มายากาเหว่า บทที่ 1 : คุณหนูตกอับ
โดย : ณรัญชน์
มายากาเหว่า โดย ณรัญชน์ กับแผนการร้ายที่ลูกกาเหว่าอย่างดารินกานต์นำมาใช้ฟาดฟันกับพลอยแสง ผู้ที่เลี้ยงดูเธอมาด้วยความรัก อะไรที่ทำให้เธอคิดว่าแม่นกที่อุ้มชูมาไม่ได้รักเธอด้วยใจจริง ความรักของพลอยแสงจะเอาชนะอคติที่บดบังดวงตาและดวงใจไปได้อย่างไร…นวนิยายออนไลน์แนว Family Drama สุดเข้มข้นที่อ่านเอาอยากชวนคุณมาลุ้นไปกับเรา
กรุงเทพมหานคร พ.ศ 2543
ร้านสะดวกซื้อแห่งนั้นเปิดไฟสว่างไสว ตั้งชั้นวางสินค้าเรียงกันเป็นแถวยาว ระหว่างชั้นมีที่ว่างแคบๆให้ลูกค้ายืนเลือกของที่ต้องการได้ไม่เกินช่องละสองคน หน้าชั้นสินค้าประเภทบะหมี่สำเร็จรูป หญิงสาวในเครื่องแบบพนักงานกำลังนั่งยองๆหยิบบะหมี่จากตะกร้าพลาสติกวางลงข้างสินค้าอื่นๆอย่างตั้งใจ เพราะมัวแต่จริงจังกับงานตรงหน้า พลอยแสงจึงไม่สังเกตเห็นนักศึกษาหญิงที่เดินมาหยุดอยู่ข้างตัว ก้มลงมองผู้ที่ย่อตัวอยู่ต่ำกว่าด้วยสายตาเย้ยหยัน จวบจนเสียงทักแกมหัวเราะดังขึ้นเหนือศีรษะ
“ขยันจังเลยนะพลอย สงสัยตำแหน่งพนักงานดีเด่นคงต้องเป็นของเธอแล้วละ”
ร่างเพรียวบางถึงกับผงะด้วยความตกใจ พลอยแสงผุดลุกขึ้นตามสัญชาตญาณ พอเห็นผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้งที่กำลังมองมาอย่างนึกขัน ใบหน้าพริ้มเพราก็เผือดสี
อาการลุกลี้ลุกลนนั้นเพิ่มความย่ามใจให้อีกฝ่ายได้เป็นทวีคูณ ปณาลีกวาดสายตามองชุดพนักงานของเพื่อนไล่ลงไปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แล้วปรายยิ้มมุมปาก
“ชุดนี้สวยเหมาะกับเธอดีนะพลอย แหม! ถ้าเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยมาเห็นคงตื่นเต้นกันใหญ่ คุณหนูพลอยแสงคนเก่งคนดังมาทำงานเป็นพนักงานต๊อกต๋อย ขยันขนาดนี้ได้ค่าจ้างวันละกี่บาทกันล่ะ”
คนฟังเย็นเฉียบไปทั้งตัวราวกับถูกอีกฝ่ายผลักให้พลัดตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง มือผอมบางรีบคว้าตะกร้าพลาสติกมาถือไว้ แล้วก้าวเร็วๆเพื่อไปให้พ้นจากสายตาเชือดเฉือน แต่ปณาลีเดินตามมาไม่ลดละ
“จะรีบเดินหนีฉันทำไมล่ะพลอย ถึงที่บ้านเธอจะหมดตัวจนต้องมารับจ้างขายแรงงาน แต่งานที่เธอทำก็เป็นอาชีพสุจริตนะ ไม่เห็นต้องอายเลย”
แม้จะตรงกันข้ามกับความตั้งใจของผู้พูด ทว่าเสียงแหลมสูงนั้นกลับเรียกสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงของหญิงสาวให้กลับคืนมา จริงสินะ งานที่พลอยแสงทำอยู่เป็นอาชีพสุจริต ถึงแม้จะต่ำต้อยในสายตาของคนฉาบฉวยบางคน แต่เธอไม่ควรจะลดคุณค่าของมันด้วยการคล้อยตามคำถากถางของปณาลีมิใช่หรือ
“ฉันไม่ได้อาย” พลอยแสงโต้กลับด้วยเสียงค่อนข้างสั่น “ถ้าเธอจะซื้อของก็เลือกดูตามสบาย ฉันจะไปทำงานต่อ”
“ฉันสงสารเธอจัง จากคุณหนูตระกูลเก่าแก่ต้องตกอับกลายเป็นลูกจ้างทำงานหาเงินงกๆ บ้านก็ถูกธนาคารยึด ไหนจะคุณพ่อเธออีก ล้มละลายแค่นี้ไม่น่าถึงกับคิดสั้น…”
