ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 17 : เมื่อไหร่จะพูดความจริง

ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 17 : เมื่อไหร่จะพูดความจริง

โดย : นวาภัส

Loading

ลูกไม้เกี่ยวรัก โดย นวาภัส นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ (เล็กๆ) เรื่องราวของหญิงสาวสุดแกร่งที่ชีวิตนี้ขอมีลูก โดยไม่ต้องมีสามี แล้วใครเล่าจะเข้าใจเธอ พบกับความอลหม่านของสองแม่ลูกคู่ป่วนใน “ลูกไม้เกี่ยวรัก” ได้ในเพจอ่านเอา และ เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

“ตี้ มานี่ก่อน” เสียงทรงพลังของตีรณหยุดตีรณาที่กำลังก้าวขาขึ้นบันได หญิงสาวแอบถอนหายใจเบื่อหน่าย เธอเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานจนอยากพักผ่อนใจจะขาด แต่ก็ต้องหมุนตัวกลับมานั่งข้างพ่อ รอว่าวันนี้จะถูกกดดันเรื่องอะไรอีก

“แกถอนหมั้นทำไม” ตีรณหน้าตาบูดบึ้ง

“เราไปด้วยกันไม่ได้ จะให้ตี้ดันทุรังคบกันไปทำไมล่ะคะ ยังไงก็ไม่ได้แต่งงานกันอยู่ดี” เธอตั้งใจหลบหน้าพ่อ เพราะรู้ว่าเขาจะไม่พอใจอย่างมากที่ทำให้แหล่งทุนสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าหลุดมือไป

“แกก็รู้ใช่มั้ยว่าฉันต้องการเงินทุนจากคุณอมร แล้วแกทำแบบนี้ก็เหมือนกับตัดแขนตัดขาฉันเลยนะ” ตีรณเสียงดังใส่ลูกสาว เขาหวังเอาไว้มากว่าจะได้เงินทุนจำนวนไม่น้อยจากพ่อของอคิราห์ และเอาไปคุยโอ่กับสมาชิกพรรคคนอื่นๆ ไว้แล้ว ถ้าทำไม่ได้ เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน คงอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี

“คุณพ่อมั่นใจได้ยังไงคะ ว่าคุณลุงจะให้เงินจริงๆ ตี้ยังไม่เคยเห็นคุณลุงรับปากว่าจะให้เลยสักครั้ง ตี้ว่าคุณพ่อลองหาจากเพื่อนๆ คนอื่นดีมั้ยคะ ที่รวยๆ ระดับพันล้านก็มีตั้งหลายคน อย่าเอาตี้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินทองของคุณพ่อเลยค่ะ” ตีรณารู้สึกเหมือนถูกจับเป็นตัวประกันเพื่อเรียกค่าไถ่โดยพ่อของตัวเอง เธอแค่อยากมีอิสระที่จะทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง ที่ผ่านมาต้องทำตามคำสั่งของพ่อจนแทบไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง

หญิงสาวลุกขึ้นเดินหนี โดยไม่ฟังเสียงตะโกนเรียกของคนเป็นพ่อ เธอเหนื่อยมากทั้งกายและใจ อยากจะหนีไปให้ไกลแล้วอยู่นิ่งๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องพบเจอผู้คนที่น่ารำคาญ

สาวสวยทิ้งตัวลงบนเตียงนอนราคาเฉียดแสน เฟอร์นิเจอร์ในห้องหรูหราทันสมัยที่สุดเท่าที่จะหามาได้ เธอมีชีวิตที่ใครๆ ต่างอิจฉา แต่ทำไมตีรณาถึงรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว จนน้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย

