
แก่นไม้หอม บทที่ 39 : ลูกไม่มีพ่อ
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
ฉื่อย้งหรือสุภัทราสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยและได้งานในบริษัทพัฒนาเรื่องอาหารขนาดใหญ่ทันทีที่เรียนจบ หลีมุ่ยรู้ข่าวก็พยายามซักถึงเงินเดือนของอาย้งแต่กุ้ยเตียงปัดไปว่าไม่รู้ไม่เคยถามลูก หลีมุ่ยไม่ยอมแพ้แนะนำให้น้องสามีจัดงานเลี้ยงฉลองเรียนจบของฉื่อย้ง ทว่าฝ่ายหลังเข็ดขยาดแล้วตั้งแต่งานเลี้ยงตอนฉื่อย้งสอบเข้าได้จึงปัดไปอีก แถมยังเอ่ยถึงหลานชายคนโตพ่อที่แท้จริงของเหมยว่า
“อาฮงก็เรียนจบแล้ว จบก่อนอาย้งอีกทำไมซ้อไม่จัดงานฉลองให้ลูกชายคนโตล่ะ”
“โอ๊ย อาฮงจบจริงแต่ไม่ได้เรื่องอะไร ไม่ได้งานดี ๆ แบบอาย้งนี่ จบมาก็ต้องมาทำงานที่ร้านกินเงินกงสี น่าภูมิใจอะไรกัน สู้อาย้งของลื้อไม่ได้ เรียนเก่งอย่างนี้มีงานดี ๆ แบบนี้ก็น่าจะเลี้ยงประกาศให้ญาติพี่น้องรู้กันหน่อย”
“ไม่ต้องเลี้ยงก็รู้ อีกอย่างตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี อั๊วไม่มีเงินจัดเลี้ยงหรอก ถ้าซ้ออยากช่วยประกาศข่าวดีของหลานก็จัดงานแทนอั๊วแล้วกัน”
เจอแบบนี้หลีมุ่ยที่ชอบงานเลี้ยงคนอื่นจัดคนอื่นออกเงินเลยยอมถอยไปแต่มิวายบ่นกระปอดกระแปดว่ากุ้ยเตียงนั้นงก สงสารหลานอุตส่าห์เรียนจนจบมหาวิทยาลัยเป็นคนแรกแต่ม้ามันไม่ดูดำดูดีเลย
กุ้ยเตียงก็ได้แต่กัดฟันแน่น โกรธจนขำกับความโลภความตระหนี่ของพี่สะใภ้ไปในที่สุด
ช่วงที่ฉื่อย้งเรียนจบพอดีกับเวลาที่หาญสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซิ่วเฮียงนึกว่าลูกชายจะเลือกเรียนจุฬาเหมือนกู๋เส่ง แต่เด็กหนุ่มกลับเลือกมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดทั้งหมด และผลออกมาว่าเขาสอบติดที่เชียงใหม่
ซิ่วเฮียงทั้งดีใจที่ลูกสอบติดและเสียใจที่เขาไม่ได้เลือกเรียนกรุงเทพฯ ทำเอาหล่อนเตรียมห้องเดิมของเส่งให้เขาเก้อ หล่อนบ่นว่า
“หั่งน่าจะเลือกเรียนกรุงเทพฯ ต่อให้ไม่เข้าจุฬาฯมหา’ลัยอื่น ๆ ก็มีอีกหลายแห่ง หั่งจะได้มาอยู่กับม้า ไม่ต้องไปไกลบ้านขนาดนั้น”
“หั่งไม่อยากแข่งกับคนเยอะ ๆ ใคร ๆ ก็เลือกมหา’ลัยในกรุงเทพฯกัน หั่งกลัวไม่ติด อีกอย่างที่เชียงใหม่ก็ดีนะม้า บรรยากาศดี รุ่นพี่หั่งบอกว่าอาจารย์ก็เก่ง มหา’ลัยเปิดได้ไม่นานอาคารเรียนอุปกรณ์อะไรก็ใหม่ทันสมัย น่าเรียน”
หาญให้เหตุผลที่ไม่ต้องตอบว่าเขาไม่อยากอยู่บ้านลานมะเกลือ โชคดีที่ม้าไม่สงสัยคำพูดของเขา ยิ่งตอนที่ตามขึ้นไปเชียงใหม่เพื่อดูสถานที่ดูหอที่เขาจะพัก ม้าก็ชอบใจและเริ่มคล้อยตาม
เรื่องจะมีคนอยู่บ้านเป็นเพื่อนอากงอาม่าหรือไม่นั้นไม่มีปัญหาแล้ว เพราะซิ่วเซียงที่เรียนวิทยาลัยครูกลับมาเป็นครูที่โรงเรียนใหญ่ในสุพรรณบุรี หญิงสาวพบรักกับเพื่อนครูด้วยกัน แม้ฝ่ายนั้นจะเป็นคนไทย แต่หลีกังและเซียมลั้งที่ตอนนี้ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเรื่องฮวนนั้งหรือคนไทยว่านิสัยไม่ดี เกียจคร้านไม่มีวัฒนธรรมมากเหมือนแต่ก่อนแล้ว อีกทั้งสุชาติเป็นคุยสนุกสนานเฮฮา เอาใจผู้สูงวัยเก่ง พอซิ่วเซียงพามาแนะนำที่บ้าน เขาก็เทียวไปมาหาสู่ มาทุกครั้งไม่เคยมามือเปล่า มีขนมหรือผลหมากรากไม้ดี ๆ มาฝากเตี่ยกับม้าครูเซียงตลอด
ดังนั้นไม่นานหลีกังก็พยักหน้ายอมให้ลูกสาวคนเล็กแต่งกับหนุ่มไทยได้
ซิ่วเฮียงมาช่วยงานน้องสาวอย่างสะท้อนใจเล็กน้อย เตี่ยหล่อนมองหน้าแล้วเอ่ยตรง ๆ ว่า
“อย่าคิดเทียบเลย ไม่ใช่อั๊วเลือกที่รักมักที่ชังตามใจน้องมากกกว่าลื้อ แต่ผู้ชายมันไม่เหมือนกันจริง ๆ ไอ้จิ๊กกาโร่ของลื้อนั่นมัน…” หลีกังเห็นหลานชายสุดที่รักมองมา เขาจึงหยุดคำพูดร้าย ๆ ไว้ที่ปลายลิ้น เอาเถอะ…เอาเถอะถึงไอ้ผู้ชายไทยคนนั้นมันสารเลว แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาได้หลานชายแสนดีแสนวิเศษมาคน ไม่ด่ามันก็ได้!
