กลิ่นมาลี บทที่ 1 : โรงรับชำเราบุรุษ
โดย : SUDA
กลิ่นมาลี นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 2 โดย SUDA เมื่อหญิงสาวสวยแห่งกรุงศรีอยุธยาปรารถนาเพียงชีวิตที่เรียบง่าย แต่ชาติกำเนิดที่คลุมเครือ ทำให้เธอการถูกขายให้กับโรงชำเราบุรุษ ชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไร เธอยังคงเหมาะกับชายที่เธอรักหรือไม่ นวนิยายคุณภาพอีกเรื่องที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
ณ เรือนใหญ่ของออกญาพิพัฒน์โกษา ข้าราชการในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา เรือนหลังใหญ่นี้ปลูกสร้างด้วยไม้สักหลังคามุงกระเบื้อง รอบเรือนปลูกไม้หอมแตกกิ่งใบให้บรรยากาศร่มรื่น มีข้าทาสบริวารไว้ใช้สอยมากมาย ปกติแล้วที่เรือนนี้มักอยู่อย่างสงบสุขเพราะคุณหญิงทับทิมผู้เป็นเมียเอกคอยกำกับดูแลบ่าวไพร่ให้ทำงานเรียบร้อย รวมถึงควบคุมบรรดาอนุภรรยาทั้งหลายให้อยู่ในโอวาทด้วย
แต่วันนี้เรือนที่เคยน่าอยู่กลับดูวุ่นวายและน่าหวาดกลัว เพราะออกญาพิพัฒน์โกษาเรียกให้บ่าวไพร่รวมถึงเมียทุกคนให้ขึ้นมาบนเรือนใหญ่เพื่อประจานความผิดของแม่บุหงาที่ถูกจับได้ว่าแอบคบชู้ หญิงสาวถูกมัดสองมือขึงไว้กลางเรือนแล้วใช้หวายเฆี่ยนกลางหลังนับครั้งไม่ถ้วน เสียงตวาดด่าทอด้วยความโกรธของออกญาพิพัฒน์โกษาดังไปทั่วเรือน กลบเสียงร่ำไห้ของแม่บุหงาไปเสียสิ้น
“หญิงชั่วช้าสามานย์อย่างมึง อย่าได้อยู่เป็นเสนียดเรือนกูอีกเลย!”
ออกญาพิพัฒน์โกษาประกาศกร้าวพลางเขวี้ยงหวายในมือทิ้ง แล้วแก้เชือกมัดปล่อยให้ร่างเธอร่วงลงกับพื้น แววตาแฝงโทสะมากเสียจนบรรดาเมียและบ่าวไพร่ต่างกลัวจนตัวสั่น ไม่มีใครกล้าปริปากออกมาแม้สักคน ทั่วเรือนจึงมีเพียงเสียงร่ำไห้ของแม่บุหงาเท่านั้น
“คุณพี่…คุณพี่เจ้าขา”
แม่บุหงานั่งร่ำไห้สะอึกสะอื้น กลางแผ่นหลังเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยนจนเลือดไหลซึม แต่กระนั้นเธอกลับไม่สนใจความเจ็บปวดนั้นเลยสักนิด เมื่อได้ยินผู้เป็นสามีเอ่ยปากไล่ตะเพิดเช่นนั้นแล้วจึงรีบคลานเข้ามากอดเข่าเขาไว้แน่น
“ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะคุณพี่ ได้โปรดเมตตา”
“เมตตาอย่างนั้นรึ!” ออกญาพิพัฒน์โกษาถีบร่างเธอออกเต็มแรงจนกระเด็นออกไปราวสองศอก “หญิงชั่วเช่นมึงพาชู้มาเย้ยหยันกูถึงในเรือนเช่นนี้ ยังกล้าขอให้กูเมตตาอีกรึ ! กูไม่ฆ่าทั้งมึงและชู้ให้ตายคาเรือนก็ดีเท่าใดแล้ว”
ออกญาพิพัฒน์โกษาตวาดเสียงก้อง สายตาจ้องมองอนุภรรยาของตนด้วยความเจ็บปวดและคับแค้นใจ จับได้ว่าแม่บุหงามีชู้ก็เจ็บช้ำมากพอแล้ว…เมื่อมารู้ว่าชายชู้นั้นคือคนรักเก่าของแม่บุหงาก่อนมาอยู่ในเรือนเขา ในใจออกญาพิพัฒน์โกษายิ่งเจ็บช้ำแสนสาหัส
แม่บุหงามาอยู่เรือนเขาเป็นสิบปีแล้ว แต่กลับถูกจับได้ว่าแอบพลอดรักกับคนรักเก่าเช่นนี้…ก็หมายความว่าเขาถูกเมียรักทรยศหักหลังเสมอมา
“มึงมันหญิงแพศยามาตั้งแต่ไหนแต่ไร กี่ครั้งกี่หนแล้วที่มึงเล่นชู้ กี่ครั้งกี่หนแล้วที่มึงทรยศหักหลังกูเช่นนี้ !”ออกญาพิพัฒน์โกษายกมือชี้หน้าก่นด่าเสียงดังไปทั่วเรือน “หรือผัวแก่อย่างกูมันสู้รสรักเด็กหนุ่มอย่างมันมิได้ หากมักมากในกามนัก…กูจักขายมึงเข้าโรงรับชำเราบุรุษ ไปเป็นหญิงบำเรอชายให้สมกับความต่ำช้าที่มึงมี !”