วันรุ่งขึ้น เธอแปลกใจเมื่อเห็นข้อความของอคิราห์ส่งมาแต่เช้าว่าต้องการพบเธอ ถึงจะแปลกใจแต่เธอก็รีบตอบตกลงในทันที หญิงสาวเลือกชุดที่คิดว่าสวยและดูดีที่สุด แต่งหน้าทำผมแบบเรียบง่ายแต่ดูเก๋มีสไตล์ เธออยากให้เขารู้สึกเสียดายที่ไม่เห็นคุณค่าของผู้หญิงที่เพียบพร้อม มองข้ามเธอไป แล้วมีใจให้กับแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างปัณฑารีย์ แถมตอนนี้ทุกอย่างยังกลับตาลปัตร ลูกของปัณฑารีย์กลายเป็นสายเลือดของน้องชายตัวเอง ทั้งน่าสงสารและน่าสมเพชที่สุด

อคิราห์วางแก้วกาแฟควันกรุ่นลง เมื่อเห็นอดีตคู่หมั้นเดินเข้ามา เธอยังคงสวยสง่า อาจจะมากกว่าทุกครั้งที่เขาเคยเห็น ดูเป็นความสวยที่ตั้งใจมากเป็นพิเศษ

“คาปูใช่มั้ย” ชายหนุ่มหันไปถามเธอ เมื่อบริกรมายืนรอรับออร์เดอร์

“ตี้ไม่เคยดื่มคาปูค่ะ” หญิงสาวยิ้มเศร้า อคิราห์ไม่เคยจำได้เลยว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไร “ขอลาเต้ค่ะ” เธอหันไปบอกบริกร

“ขอโทษนะที่ต้องรบกวน ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วย” เขาเริ่มเข้าเรื่องทันทีเพราะรู้สึกเกรงใจ

“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ

“ผมอยากให้คุณช่วยแก้ข่าวเรื่องที่เราเลิกกันเพราะ…คนอื่น” ชายหนุ่มไม่อยากพูดชื่อของปัณฑารีย์ เพราะเกรงว่าอาจจะไปกระตุ้นความไม่พอใจของอีกฝ่ายได้

“เรื่องนี้นี่เอง” สาวสวยยิ้มหยัน ในที่สุดเขาก็แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าปัณฑารีย์มีความสำคัญขนาดไหน

“ผมไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องของเรา”

“แล้วทำไมคุณถึงไม่ออกมาพูดเองล่ะคะ แบบนี้ไม่เป็นการโยนภาระให้ตี้เหรอ” เธอเบี่ยงตัวหลบบริกร ที่นำกาแฟมาเสิร์ฟ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของเธอดีขึ้นนิดนึง

“ถ้าผมพูด ทุกคนก็หาว่าแก้ตัว แต่ถ้าคุณพูด ทุกคนจะฟังและเชื่อ” อคิราห์รู้ดีว่าคำพูดของเขาจะยิ่งส่งผลเสียมากกว่าผลดีให้กับปัณฑารีย์ มีเพียงตีรณาเท่านั้นที่จะหยุดความเข้าใจผิดทั้งหมดนี้ได้

“แล้วถ้าตี้ไม่อยากทำล่ะคะ” เธอจิบกาแฟร้อนๆ อย่างใจเย็น

หนุ่มหล่ออึ้งไป ไม่คิดว่าจะเจอคำถามตอบกลับแบบนั้น

“จริงๆ ทำให้ก็ได้นะคะ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” เธอปรายตามองอดีตคู่หมั้น ทิ้งจังหวะไม่พูดต่อรอให้เขาถาม

“คุณต้องการอะไร” เขาอยากรู้ว่าเธอจะเล่นเกมอะไร

“ตี้แค่อยากไปเที่ยวกับคุณสักครั้ง เพราะตั้งแต่เป็นคู่หมั้นกันมา เราไม่เคยไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองเลย ตี้อยากรู้ว่าความรู้สึกมันจะเป็นยังไง ได้มั้ยคะ แล้วตี้จะช่วยแก้ข่าวให้”