“เฮียงเข้าใจจ้ะเตี่ย เฮียงไม่ดีเองที่ไม่ฟังเตี่ยกับม้าตอนนั้น พอมีลูกแล้วเฮียงถึงเข้าใจว่าไม่มีใครหวังดีกับอั๊วเท่าม้ากับเตี่ยแล้ว”
“รู้ก็ดีแล้ว” หลีกังข่มอย่างมีชั้นเชิงแต่น้ำเสียงและแววตาอ่อนลงมากแล้ว
หลังแต่งงานซิ่วเซียงและสามียังอยู่กับเตี่ยและม้า สองคนสามีภรรยาค่อย ๆ เก็บเงินเพื่อซื้อบ้านตัวเองที่เลือกทำเลไม่ห่างจากบ้านเดิมเท่าไหร่นัก รอว่าเมื่อเส่งย้ายกลับสุพรรณทั้งคู่ก็จะแยกออกไปอยู่ที่บ้านใหม่ แต่ตอนนี้เส่งยังย้ายไม่ได้คู่สามีภรรยาลูกสาวลูกเขยจึงรับหน้าที่ดูแลคนสูงวัยอยู่ หาญจึงสามารถไปเรียนไกล ๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าในบ้านจะมีผู้ชายอยู่คอยทำงานหนักให้อากงอาม่า
ส่วนเส่งตอนนี้ยังทำงานที่โรงพยาบาลเดิม ชายหนุ่มแต่งงานแล้วเช่นกัน ภรรยาของเขาเป็นพยาบาลทำงานในโรงพยาบาลเดียวกันนั่นเอง หล่อนเป็นสาวเชื้อสายจีนที่เกิดและโตในเมืองไทยเหมือนเส่ง ครอบครัวมีโรงพิมพ์ใหญ่ในจังหวัด ภรรยาของเส่งตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว หลีกังกับเซียมลั้งยิ้มไม่หยุดปาก เอ่ยว่าสองปีนี้มีแต่เรื่องดี ๆ อาเซียงแต่งงาน อาเส่งกำลังจะมีลูกและอาหั่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
ซิ่วเฮียงเองแม้จะเป็นแม่ม่าย แต่หล่อนมีลูกชายสามคน ห้องเช่าที่ลานมะเกลือหลีกังและเซียมลั้งเคยไปเห็นมาแล้ว มั่นใจได้ว่ากิจการของลูกสาวคนโตดูแลอยู่ดำเนินไปได้ด้วยดี อย่างน้อยก็มีกินมีใช้ไม่ลำบาก
ดังนั้นพอเห็นลูก ๆ สามคนมีชีวิตที่ไม่เลวร้ายจนถึงดีและดีมาก สองคนผัวเมียก็วางใจ สบายใจ กินได้หลับสบาย สุขภาพจึงดีขึ้น ไม่ได้วิตกกังวลเรื่องหลานชายคนโปรดจะต้องไปเรียนหนังสือไกลตาถึงสี่ปี
แต่เนื่องจากตอนที่หาญจะเข้าโรงเรียน หลีกังตัดสินใจขอรับเด็กชายเป็นลูกของเขากับเซียมลั้งตามกฎหมาย ดังนั้นเขาจึงต้องเป็นคนเซ็นเอกสารต่าง ๆ ให้หลานชาย ส่วนตอนขึ้นไปเรียนนั้นซิ่วเฮียงเป็นคนไปเอง หญิงสาวไปดูสถานที่เรียน ดูหอพักของลูกชายคนโตด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ด้วยความเป็นคนอัธยาศัยดีมาแต่ไหนแต่ไร ลูกชายไม่พูดไม่จา ม้าของลูกก็ทักทายเพื่อนร่วมห้องพักของลูกชายให้แทน ขนมมีติดไปจากกรุงเทพฯมากมาย หญิงสาวก็แจกจ่ายไปทั่วแถมฝากฝังลูกชายกับหนุ่ม ๆ ร่วมห้องรวมไปถึงห้องข้าง ๆ ด้วย ทำให้เพื่อนชายหนุ่มพูดตรงกันว่า
“แม่หาญใจดี แถมยังสาวมากเลย เหมือนเป็นพี่สาวมากกว่าแม่”
หาญรับคำชมด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่ได้ตอบรับอะไรทั้งนั้น
ซิ่วเฮียงอยู่ดูความเรียบร้อยเกี่ยวกับที่พักที่กินของลูกชายก่อนกลับกรุงเทพฯอย่างวางใจ มั่นใจว่าลูกชายที่เข้ากับคนง่ายมีเพื่อนมากมายคงเรียนอยู่ที่นี่ได้อย่างสบาย
หาญเข้ากับชีวิตของนักศึกษาได้ดีเหมือนอย่างที่ม้าของเขาคาด การเรียนของเด็กหนุ่มอยู่ในระดับกลาง ๆ แต่หาญกลับโดดเด่นทั้งเรื่องหน้าตาที่หล่อคมแบบคนไทย ขาวผ่องแบบคนจีน สูงโปร่ง แถมยังมีผีไม้ลายมือเรื่องกีฬา เปิดเรียนไม่นานก็กลายเป็นนักกีฬาตัวจริงของคณะ
ทุกเย็นที่เขาลงซ้อมฟุตบอลจะมีสาวทั้งจากคณะเดียวกันและต่างคณะมายืนเชียร์กันข้าง ๆ ขอบสนาม
