กลิ่นมาลี บทที่ 3 : ร่ำสุรา

กลิ่นมาลี บทที่ 3 : ร่ำสุรา

โดย : SUDA

Loading

กลิ่นมาลี นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 2 โดย SUDA เมื่อหญิงสาวสวยแห่งกรุงศรีอยุธยาปรารถนาเพียงชีวิตที่เรียบง่าย แต่ชาติกำเนิดที่คลุมเครือ ทำให้เธอการถูกขายให้กับโรงชำเราบุรุษ ชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไร เธอยังคงเหมาะกับชายที่เธอรักหรือไม่ นวนิยายคุณภาพอีกเรื่องที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

 

มาลีกลับมาถึงโรงรับชำเราบุรุษแล้วจึงเอาดอกไม้ทั้งหมดมาวางบนเรือนนอนของตน ก่อนจะหยิบเอาหม้อกระเบื้องเคลือบในห้องออกมาวางตรงหน้า เมื่อเปิดฝาหม้อออกดูจึงเห็นดอกไม้หอมลอยบนผิวน้ำที่เธอเพิ่งเปลี่ยนชุดใหม่เมื่อเช้ามืด โดยวันหนึ่งต้องเปลี่ยนทั้งหมดสองรอบเพื่อมิให้ดอกไม้สำลักน้ำและป้องกันมิให้มีกลิ่นเน่าเหม็น มีทั้งดอกมะลิ จำปา กรรณิการ์ และดอกไม้หอมอื่น

มือบางค่อยๆ หยิบเอาดอกไม้เก่าออกมาจนหมดแล้วใช้กระบวยโกรกน้ำช้าๆ ท่าทางใจลอยราวกับคนไม่มีสติ แม้ตัวจะกำลังเปลี่ยนน้ำลอยดอกไม้…แต่ในใจกลับกำลังคิดถึงบุรุษที่เพิ่งได้แยกจากกันเมื่อครู่ เขายังคงตามเธอไปเก็บดอกแก้วและตามมาส่งถึงท่าน้ำตลาดบ้านจีน หากเธอไม่ยืนกรานเด็ดขาดก็คงได้ตามมาจนถึงหน้าโรงรับชำเราบุรุษเสียแล้ว

ถึงแม้จะหลีกหนีความจริงไม่ได้ว่าตนเป็นหญิงในโรงรับชำเรา แต่มาลีก็ไม่ได้อยากให้เขาได้รับรู้เลยสักนิด เพราะเกรงว่าสายตาที่เขามองเธอนั้นจะเปลี่ยนไป

เธอรู้ตัวดีว่าแม่หญิงในโรงชำเราอย่างเธอนั้นต้อยต่ำและด้อยวาสนา ไม่ควรเข้าใกล้หรือพบปะพูดคุยให้ชายชั้นสูงอย่างเขาต้องแปดเปื้อน แม้เธอเป็นคนเหมือนกันกับเขา…แต่ความเป็นคนนั้นไม่เท่ากัน ต่อให้ยืนพูดคุยอยู่ต่อหน้าก็รู้สึกห่างไกลราวฟ้ากับเหว

แต่เธอก็ปฏิเสธใจตนเองไม่ได้ เพราะพูดคุยกับเขาคราใดในหัวใจเธอก็เป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก

แต่หลังจากนี้เขาคงไม่อยากมายุ่งเกี่ยวกับเธออีกแล้วกระมัง เพราะเธอบอกเขาไปแล้วว่าเป็นคนของเศรษฐีจีนท้ายตลาด ซึ่งท้ายตลาดบ้านจีนนี้ก็เป็นโรงรับชำเราบุรุษทั้งสิ้น หากเขาพิจารณาถ้อยคำให้ดีก็คงรู้ว่าเธอหมายความว่าอย่างไร

“แม่มาลี ใจลอยอีกแล้วหนา”

แม่อิ่มเอ่ยเรียกจากด้านล่างเรือนนอนก่อนจะเดินถือตะเกียงเทียนไขขึ้นมานั่งข้างๆ ผ้านุ่งตรงกลางสะโพกนั้นดูเทอะทะมากเสียจนมองครู่เดียวก็รู้ว่ากำลังมีระดู เพราะเหตุนี้กระมังคืนนี้แม่อิ่มจึงไม่ได้ไปรับแขกอย่างใครเขา