ชายหนุ่มแปลกใจกับคำขอของเธอ จริงอยู่ที่เขาไม่เคยพาเธอไปเที่ยวเพียงลำพังเลยสักครั้ง แต่จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อเขาชอบความสงบเรียบง่าย แต่เธอชอบความหรูหราสะดวกสบาย หรือไม่ก็งานปาร์ตี้ของพวกไฮโซ ซึ่งไม่ใช่สไตล์ของเขา ดังนั้น ดีที่สุดก็คือไม่ต้องเที่ยวด้วยกัน ใครอยากไปไหนก็ไป ใช้ชีวิตที่ต้องการโดยไม่ต้องพาอีกฝ่ายไปอึดอัดด้วย แต่คราวนี้เขาจะยอมตามใจเธอสักครั้ง เพื่อจบความวุ่นวาย

“ก็ได้ ผมจะไปกับคุณ อยากไปไหนล่ะ”

ตีรณายิ้มขื่น นี่เป็นครั้งแรกที่อคิราห์ตามใจเธอโดยไม่อิดออดสักนิดเดียว เธอคงดีใจมากถ้าเขาทำเพราะใส่ใจความรู้สึกของเธอ แต่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าที่เขายอม เพราะต้องการปกป้องผู้หญิงอีกคน สาวสวยซ่อนหน้ากลืนน้ำตาแห่งความเจ็บช้ำที่กำลังเอ่อล้นออกมา

 

ปัณฑารีย์กับโอโซนกำลังช่วยกันพรวนดินปลูกต้นไม้อย่างสนุกสนาน ตอนที่อารีย์เดินผลักประตูรั้วเข้ามา โอโซนรีบทิ้งพลั่วอันจิ๋วแล้ววิ่งไปกอดคุณยาย อารีย์ดีใจทิ้งชะลอมใบใหญ่ใส่ผลไม้ลงกับพื้นแล้วอุ้มหลานชายมาหอมแก้มเสียหลายฟอดให้หายคิดถึง

“คิดถึงจังเลยโอโซน พ่ออากาศบริสุทธิ์ของยาย” เดี๋ยวนี้อารีย์มักมีคำเปรียบเปรยใหม่ๆ ที่ได้มาจากโซเชี่ยล บางทีก็ใช้ผิดที่ผิดทางผิดความหมายบ่อยๆ

“อ๊ะ มือเปื้อนดิน โอโซนไปล้างมือก่อนนะคับคุณยาย” โอโซนนึกขึ้นได้ รีบวิ่งไปเปิดก๊อกน้ำล้างมือทันที อารีย์มองอย่างเอ็นดู

“หลานฉันนี่มันฉลาด สะอาด น่ารัก” คนเห่อหลานยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มองหลานชายอย่างปลาบปลื้ม

“จะมาก็ไม่โทรมาบอกล่ะแม่ จะได้ไปรับ” ปัณฑารีย์เดินเข้ามาช่วยแม่ถือของเข้าไปในบ้าน

“ฉันมาก็เพราะได้ยินเรื่องดีๆ จากพ่อเดย์ เลยรีบมาถามแกนี่แหละว่าจริงหรือเปล่าที่พ่อเดย์เป็นพ่อของโอโซน” อารีย์พูดโพล่งขึ้นมาด้วยความอยากรู้ใจจะขาด ปัณฑารีย์ต้องรีบเอามือปิดปากแม่ แล้วหันไปมองลูกชายกลัวว่าจะได้ยินเรื่องที่อารีย์พูด แต่เมื่อเห็นเด็กน้อยเพลิดเพลินกับการเล่นน้ำ ไม่ได้มีทีท่าจะได้ยินอะไร เธอก็ถอนหายใจโล่งอก

“แม่..จะพูดอะไรก็ระวังหน่อยสิ เดี๋ยวโอโซนได้ยินก็เป็นเรื่องหรอก” ลูกสาวกระซิบกระซาบ คนเป็นแม่นึกขึ้นได้รีบเอามาตีปากตัวเอง ลงโทษที่พูดอะไรไม่คิด