“ไม่!!!”
แม่บุหงากรีดร้องดังลั่น เสียงร่ำไห้อ้อนวอนนั้นฟังแทบไม่ได้ศัพท์ “ไม่เจ้าค่ะ ! ข้าไม่ไป ! ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะคุณพี่ ได้โปรดเมตตาคนหลงผิดเช่นข้า อย่างน้อยก็เห็นแก่แม่มาลีลูกของเราเถิด”
“เห็นแก่แม่มาลีอย่างนั้นรึ… มึงไม่ต้องห่วงดอก กูจักขายมึงทั้งแม่และลูก ! ”
“คุณพี่!!”
เสียงอุทานด้วยความหวาดกลัวนั้นมิได้มาจากแม่บุหงาคนเดียว แต่มาจากคุณหญิงทับทิมผู้เป็นเมียเอกด้วย คุณหญิงนั่งเงียบฟังอยู่นาน เมื่อเห็นสามีของตนเทำเกินกว่าเหตุจึงเริ่มทนไม่ไหว “คุณพี่จักขายแม่มาลีเข้าโรงรับชำเราบุรุษได้อย่างไร แม่มาลียังเด็ก อายุก็เพิ่งได้สิบเอ็ดขวบปี อีกอย่างแม่มันเป็นคนผิดก็ควรลงโทษแม่ เหตุใดต้องลงโทษถึงลูกเช่นนี้ด้วยเล่า แม่มาลีเป็นลูกของคุณพี่หนาเจ้าคะ!”
“ลูกอย่างนั้นรึ? ในเมื่อแม่มันแพศยาเพียงนี้…จักมั่นใจได้อย่างไรว่านางเด็กคนนี้มิใช่ลูกชู้ !”
“คุณพี่ ! ”
“ไม่ว่าแม่หรือลูกก็เหมือนกันทั้งนั้น”
ออกญาพิพัฒน์โกษาแววตาแข็งกร้าว เมื่อหันมาเอ่ยตอบคุณหญิงทับทิมพลันน้ำตาลูกผู้ชายก็เอ่อคลอด้วยความคับแค้นใจ “แม่มันเลวเช่นนี้อีกหน่อยลูกมันก็คงเลวเหมือนแม่ ไม่ใช่แค่แม่มาลีเท่านั้น หากแม่มาลัยฝาแฝดมันยังอยู่ พี่ก็จักขายเข้าโรงชำเราเสียพร้อมกันทั้งสามคน ! ”
———————
“แม่มาลี แม่มาลีได้ยินพี่หรือไม่”
เสียงเล็กๆ ด้านหลังทำให้มาลีสะดุ้งตื่นจากภวังค์ หญิงสาวกำลังนั่งทำงานอยู่เรือนทาสด้านหลังโรงรับชำเราบุรุษ ในใจกำลังเผลอครุ่นคิดถึงเรื่องอดีตเมื่อสิบปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นเรื่องราวต้นเหตุที่ทำให้เธอและแม่ต้องถูกขายมาอยู่ที่โรงรับชำเราบุรุษนี้
เมื่อหันไปหาต้นเสียงที่เอ่ยเรียกจึงเห็นหญิงสาวคนหนึ่งจ้องมองมาด้วยความงุนงง หญิงคนนี้ชื่อแม่อิ่ม เป็นนางรับจ้างชำเราที่คอยดูแลเธอมาหลายปีและยังสนิทสนมกันราวกับพี่น้อง
“เป็นกระไรไป เหตุใดจึงนั่งใจลอยตั้งแต่หัววันเช่นนี้เล่า”
มาลีได้ยินคำถามก็ส่ายหน้าปฏิเสธแล้วส่งยิ้มละมุนให้ “เปล่าดอกจ้ะ ข้าเพียงเผลอคิดถึงเรื่องเก่าๆเมื่อครั้งที่ข้าถูกขายมาอยู่ที่นี่”
“อ้อ! เรื่องเจ้าคุณพ่อของเอ็งน่ะรึ”
แม่อิ่มแสยะยิ้มก่อนจะเอื้อมมือลูบไหล่น้องสาวเป็นเชิงปลอบโยน “พ่อเลวๆเช่นนั้นอย่าไปถึงคิดให้เจ็บใจไปเลยแม่มาลี อดีตก็คืออดีต คิดย้อนกลับไปก็ไม่เห็นได้ประโยชน์กระไรขึ้นมา”