มาลีส่งยิ้มละมุนให้พี่สาวแทนคำตอบ เธอค่อยๆ หยิบเอามะลิดอกใหม่วางลงบนผิวน้ำทีละดอก จากนั้นจึงเอาดอกแก้วและพิกุลใส่ลงบนถ้วยตะไลวางลอยบนผิวน้ำแล้วปิดฝาหม้ออย่างเบามือ สายตายังคงเหม่อลอยและเจือไปด้วยความเศร้า

“คิดกระไรอยู่รึ”

“เปล่าดอกจ้ะพี่อิ่ม ข้าก็คิดกระไรไปเรื่อยเปื่อย”

“แล้วเรื่องที่คิดไปเรื่อยเปื่อยนั้นเรื่องกระไรเล่า”

แม่อิ่มถอนหายใจเบาๆ พลางลุกเดินเข้าไปด้านในเรือนนอน หยิบเอาผ้าใหม่สีสดออกมาสามผืนแล้วกลับมานั่งเคียงข้างเธออีกครั้ง “ผ้าที่ซื้อมาใหม่เอ็งให้พวกพี่ทั้งหมด แล้วเอ็งจักเอาที่ไหนใช้เล่า…แบ่งไปใช้บ้างเถิด”

“พี่อิ่มเก็บไว้ใช้เถิดจ้ะ ผ้าผืนเก่าของข้าก็ยังใช้ได้อยู่”

“แต่มันเก่ามากแล้วหนาแม่มาลี แม้เอ็งจักมิได้ไปรับจ้างชำเราบุรุษอย่างพวกพี่ แต่เอ็งเป็นหญิงต้องรักสวยรักงามเสียบ้าง” แม่อิ่มวางผ้าไว้บนตักน้องรักก่อนจะนั่งค้ำเอวลูบท้องน้อยตนเองเบาๆ “ปวดท้องเสียจริง เลือดก็ออกมาก ชักไม่แน่ใจว่านี่มีระดูหรือแท้งกันแน่”

“พี่อิ่ม…”

มาลีพลันหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินถ้อยคำ แต่แม่อิ่มกลับส่งยิ้มให้ “ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น พี่ให้นางแย้มถีบท้องให้แทบทุกเดือน หากมีครรภ์จักได้รีบแท้งออกไปให้หมด ไปทำแท้งช่วงอายุครรภ์มากก็ได้ตกเลือดตายกันพอดี”

แม้น้ำเสียงแม้อิ่มจะเอ่ยราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่แววตาก็ยังแอบแฝงไปด้วยความเศร้าอยู่บ้าง เพราะชะตาชีวิตของแม่อิ่มนั้นก็รันทดมิได้แตกต่างจากมาลีสักเท่าใดนัก พ่อแม่ของเธอนั้นยากจนข้นแค้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อจีนเจ้าของซ่องมาเห็นความงามของเธอเข้าจึงขอซื้อด้วยราคาสูงจนทำให้พ่อแม่ของเธอสุขสบายไปหลายปี สุดท้ายแม่อิ่มจึงถูกขายมาที่นี่เพื่อแลกกับความเป็นอยู่ของพ่อแม่และน้องๆ

มาลีได้แต่นิ่งเงียบด้วยความรู้สึกผิดที่กัดกินในใจ เพราะเธอเป็นเพียงคนเดียวที่มิได้ทำงานชำเราบุรุษจึงมิได้แบ่งเบาภาระและแบ่งเบาความเจ็บปวดของแม่อิ่มเลยแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนแม่อิ่มจะเข้าใจดี เมื่อเห็นมาลีเริ่มมีน้ำตารื้นจึงเอื้อมมือโอบกอดเธอไว้ แล้วลูบเรือนผมงามของน้องรักด้วยความเอ็นดู

“เอ็งอย่ารู้สึกผิดกระไรเลยแม่มาลี พี่ชินเสียแล้ว”

“แต่…แต่ข้าเอาเปรียบพวกพี่”

“ไม่มีใครเอาเปรียบใครทั้งนั้น” แม่อิ่มยกยิ้มจางๆ “เมื่อก่อนพี่เคยเจ็บปวดก็จริง แต่เราเจ็บปวดไปแล้วเหตุใดต้องให้คนอื่นมาเจ็บด้วยเล่า ชะตาของพี่มันตกต่ำไปแล้วก็อยากให้ตกต่ำเพียงคนเดียว ไม่เคยอยากให้เอ็งต้องมาเป็นไปด้วย”