“ขอโทษที แม่ลืมตัวไปนิด มันดีใจน่ะ”

“เข้าบ้านก่อน แล้วอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ เอาไว้โอโซนหลับค่อยคุยกัน” หญิงสาวยกชะลอมผลไม้เดินเข้าบ้าน อารีย์หันไปตะโกนบอกหลานชายให้เลิกเล่นน้ำ แล้วตามลูกสาวเข้าบ้าน

คืนนั้นเมื่อโอโซนหลับไปแล้ว อารีย์กับลูกสาวนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก คนเป็นแม่จ้องหน้าลูกรอฟังว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไป

“ปันยังไม่ได้คิดเลยว่าจะเอายังไง แม่อย่าเพิ่งกดดันปันเลยนะ” เธอทำหน้าหนักใจ

“แกจะคิดอะไร ก็แต่งงานกับพ่อเดย์ไปสิ ก็เขาเป็นพ่อของลูกแกไม่ใช่เหรอ แล้วเขาก็รักแกกับลูกด้วย แกยังจะคิดอะไรอีก” อารีย์รำคาญลูกสาวที่เอาแต่ลังเลอิดออด ไม่กล้าตัดสินใจอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นเธอคงรีบขอฤกษ์แต่งงานกับพระอาจารย์ที่วัดไปแล้ว

“แล้วเราจะบอกโอโซนยังไง ในเมื่อลูกเข้าใจไปแล้วว่าพ่อของเขาคือพี่ซัน แล้วอยู่ๆ ก็จะมาเปลี่ยนพ่อเป็นอีกคนเนี่ยนะ ปันไม่รู้จะพูดกับลูกยังไงให้เขาเข้าใจหรอก แม่มีวิธีพูดมั้ยล่ะ” เธอขยี้ผมจนยุ่งเหยิง ระบายความเครียดที่กำลังกัดกินไปทั่วสมอง

“เออว่ะ แม่ก็ลืมคิดไป” อารีย์เริ่มกังวลอีกคน

“หรือว่าเราไม่ต้องบอกอะไรลูกเลย ไม่ต้องให้เขามีพ่อก็ได้ ดีมั้ยแม่” ปัณฑารีย์พยายามหาทางออกที่ดีที่สุด

“แกไม่รู้หรอกว่าการเลี้ยงลูกคนเดียวมันไม่ง่ายนะ ตอนนี้อาจจะไม่มีอะไร แต่อีกหน่อยลูกแกโตขึ้น เป็นวัยรุ่น เขาก็จะมีความเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจ โอโซนเป็นผู้ชายนะ ถึงตอนนั้นแกจะสอนเขายังไง บางเรื่องเขาก็ไม่กล้าคุยกับแม่หรอก โดยเฉพาะเวลาที่ไอ้ตรงนั้นเขามีความรู้สึก….เอ่อ…แหมว่ะ พูดลำบาก” อารีย์อึดอัด ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ แต่ก็รู้ว่าการสอนเพศศึกษาให้กับลูกผู้ชาย ควรให้พ่อสอนมากกว่าคนเป็นแม่

“เฮ้อ…แล้วปันจะทำยังไงดีเนี่ย” ยิ่งฟังแม่พูดก็ยิ่งคิดหนัก ไม่รู้จะแก้ปัญหาโลกแตกนี้ได้อย่างไร

รุ่งเช้า หญิงสาวเดินสะโหลสะเหลลงมาจากห้องนอน เมื่อคืนเธอเอาแต่คิดเรื่องที่คุยกับแม่จนนอนไม่หลับ ดีว่าเช้านี้เป็นวันหยุดไม่ต้องรีบไปทำงาน

“แม่คับ ตื่นแล้วเหรอ โอโซนกับคุณยายทำข้าวต้มกุ้งให้แม่ด้วยนะ” เด็กน้อยดึงแม่ไปนั่งที่โต๊ะอาหาร แล้วรีบวิ่งไปตักข้าวต้มใส่ถ้วยมาวางตรงหน้าแม่