“ข้า…ข้าเพียงเผลอคิดถึงเรื่องเก่าๆเท่านั้นเองจ้ะ” มาลีเอ่ยเสียงเศร้า “เขามิใช่พ่อของข้าดอกจ้ะ…ออกญาท่านไม่แน่ใจเสียด้วยซ้ำว่าข้าเป็นลูกจริงหรือไม่ แต่ท่านคงคิดว่าข้าเป็นลูกของชายชู้ จึงขายข้าออกจากเรือนเสีย จักได้มิต้องเป็นเสี้ยนหนามตำใจ”
“ก็ดี หากเขาไม่เห็นเอ็งเป็นลูกแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าเอ็งกับเขามิได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน อย่าไปคิดถึงเรื่องเก่าๆให้เจ็บช้ำน้ำใจไปเลยหนา เอ็งรีบเตรียมผ้าผ่อนและเครื่องหอมให้พวกพี่เถิด คืนนี้จักมีแขกเข้ามามาก ประเดี๋ยวผ้าและเครื่องหอมไม่ทันใช้กันพอดี”
“ได้จ้ะ” มาลีพยักหน้ารับคำ
เมื่อแม่อิ่มเดินไปด้านหน้าโรงรับชำเราแล้ว มาลีจึงหยิบเอาหีบไม้ที่ร่ำกำยานและดอกไม้หอมออกมาวางตรงหน้า เช็ดน้ำมันจันทน์ให้ทั่วแล้วจุดเทียนร่ำผ้าทั้งสองด้านให้คอเทียนเดือด ใช้มือพัดเบาๆ เพื่อดับไฟแล้ววางบนพานกระเบื้องในหีบให้ควันลอยอบอวล หากหีบไม้มีกลิ่นหอมแล้ว เมื่อวางผ้าเข้าไปจักทำให้ผ้ามีกลิ่นหอมติดไปด้วย
มาลีมาอยู่ที่นี่ได้ราวสิบปีแล้ว เธอถูกขายมาตั้งแต่วัยเด็กจนบัดนี้อายุได้ ๒๑ปี หญิงสาวถูกผู้เป็นพ่อขายเข้าโรงรับชำเราบุรุษเพราะแม่กระทำความผิดที่มิอาจให้อภัย แม้คุณหญิงทับทิมจะคัดค้านเพื่อช่วยเธออย่างไรสุดท้ายก็ไม่เป็นผล แต่ยังโชคดีที่ชายชาวจีนผู้เป็นเจ้าของโรงรับชำเรานั้นเมตตาเธออยู่บ้าง เพราะเห็นว่าเธอยังเด็กและไม่ได้กระทำความผิดจึงให้ทำงานหลังครัวไปก่อน
หลังจากนั้นเพียงหนึ่งปีแม่บุหงาก็ตรอมใจฆ่าตัวตายหนีความอัปยศไป มาลีจึงต้องเติบโตอยู่ในโรงรับชำเราบุรุษนี้เพียงลำพัง
แต่เธอมีวิชาทำเครื่องหอมติดตัวมาด้วย เพราะเมื่อครั้งที่ยังอาศัยอยู่ในเรือนใหญ่คุณหญิงทับทิมเคยพร่ำสอนงานฝีมืออย่างชาววังให้ลูกสาวของออกญาพิพัฒน์โกษาทุกคน เธอจึงใช้ความรู้ที่คุณหญิงเคยสอนมาทำเครื่องหอมให้หญิงรับชำเราทุกคนได้ใช้ วิชาที่ติดตัวมาบวกกับการลองผิดลองถูกของตนเองจึงทำให้มีกลิ่นหอมเฉพาะ เป็นที่ถูกใจของเหล่านางรับชำเรามากนัก
เวลาผันผ่านจนกระทั่งมาลีโตเป็นสาวพอจะรับแขกได้แล้ว แต่จีนเจ้าของซ่องกลับมิได้บังคับให้เธอต้องไปรับแขกเหมือนหญิงอื่น โดยให้เหตุผลว่าหากเธอไปเป็นนางชำเราบุรุษแล้วจักไม่มีคนทำเครื่องหอม มาลีจึงได้ทำงานหลังครัวเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