งานของคณะถ้าต้องมีการเลือกผู้แทนจากนักศึกษาปีหนึ่ง ชื่อของหาญอยู่ในอันดับต้น ๆ เสมอ
น่าเสียดายที่เมื่อเด่นเกินไปมักก่อปัญหา ถึงเด็กหนุ่มจะไม่สนใจยุ่งเกี่ยวกับใครแต่คนอื่นก็อยากเข้ามาหาเรื่องเขา มีทั้งท้าทายต่อหน้าและนินทาลับหลัง อันที่จริงปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่หาญโชคไม่ดีที่ในบรรดาคนที่หมั่นไส้เขามีรายหนึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่จากโรงเรียนที่สุพรรณ
เริ่มแรกรุ่นพี่หนุ่มรายนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับหาญ แต่สาวน้อยที่เขาถูกตาต้องใจและไล่ตามจีบมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งกลับชื่นชมแต่น้องหาญ ชมว่าหน้าตาดีชมว่าเล่นกีฬาเก่ง แถมยังสุภาพเรียบร้อยไม่มึงมาพาโวยเหมือนนักกีฬาคนอื่น ๆ เวลาเอ่ยถึงเด็กหนุ่มดวงตาของสาว ๆ เป็นประกายระยิบระยับ
รุ่นพี่รายนี้ฟังจนเอียนทนฟังไม่ไหวเลยโพล่งออกมาว่า
“ดีเด่อะไรกันแค่ลูกไม่มีพ่อ แม่มันหนีตามผู้ชายไปตั้งแต่สิบหกสิบเจ็ด สุดท้ายผู้ชายมันทิ้งเลยหอบลูกกลับมาบ้านให้ตายายเลี้ยง สมัยเรียนคนเขาหัวเราะเยาะมันทั้งโรงเรียน อยู่ที่นี่คงนึกว่าไม่มีใครรู้กำพืดมันมั้งเลยทำตัวเด่น ไอ้ลูกไม่มีพ่อ!”
เพื่อนสาวของเขาฟังแล้วรู้สึกสมเพช ไม่ใช่สมเพชหาญแต่เป็นสมเพชคนพูด หล่อนบอกเขาเสียงเย็นว่า
“ลูกไม่มีพ่อก็ยังดีกว่าลูกที่พ่อแม่ไม่อบรมสั่งสอน เที่ยวด้วยดูถูกคนอื่น ว่าคนอื่นเสีย ๆ หาย ๆ เรียนมหาวิทยาลัยแต่ไม่รู้จักทำตัวเป็นปัญญาชน น่าเกลียดที่สุด”
พูดจบก็สะบัดหน้าไป ไม่ยอมคบหากับรุ่นพี่รายนี้ของหาญอีก
รุ่นพี่ฟังแล้วแทนที่จะนึกได้กลับยิ่งโกรธเด็กหนุ่ม หาว่าเพราะเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้เสียแฟนไป
ดังนั้นชายหนุ่มจึงประโคมเรื่องเสีย ๆ หาย ๆ ของหาญจริงบ้างเท็จบ้างไปทั่วคณะ นักศึกษาที่มีใจเป็นธรรมหน่อยก็ไม่กระพือข่าวต่อ พูดตรงกันว่าเรื่องของพ่อแม่ลูกไม่เกี่ยว แต่ในหมู่คนนั้นล้วนเป็นพวกร้อยพ่อพันแม่ มีความรู้ใช่ว่ามีคุณธรรมเสมอกันหมด อีกทั้งความที่อายุยังน้อย มีความคึกคะนอง บางคนไม่ได้คิดอะไร แค่พูดเอาสนุกไปเท่านั้น
ในคนจำพวกหลังมีอยู่รายหนึ่งพักในหอห้องข้าง ๆ ของหาญ อานนท์เด็กหนุ่มชาวกรุงเขม่นหน้าหนุ่มน้อยหน้ามนจากสุพรรณมาตั้งแต่เปิดภาคการศึกษา เสียดายแต่หาญไม่เคยทำอะไรให้เป็นจุดอ่อนโจมตีได้ กระทั่งตอนนี้…
และคงเป็นเพราะจังหวะเหมาะทุกอย่าง หาญที่กำลังหงุดหงิดกับเรื่องข่าวลือต่าง ๆ กลับมาหอพักด้วยหวังจะปิดประตูอยู่เงียบ ๆ แต่เพื่อนข้างห้องที่เอาแต่จับผิดและเยาะเย้ยเสียงสำเนียงสุพรรณของเขาเป็นระยะ ๆ ก็เปิดประตูห้องออกมาเจอกันพอดี
ฝ่ายนั้นยักคิ้วหลิ่วตาทักว่า
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็หนุ่มเนื้อหอมประจำคณะนี่เอง เออ…เมื่อกี้ไอ้พลที่เตะบอลกับแกเพิ่งมาเล่า ฉันถึงได้รู้แม่แกนี่นอกจากใจดีแล้วยังใจง่ายอีก…”
หาญไม่ตอบอะไรแค่กระโดดเข้าใส่อานนท์ซัดด้วยหมัดลุ่น ๆ อัดเข้าไปเต็มที่