“อย่าพูดถึงคุณพ่อของฉัน” พลอยแสงขัดก่อนที่อีกฝ่ายจะจบประโยค ดวงตาวาวระยับทอประกายอย่างเอาเรื่อง “ถ้าจะมาซื้อของก็ซื้อไป แต่ถ้าจะมาหาเรื่องบอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ว่างมาเสียเวลาทะเลาะด้วย และเธอเองก็ควรรักษามาดคุณหนูของตัวเองไว้ให้ดี อย่าให้คนอื่นเขารู้ว่าที่อ้างตัวเป็นไฮโซได้ก็เพราะแค่มีเงิน แต่เรื่องมารยาทยังติดนิสัยแม่ค้าตลาดสดเหมือนเดิม”
คำว่า “คุณหนูตกอับ” กรีดหัวใจพลอยแสงให้เจ็บแสบได้มากเพียงไร คำว่า “แม่ค้าตลาดสด” ก็มีอิทธิพลต่อปณาลีมากเพียงนั้น ริมฝีปากเคลือบสีแดงระเรื่อที่กำลังเตรียมปล่อยวาจาเชือดเฉือนหุบฉับ เสียงที่ตั้งใจให้ดังจนได้ยินกันทั้งร้านพลอยหรี่ลง เหลือเพียงการขู่อย่างดุร้ายในลำคอ
“อย่ามาปากดีหน่อยเลยพลอย ถึงพื้นเพที่บ้านฉันจะเป็นยังไงแต่ฉันก็สุขสบายกว่าเธอหลายล้านเท่า” ปณาลีทำตาเขียว “จนหมดตัวไม่มีจะกินแล้วยังทำอวดดีไม่เปลี่ยน บอกให้รู้นะว่าไม่ใช่แค่วันนี้ที่ชีวิตฉันดีกว่าเธอ ชาตินี้ทั้งชาติฉันก็จะอยู่เหนือเธอตลอดไป อีกแค่ไม่กี่เดือนพอเรียนจบฉันก็จะแต่งงานกับพี่อารัญ เป็นคุณนายสุขสบายไปทั้งชาติ ส่วนเธอน่ะหรือ ลำพังค่าเทอมเทอมนี้จะมีปัญญาหามาจ่ายหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”
พอเห็นว่าคำพูดของตนเสียดแทงจิตใจเพื่อนสาวที่หมั่นไส้มานานปีได้สมปรารถนา ปณาลีก็หัวเราะ ในขณะที่พลอยแสงนิ่งอึ้ง ริมฝีปากเม้มแน่นเพื่อสะกดความกำสรดที่กำลังประเดประดังขึ้นมา
“แต่ฉันไม่ใช่คนใจดำกับเพื่อนฝูงหรอกนะ เคยบอกเธอหลายหนแล้วนี่ว่าถ้าไม่ไหวจริงๆก็บอกกันได้ ฉันยินดีช่วย”
“ฉันยอมอดตายดีกว่ารับความช่วยเหลือจากเธอ” พลอยแสงสวนกลับโดยไม่ต้องคิด
“จำคำของเธอไว้ให้ดี อย่าตากหน้ามารับความช่วยเหลือจากฉันก็แล้วกัน” ปณาลีแสยะยิ้ม ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะนวยนาดออกจากไปอย่างผู้ชนะ “ขยันทำงานเข้านะจ๊ะ หวังว่าค่าแรงทั้งเดือนจะพอจ่ายค่าห้องที่ซุกหัวนอนอยู่ล่ะ”
ทันทีที่ประตูปิดลง พลอยแสงก็เซซังเข้าไปซุกตัวอยู่ในห้องเก็บของหลังร้าน ทั้งๆที่ดวงตาพร่าพรายแทบจะมองทางไม่เห็น น้ำตาร้อนผ่าวร่วงพรูลงอาบแก้ม ปณาลีจะไม่มีโอกาสหยาบหยามเธอได้เลยถ้าไม่เพราะความย่อยยับทางเศรษฐกิจที่เรียกกันติดปากว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งอาละวาดไปทั่วประเทศก่อนจะลุกลามไปยังประเทศอื่นๆอีกครึ่งค่อนโลก สร้างความบอบช้ำให้กับผู้คนโดยทั่วหน้า
เพียงคืนเดียวนับตั้งแต่โชคชะตาหอบเคราะห์ร้ายมาเคาะประตูบ้าน วิมานทองที่พลอยแสงพักพิงมาตลอดชีวิตก็พังครืนไม่ต่างจากปราสาททรายบนชายหาดยามเกิดพายุใหญ่ พิษค่าเงินบาทลอยตัวส่งผลให้ราคาสินค้าที่สั่งมาจากต่างประเทศถีบตัวสูงขึ้นหลายเท่า สวนทางกับราคาหุ้นที่ร่วงกราวติดพื้น ทรัพย์สมบัติที่นายไกรศักดิ์ คุณพ่อของเธอเคยถือครองกลายเป็นสิ่งไร้ค่า