หญิงสาวหยิบเอาเทียนที่หมดควันออกมาจากหีบ แล้วใส่ผ้านุ่งลงไปทีละผืน เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตอีกครั้งดวงหน้างามก็พลันปรากฏรอยยิ้มเศร้า
ยังโชคดีที่มีเพียงเธอและแม่ที่ถูกขายมาเป็นหญิงรับชำเราบุรุษ เพราะมาลัยฝาแฝดของเธอไปอยู่กับลุงมั่นที่กาญจนบุรีตั้งแต่เริ่มจำความได้ ลุงมั่นเป็นพี่ชายแท้ๆของแม่ เป็นเศรษฐีใหญ่มีเมียอยู่กินกันหลายปีแต่ไม่มีลูกสักคน เมื่อรู้ว่าแม่ของเธอคลอดฝาแฝดคือเธอและมาลัย จึงเดินทางจากเมืองกาญจนบุรีเพื่อมาขอลูกแฝดคนหนึ่งไปเลี้ยง ออกญาพิพัฒน์โกษาเองก็มิได้สนใจลูกอนุภรรยามากนักและเห็นว่าลุงมั่นเป็นเศรษฐีใหญ่สามารถดูแลลูกได้ จึงยอมยกลูกสาวไปให้คนหนึ่ง มาลีและมาลัยจึงได้แยกจากกันไปตั้งแต่วันนั้น
หญิงสาวปิดหีบผ้าพลางถอนหายใจเสียงเบา เธอไม่ได้ติดต่อมาลัยราวสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้มาลัยจะเป็นอย่างไรบ้าง
แต่ก็คงอยู่ดีมีสุขมากกว่าเธออยู่กระมัง…
—————
โรงรับชำเราบุรุษที่มาลีอาศัยอยู่นี้ตั้งอยู่ปากคลองขุนละคอนไชยท้ายตลาดบ้านจีน เป็นตลาดใหญ่ใกล้ทางเรือและทางบก มีตึกกว้านร้านจีนมาก แต่โรงรับชำเรานี้ตั้งอยู่ท้ายตลาด เป็นอาคารสองชั้นแบบจีน ด้านหน้าเป็นประตูไม้หลายแผ่นต่อกันด้วยบานพับ เมื่อเปิดออกสองข้างจึงเปิดได้กว้างจนเกือบสุดขอบอาคาร ช่องลมด้านบนแกะสลักลวดลายงามแปลกตา
ส่วนด้านในนั้นเป็นโถงกว้างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตกแต่งด้วยฉากไม้แบ่งเป็นสัดส่วน มีโต๊ะเก้าอี้แบบจีนตั้งอยู่ทั่วไปเพื่อให้แขกใช้นั่งดื่มสุราอาหารและมีหญิงงามคอยพะเน้าพะนออยู่ไม่ห่าง ส่วนด้านบนอาคารมีห้องนอนกั้นเป็นสัดส่วน เป็นพื้นที่ไว้ชำเราบุรุษทั้งสิ้น
มาลีทำงานอยู่ในครัวและเรือนเก็บของด้านหลังร่วมกับทาสคนอื่นๆ บางส่วนมีหน้าที่คอยหุงหาอาหารและรับใช้ทั่วไป ส่วนเธอมีหน้าที่เพียงคอยเตรียมเครื่องหอมให้หญิงรับจ้างชำเราเท่านั้น แต่ก็ถือเป็นงานหนักพอควรเพราะหญิงรับชำเรานั้นมีมาก เพียงเธอตระเตรียมน้ำอบ แป้งร่ำผัดหน้าและร่ำผ้านุ่งของทุกคนให้มีกลิ่นหอมก็ใช้เวลานานครึ่งค่อนวันเสียแล้ว ไหนจักต้องทำความสะอาดพื้นและร่ำห้องที่ใช้ชำเราบุรุษอีก เพราะกลิ่นน้ำคาวและเหงื่อไคลของบุรุษนั้นรุนแรงมากพอควร จึงต้องทำความสะอาดทุกวันและต้องใช้เทียนหอมร่ำห้องอย่างต่ำวันละสามหน