แม่อิ่มเอื้อมมือเช็ดน้ำตาบนนวลแก้มน้องสาวอย่างทะนุถนอม แววตาคู่ใสของเธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวนัก “พี่ไปนอนก่อนหนา ปวดท้องเหลือเกิน”

———————

พ่อเพิ่มติดต่อสหายเก่าของตนเองที่อยู่ละแวกวัดวังไชย เพื่อให้ช่วยสืบเรื่องคนร้ายที่ลอบสังหารออกหลวงชาญภูเบศร์ จนกระทั่งได้ข่าวว่าพวกมันอยู่แถวตลาดหน้าวัดและเป็นคนของอดีตขุนนางใหญ่ที่เคยถูกเปิดโปงความชั่วจริงดังที่คาดเดาไว้ เย็นวันนั้นออกหลวงชาญภูเบศร์จึงไปย่านตลาดวัดวังไชยทันที

วัดวังไชยนี้ตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะพระนคร บริเวณวัดมีคูน้ำล้อมรอบ ส่วนถนนหน้าวัดนั้นเป็นตลาดขายของสดเช้าเย็น และมีช่างทำขันทองเหลืองฝีมือดีหลายคนอีกด้วย

ชายหนุ่มเดินสำรวจมาจนถึงท้ายตลาด เห็นพวกมันนั่งร่ำสุรากันอยู่เขาจึงแสร้งทำเป็นมองผ่าน เมื่อพวกมันจ้องมองมาแล้วเขาจึงเดินอ้อมแนวป่ารกไปอีกไกลโข จนกระทั่งถึงที่ปลอดคนแล้วจึงหยุดยืนรอ…ในมือกำดาบคู่ใจไว้แน่นเตรียมต่อสู้

พวกมันเดินตามมาเป็นระยะ เมื่อถึงตัวจึงขว้างมีดพกเข้ามาหาชายหนุ่มทันที ออกหลวงชาญภูเบศร์เบี่ยงตัวออกอย่างรวดเร็วแล้วชักดาบออกมาต่อสู้ ชายหนุ่มหันมองพวกมันสี่คนที่ล้อมวงเข้ามาอย่างระแวดระวัง แววตาคมนั้นเจือความแข็งกร้าว

“คราก่อนเล่นกูทีเผลอเหมือนหมาลอบกัด มาครานี้กูจักสั่งสอนพวกมึงให้หลาบจำ”

“ปากดีเสียจริง”

หนึ่งในสี่คนนั้นยกยิ้มมุมปากเบาๆ ก่อนจะย่างเท้าเข้ามาใกล้ “มาเพียงคนเดียวเช่นนี้คิดว่าจักสู้พวกกูได้รึ คราก่อนมึงรอดตายมาได้ก็ถือเป็นบุญ…แต่ครานี้อย่าหวังว่าจักได้อยู่เป็นผู้เป็นคนอีกเลย!”

ยังมิทันสิ้นเสียงมันก็ตวัดดาบพุ่งเข้าหาเขาทันที ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบพร้อมใช้ดาบกันไว้แล้วถีบกลางท้องมันเต็มแรงจนกระเด็นออกมาราวสองศอก ก่อนจะเอี้ยวตัวหลบคมดาบจากอีกคนที่อยู่ด้านหลัง

แม้พวกมันจักเป็นนักฆ่า…แต่ออกหลวงชาญภูเบศร์ก็เป็นขุนนางหนุ่มที่มีฝีมือการต่อสู้ไม่เป็นสองรองใคร แม้ต้องต่อสู้หนึ่งต่อสี่ แต่ความว่องไวบวกกับโทสะแรงกล้าก็ทำให้เขาดูเก่งฉกาจน่ากลัวนัก

ชายหนุ่มใช้ปลายดาบตวัดเอ็นที่ข้อมือมันขาดไปคนหนึ่งแล้วถีบมันล้มกลิ้งลงกับพื้น แต่ถูกพวกมันอีกคนเล่นทีเผลอเตะเข้ากลางสีข้างจนเขาเซถลาลงไปเล็กน้อย มันอีกคนคว้าไหล่เขาไว้จากด้านหลังแล้วจับไว้แน่นมิให้ดิ้นหนี แต่ชายหนุ่มรู้ทันจึงเบี่ยงปลายดาบลงด้านล่างแล้วแทงมาทางด้านหลังตนเองทันที

ปลายดาบเฉียดเข้าสีข้างมันเป็นแผลใหญ่…แม้บาดไม่ลึกถึงเครื่องใน แต่เลือดก็ไหลทะลักสร้างความเจ็บปวดไม่น้อย ชายหนุ่มอาศัยจังหวะนี้กระแทกศอกเข้ากลางแผล จนกระทั่งมันล้มกลิ้งไปด้วยความเจ็บปวด

“มึงเข้ามา!”