ส่วนอสังหาริมทรัพย์ที่ไปลงทุนไว้ด้วยความมั่นใจว่าจะทำกำไรงาม ก็แปรสภาพเป็นหนี้สินจำนวนมหาศาลเกินกว่าจะชำระได้หมด นายไกรศักดิ์ใช้เวลาขับเคี่ยวในสงครามที่ตัวเขาเองก็ตระหนักดีว่าไม่มีวันเอาชนะได้อยู่ร่วมปี สุดท้ายเมื่อความเหนื่อยล้า ขมขื่นและกดดันพร่าผลาญความหวังจนราบพณาสูร บิดาของพลอยแสงก็ตัดสินใจทิ้งตัวจากยอดอาคารพาณิชย์สูงเสียดฟ้าลงมาประกาศความปราชัยยังพื้นดินเบื้องล่าง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าพลอยแสงจะเสียขวัญกับความเปลี่ยนแปลงที่จู่โจมเข้ามาสักเพียงใด ทว่าความมุ่งมั่นของบิดาก็ยังคงเป็นแสงแห่งความหวังที่เจิดจรัสอยู่ในหัวใจหญิงสาว ทว่าในพริบตานั้น ร่างที่แหลกยับเยินของนายไกรศักดิ์คือประจักษ์พยานชั้นดี ว่าบัดนี้ชีวิตหอมหวานพร้อมพรั่งของเธอได้ลาลับดับสูญไปโดยสิ้นเชิงแล้ว หลังเสร็จงานศพนายไกรศักดิ์ พลอยแสงก็พาคุณนพวรรณผู้สูงวัยออกจากบ้านที่กำลังจะถูกยึดไปใช้หนี้ธนาคาร ไปเช่าหอพักราคาถูกอยู่กันสองคนยายหลาน และหางานพิเศษเลี้ยงตัวเท่าที่สถานะนักศึกษาปีสุดท้ายจะอำนวยให้ทำได้
เมื่อสิ้นทรัพย์ศฤงคารที่เคยเกื้อหนุน แน่นอนว่าชื่อเสียงและหน้าตาทางสังคมของเธอย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ผู้คนทั้งในและนอกคณะต่างก็ตระหนักในเรื่องนี้ เพื่อนๆส่วนใหญ่พยายามไม่เอ่ยให้เธอสะเทือนใจ ยกเว้นปณาลีกับกลุ่มเพื่อนสนิทของหล่อน…
ถ้าถามว่าทำไมปณาลีถึงเขม่นพลอยแสงนัก หญิงสาวสามารถเขียนสาเหตุได้เต็มหน้ากระดาษ ก็ปณาลีทั้งไม่สวย ปากร้าย ไม่รู้จักผูกใจคน รสนิยมหรือก็แย่ เปรียบเทียบกับพลอยแสงไม่ว่าจะด้านใดก็ล้วนแต่ห่างไกลกันหลายโยชน์ แต่ถ้าจะพูดอย่างรวบรัดที่สุด ข้อความทั้งหมดจะถูกตัดสั้นลงเหลือเพียงสามพยางค์
ริษยา…
แรงอิจฉาน่ะสิจะมีอะไรเสียอีก ปณาลีอิจฉาพลอยแสงมาตลอด เพราะตัวเองเป็นลูกอดีตแม่ค้าเจ้าของแผงหมูในตลาดสด ถึงแม้ว่าเมื่อหลายปีก่อนแม่ของปณาลีจะโชคดีขายที่ดินมรดกตกทอดแปลงหนึ่งให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ได้เงินก้อนใหญ่พอจะมาสร้างตลาดในแถบชานเมืองให้คนเช่าขายของ กลายเป็นคุณนายเดินเก็บเงินสบายอารมณ์แทนที่จะต้องนั่งหั่นหมูอยู่หน้าแผงอย่างเคย แต่คำว่าแม่ค้าตลาดสดก็ยังประทับแน่นไม่คลอนคลายอยู่ในภูมิหลังของหล่อน ปณาลีจะเจ็บแค้นทุกครั้งที่เพื่อนนักศึกษายกเรื่องนี้ขึ้นมาล้อ แล้วนำมาเปรียบเทียบกับพลอยแสงที่เรียนอยู่คณะเดียวกัน
“พลอยแสงเขาเพชรแท้ เป็นผู้ดีเก่า ทวดเขาเป็นถึงพระยาเชียวนะ ส่วนลีน่ะแค่เพชรสังเคราะห์ ต่อให้คุยโม้วางท่าร่ำรวยยังไงก็ทิ้งกำพืดเดิมไม่ได้หรอก ไม่เชื่อพวกเธอไปยืนใกล้ๆสิ กลิ่นแผงหมูยังติดตัวอยู่เลย”