มาลีใช้เวลาทั้งวันในการตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ในขณะที่หญิงรับชำเราต่างต้องนอนพักผ่อนเอาแรงตั้งแต่หัววัน กระทั่งยามเย็นจึงเริ่มเปิดโรงรับชำเราให้บุรุษทั้งหลายเข้ามาแสวงหาความสุข
สายลมยามราตรีพัดผ่านเอาไอเย็นมาปะทะผิวกายสาว…เมื่อแสงจันทร์เริ่มสาดส่องให้มองเห็นทาง มาลีจึงคว้าเอาผ้าคลุมไหล่ผืนหนึ่งออกมาคลุมกายไว้แล้วถือกระบุงออกไปข้างนอกคนเดียว หญิงสาวเดินลัดเลาะตามลำคลองมาไกลโขจนกระทั่งเกือบถึงป่าช้าท้ายวัด
รอบบริเวณนี้เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ เบื้องหน้ามองเห็นเจดีย์วัดอยู่ไกลๆ ด้านข้างเป็นริมคลองเล็กทอดยาวอ้อมกำแพงวัดไปอีกฝั่ง แม้บรรยากาศคืนนี้จะเงียบสงัดและวังเวงเท่าใดมาลีก็มิได้หวั่นกลัวอันตรายเลยแม้สักนิด
หญิงสาวหยุดยืนนิ่งครู่หนึ่งแล้วเดินตามกลิ่นหอมของดอกไม้มาถึงริมกำแพง เมื่อมาถึงจึงได้เห็นว่ากลิ่นหอมนั้นเป็นกลิ่นดอกกรรณิการ์ เป็นไม้พุ่มใหญ่มีคนปลูกทิ้งไว้ที่ท้ายวัด กลีบดอกสีขาวตัดกับก้านดอกสีแสดดูสวยงาม กลิ่นหอมไกลเหมาะแก่การนำไปทำเครื่องหอม
เหตุที่เธอต้องมาเก็บช่วงค่ำมืดเช่นนี้เพราะการนำดอกไม้ไปทำเครื่องหอมนั้นต้องเก็บในเวลาที่ดอกไม้นั้นส่งกลิ่นหอมที่สุด ซึ่งเป็นยามราตรีและยามเช้ามืดเสียส่วนใหญ่
มาลีวางกระบุงไม้ไผ่ลงบนพื้นข้างกายแล้วค่อยๆเก็บทีละดอก เพราะหากเก็บอย่างไม่ระวังจะทำให้กลีบดอกชอกช้ำได้ง่าย แต่เมื่อเก็บได้ไม่ถึงครึ่งกระบุงหญิงสาวก็ต้องชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงต่อสู้ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
มาลีเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเสียงนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นจึงรีบเข้าไปหลบหลังพุ่มไม้ เพียงครู่เดียวเธอก็เห็นชายฉกรรจ์สี่คนกำลังใช้เชือกมัดร่างของชายอีกคนหนึ่ง มัดทั้งมือและเท้าจนแน่นหนาแล้วจึงโยนลงคลองน้ำเสียงดังตูมใหญ่
หญิงสาวสะดุ้งด้วยความหวาดกลัว แต่กระนั้นก็ยังพอมีสติรีบปิดปากตนเองมิให้ส่งเสียง เมื่อเห็นว่าพวกมันหนีไปแล้วเธอจึงรีบลงน้ำไปช่วยหนุ่มเคราะห์ร้ายนั้นทันที
มาลีวางกระบุงดอกไม้ไว้บนพื้น ถอดผ้าคลุมไหล่ออกแล้วปีนลงบันไดท่าน้ำโดยเร็ว ผืนน้ำเย็นยะเยือกทำเอากายสาวสั่นสะท้าน แต่เมื่อดำลงไปด้านล่างเพียงครู่เดียวก็เห็นร่างสูงของชายหนุ่มกำลังดิ้นทุรนทุราย เธอจึงรีบว่ายน้ำเข้าไปใกล้แล้วช้อนร่างเขาขึ้นผิวน้ำโดยเร็ว