“ขอบคุณครับ” เธอตักข้าวต้มอุ่นๆ เข้าปาก รสชาติที่แสนคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น

“แม่ครับ เมื่อไหร่พ่อจะกลับมา” คำถามของลูกชายทำเอาปัณฑารีย์สำลักข้าวจนเกือบเข้าไปในหลอดลม

“คงอีกนานมาก แม่ก็ไม่รู้หมือนกันครับ”

“โอโซนคิดถึงพ่อ โทรไปพ่อก็ไม่รับ” เด็กน้อยหน้าเศร้า

“ถ้าพ่อไม่กลับมาอีก โอโซนจะเสียใจมั้ย” เธอกลั้นใจถามออกไป

“ทำไมแม่ถามเหมือนพ่อเลย พ่อไปทำงานไม่ใช่เหรอ พอปิดเทอมพ่อก็กลับบ้านได้” โอโซนเข้าใจว่าการทำงานของผู้ใหญ่คงเหมือนกับการเรียนของเด็กที่ต้องมีปิดเทอม และตอนนั้นเขาก็จะได้เจอกับพ่อ

“ผู้ใหญ่เขาไม่มีปิดเทอมกันหรอกลูก เราต้องทำงานทุกวันเหมือนแม่ไง”

“ถ้างั้นเราบินไปหาพ่อกันมั้ยครับ รอโอโซนปิดเทอมก่อนก็ได้ จะได้อยู่กับพ่อนานๆ” เด็กน้อยแสนฉลาดคิดหาทางออกไว้แล้ว ปัณฑารีย์อึ้ง ยิ่งเธอพยายามหาทางโกหก ลูกชายก็หาทางแก้ไขได้ตลอด

“โอโซนชอบอาเดย์มั้ยลูก” อารีย์ที่ยืนฟังอยู่นาน แกล้งลองถามความรู้สึกของหลานชายที่มีต่อชายหนุ่มที่เป็นพ่อตัวจริง เพื่อประเมินสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงในตอนนี้

ปัณฑารีย์เหลือบมองแม่อย่างตำหนิที่อยู่ๆ ก็ถามออกไปไม่ปรึกษา

“ชอบครับ อาเดย์ใจดี เล่นสนุก ไม่เคยดุโอโซนเลย” โอโซนพูดถึงอชิระด้วยรอยยิ้ม แววตาวิบวับ

“ถ้าสมมติว่าอาเดย์มาอยู่ที่นี่ โอโซนว่าดีมั้ย” คนเป็นยายยังถามไม่หยุด

“ดีครับ อยู่กันเยอะๆ พ่อ แม่ อาเดย์ คุณปู่ คุณยาย ป้าณีด้วย โอโซนอยากให้อยู่ด้วยทุกคนเลยครับ” โอโซนคิดถึงความสนุกตอนที่อยู่บ้านอคิราห์ ที่มีผู้คนมากมาย ตอนนั้นเขาอยากให้แม่กับยายมาอยู่ด้วย ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งมีความสุขสำหรับเด็กน้อย

“พ่อกับอาเดย์ โอโซนชอบใครมากกว่ากันเหรอ”

ลูกสาวหันขวับมองหน้าแม่ ทำหน้าปรามให้หยุดตั้งคำถามได้แล้ว แต่อารีย์เมินหน้าหนีไม่สนใจ

“ชอบทั้งสองคนครับ แต่อยากให้พ่ออยู่กับโอโซนทุกวัน โอโซนรักพ่อครับ” คำว่ารักของเจ้าตัวเล็กฟังแล้วอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก แววตาส่องประกายแห่งความสุขออกมาเต็มเปี่ยม