เพื่อนๆปากร้ายแอบหัวเราะกันคิกคัก แน่นอนว่าคำนินทาทั้งมวลย่อมต้องลอยไปเข้าหูปณาลีโดยไม่มีตกหล่น นอกจากหล่อนจะโกรธเกรี้ยวคนพูดแล้ว ความชิงชังยังลามมาถึงพลอยแสงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อีกด้วย จากนั้นการหาเรื่องกระทบกระทั่งเล็กๆน้อยๆก็เริ่มตามมาจนกลายเป็นความบาดหมางรุนแรงขึ้นทุกขณะ ตั้งแต่เป็นนักศึกษาปีหนึ่งจนถึงปีสี่ มารู้ตัวอีกทีพลอยแสงก็พบว่าเธอกับปณาลีกลายเป็นคู่อริกันเต็มตัวเสียแล้ว ฐานะที่ตกต่ำลงของพลอยแสงจึงยังความสะใจให้ปณาลีกับพรรคพวกอย่างไม่มีอะไรเทียบ
“พลอยเป็นอะไรหรือเปล่า พี่ได้ยินเหมือนทะเลาะกับลูกค้า” ผู้จัดการร้านเปิดประตูห้องเก็บของเข้ามาถาม เรียกสติให้ร่างเล็กๆที่นั่งขดตัวพิงผนังห้องอยู่ต้องรีบปาดน้ำตา แล้วลุกขึ้นยืน
“ไม่มีอะไรหรอกพี่เจิด ขอโทษที่หลบเข้ามาอยู่ในนี้ พลอยจะออกไปทำงานแล้วค่ะ”
หัวหน้ามองรอยเปียกบนแก้มลูกน้องด้วยความเห็นใจ ประวัติของพลอยแสงไม่ใช่ความลับ เพราะมรณกรรมสยดสยองของนายไกรศักดิ์เป็นข่าวบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ พอเห็นชื่อนามสกุลพลอยแสง ผู้จัดการก็รู้ถึงความจำเป็นของหญิงสาวโดยไม่ต้องถามไถ่เสียด้วยซ้ำ
“เขามาพูดอะไรให้ไม่สบายใจก็อย่าเก็บไปคิดมากเลยนะ อดทนเรียนอีกเทอมเดียวพลอยก็จะได้เป็นบัณฑิตแล้ว มีอนาคตสดใสรออยู่ไม่น้อยหน้าใครหรอก”
“แต่ก่อนอื่นคงต้องออกไปเตะฝุ่นหางานแข่งกับคนอีกหลายล้านให้ได้เสียก่อน” พลอยแสงฝืนยิ้มให้กับความหวังดีของคนพูด
“ว่าแต่ค่าเทอมที่จะต้องไปจ่าย หาได้หรือยังล่ะ” ผู้จัดการถามต่อ “พี่ก็อยากช่วยนะ แต่พี่เองก็ไม่ไหวเหมือนกัน”
ค่าเทอมสำหรับภาคเรียนสุดท้ายนับเป็นปัญหาใหญ่ พลอยแสงจะต้องหาเงินไปจ่ายให้ได้ภายในสัปดาห์นี้ มิฉะนั้นจะก็ไม่มีสิทธิ์สอบปลายภาคไปโดยปริยาย หากอีกฝ่ายถามเร็วกว่านี้สักสองวันพลอยแสงคงไม่รู้จะตอบอย่างไร ทว่าตอนนี้หญิงสาวคลี่ยิ้มออกมาได้
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาแล้วค่ะ มีคนใจดีติดต่อมาทางอาจารย์ว่าจะให้ทุนเรียนดีกับพลอย ไม่รู้ว่าเขารู้จักพลอยได้ยังไงแต่เขาเจาะจงชื่อพลอยมาโดยเฉพาะ พรุ่งนี้เขาจะมามอบทุนที่คณะด้วยตัวเอง พลอยรอดตายแล้วละพี่เจิด”
“พี่ดีใจด้วย พลอยโชคดีจริงๆ” ผู้จัดการร้านอนุโมธนา “นี่ละที่เขาว่าคนดีพระคุ้มครอง ถึงจะตกทุกข์ได้ยากก็มีคนมาช่วยเหลือ”
พลอยแสงอดขำกับความธรรมะธัมโมของผู้จัดการสาวไม่ได้ รุ่นพี่คนนี้เป็นคนแก่วัด ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็โยงเข้าหาธรรมะได้ทุกเรื่อง พอปรับความรู้สึกให้เป็นปกติได้ดังเดิมหญิงสาวก็ออกไปทำงานต่อ ความขุ่นข้องขมขื่นที่ผ่านเข้ามาถูกสลัดทิ้งไปเหมือนกับหลายๆครั้งที่มันเกิดขึ้นมาแล้วในห้วงอารมณ์
วันต่อมาพลอยแสงไปมหาวิทยาลัยด้วยความสดใสกว่าทุกวัน ภารกิจแรกในช่วงเช้าของเธอคือไปรับทุนการศึกษาที่ห้องพักอาจารย์ เจ้าของทุนเป็นชายผิวคล้ำค่อนข้างเตี้ย ดวงตาเล็กหยีบนใบหน้าสี่เหลี่ยมนั้นแฝงรอยเจ้าเล่ห์อย่างประหลาด จนผู้มองอดตะขิดตะขวงใจไม่ได้
“ขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อย หวังว่าหนูพลอยแสงจะไม่ว่าอะไรนะ”