ชายร่างสูงนั้นสำลักน้ำจนใบหน้าแดงก่ำ พลางดิ้นตะเกียกตะกายขึ้นบนท่าน้ำหลังวัดโดยมีหญิงสาวช่วยพยุงจากด้านหลัง แต่เพราะร่างเขานั้นสูงใหญ่กว่าเธอมากจึงทำได้เพียงพยุงเขาขึ้นเหนือน้ำเท่านั้น มิอาจช่วยให้ปีนขึ้นฝั่งได้
“ประเดี๋ยวก่อนแม่หญิง ช่วยแก้มัดให้ข้าก่อนเถิด ! ”
เขาเอ่ยขอร้องเสียงแหบพร่า มาลีจึงรีบแก้มัดมือที่ไขว้หลังให้ตามคำขอ จากนั้นจึงปีนขึ้นมาบนท่าน้ำก่อนแล้วช่วยดึงร่างเขาขึ้นมาจนได้ ชายหนุ่มยังคงหายใจหอบเหนื่อย ร่างสูงนอนหงายราบไปกับพื้นเนื้อตัวเปียกปอนหนาวสั่น
“ท่าน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” มาลีสะกิดไหล่เขาเบาๆด้วยความเป็นห่วง ก่อนชายผู้นั้นจะรวบรวมกำลังลุกขึ้นนั่งหายใจหอบ
“ขอบน้ำใจแม่หญิงนัก” เมื่อคลายความตื่นตระหนกลงไปมากแล้วเขาจึงส่งรอยยิ้มจริงใจให้ “หากแม่หญิงไม่มาช่วย ป่านนี้ข้าคงสิ้นชื่อไปเสียแล้ว”
“ไม่เป็นไรดอกเจ้าค่ะ ว่าแต่ท่านเป็นใครมาจากไหน เหตุใดจึงถูกปองร้ายถึงตายเช่นนี้เล่า” มาลีเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะเดินกลับไปหยิบเอาผ้าคลุมไหล่ของตนขึ้นมาคลุมกายเพื่อกันลมหนาว เมื่อเปียกไปทั่วเรือนกายบวกกับอากาศหนาวเย็นเช่นนี้จึงทำให้เธอหนาวแทบทนไม่ไหว
“ข้าคือออกหลวงชาญภูเบศร์ เป็นมหาดเล็กหลวง แล้วแม่หญิงเล่าเป็นใคร”
สิ้นคำถามของคนตรงหน้ามาลีก็เผลอหลบสายตาทันที เธอไม่นึกว่าจักได้พบขุนนางใหญ่ในป่าช้าท้ายวัดเช่นนี้ได้ “ข้า…ข้าชื่อมาลีเจ้าค่ะ”
“แล้วแม่หญิงมาทำกระไรดึกดื่นเช่นนี้เล่า”
“ข้ามาเก็บดอกไม้เจ้าค่ะ”
“ดอกไม้?” ชายหนุ่มเผลอเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “เก็บดอกไม้ยามค่ำคืนเช่นนี้นะรึ”
“ข้านำดอกไม้ไปทำน้ำอบน้ำหอม จึงต้องเก็บยามที่ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมที่สุดเจ้าค่ะ” มาลีก้มหน้าตอบเสียงเบาไม่ยอมสบตา ก่อนจะรีบลุกขึ้นหมายจะเดินหนี “ข้าขอตัวหนาเจ้าคะ”
“ประเดี๋ยวก่อนเถิด”
ออกหลวงชาญภูเบศร์รีบคว้าข้อมือเรียวงามนั้นไว้ทันที ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ “เรือนแม่หญิงอยู่ที่ใด ให้ข้าไปส่งเถิด”
“ข้า…ข้ากลับเองได้เจ้าค่ะ!”
มาลีรีบสะบัดมือให้พ้นจากการเกาะกุม แล้วรีบเดินกลับไปทันที