ออกหลวงชาญภูเบศร์ตวาดเสียงกร้าว…มันคนหนึ่งถูกตัดเอ็นข้อมือขาดส่วนอีกคนเจ็บหนักจนลุกไม่ไหว พวกสองคนที่เหลือจึงเกิดหวาดหวั่นใจขึ้นมา เมื่อบวกกับแววตาแข็งกร้าวของเขายิ่งทำให้พวกมันเกิดความกลัวมากขึ้น

พวกมันเดินล้อมชายหนุ่มไว้ทั้งสองด้าน ก่อนจะฟาดดาบเข้ามาพร้อมกันทั้งสองทิศ แต่ชายหนุ่มรีบก้มตัวหลบแล้วถีบมันคนหนึ่งออกไปเพื่อเปิดทาง ปลายดาบหันกลับมาฟันเข้าไหล่มันอย่างจังจนล้มคว่ำลงกับพื้น แต่อีกคนที่เหลือใช้จังหวะที่เขาหันหลัง รีบถีบเข้ากลางลำตัวจนชายหนุ่มเซถลาเกือบล้มคว่ำ

เมื่อเหลือเพียงตัวต่อตัวออกหลวงชาญภูเบศร์จึงแค่นยิ้มออกมาด้วยแรงโทสะ มือข้างหนึ่งฟันดาบเข้าตรงหน้าสุดแรง แม้มันใช้ดาบรับไว้ได้ทัน แต่แรงกำลังของเขานั้นมีมากกว่าจึงกระทุ้งดาบมันหลุดมือแล้วฟันเข้ากลางลำตัวมันอีกครั้ง เลือดไหลซึมตามรอยเสื้อที่ฉีกขาด…ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นสองมือกุมท้องด้วยความเจ็บปวด

ออกหลวงชาญภูเบศร์กำดาบในมือไว้แน่น ปลายดาบชี้หน้าพวกมันพลางตวาดเสียงกร้าว

“กูมิได้หมายจักเอาชีวิตพวกมึง แต่กูจักฝากไปบอกนายมึง…ว่าหากยังตามรังควานไม่เลิกเช่นนี้ ไม่กูก็นายมึงที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!”

——————

ชายหนุ่มเดินกลับออกมาเส้นทางเดิม ในใจยังขุ่นเคืองกับเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ไม่หาย เขาจงใจเข้าไปหาพวกมันเพียงคนเดียวโดยให้พ่อเพิ่มจอดเรือรออยู่ริมลำคลองแถบนั้น เพราะแรงแค้นครั้งนี้เขาอยากชำระด้วยตนเอง และคิดว่าหากพวกมันมิได้เล่นทีเผลอเหมือนครั้งก่อนเขาก็คงสู้ไหว แม้จะเป็นเช่นนั้นจริงแต่กายเขาก็บอบช้ำจากการต่อสู้อยู่บ้าง…รอยฟกช้ำเริ่มปรากฏตามลำตัวขึ้นมาให้เห็น

“เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”

“ก็ไม่เป็นอย่างไร”

ออกหลวงชาญภูเบศร์ตอบเสียงเรียบแล้วค่อยก้าวลงเรือเตรียมกลับเรือน ร่างสูงหายใจเหนื่อยหอบเล็กน้อยจากการออกแรงต่อสู้ เหงื่อผุดพรมตามผิวกายเป็นหยดเล็กๆ “ข้าฝากไปบอกนายมันแล้ว ว่าหากยังมีครั้งหน้าก็คงได้เห็นดีกัน”

พ่อเพิ่มพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะปลดเชือกผูกเรือแล้วพายออกมาตามลำคลองมาทางทิศตะวันออกเพื่อเดินทางกลับ มือหนาค่อยๆ พายเรือล่องมาตามลำน้ำ สายตาจ้องมองนายของตนที่เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดทาง สายตามองผืนน้ำราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง…แต่คิดไม่ตกสักที

พ่อเพิ่มเห็นดังนั้นจึงเผลอเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เพราะแม้เขาจะเป็นเพียงบ่าวรับใช้ แต่เขาและออกหลวงชาญภูเบศร์นั้นเกิดและเติบโตมาด้วยกัน จึงทำให้เดาความรู้สึกกันได้ไม่ยาก