แทนการใช้กล้องถ่ายรูปอย่างเมื่อก่อน เขาก็ส่งโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่เอี่ยมให้อาจารย์ของพลอยแสง ขณะนั้นบริษัทโทรศัพท์มือถือเพิ่งจะพัฒนาระบบถ่ายภาพในตัว และเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในทันทีที่วางจำหน่าย อาจารย์ที่ปรึกษาของพลอยแสงยิ้มแย้ม รับอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคนั้นไปกดบันทึกภาพขณะลูกศิษย์ยื่นมือไปรับซองบรรจุเงินสด ก่อนจะไหว้ขอบคุณผู้ให้อย่างนอบน้อม
“หนูพลอยคงจะไม่ว่านะถ้าฉันจะเอารูปให้เพื่อนฝูงดูบ้าง เพื่อนๆฉันชอบทำบุญกับเด็กเรียนดีแต่ยากจนอย่างหนูนี่ละ เห็นรูปหนูแล้วเผื่อเขาจะอยากให้ทุนเด็กคนอื่นๆอีก”
ใบหน้าละมุนของคนฟังร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะรู้ว่าการมอบทุนการศึกษาเป็นการสร้างกุศลในสายตาผู้ให้ แต่ผู้รับอย่างเธอก็ยังระคายหูและแปลบปลาบในหัวใจเมื่อได้ยินคำว่า “ทำบุญ” ของเขา หญิงสาวอดทนตอบคำถามอยู่ครู่หนึ่งก็ขอตัวจากมา ยังมีเวลาเหลือประมาณครึ่งช่วงโมงก่อนคาบเรียนแรกของวันนั้นจะเริ่มขึ้น พลอยแสงจึงรีบนำเงินไปชำระค่าเทอมที่สำนักทะเบียนนักศึกษาแล้วไปเข้าเรียน วิชานั้นกินเวลาสองชั่วโมงเศษ พอเรียนจบก็ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี
เพื่อนที่นั่งรอพลอยแสงอยู่ที่โรงอาหารของคณะชื่อวงเนตร เป็นคนร่าเริงพอๆกับที่ช่างพูด พอพลอยแสงทรุดตัวลงนั่งวงเนตรก็กระซิบบอก
“ดูปณาลีสิ มากินข้าวกับหนุ่มเสียด้วย”
หล่อนพยักเพยิดให้พลอยแสงดูกลุ่มนักศึกษาหญิงสิบกว่าคนที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของโรงอาหาร ทุกคนเรียนอยู่ในภาควิชาเดียวกับพลอยแสง มีปณาลีเป็นดาวเด่นอยู่กลางวง ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีชมพูใสกำลังเจรจาเจื้อยแจ้วกับชายหนุ่มผอมสูง ผิวขาวจัด ตัดผมเกรียนแทบจะติดหนังศีรษะตามแบบพระเอกภาพยนตร์แอคชั่นที่โด่งดังเป็นพลุแตกเมื่อสองปีที่แล้ว ทำให้เขาดูอ่อนวัยราวกับนักศึกษาแทนที่จะเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มารับช่วงธุรกิจต่อจากบิดาอย่างที่เป็นอยู่ จากท่าทางเอาอกเอาใจที่เห็น พลอยแสงบอกได้ทันทีว่าปณาลีให้ความสำคัญกับผู้ชายคนนี้มาก ในขณะที่ฝ่ายชายเพียงแต่เอออออตามมารยาท ไม่ได้ออกรสกับการพูดคุยเหมือนฝ่ายหญิง
“นั่นคุณอารัญ แฟนปณาลีเขา” พลอยแสงบอกเนิบๆ
สมัยที่บิดายังมั่งคั่ง พลอยแสงเคยพบอารัญหลายครั้งในงานเลี้ยงของบรรดานักธุรกิจที่นายไกรศักดิ์คบหาอยู่ พลอยแสงมั่นใจว่าความเดียดฉันท์ที่โชติช่วงอยู่ในหัวใจของปณาลี นอกเหนือไปจากการชิงดีชิงเด่นตามประสาผู้หญิงแล้ว สาเหตุสำคัญก็มาจากอารัญนี่เอง สายตาคมกล้าร้อนแรงของเขายามมองเธอบอกความรู้สึกลึกซึ้งโดยไม่ปิดบัง เช่นเดียวกับรอยยิ้มนุ่มนวลและกิริยาอาทรที่แสดงออกอย่างเปิดเผย ทว่าพลอยแสงถือว่าตนเองมีฐานะทางสังคมที่เหนือชั้นกว่าชายหนุ่มผู้นี้มาก จึงไม่เคยทอดสนิทกับเขาเกินกว่าการพูดคุยกันเพียงผิวเผิน
