อย่างไร ทำได้เพียงลอบส่งนางออกนอกเมืองเอียโล แทนที่จะรอรับความตายต่อไปในกาลข้างหน้า
หญิงสาวถอนใจยาว… นางจะมีชีวิตรอดได้ไปถึงวันไหนกันหนอ ต้องถูกพันธนาการอยู่ในห้องเหม็นอับ มืดน่ากลัวอย่างนี้ไปกี่ทิวาราตรี บางทีนางอาจจะหมดลมหายใจไปก่อนจะถึงเกาะเดนตายแห่งนั้น
พลันความคิดนางก็สะดุดลงเมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองผ่านช่องแคบตรงประตู สายตาคู่หนึ่งกำลังมองตรงมาที่นางอย่างสงสัยใคร่รู้ หญิงสาวเพ่งมองได้ดีในที่มืดหรือมีแสงน้อยนิดจนสามารถสังเกตได้ว่าเป็นดวงตาสีเขียวอมน้ำตาล มิใช่สีตาของพวกผู้คุมหรือจับกังคนอื่นในเรือสักคน… คนผู้นี้ไม่ใช่ชาวเอียโล
“ข้าขอเข้าไปหน่อยเถิด โปรดวางใจเถิดว่าข้าจะไม่ทำอันตรายใด ๆ ต่อท่าน”
ซีมายน์ฉงน เหตุใดชายผู้นี้ถึงขออนุญาตอย่างคนมีมารยาท
“หากท่านไม่กลัวติดโรคก็จงเข้ามาเถิด”
ผู้ที่ผลักประตูเข้ามาอย่างระมัดระวังเป็นชายหนุ่มร่างสูงล่ำสัน ผิวสีน้ำตาลอ่อนทำให้ดูห้าวหาญ เขาไม่ใช่คนเอียโล เพราะชาวเอียโลมีผิวขาวจัดอย่างคนเมืองหนาว
ซีมายน์หัวใจเต้นรัวเมื่อสบนัยน์ตาคมสีเขียวอมน้ำตาลบนดวงหน้ายาวที่มีคางเหลี่ยมน้อย ๆ คิ้วหนาสีน้ำตาลเข้มจัดจนเกือบดำเช่นเดียวกับสีผมดูคมสัน เสื้อคลุมฝ้ายดิบผ่าหน้าเผยให้เห็นเรือนร่างผึ่งผายชวนมอง
หญิงสาวใจเต้นระทึกเมื่อเห็นเขาปิดประตู สายตาคมกริบที่มองจ้องมาชวนให้นึกหวั่น เนื่องจากมันดูราวกับมองทะลุปรุโปร่งไปถึงเนื้อหนังมังสา… สายตานั้นราวกับจะดูออกว่าตุ่มไตหนองไหลปุปะตามเนื้อตัวนางเป็นของลวงตา
“เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ” ซีมายน์แข็งใจถามเมื่อพบว่าตัวเองมือไม้อ่อนกับสายตาเช่นนั้น
“ต้องการมาให้เห็นกับตา ต้องการจะพบท่าน” เขาเรียกขานนางอย่างให้เกียรติ นางจึงเรียกเขาแบบเดียวกัน
“พบข้าหรือ… ข้าไม่รู้จักท่าน ท่านเป็นใคร”
“ทาวีญ…”
เสียงลมพายุพัดกรรโชกส่งเสียงหวีดหวิว คลื่นลูกใหญ่ซัดเรือหลายระลอกจนโคลงเคลงกลบเสียงคำตอบของชายหนุ่มตรงหน้า
“พูดอีกทีเถิด ข้าไม่ได้ยิน”
นัยน์ตาสีเขียวอมน้ำตาลมีแววลังเลพาดผ่าน ก่อนจะตอบใหม่อีกครั้งด้วยเสียงเบากว่าเดิม
“โรอัน… เรียกข้าว่าโรอัน”