สองแม่ลูกถอนใจพร้อมกัน เมื่อได้รับรู้ว่าอคิราห์คือคนสำคัญของโอโซน ปัณฑารีย์ยิ่งหนักใจมากขึ้น แล้วแบบนี้เธอจะทำให้ลูกเข้าใจได้อย่างไร ว่าคนที่คิดว่าเป็นพ่อมาตลอด เป็นเพียงลุงของเขาเท่านั้น แค่คิดถึงแววตาผิดหวังของโอโซน หญิงสาวก็ใจแทบสลาย

ช่วงบ่ายหญิงสาวพาแม่กับโอโซนไปกินข้าวในห้างสรรพสินค้าแก้เบื่อ ระหว่างที่นั่งรอลูกเล่นสวนสนุกภายในห้าง โดยมีอารีย์อาสาเข้าไปคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งที่เธอห้ามแล้วว่าไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่ แต่ยายผู้ซึ่งห่วงหลานมากมายไม่ยอมเชื่อ ยังไงเธอก็ไม่ปล่อยให้หลานสุดที่รักคลาดสายตา จึงซื้อบัตรเข้าไปเล่นด้วย และเล่นอย่างสนุกสนานยิ่งกว่าหลานเสียอีก

“สวัสดีค่ะคุณปัณฑารีย์”

ปัณฑารีย์สะดุ้ง จำเสียงนั้นได้ดี

“คุณตีรณา มาซื้อของเหรอคะ” หญิงสาวแปลกใจที่เห็นสาวไฮโซมาเดินในห้างสรรพสินค้าธรรมดาแถบชานเมือง แทนที่จะอยู่ศูนย์การค้าหรูหราใจกลางกรุง

“พอดีนัดเพื่อนไว้ค่ะ” สาวสวยนั่งลงข้างปัณฑารีย์ ดวงตาจ้องมองไปที่เด็กๆ ในสวนสนุกที่กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน หนึ่งในนั้นคือโอโซน

“ยินดีด้วยนะคะที่เจอพ่อตัวจริงของลูกแล้ว” ตีรณาหันมายิ้มให้คนข้างๆ

“คุณรู้?” ปัณฑารีย์แปลกใจ เรื่องที่ควรเป็นความลับของสองครอบครัว ทำไมถึงมีบุคคลที่สามรับรู้ได้ หรือว่าอคิราห์เป็นคนบอก จริงสินะก็เขาเคยเป็นคู่หมั้นกันนี่นา

“ค่ะฉันรู้ และคุณก็ควรบอกความจริงกับเด็กได้แล้วว่าพ่อของเขาเป็นใคร ไม่ใช่ให้เข้าใจผิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่สงสารลูกบ้างเหรอคะที่ให้เขาเรียกลุงว่าพ่อ แล้วเรียกพ่อว่าอา มันผิดปกตินะคะ” เธอมองคู่สนทนาด้วยสีหน้าเหยียดหยาม และตำหนิติเตียน

“ค่ะ…” แม่เลี้ยงเดี่ยวตอบเพียงสั้นๆ ในใจคุกรุ่น ไม่พอใจที่ถูกอีกฝ่ายต่อว่าทั้งที่ไม่เข้าใจความหนักใจที่เธอกำลังประสบอยู่

“คุณควรปล่อยซันไป ไม่ใช่ให้เขาเป็นแพะรับบาปอยู่แบบนี้ อย่าเห็นแก่ตัวเลยค่ะ เลิกเอาความรู้สึกส่วนตัวเองเป็นใหญ่ ฉันรู้ว่าคุณชอบซันมานานแล้ว แต่เรื่องนี้มันส่งผลกระทบกับเด็กในระยะยาวนะคะ” สาวสวยคิดว่าควรเตือนสติปัณฑารีย์ให้รู้จักผิดชอบชั่วดีเสียบ้าง เพราะการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบส่งผลมากมายกับหลายคน โดยเฉพาะเธอที่ต้องสูญเสียคู่หมั้นไป