แม่ของปณาลีเป็นคนฉลาดในการสร้างความสัมพันธ์เพื่อเอื้อประโยชน์ในการค้าขาย ในงานแต่งงานลูกสาวนักธุรกิจคนหนึ่ง หล่อนก็หาทางพาปณาลีแทรกตัวเข้าไปร่วมงานได้สำเร็จ พลอยแสงสังเกตอย่างชัดเจนถึงความปวดร้าวบนสีหน้าของเพื่อนร่วมคณะเมื่อประจักษ์ในสายตาหวงแหนที่อารัญมีต่อเธอ หลังจากนั้นการหาเรื่องราวีของปณาลีก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าตัว สอดคล้องกับปริมาณความเกลียดชังที่เข้มข้นขึ้นจนน่าตกใจ
เห็นพลอยแสงเงียบไปเพราะจมอยู่กับความคิด วงเนตรก็คุยต่อตามประสาคนอารมณ์ดี
“เป็นลีนี่ดีจังนะ ชีวิตแสนจะราบรื่น มีผู้ใหญ่ช่วยปูทางโรยกลีบกุหลาบให้เดินอย่างกับนางเอกในนิยายแน่ะ อีกไม่กี่เดือนพอรับปริญญาเสร็จเขาก็จะแต่งงานทันทีเลย ทางบ้านว่าที่สามีเตรียมปลูกเรือนหอรอไว้แล้ว” หล่อนหัวเราะกิ๊ก “แต่พูดแล้วเหยียบไว้ตรงนี้เลยนะ คุณอารัญอะไรนี่ไม่ได้ชอบลีหรอก เห็นฝนแก้วบอกว่าที่ยอมมาคบกับลีก็เพราะถูกพ่อแม่บังคับ แม่เขากับแม่ลีกำลังจะหุ้นกันทำธุรกิจเครื่องสำอาง แม่ลีเกิดไปได้ที่หลุดจำนองที่พระประแดงมาผืนหนึ่ง ส่วนแม่คุณอารัญจะออกเงินสร้างโรงงาน เลยต้องจับลูกมาแต่งงานกัน จะได้ป้องกันไม่ให้ใครโกงใครไง”
ข่าวซุบซิบทั้งหลายเกี่ยวกับปณาลีมีที่มาจากฝนแก้วซึ่งเป็นญาติห่างๆกันนั่นเอง เป็นความบังเอิญประหนึ่งพระพรหมเล่นตลกที่ฝนแก้วก็เรียนอยู่คณะเดียวกับปณาลี อีกทั้งเจ้าตัวยังเป็นคนช่างพูด จึงขยันมีข่าววงในมาเล่าได้ไม่รู้เบื่อ
“จะชอบหรือไม่ชอบเขาก็จะแต่งงานกันอยู่ดี ช่างเขาเถอะ ฉันไม่อยากรับรู้เรื่องของลีแล้ว”
พลอยแสงตัดบท พยายามไม่มองไปทางกลุ่มของคู่อริเพราะไม่ต้องการให้มีเรื่องปะทะคารมกันขึ้นมาอีก เธอค่อนข้างประหลาดใจที่เพื่อนๆในภาควิชามารวมตัวกันมากเป็นพิเศษ นอกจากปณาลีที่ชวนอารัญคุยไม่หยุดปากแล้ว สาวๆที่เหลือกำลังส่งรูปถ่ายสองใบให้กันและกันดู ใบหน้าอ่อนเยาว์เคลือบไว้ด้วยอารมณ์หลายหลากแตกต่างกันไปตามนิสัยของแต่ละคน มีทั้งสงสาร ตื่นเต้น กระหายใคร่รู้และสาแก่ใจ เพื่อนตาไวคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาเห็นพลอยแสงนั่งอยู่กับวงเนตรก็สะกิดบอกคนอื่นๆ ครู่เดียวทั้งกลุ่มก็ชวนกันเดินตรงมาหา
“ตายจริงพลอยแสง มาหลบอยู่ตรงนี้เอง” เสียงอุทานของปณาลีฟังเสแสร้งอย่างเห็นได้ชัด หล่อนสอดแขนข้างหนึ่งคล้องไว้กับแขนของอารัญดังจะประกาศความเป็นเจ้าของ ทำให้ชายหนุ่มจำต้องเดินตามมาโดยปริยาย
“สวัสดีครับน้องพลอย” อารัญทักขึ้นบ้าง ความห่วงใยระคนเวทนาระบายอยู่บนใบหน้าของเขา แต่คนถูกทักยังไม่มีโอกาสตอบ ปณาลีก็ส่งเสียงเบิกบานแทรกขึ้นเสียก่อน
“ไปรับทุนการศึกษามาแล้วใช่ไหมพลอย ลุงเกษมบอกฉันแล้วว่าเธอไหว้ขอบคุณซะสวยเชียว ฉันเห็นรูปแล้วยังชมเลยว่าลุงพูดถูก”
“ลุงเกษม?”