“ยังไม่อยากกลับเรือนหรือขอรับ” พ่อเพิ่มถามขึ้นมาในที่สุด ก่อนชายหนุ่มตรงหน้าจะถอนหายใจเบาๆ

“ยัง”

“แล้วอยากไปที่ใดเล่าขอรับ”

“ไม่รู้” ชายหนุ่มเอ่ยตอบทันที แต่พ่อเพิ่มกลับยกยิ้มมุมปากราวกับรู้ว่าคนตรงหน้านั้นกำลังโกหก “อยากไปร่ำสุราที่ตลาดบ้านจีนก็บอกมาเถิดขอรับ…ข้าจักได้พายเรือไปส่ง”

“เอ๊ะ! เอ็งนี่สู่รู้เสียจริง”

ออกหลวงชาญภูเบศร์เอ็ดบ่าวตรงหน้าท่าทีไม่จริงจังนัก พ่อเพิ่มจึงเผลอหัวเราะเบาๆ เพราะตนเอ่ยแทงใจดำผู้เป็นนายเสียแล้ว “ข้าเห็นหนาขอรับ…วันนั้นท่านเดินตามแม่หญิงคนหนึ่งเดินลับหายไปในป่า กว่าจะกลับออกมาก็เกือบยามสอง ได้มาแถวนี้ก็แวะไปหานางที่ตลาดบ้านจีนสักหน่อยคงไม่เสียเวลาดอกกระมัง”

สายตามีเลศนัยของพ่อเพิ่มนั้น ทำชายหนุ่มจนมุมเสียจนต้องถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย

“นางชื่อแม่มาลี…เป็นคนของเศรษฐีท้ายตลาดบ้านจีน”

“ท้ายตลาดบ้านจีนหรือขอรับ”

พ่อเพิ่มนิ่งชะงักไปเล็กน้อย ออกหลวงชาญภูเบศร์จึงรับรู้ได้ทันทีว่าพ่อเพิ่มกำลังคิดเหมือนกันกับเขา… เพราะท้ายตลาดบ้านจีนนั้นมิใช่แหล่งที่น่าย่างกรายเข้าไปใกล้สักเท่าใด ที่แห่งนั้นเป็นแหล่งโสมมมีแต่ชายตัณหากลับเข้าไปแสวงหาความสุขเท่านั้น แล้วแม่มาลีไปอยู่ในที่แห่งนั้นได้อย่างไร

ออกหลวงชาญภูเบศร์นิ่งเงียบไปนานโข แม้เขาจะตัดใจออกห่างแม่มาลีได้สักพักแล้ว แต่นึกถึงเธอเมื่อใดในใจกลับยิ่งร้อนรุ่มจนอยู่ไม่สุข และความอยากรู้นี้ก็ยิ่งทำเขาวุ่นวายใจจนทนไม่ไหว สุดท้ายจึงตัดสินใจให้พ่อเพิ่มหันหัวเรือพายเลียบลงมาตามแม่น้ำจนได้

จุดมุ่งหมายครั้งนี้คือโรงรับชำเราท้ายตลาดบ้านจีน เขามิอาจปล่อยให้วุ่นวายใจเพราะความสงสัยอีกต่อไปแล้ว ถึงอย่างไรวันนี้เขาก็ต้องรู้ให้ได้ว่าแม่มาลีเป็นอย่างที่คิดหรือไม่

 

ตะวันยามเย็นเริ่มลับแสงลง ความมืดจึงเริ่มปกคลุมไปทั่วบริเวณ ผู้คนในตลาดบ้านจีนต่างเริ่มจุดตะเกียงและโคมไฟเพื่อให้แสงสว่าง โดยเฉพาะโรงรับชำเราปากคลองขุนละคอนไชยที่เริ่มมีผู้คนเข้ามาสังสรรค์ เสียงพูดคุยดังไปทั่วคุ้งน้ำ

ออกหลวงชาญภูเบศร์ยืนนิ่งอยู่หน้าโรงรับชำเรา เบื้องหน้าชายหนุ่มเป็นอาคารไม้สองชั้นสร้างแบบจีน ประตูไม้เปิดกว้างต้อนรับแขกผู้มาเยือน ด้านในมีโต๊ะกลมแบบจีนให้นั่งดื่มเหล้าและมีฉากไม้กั้นให้เป็นสัดส่วน

ชายหนุ่มหันกลับไปมองพ่อเพิ่มที่นั่งรออยู่ปากคลองอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้าไปทันที