“แต่ฉันไม่ได้มีอะไรกับพี่ซันเลยนะคะ คุณน่าจะเข้าใจผิด” ปัณฑารีย์รีบปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงความสัมพันธ์ของเธอกับอคิราห์

“คุณจะบอกว่าไม่ได้ชอบซันเหรอคะ”

ปัณฑารีย์สะอึกเมื่อเจอคำถามของสาวสวย ถ้าปฏิเสธก็คือโกหก แต่ถ้ายอมรับก็กลายเป็นเธอที่หน้าไม่อาย จึงเลือกที่จะก้มหน้านิ่งไม่ตอบคำถาม

“ถ้าคุณไม่ได้ชอบซัน คุณก็ควรแต่งงานกับคุณเดย์นะคะ เรื่องจะได้จบ แต่ที่คุณยังตัดสินใจไม่ได้เพราะคุณชอบคู่หมั้นของฉัน กล้ายอมรับมาตรงๆ เถอะค่ะ จะทำให้คุณดูมีศักดิ์ศรีมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้” ตีรณาลุกขึ้นยิ้มเย้ยหยัน คนที่ไม่กล้ายอมรับความจริงก็คือคนที่ขี้ขลาด ไร้ศักดิ์ศรี ไม่ควรค่าที่เธอจะมาพูดด้วยอีกต่อไป

ปัณฑารีย์ก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาฝ่ายตรงข้าม ในใจของเธอรู้สึกหวาดกลัวที่จะยอมรับความจริงกับคนอื่นว่าเธอหลงรักคนที่มีเจ้าของ ถึงแม้ความดื้อดึงบางส่วนจะเถียงว่าเธอรู้จักและรักเขามาก่อน แล้วยังไง ในเมื่อตอนนั้นเธอเป็นฝ่ายที่ถูกปฏิเสธ และปัจจุบันเขามีคนอื่นอยู่แล้ว และปัจจุบันกว่า เธอคือตัวปัญหา เป็นนางมารร้ายที่ทำให้ความรักของพวกเขาพังลง แบบนี้เธอจะกล้าเงยหน้ามองสบตาตีรณาได้อย่างไร

 

บ่ายสามโมงของวันจันทร์ เป็นช่วงเวลาที่แสงแดดแผดจ้า อากาศร้อนดั่งอยู่บนกองเพลิง เสียงกริ่งโรงเรียนดังลั่น บอกเวลาว่าเลิกเรียนแล้ว เด็กๆ วิ่งกรูกันออกมานอกห้องพร้อมกระเป๋าใบโต มุ่งหน้าไปหาพ่อแม่ผู้ปกครองที่รอรับอยู่ เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆ ดังไปทั่วโรงเรียน บางคนพ่อแม่ยังไม่มารับก็วางกระเป๋าไว้ที่พื้น แล้วชวนเพื่อนไปเล่นเครื่องเล่นที่สนามกันอย่างสนุกสนาน

อคิราห์เกาะรั้วโรงเรียนแอบมองเข้าไปข้างใน เปลวแดดที่ร้อนระอุทำให้เหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้า เสื้อที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ บ่งบอกว่าเขายืนอยู่ตรงนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว

“คุณครับ มารับลูกหรือเปล่าครับ ประตูเปิดแล้ว ไปยื่นบัตรที่อาจารย์ได้เลยครับ” รปภ.วัยกลางคนเดินเข้ามาถาม เมื่อจำได้ว่าเคยเห็นชายหนุ่มคนนี้มารับนักเรียนหลายครั้งแล้ว

“เปล่าครับ ผมแค่อยากมาดูลูกก่อนไปทำงาน” ชายหนุ่มสะดุ้งที่ถูกทัก โชคดีที่ไม่ถูกคิดว่าเป็นผู้ร้ายจ้องจับเด็ก