เห็นอีกฝ่ายมองมาด้วยสายตาตั้งคำถาม ปณาลีก็หัวเราะหน้าระรื่น
“ลุงเกษมคนขับรถของแม่ฉันไง คืออย่างนี้นะฉันสงสารเห็นเธอไม่มีค่าเทอมเทอมสุดท้าย เลยไปบอกแม่ให้ช่วยออกเงินให้ แต่แม่ฉันไม่ชอบทำดีเอาหน้าก็เลยใช้ชื่อลุงเกษมเป็นคนให้ทุน แล้วก็ส่งลุงเกษมมามอบทุนแทนท่าน ตอนนี้เธอก็ได้เงินแล้ว หมดห่วงเสียทีนะ”
เลือดร้อนจัดฉีดซ่านไปทั่วใบหน้านวลลออ พลอยแสงต้องกำมือแน่นเพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังระอุยิ่งกว่าน้ำเดือด ปณาลียิ้มร่าขณะส่งรูปที่อัดจากโทรศัพท์ให้คู่อริดู
“ลุงเกษมถ่ายรูปเธอไว้เป็นที่ระลึกด้วย ถ้าแม่ฉันเห็นคงปลื้มใจที่ได้ทำบุญให้คนยากไร้ เธอเองก็คงดีใจมากสินะถึงได้ยิ้มไม่หุบเลย”
ภาพในกระดาษสี่เหลี่ยมนั้นเป็นรูปของพลอยแสงขณะรับทุนการศึกษาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี่เอง ความแจ่มใสที่ปรากฎในภาพประกาศชัดว่าเธอยินดีกับเงินที่ได้รับมากเพียงใด ทว่าบัดนี้ความปราโมทย์ในนาทีนั้นกลับทำให้เจ้าของรอยยิ้มรู้สึกเหมือนถูกเข็มแหลมคมกริบเสียบทะลุหัวใจ กระนั้นความเจ็บปวดจนเลือดอาบก็ยังเทียบไม่ได้กับความอับอายและขมขื่นที่กำลังไหลบ่ากลืนกินพลอยแสงจนจมมิดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
สาวๆกลุ่มของปณาลีพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คนอื่นๆที่ถูกชวนมาดูรูปโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวได้แต่ตีหน้าเจื่อนเมื่อสายตาเกรี้ยวกราดของพลอยแสงตวัดมาถึง ไม่เว้นแม้แต่อารัญที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ไหนเธอเคยบอกพวกเราว่าถึงจะจนก็จะไม่มีวันแบมือขอเงินจากใครยังไงล่ะ แล้วนี่อะไรดลใจถึงยอมรับเงินจากลีได้” เพื่อนสนิทของปณาลีเหน็บ
“อย่าไปทักพลอยเขาสิ ตอนนี้เขาตกอับถึงขนาดต้องไปทำงานเป็นลูกจ้างที่ร้านขายของเลยนะ แล้วเงินการศึกษานี่แม่ฉันก็ตั้งใจทำบุญกับคนจนๆอยู่แล้ว พลอยรับไปก็สมกับความตั้งใจของแม่”
ปณาลีปรายตามองหญิงสาวโสภาผู้มีใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาดำขลับวาววับด้วยหยาดน้ำเอ่อคลอเจียนจะหยด กระนั้นม่านน้ำก็ยังปิดบังแววร้าวรานที่เต้นเร่าอยู่ภายในหน่วยตาไม่ได้ หล่อนย้ำอีกครั้งอย่างสะใจ
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะพลอย ถ้าอยากให้ช่วยอีกก็บอกได้ ฉันเองก็ชอบทำบุญเหมือนกัน”
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าทุนการศึกษานี่มาจากแม่เธอ ถ้ารู้ฉันไม่มีวันรับมาเป็นอันขาด เธอต่างหากที่ใช้เล่ห์กลสกปรกหลอกให้ฉันรับเงินเพื่อจะมาเยาะเย้ยฉัน”
พลอยแสงเถียงออกมาเป็นประโยคแรก เสียงสั่นพร่าพอๆกับใจที่สั่นระริกเพราะความคับแค้นแสนสาหัส
แต่ปณาลีมองอีกฝ่ายด้วยสายตาล้อเลียน นายเกษมเป็นคนเดินตามพลอยแสงไปที่สำนักทะเบียนนักศึกษาด้วยตนเอง จนแน่ใจว่าหญิงสาวจ่ายเงินค่าเทอมเรียบร้อยแล้วจึงโทรมารายงานนายสาว ด้วยเหตุนี้ปณาลีจึงโพล่งออกมาอย่างมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่อาจคืนเงินมาได้ในนาทีนี้แน่ๆ