เด็กหนุ่มทั้งสองชกต่อยกันชุลมุน แต่ดูแล้วหาญที่เป็นนักกีฬาร่างกายแข็งแรงกว่าเป็นฝ่ายอัดอีกฝ่ายอยู่ข้างเดียว สุดท้ายเมื่อมีเพื่อนฝูงเข้ามาจับแยก คนปากเสียก็หมอบกองกับพื้นเหมือนผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ ผืนหนึ่ง
เรื่องชกต่อยใหญ่โตจนอาจารย์ต้องเข้ามาจัดการ แม้ผลออกมาชัดเจนว่าอีกฝ่ายเริ่มระรานก่อน แต่หาญลงมือ ‘เกินกว่าเหตุ’ ทำอีกฝ่ายเจ็บชนิดที่ต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มเป็นอาทิตย์ ดังนั้นทั้งคู่จึงถูกภาคทัณฑ์ด้วยกัน แต่ทั้งคู่แสดงให้เห็นชัดว่าสำนึกผิด ดังนั้นโทษจึงเป็นเพียงพักการเรียนคนละสองอาทิตย์
ผู้ปกครองของอานท์ได้ยินข่าวรีบขึ้นมาเชียงใหม่ ตอนแรกก็กะจะเอาเรื่องเต็มที่ แต่พอรู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมด บิดาของฝ่ายนั้นที่เป็นข้าราชการระดับกลาง ๆ กลับเอ่ยขอโทษเด็กหนุ่มอย่างจริงใจ เขาดุลูกชายที่หงอหงอยอย่างเห็นได้ชัดว่า
“กินขนมแม่หาญแล้วยังพูดจาไม่ดีให้ผู้มีน้ำใจถือว่าเนรคุณ พูดจาไม่ดี ก้าวร้าวหยาบคายกับเพื่อนถือว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย นนท์…พ่อผิดหวังในตัวแกจริง ๆ”
อานนท์น้ำตาซึม รีบขอโทษบิดามารดาอย่างน่าสงสาร แต่พ่อของเขากลับบอก
“ขอโทษพ่อกับแม่ทำไม ทำผิดกับใครก็ต้องขอโทษกับคนนั้นสิ พ่อกับแม่เองก็ต้องขอโทษเพื่อนนนท์เพราะเลี้ยงลูกมาไม่ดี อบรมแกไม่มากพอถึงได้เป็นคนแบบนี้”
หาญเองมองบิดาเพื่อนแล้วกำหมัดแน่นน้ำตาคลอหน่วยด้วยความแค้นใจ
แค้นด้วยความอิจฉา…
ทำไมคนอื่นมีพ่อที่ดี แต่เขากลับไม่มี…
ช่วงเวลาที่ถูกพักการเรียนหาญไม่อยากอยู่หอ เขาเลยจัดของลงกระเป๋าใบเล็กแล้วกลับบ้านที่สุพรรณ หลีกังพอเห็นหน้าหลายชายและรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็ทั้งโกรธทั้งเสียใจ จากนั้นก็โทรศัพท์ไปด่าซิ่วเฮียงระบายความโกรธ
“ถ้าลื้อไม่หนีตามไอ้จิ๊กกาโร่นั่นไป หลานคงไม่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ถูกคนเขาดูหมิ่นเหยียดหยามต้องต่อยตีกับคนอื่นจนหน้าช้ำตาปูดขนาดนี้”
ซิ่วเฮียงรับสายเตี่ย ทั้งตกใจและเสียใจแต่ต้องทนฟังเตี่ยด่าจนหูชาก่อนขอคุยกับหาญ ทว่าเด็กหนุ่มไม่ยอมออกจากห้องมารับสายมารดา หลีกังเลยด่าลูกสาวไปอีกรอบ
“อาหั่งไม่อยากคุยกับลื้อ อีคงอายที่มีแม่แบบลื้อ อาเฮียงลื้อจำไว้เลยนะว่าถ้าอาหั่งเป็นอะไรไปอั๊วจะไม่ยกโทษให้ลื้อเด็ดขาด”
“เตี่ย…” ซิ่วเฮียงได้แต่เอ่ยเสียงเบาอย่างอ่อนใจ
วางสายจากบิดา หญิงสาวก็ฝากลูกชายสองลูกบุญธรรมหนึ่งให้เง็กซิมดูแล วันรุ่งขึ้นก็รีบนั่งรถโดยสารประจำทางไปสุพรรณบุรี ถึงบ้านหล่อนไม่ฟังเสียงบ่นของเตี่ยหรือท่าทีส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจของม้า แค่ทักน้องสาวคำหนึ่งรับไหว้น้องเขยนิดหนึ่งก่อนรีบไปเคาะประตูเรียกลูกชาย
ตอนแรกซิ่วเฮียงคิดว่าหาญคงไม่ยอมเปิดประตูให้แต่แค่เรียกคำเดียวหาญก็เปิดประตูให้โดยง่าย
“หั่ง ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมลูก” หญิงสาวมองใบหน้าที่มีรอยช้ำม่วงแต่จางลงมากแล้วของลูกชายอย่างปวดใจ อยากจะเข้าไปจับแขนจับบ่าดูว่ามีรอยช้ำตรงไหนอีกแต่ไม่กล้า ลูกชายคนโตนั้นเป็นทั้งลูกและเป็นคนแปลกหน้าสำหรับซิ่วเฮียง เป็นลูกที่หล่อนรักและสงสารที่สุดแต่ก็แปลกหน้าที่สุดด้วย