แต่เมื่อเข้าไปด้านในได้เพียงครู่เดียวก็มีแม่หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาประกบเขา แม่หญิงงามท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส ดวงหน้าผุดผ่องจากแป้งร่ำที่เกลี่ยให้เนียนละเอียดกลืนไปกับผิว สีชาดแต้มริมฝีปากบางให้แดงระเรื่อ ผ้าแถบสีสดพันหน้าอกไว้หลวมๆ ห่มทับด้วยผ้าคลุมไหล่คล้องแขนสองข้าง ส่วนด้านล่างนุ่งจีบหน้านางด้วยผ้าพิมพ์ลายงดงามน่ามอง เธอพาเขามานั่งโต๊ะไม้ด้านในสุดของโรงรับชำเรา ก่อนจะเรียกให้บ่าวถือเหล้ามาวางตรงหน้า

“มาคนเดียวหรือเจ้าคะ” หญิงสาวข้างกายเขาเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มหวานละมุน มือบางถือวิสาสะลูบไล้แผ่นอกกว้าง แล้วเบียดกายเข้ามาใกล้จนเขาเกือบเผลอไผลไปกับสัมผัสแม่หญิงชั่วขณะหนึ่ง

“ข้ามาตามหาคน”

ออกหลวงชาญภูเบศร์เอ่ยเสียงเบา หญิงสาวข้างกายจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความงุนงง ก่อนจะรินเหล้าให้ “ตามหาคน? ตามหาที่โรงรับชำเรานี้หรือเจ้าคะ”

“ใช่” ออกหลวงชาญภูเบศร์พยักหน้าเป็นคำตอบ

“แม่หญิง…ชื่อกระไรรึ”

“แย้มเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยตอบพลางยกจอกเหล้าให้เขาดื่มด้วยกิริยาออดอ้อนน่ารักใคร่ เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดบุรุษทั้งเมืองจึงติดใจโรงรับชำเราเช่นนี้นัก เป็นเพราะหญิงนครโสเภณีพวกนี้ต่างดูงดงามเสียแทบทุกคน อีกทั้งยังหูตาแพรวพราว รู้จักใช้เสน่ห์เรือนกายกระตุ้นอารมณ์บุรุษให้พลุ่งพล่าน

“แม่แย้มมาอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ แล้วรู้จักชาวบ้านแถบนี้บ้างหรือไม่”

“ข้ามาอยู่เกือบสิบปีแล้วเจ้าค่ะ” แม่แย้มเอ่ยตอบพลางรินเหล้ารอไว้อีกจอกหนึ่ง “แต่หากจักถามว่ารู้จักทุกคนแถบนี้หรือไม่ ข้าคงไม่รู้จักดอกเจ้าค่ะ เพราะทุกวันข้าก็มิได้ไปไหน กลางวันก็นอน กลางคืนก็คอยรับใช้ที่โรงรับชำเรานี้เท่านั้น”

ออกหลวงชาญภูเบศร์แววตาอ่อนแสงลงเมื่อได้ยินถ้อยคำเอ่ยอธิบาย หากแม่แย้มผู้นี้มิได้ออกไปไหนมาไหนก็คงไม่รู้จักแม่มาลีดอกกระมัง เขานิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจขอตัวลา แต่เมื่อหยิบถุงอัฐจ่ายให้แม่แย้ม พลันสายตาก็ไปหยุดชะงักเมื่อเห็นตัวเรือนแหวนที่เธอสวมใส่

“มีกระไรหรือเจ้าคะ” แม่แย้มเลิกคิ้วด้วยความงุนงง เขามิได้เอ่ยตอบคำใดแต่คว้าเอามือบางของแม่แย้มมาดูใกล้ๆ เมื่อพลิกมือดูแหวนแล้วจึงจำได้ทันทีว่าเป็นวงเดียวกับที่เห็นแม่มาลีเลือกซื้อที่ตลาดป่าชมภู

ออกหลวงชาญภูเบศร์พลันใบหน้าซีดเผือด หัวใจหล่นวูบลงทันทีด้วยความตื่นตระหนก ยิ่งพินิจพิจารณาดูเท่าไรก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น

“แม่หญิง เจ้าได้แหวนวงนี้มาจากที่ใด”

ได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวก็ยิ่งงุนงงมากกว่าเก่า “ของข้าเองเจ้าค่ะ น้องสาวข้าเลือกซื้อมาให้”