“ถ้าไม่อยากรับเงินจากฉันงั้นก็เอาเงินทุนคืนมาสิ แต่ฉันว่าคงไม่ยอมคืนง่ายๆหรอก อ้อยเข้าปากช้างแล้วนี่”
หากว่าที่ผ่านมาพลอยแสงเคยชิงชังความยากไร้ เวลานี้ความรู้สึกนั้นยิ่งเพิ่มพ้นล้นทวีขึ้นอีกหลายร้อยเท่า เธอจะเอาเงินที่ไหนไปคืนปณาลี ในเมื่อเพิ่งจ่ายค่าเทอมไปกว่าครึ่ง
พลอยแสงเปิดกระเป๋าสะพาย หยิบซองเงินออกมาวางบนโต๊ะ “ฉันเพิ่งจ่ายค่าเทอมไป เหลือเงินอยู่ไม่มากเธอเอาคืนไปก่อน ส่วนที่เหลือฉันจะรีบหามาใช้ให้เร็วที่สุด”
“ไม่ยอมคืนก็บอกมาตรงๆเถอะน่า ไหนว่าไม่อยากได้เงินของลีไง” เสียงเย้ยหยันดังขึ้นอีก
ไม่มีครั้งใดในชีวิตที่พลอยแสงจะรู้สึกต้อยต่ำน่าสมเพชเท่าครั้งนี้ ความอัดอั้นตันใจแล่นขึ้นมาจุกอยู่กลางลำคอเมื่อเธอผุดลุกขึ้น เดินกระแทกบ่าคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดแล้วแหวกวงล้อมออกไป หัวใจร้อนผ่าวราวกับจะไหม้ด้วยความอัปยศสุดชีวิต
วงเนตรนั่งตะลึงดูเหตุการณ์อยู่นาน พอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ก็ลุกขึ้นต่อว่าเสียงดัง
“ทำเกินไปแล้วนะลี เธอก็รู้ว่าพลอยไม่อยากได้ความช่วยเหลือของเธอ แต่ก็ยังเอาคนขับรถมาบังหน้าหลอกให้เขารับทุน แล้วมาเยาะเย้ยกัน ทำตัวอย่างนี้อย่าคิดว่าเพื่อนคนอื่นๆจะเห็นดีด้วย นอกจากพวกเธอแล้วไม่มีใครเขาตลกไปด้วยหรอก มีแต่จะรังเกียจมากกว่า”
พลอยแสงไม่สำเหนียกถึงการโต้เถียงทางด้านหลัง หญิงสาวก้มหน้าก้มตาเดินดุ่มๆไม่รู้ทิศทาง รู้แต่ว่าจะต้องไปจากที่นี่ ไปให้พ้นจากสภาพไม่ต่างจากภัสมธุลีข้างถนนที่ประสบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่เกินพรุ่งนี้หรอก เพื่อนทั้งคณะคงจะได้เห็นรูปของปณาลีกันโดยถ้วนหน้า ใครที่หมั่นไส้อยู่แล้วก็คงตีปีกซ้ำเติมเธอจนสาแก่ใจ
ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ… แม้จะไม่มีคำพูดบาดหู แต่พลอยแสงก็ตระหนักถึงสายตาเวทนาที่จ้องมองมาอยู่ทุกขณะจิต ไม่มีใครตั้งใจ และไม่มีใครรู้ว่าที่แท้แล้วความสงสารเหล่านั้นก็สร้างพิษสงได้ไม่ต่างจากการป้ายยาพิษลงกลางหัวใจบอบช้ำของหญิงสาวผู้เคยแต่ได้รับการยกย่อง ให้ด่าวดิ้นทรมานไม่แพ้วาจาเย้ยหยันเลย
พลอยแสงเลือกเก้าอี้หินอ่อนใต้ร่มไม้เป็นที่พักร่างกายอ่อนเปลี้ย เงยหน้าขึ้นมองปุยเมฆขาวเบื้องบน หวังพึ่งสายลมเย็นที่ระเรื่อยไล้ผิวหน้าให้ช่วยลบรอยน้ำตาออกไปบ้าง ในความเวิ้งว้างของม่านฟ้าสีเข้ม จิตสำนึกของหญิงสาวคล้ายดังได้ยินเสียงคุณนพวรรณล่องลอยมาแผ่วเบา
“ความรวยไม่ได้วัดกันที่เปลือกนอกหรอกนะหลาน ความร่ำรวยที่แท้จริงอยู่ในหัวใจของคนต่างหาก ถึงแม้ตอนนี้เราจะสิ้นไร้ไม้ตอกไม่มีเงินทองอย่างเมื่อก่อน แต่เราก็ยังร่ำรวยด้วยศักดิ์ศรีและความดีได้ ถ้ายึดถือความซื่อสัตย์สุจริต ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม”
นับตั้งแต่ตกต่ำลง คุณย่าของเธอก็พร่ำอบรมหลานสาวด้วยประโยคเหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วน พลอยแสงกำมือแน่น จิกเล็บคมลงบนเนื้ออ่อน หวังใจเหลือเกินว่าเธอจะเข้มแข็งพอที่จะยึดมั่นในคำสอนของคุณนพวรรณไปได้ตลอดรอดฝั่ง