“ไม่เจ็บเท่าอีกฝ่าย หมอนั่นไม่มีฝีมือดีแต่ปากเก่ง…” กับมีพ่อที่ดี การได้เห็นอานนท์อยู่กับพ่อและแม่แล้วเขาเจ็บปวดด้วยความอิจฉามากกว่าถูกด่าว่าลูกไม่มีพ่อเสียอีก
“ฝ่ายไหนจะเจ็บมากเจ็บน้อยกว่ามันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ” ซิ่วเฮียงอดตักเตือนลูกชายด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “เพื่อนกันอยู่หอเดียวกันแท้ ๆ ไม่น่าต่อยตีกันเลย หั่งไม่น่าใจร้อน ใครเขาจะพูดอะไรก็ช่างเขา กู๋เส่งของหั่งเคยบอกม้าเสมอว่า อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน*”
หาญหัวเราะเสียงขื่น กลอนบทนี้กู๋เส่งให้เขาท่องเสมอตอนเด็ก เพื่อสอนให้เขาหนักแน่นอดทนต่อคำเยาะเย้ยถากถางของเด็กอื่นในโรงเรียน แต่ความอดทนของคนเรานั้นล้วนมีขีดจำกัด
“แล้วม้าเคยได้ยินเพลงไหมที่เขาว่าน้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน ม้าไม่มาเป็นหั่งม้าไม่รู้หรอก”
“ทำไมไม่รู้สิ่งที่หั่งเจอม้าเจอมาแล้วทั้งนั้น”
“นั่น…” เด็กหนุ่มเน้นคำแน่นหนักทว่าหางเสียงขมขื่น “เป็นสิ่งที่ม้าเลือกทำ ม้าต้องรับผิดชอบ
กับการกระทำของม้า แต่หั่งไม่ได้เลือก ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมหั่งต้องมาเดือดร้อนเพราะสิ่งที่ม้าทำด้วย”
ซิ่วเฮียงสะอึกหน้าขาวซีดก่อนเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ น้ำตาคลอหน่วยเมื่อเอ่ยว่า
“หั่ง…ม้าขอโทษ”
หาญเบือนหน้าหนีไปทางหนึ่ง เขาอยากจะพูดแทงใจดำอยากจะทำให้ม้าเจ็บเหมือนที่เขาเจ็บ แต่ทำแล้วกลับไม่รู้สึกสะใจอะไรเลย…
“ม้า ผู้ชายคนนั้น…เป็นใคร เขายังอยู่ไหม หั่งเคยได้ยินอากงพูดเหมือนกับเขายังไม่ตาย เขารู้ไหมว่าม้ามีหั่ง” เด็กหนุ่มตัดสินใจถาม เมื่อยังเล็กเขาอยากรู้เหลือเกินว่าพ่อผู้ให้กำเนิดเป็นใคร แต่เขาได้ยินอากงด่าว่า ‘ไอ้จิ๊กกะโร่’ หรือไอ้ฮวนนั้งคนนั้นด้วยความเกลียดชังบ่อย ๆ อาม่าจึงห้ามไว้อย่าถามถึงให้อากงได้ยินบอกว่าถ้าเขาถามถึงอากงจะเจ็บใจเสียใจ หาญรักอากงและรู้ว่าอากงรักเขามาก อาจจะรักกว่าม้าและอี๊เซียงเสียอีก ดังนั้นหาญจึงไม่อยากทำให้อากงเสียใจ เขาจึงยอมปิดปากเงียบไม่ซักไม่ถาม
แต่การที่เงียบใช่ว่าจะไม่อยากรู้ และความอยากรู้สิบกว่าปีนั้นกัดกินหัวใจเขามาโดยตลอด
“รู้”
“เขามีเมียมีลูกใหม่แล้วใช่ไหมถึงได้ไม่สนใจหั่ง” เด็กหนุ่มถามอย่างขมขื่น
“ม้าไม่รู้ ตั้งแต่ออกจากมหาชัยมาไม่เคยกลับไปอีกเลย แต่ตอนที่หั่งยังเล็กเคยได้ข่าวว่าเขาไม่สบาย…ไปมีเรื่องกับคนเขาเลยถูกตีจนพิการ”
ส่วน ‘เรื่อง’ ที่ว่าเพราะอะไรนั้นซิ่วเฮียงไม่อยากเล่าให้ลูกชายฟัง ว่าไปแล้วหล่อนเห็นแก่ตัวเหมือนกัน อยากเล่าเรื่องร้าย ๆ ของพนมให้ลูกฟัง แต่ความกลัวว่าถ้าหาญรู้แล้วจะเจ็บปวดมีมากกว่าความเห็นแก่ตัวในใจ หญิงสาวจึงยั้งปากตัวเองไว้ บอกแค่คร่าว ๆ เท่านั้น
ดวงตาของหาญเป็นประกายด้วยความหวัง บางทีที่เขาไม่มาหาอาจไม่ใช่เพราะไม่ต้องการ แต่เป็นเพราะมาไม่ได้…
“ม้า หั่งอยาก…พบหน้าพ่อสักครั้ง ม้า…” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มวิงวอน เขานึกว่าม้าอาจจะปฏิเสธ แต่ซิ่วเฮียงกลับตอบรับทันทีว่า