“น้อง…น้องสาวอย่างนั้นรึ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อมั่นใจว่าเป็นแม่มาลีจริงๆ ใบหน้าคมที่ซีดเผือดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ยิ่งซีดมากกว่าเก่า ในเมื่อเขาทำใจลืมแม่มาลีได้หลายวันแล้ว…แต่เหตุใดหนอเมื่อรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ ในใจกลับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมามากนัก

“น้องสาวของแม่หญิงชื่อมาลีใช่หรือไม่ เรียกนางมาพบข้าทีเถิด”

“ท่าน…รู้จักน้องสาวข้าหรือเจ้าคะ”

“แม่หญิงเรียกนางออกมาพบข้าทีเถิด” ออกหลวงชาญภูเบศร์เอ่ยย้ำเสียงสั่น สุดท้ายแม่แย้มจึงต้องทำตามโดยดี “ข้าจักเรียกนางให้หนาเจ้าคะ แต่น้องสาวของข้ามิใคร่จักรับแขกสักเท่าใด หากนางไม่ยินยอมก็ให้ข้าคอยรับใช้ท่านแทนนางเถิดหนา”

แม่แย้มเอ่ยเพียงเท่านั้นก็เดินลับหายไปด้านหลังโรงรับชำเรา ปล่อยให้ออกหลวงชาญภูเบศร์นั่งรอเงียบๆอยู่อย่างนั้น สายตาคมจ้องมองผ่านมู่ลี่ประตูด้านหลังอยู่ไม่วางตา ยิ่งแม่แย้มเดินลับหายไปนานเท่าใด ในใจชายหนุ่มยิ่งเริ่มอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น

จนกระทั่งเขาเห็นแม่มาลีเดินแหวกม่านมู่ลี่ออกมาพร้อมแม่แย้ม…ในใจชายหนุ่มก็พลันร้อนผ่าวด้วยความเจ็บปวดและผิดหวัง

มาลีก้าวเดินตรงเข้ามาหาด้วยท่าทีเศร้าหมอง สองหนุ่มสาวสบตากันอยู่นาน ก่อนมาลีจะพยายามกลั้นน้ำตาตนเองที่เริ่มเอ่อคลอแล้วเดินเข้ามานั่งเคียงข้าง

คราที่แม่แย้มออกมาบอกว่ามีบุรุษรูปงามคนหนึ่งอยากพบหน้า เธอก็รู้แล้วว่าเป็นเขา…แต่ที่เธอตัดสินใจเลือกเดินออกมาเพราะรู้ดีว่าความลับนี้สักวันเขาก็คงได้รับรู้ ถึงอย่างไรเธอก็หนีความจริงนี้ไม่พ้น สู้เลือกเผชิญหน้าในวันนี้แล้วจากกันไปตลอดกาลเสียยังจะดีกว่า

เมื่อสองหนุ่มสาวอยู่กันตามลำพังบรรยากาศบนโต๊ะไม้นั้นก็ปกคลุมไปด้วยความเงียบ หญิงสาวพยายามข่มใจตนเองไว้แล้วเอื้อมมือรินเหล้าให้เขาช้าๆ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเศร้า

“คุณหลวงอยากพบข้าหรือเจ้าคะ”

“ใช่” ออกหลวงชาญภูเบศร์ตอบไม่เต็มเสียงนัก แววตาคมนั้นจ้องมองแผ่นไม้บนโต๊ะราวกับไม่อยากหันมาสบตา “ข้าอยากพบแม่หญิงจริงดังว่า…”

“แต่ข้ามิได้อยากพบเจ้าในที่แห่งนี้”

 

มาลีฝืนยิ้มออกมาด้วยความยากลำบาก น้ำตาเอ่อขึ้นมาเพราะในใจกำลังเจ็บปวดจนแทบเก็บอาการไม่ไหว “ทำอย่างไรได้เล่าเจ้าคะ…ข้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อยู่มานานจนที่นี่กลายเป็นเสมือนครอบครัวของข้าเสียแล้ว”

สิ้นเสียงเธอบรรยากาศปกคลุมไปด้วยความเงียบอีกครั้ง ออกหลวงชาญภูเบศร์เองก็ผิดหวังมากเสียจนไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมาได้ เมื่อได้รับรู้ว่าแม่หญิงที่ตนหมายปองที่แท้ก็เป็นหญิงนครโสเภณีที่คอยบำเรอกามให้บุรุษมากตัณหา ในใจก็พลันจุกแน่นราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