“แล้วทำไมไม่เข้าไปล่ะครับ” รปภ.ทำหน้าสงสัย

“ผมกลัวแกจะงอแงไม่ให้ผมไปทำงาน ก็เลยไม่เข้าไปดีกว่า” ชายหนุ่มหน้าเศร้าลง เขาอยากเข้าไปหาไปกอดโอโซนเหมือนที่เคยทำ แต่ตอนนี้ทำได้แค่แอบมองอยู่ห่างๆ ห้ามมีตัวตนอีกต่อไป

รปภ.เข้าใจดีเพราะมีลูกเหมือนกัน เลยปล่อยให้อคิราห์ยืนแอบมองอยู่นอกรั้ว ส่วนตัวเองกลับไปทำหน้าที่โบกรถให้กับผู้ปกครองต่อ

“โอโซน มาเล่นกระดานลื่นกัน” เสียงบิ๊กบอมตะโกนเรียกเพื่อนดังลั่น

อคิราห์หูผึ่งรีบกวาดตามองหาโอโซน และก็เห็นเจ้าตัวเล็กวิ่งปุเลงๆ มาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ที่เขาซื้อให้ออกมาจากห้องเรียน บรรจงวางกระเป๋ากับพื้น ก่อนที่จะวิ่งไปเล่นกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน ชายหนุ่มเผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของโอโซน ไม่คิดเลยว่าแค่เห็นเขาก็มีความสุขถึงเพียงนี้ ถ้าโอโซนเป็นของลูกจริงๆ คงจะมีความสุขที่สุด

“โอโซนๆ เราเห็นพ่อเธอด้วยละ” ลูน่าวิ่งไปเก็บลูกบอลที่กลิ้งไปริมรั้ว แล้วเห็นอคิราห์แอบมองลอดรั้วเข้ามา เด็กน้อยจำได้ว่าเป็นพ่อของเพื่อนรัก จึงรีบวิ่งไปบอกโอโซน

“ไหน…” โอโซนดีใจมากที่ได้ยินว่าพ่อมา มองหาไปทั่วแต่ไม่เจอ

“โน่นไง” สาวน้อยชี้ไปที่ริมรั้ว

ชายหนุ่มตกใจ เมื่อเห็นโอโซนกับเพื่อนมองมาทางเขา จึงรีบเดินกลับไปที่รถทันที

“จะไปไหนกันเหรอเด็กๆ” รปภ.เดินเข้าไปขวางเด็กๆ ที่กำลังเดินกันออกมาหน้าโรงเรียน

“ไปหาพ่อโอโซนค่ะ” ลูน่าตอบแทนเพื่อนรักที่กำลังมองหาพ่ออย่างเป็นเอาตาย

“ออกมาไม่ได้นะครับ ต้องรอผู้ปกครองพาออกมา อันตรายรู้มั้ย เข้าไปก่อนนะ” ลุง รปภ.ของเด็กๆ ดันหลังพวกเขาให้กลับเข้าไปในโรงเรียน

โอโซนมองหาพ่อเท่าไรก็ไม่เจอ เด็กน้อยหน้าเศร้าเดินคอตกเข้าไปในโรงเรียน

อคิราห์แอบมองลูกชายอยู่ในรถ หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบจนแน่นหน้าอก หายใจแทบไม่ออกเมื่อเห็นโอโซนทำหน้าผิดหวัง เขาพยายามกลืนก้อนแข็งๆ ที่จุกขึ้นมาถึงลำคอ ยิ่งกล้ำกลืนก็ยิ่งเจ็บหนัก ชายหนุ่มรู้สึกทรมานใจที่ต้องยอมปล่อยมือจากเด็กน้อย เขาปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา คงเป็นเวรเป็นกรรมของเขาเองที่ทำให้ต้องพลัดพรากจากคนที่เขารัก แม่ ปัณฑารีย์ โอโซน สามคนที่เขารักมากแต่กลับไม่มีหวังที่จะได้อยู่ร่วมกัน



Don`t copy text!