“ถ้าหั่งอยากเจอ ม้าจะพาไป”
เด็กหนุ่มตื่นเต้นดีใจเพราะคาดไม่ถึง เขาย้ำ
“ม้าพาหั่งไปได้จริง ๆ นะ ม้าไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”
“ไม่มี ถ้าหั่งอยากไปเจอม้าก็จะพาไป”
ซิ่วเฮียงรับคำลูกชายอย่างไม่กังวล หล่อนมั่นใจว่าหาญโตแล้วพร้อมที่จะรู้จักกับอีกด้านของชีวิตเขาแล้ว แต่น่าเสียดายที่ในบ้านกลับมีคนไม่พร้อม…หลีกังที่รู้ข่าวจับบทด่าลูกสาวคนโตหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ๆ ด่าว่าหล่อนยุ่งไม่เข้าเรื่อง คิดจะสร้างปัญหา อยู่ว่างเกินไปถึงได้หาเรื่องใส่ตัว อยู่ว่างเกินไปถึงได้หาเรื่องใส่ตัว ถึงขนาดกล่าวหาว่าซิ่วเฮียงไม่รักลูก คิดจะสร้างเรื่องให้หาญ
ซิ่วเซียงสงสารและเข้าใจพี่สาว จึงช่วยพูดแทนให้ว่า
“เตี่ยอย่าว่าแจ้เลย เซียงว่าแจ้ทำถูกแล้ว ให้อาหั่งไปเจอพ่อสักครั้ง เด็กมันจะได้ไม่มีปม”
“ปมอะไร หั่งมีปมอะไร หลานอั๊วอั๊วเลี้ยงมาอย่างดีไม่มีปมเปิมอะไรทั้งนั้น” หลีกังเถียงลูกสาวคนเล็กตาขวาง ขัดใจว่าพี่น้องมันเข้าข้างกัน รวมหัวกันเล่นงานเขา
“เตี่ยถ้าอาหั่งมันไม่มีปมมันจะเกิดเรื่องชกต่อยกับเพื่อนหรือ หั่งมันเด็กดีมันรู้ว่าเตี่ยไม่อยากได้ยินเรื่องพ่อมัน หั่งเลยไม่พูดทำเหมือนไม่สนใจ แต่เด็กที่ไหนจะไม่สนใจพ่อแม่กัน อย่างน้อยก็อยากรู้ว่าพ่อหน้าตาเป็นยังไง”
“จะเป็นยังไง” หลีกังสวนทันทีแม้น้ำเสียงจะอ่อนลงเล็กน้อย “ก็คนนี่แหละ มีตามีจมูกมีปากเหมือนกัน”
“มันไม่เหมือนกันนะเตี่ย ต่อให้มีภาพถ่ายมันก็ไม่เหมือนได้เจอตัวจริง ๆ สักครั้ง ได้คุยด้วยสักคำ” ซิ่วเซียงชี้แจงก่อนพูดสิ่งที่อยู่ในใจชายสูงวัยว่า “เตี่ยอย่าห่วงเลยว่าพออาหั่งเจอฝั่งโน้นแล้วจะอยากไปทางนั้น”
จากที่ฟังเฮียงแจ้เล่า บ้านทางพ่อของหาญฟังดูไม่ดีเอามาก ๆ แม่ปากร้าย น้องสาวละโมบโลภมาก ตัวผู้ชายก็พิการนอนติดเตียง สภาพแบบนั้นเด็กที่ไหนยังจะอยากอยู่ด้วยกัน
“หลานเตี่ยฉลาด ให้ไปเห็นไปเทียบดูให้ชัดไปเลยว่าบ้านเขาบ้านเราเป็นยังไง ดีเลวต่างกันแค่ไหน อาหั่งมันจะได้ไม่โหยหา”
“แน่ล่ะ อาหั่งฉลาด อั๊วเชื่อว่ามันไม่มีวันเห็นขี้เป็นทองเหมือนใครบางคนหรอก!” หลีกังอ่อนลงมากแต่ยังมิวายประชดประชัน
‘ใครบางคน’ ได้แต่ถอนใจอย่างอับจน แต่เตี่ยเองก็พูดไม่ผิดหรอกหล่อนตาบอดเห็นขี้เป็นทองจริง ๆ
เพราะได้รับการเกลี้ยมกล่อมจากลูกสาวคนเล็กแถมลูกเขยเล็กยังช่วยพูดสนับสนุนอีกแรง หลีกังจึงยอมปล่อยให้ซิ่วเฮียงพาหาญไปมหาชัย แต่ก่อนจะไปอากงของหาญยังกำชับแล้วกำชับอีกว่าให้อาหั่งระวังตัว ให้สัญญาว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือตัดสินใจอะไรให้กลับมาคุยกันที่บ้านก่อน
หาญตกลงชายสูงวัยจึงยอมถอย ทำแค่แค่นลมหายใจดัง ๆ ใส่ลูกสาวคนโตเท่านั้น
การเดินทางจากสุพรรณไปสมุทรสาครสมัยนี้แทบไม่มีการเดินทางทางเรืออีกแล้ว ซิ่วเฮียงตัดสินใจพาลูกชายเข้ากรุงเทพฯแล้วขึ้นรถไฟจากวงเวียนใหญ่ไปลงที่สถานีรถไฟมหาชัย
เกือบสิบเจ็ดปีที่ไม่ได้มาเหยียบมหาชัย ซิ่วเฮียงเหลียวมองรอบตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ ตัวถนนเส้นหลักของตลาดเดิมเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก แต่ร้านค้าคูหาใหม่ ๆ ผุดขึ้นมาก ตลาดขยายออกไปจนเกือบถึงแถวบ้านของพนม