ชายหนุ่มตัดสินใจโยนถุงอัฐไว้บนโต๊ะแล้วลุกเดินจากไปโดยไม่หันมองเธอเลยสักนิด แต่ก้าวออกไปยังไม่ทันพ้นโต๊ะก็ถูกมาลีคว้าข้อมือเขาไว้เสียก่อน

“คุณหลวง…ดื่มเหล้าด้วยกันก่อนสิเจ้าคะ”

มาลีส่งยิ้มให้เขาทั้งที่น้ำตากำลังไหลอาบนวลแก้ม มือน้อยกำข้อมือเขาไว้แน่นราวกับกลัวเขาจะสะบัดหนี ในใจเธอคิดเพียงว่าหลังจากนี้คงไม่ได้พบกันอีก เธอจึงอยากใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่า อย่างน้อยก็ได้นั่งพูดคุยกับเขาเป็นคืนสุดท้าย

ออกหลวงชาญภูเบศร์ยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมนั่งลงเคียงข้าง เขารับเอาจอกเหล้าจากมือหญิงสาวมาดื่มโดยดี แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมหันมองเธอเลยสักนิด

มาลีเองก็มิได้รินเหล้าให้เขาเพียงฝ่ายเดียวแต่กลับยกขึ้นกินเองเสียเกือบครึ่งไห เมื่อสุราเริ่มออกฤทธิ์นวลแก้มสาวก็แดงระเรื่อพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย จนชายหนุ่มต้องยั้งมือเธอไว้แล้วเลื่อนไหเหล้าออกไปวางอีกฝั่ง

“พอเถิดแม่มาลี” ออกหลวงชาญภูเบศร์รวบมือบางสองข้างของเธอแล้วกุมไว้แน่น ปล่อยให้เธอนั่งร่ำไห้อยู่ต่อหน้า

“ข้ายังไม่เมาเลยเจ้าค่ะ…ข้ายังอยากกินอีก”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือเช็ดน้ำตาบนนวลแก้มอย่างแผ่วเบา หันมองหญิงงามรอบกายก็ไม่เห็นมีใครเมาแล้วร้องไห้อย่างนี้เลยสักคน แล้วหญิงตรงหน้าเขานี้เหตุใดจึงแปลกประหลาดว่าคนอื่นนัก

“แม่มาลี เจ้ามาอยู่ที่นี่นานแล้วอย่างนั้นรึ”

“เจ้าค่ะ” มาลีเอ่ยตอบทั้งน้ำตา เสียงเล็กๆ ที่เอ่ยออกมานั้นสั่นเครือแทบฟังไม่ได้ศัพท์ “ข้าเป็นลูกของออกญาพิพัฒนโกษาที่เกิดกับเมียกลางนอก เจ้าคุณพ่อโกรธที่แม่ข้าทำผิด…และคิดว่าข้าคือลูกที่เกิดจากชายชู้ ข้ากับแม่จึงถูกขายมาเป็นหญิงรับชำเราบุรุษที่นี่ ข้ามาอยู่นานเสียจนจำแทบไม่ได้แล้วว่าเรือนเก่าของข้านั้นเป็นอย่างไร”

ถ้อยคำอธิบายนั้นพรั่งพรูออกมาจากปากราวกับอัดอั้นตันใจมาแสนนาน เมื่อเห็นชายหนุ่มเงียบไปมาลีจึงยกมือปาดน้ำตาตนเองออกช้าๆ แล้วหยุดร้องไห้

“แต่…แต่ข้าอยู่ที่นี่ก็มีความสุขดีเจ้าค่ะ”

“เจ้าเป็นถึงลูกสาวขุนนางใหญ่ แต่ถูกขายมาอย่างนั้นรึ”

ออกหลวงชาญภูเบศร์ทวนคำอีกครั้ง สีหน้าแววตายังดูตกตะลึงไม่หาย แต่มาลีกลับฝืนยิ้มทั้งที่แววตานั้นเจ็บปวดเหลือทน ท่าทางเมามายจนแทบทรงตัวไม่อยู่ “ข้ามิเคยคิดว่าตนเป็นลูกสาวขุนนางใหญ่ดอก ข้าคือลูกที่ถูกพ่อทิ้งอย่างไม่ไยดีต่างหาก จีนเจ้าของซ่องที่ใครก็ว่าเลวหนักหนา…ยังเมตตาข้ามากกว่าพ่อของข้าเสียอีก”



Don`t copy text!