ออกจากสถานีรถไฟ หญิงสาวพาลูกชายเดินอ้อมไปบนถนนหน้าตลาดสด ร้านทองของพยอมยังอยู่แต่คนในร้านไม่คุ้นหน้า ร้านตัดเสื้อของโสภีที่หล่อนเคยเอาดอกไม้ผ้ามาฝากขายไม่อยู่แล้ว เปลี่ยนเป็นร้านขายเครื่องเขียน สมุด ปากกา กล่องดินสอน่ารัก ๆ ที่เด็กวัยรุ่นนิยมกัน
จากตลาดเดินมาพักใหญ่ก็ถึงเรือนแถวสองชั้นที่ซิ่วเฮียงเคยเช่าอยู่ เรือนไม้ถูกรื้อถอนไปหมดแล้วเปลี่ยนเป็นห้องแถวใหม่เอี่ยม ส่วนใหญ่เปิดชั้นล่างเป็นร้านขายของมีทั้งขายอาหารและขายพวกอะไหล่รถยนต์
ซิ่วเฮียงใจหายเหมือนกัน นึกว่าจะพาลูกชายมาไหว้น้าแก้วผู้มีพระคุณ แต่ทั้งคนและบ้านแถวนี้เปลี่ยนไปหมดแล้ว คนก็หายกันไปหมด ลองถาม ๆ คนที่มาอยู่ใหม่ดูไม่มีใครรู้จักผู้หญิงชื่อแก้วที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่
หญิงสาวเหลียวซ้ายมองขวาแถวนั้นแล้วรู้สึกผิดไม่น้อย ทั้งที่สัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าจะส่งข่าวถึงกันทว่าตั้งแต่ออกจากมหาชัยไปหล่อนก็ไม่ได้ติดต่อกับน้าแก้วเลย ตอนนั้นแม้ซิ่วเฮียงจะพูดภาษาไทยคล่องแต่เขียนตัวหนังสือไทยแทบไม่ได้เลย น้าแก้วเองก็อ่านภาษาจีนไม่ได้ หล่อนเคยส่งจดหมายแจ้งข่าวว่ากลับถึงบ้านที่สุพรรณเรียบร้อยแล้วหนึ่งฉบับ แต่ไม่ได้รับจดหมายตอบ ตอนย้ายเข้ากรุงเทพฯ ซิ่วเฮียงไม่ได้เอาที่อยู่ซึ่งน้าแก้วจดไว้ให้ไปด้วย พอกลับมาเยี่ยมบ้านอีกทีกระดาษจดก็หายไปแล้ว สุดท้ายจึงกลายเป็นว่าพอแยกจากก็ห่างกันออกไปเรื่อย ๆ จนไม่ได้ติดต่อไม่รู้ข่าวสารของกันและกันอีก
มาคราวนี้นึกว่าจะพาลูกมาไหว้ผู้มีพระคุณ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว หาคนคุ้นหน้าไม่เจอเลย
แต่ดูเหมือนตลาดจะขยายมาถึงเพียงแค่เรือนแถวเก่านี้เท่านั้น เพราะถัดไปจากนั้นล้วนเป็นบ้านเรือนและห้องแถวไม้ที่ซิ่วเฮียงคุ้นตาและจดจำได้ และเมื่อยิ่งเดินไปหัวใจของหญิงสาวยิ่งกระวนกระวาย ทุกย่างก้าวเหมือนมีใครมาบีบมากวนหูเหมือนแว่วเสียงด่าทอของพิกุลลั่น ๆ อยู่ในหัว
ถ้าว่ากลัวไหม…อายุปูนนี้แถมก่อนจะจากกันหล่อนยังไม่กลัว แล้วตอนนี้จะกลัวได้อย่างไร แต่ความรู้สึกเหมือนอารมณ์อื่น…อึดอัด หงุดหงิด ไม่อยากพบหน้าไม่อยากเจอหน้าไม่อยากได้ยินเสียง
ซิ่วเฮียงอยากจะหยุดและหันหลับกลับเสียหลายต่อหลายครั้ง ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าทั้งประหม่าทั้งหวาดหวั่นทั้งคาดหวังหมุนเวียนไปบนใบหน้าที่พยายามข่มให้นิ่งเฉยของลูกชายแล้วหญิงสาวหันหลังไม่ได้
เท้าก้าวไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
สิบกว่าปีผ่านไป ซอยเล็กที่ทอดสู่บ้านไม้สองชั้นของพิกุลมีความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก บ้านหลังหรือสองหลังซ่อมแซมทาสีใหม่ แต่นอกเหนือจากนั้นล้วนทรุดโทรมไปตามวันเวลา ช่วงกลางวันแบบนี้ถ้าคนพักอาศัยไม่ออกไปทำงาน พวกที่เพิ่งเลิกทำงานที่แพปลาในตอนเช้าก็คงกำลังนอนหลับพักผ่อนกัน
สองแม่เดินตามกันมาจนถึงบ้านไม้สองชั้นท้ายซอย ตัวบ้านไม่ได้ดูทรุดโทรมอย่างที่คาด แม้ลานเล็ก ๆ ด้านข้างจะว่างโล่งไม่มีการตากปลาตากหอยแต่สภาพก็เรียบร้อยดีไม่ได้รกรุงรังอะไร ซิ่วเฮียงหวั่นใจเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าครอบครัวพิกุลย้ายออกไปแล้วนะ
“หลังนี้หรือม้า”
“หลังนี้แหละ” ซิ่วเฮียงยิ้มให้ลูกชายก่อนเอื้อมมือไปกดกริ่ง
ครั้งแรกในบ้านยังเงียบ หญิงสาวตัดสินใจกดอีกครั้ง ไม่นานเกินรอก็มีเสียงด่าลั่นออกมา
“กดหาตวักตะบวยอะไรมิทราบยะ รู้อยู่ว่าบ้านปิดไว้เฉย ๆ อยากจะเข้าก็เปิดประตูเข้ามาเลยจะกดกริ่งปลุกคนอื่นทำไม”
ได้ยินเสียงแล้วซิ่วเฮียงทั้งหนักใจและโล่งใจ รู้แล้วพิกุลกับครอบครัวคงยังไม่ได้ย้ายไปไหน แต่ยังไม่ได้เอ่ยอะไรกับลูกชาย ประตูบ้านก็ถูกกระชากออก วาสนาที่คงเพิ่งตื่นหน้าตายังไม่แต่งแต่ปากยังมีคราบลิปสติกแดง ๆ เลอะอยู่ยื่นหน้าออกมา แม้อายุจะน้อยกว่าซิ่วเฮียงเล็กน้อยแต่หญิงสาวตรงหน้ากลับดูเหมือนคนวัยสี่สิบเศษ รอบตาและมุมปากเริ่มมีร่องรอยแห่งวัย ผิวหน้ากร้านเพราะใช้ชีวิตที่ผ่านมาอย่างหนักทั้งสุราและบุหรี่
วาสนาหรี่ตามองสู้แสง พอเห็นหน้าชัดรู้ว่าไม่ใช่คนที่คิด หล่อนก็ชะงักไปเล็กน้อย ทว่าพอจำได้ว่าคนตรงหน้าคือใคร หล่อนก็เปิดปากด่าอย่างหยาบคายเหมือนพิกุลแต่คำพูดรุนแรงกว่าทันทีว่า
“อี-อกทองมึงกลับมาเหยียบบ้านกูทำไม อีสารเลว ไม่มีทางไปแล้วสิถึงได้ซานกลับมาที่นี่!”
เชิงอรรถ :
(1) “อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา” กลอนสุนทรภู่ จากเรื่องพระอภัยมณี
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 44 : ฝันสลาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 43 : รอยร้าว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 42 : สัญญา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 41 : อามาลัย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 40 : พบหน้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 39 : ลูกไม่มีพ่อ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 38 : หมากฝรั่งบุหรี่
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 37 : พิราบขาว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 36 : คนนอก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 35 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 2)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 34 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 1)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 33 : คดในข้องอในกระดูก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 32 : สัญญาที่ไม่เป็นธรรม?
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 31 : แม่ม่ายลูกกำพร้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 16 : เลิกกับผัวแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 12 : เข้ากรุง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 11 : ส้วมที่แตกแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 6 : หาญ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง