หลังภาพมายา บทที่ 2 : เป็นเพียงแค่ฉากหน้า
โดย : จันทร์จร
หลังภาพมายา นวนิยายรักเข้มข้น รางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๓ โดย จันทร์จร กับเรื่องราวที่อาจจะทำให้คุณเปลี่ยนมุมมองความรักไปตลอดกาล…เมื่อเธอต้องการหย่า แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด แผนการแยบยลจึงเกิดขึ้น โดยมีน้องสาวมาเอี่ยว จุดจบของรักและความต้องการนี้จะเป็นอย่างไร อ่านพร้อมกันได้ใน anowl.co
หลายครั้งที่ภาคภูมิเกิดคำถามเกี่ยวกับชีวิตคู่ของตน ว่าอะไรที่ทำให้ความสมบูรณ์พร้อมที่เขาปรารถนา กลายเป็นความเย็นชาและจืดชืดไร้ชีวิตชีวาดั่งเช่นทุกวันนี้ ชายหนุ่มเคาะนิ้วกับโต๊ะทำงานพลางครุ่นคิด เจ็ดปีกับชีวิตการแต่งงานนับวันยิ่งรู้สึกว่าทุกอย่างช่างไร้ความหมาย จนเขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ดูรูปแต่งงานและมีความสุขกับมันผ่านมาแล้วกี่ปี
ความผิดพลาดทั้งหมดนั้นเกิดจากอะไร ในเมื่อกีรดาก็ยังทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เธอเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เขาต้องการโดยไม่ปริปากบ่นให้ระคายหู ทั้งสุภาพอ่อนหวาน สวยน่ารัก เก่งกาจ และฉลาดอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นน่าจะทำให้เขาเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉา แต่ทำไมยิ่งนานวันความพิศวาสที่เคยมีกลับถดถอย ไร้ซึ่งความเย้ายวนใจในแบบที่ชายหญิงควรจะเป็น เหลือเพียงแค่ความรู้สึกผูกพันเท่านั้นที่ยังประคองชีวิตคู่เอาไว้ได้
เขาไม่มีเวลาจมอยู่กับเรื่องนี้นานนัก เมื่อเสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้น พร้อมกับเสียงหวานจากผู้ช่วย ส่วนตัวที่บอกว่ามีแขกคนสำคัญมาหา ภาคภูมิจึงตอบกลับและอนุญาตให้คนผู้นั้นเข้ามาทันที
“แม่ได้ยินว่าเมื่อคืนลูกไม่ได้กลับบ้าน”
เสียงของพรพรรณเอ่ยแทบจะพร้อมกับประตูห้องทำงานที่เปิดออกกว้าง ขณะที่เธอเดินเข้ามานั่งบนโซฟารับแขกตัวใหญ่ แล้วมองบุตรชายด้วยสายตาตั้งคำถาม
“กี้เขาโทรไปฟ้องคุณแม่เหรอครับ”
“หึ คนอย่างเขาเหรอจะมาฟ้องแม่ เรื่องแบบนี้แม่น่ะรู้เองได้”
คำพูดของมารดาทำเอาคนฟังได้แต่อมยิ้ม แน่ละเพราะคนอย่างกีรดานั้นหาใช่คนช่างฟ้อง หรือหากจะทำแม่ของเขาก็คงเป็นคนสุดท้ายที่เธอจะนึกถึง และถ้าให้เดาคนที่คาบข่าวนี้มาบอกคงจะเป็นแม่บ้านนั่นเอง
ส่วนคนที่ตั้งใจจะมาหาลูกชาย เมื่อไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน แสดงว่าเรื่องที่ได้ยินมานั้นถูกต้อง พรพรรณได้แต่ถอนหายใจ แล้วพยายามพูดกับเขาอย่างใจเย็น
“โกรธอะไรกัน ถึงได้ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องน่ะ”
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมแค่รู้สึกเบื่อๆ” เขาตอบตามตรง เรื่องเมื่อวานถ้าจะเรียกว่าโกรธจัดจนไม่อยากเจอหน้าคงไม่ใช่ เพียงแค่มันเป็นข้ออ้างเล็กๆ ไว้ประกอบเหตุผลที่ทำให้เขาไม่อยากอยู่บ้านมากกว่า
“ผัวเมียกันอยู่ด้วยกันนานๆ จะเบื่อกันบ้างมันก็ไม่แปลกหรอก แต่ที่แม่จะเตือนก็เรื่องที่เราไปใช้บริการพวกผู้หญิงไซด์ไลน์นั่นแหละ พักหลังแม่ว่าลูกเริ่มไปเที่ยวแบบนั้นบ่อยเกินไปแล้วนะ ระวังความรู้สึกของอีกคนเอาไว้บ้างก็ดี” เธอตักเตือนลูกชายตามประสาคนเป็นแม่ ด้วยเรื่องที่ได้ยินมาโดยเฉพาะเรื่องลูกชายไปใช้บริการเพื่อนเที่ยวบ่อยครั้งนั้น มันยิ่งทำให้เธอเป็นกังวล
“ผมก็แค่หาความสุขบ้างตามประสาผู้ชายน่ะครับคุณแม่ กี้ก็เข้าใจเรื่องนี้ดีเพราะเราตกลงกันแล้ว”
ภาคภูมิอธิบายอย่างคนไม่คิดอะไร เช่นเดียวกันกับที่เขาไม่คิดจะปกปิดเรื่องนี้กับกีรดา นั่นยิ่งทำให้พรพรรณรู้สึกหนักใจ จนอดที่จะเตือนลูกชายตัวเองไม่ได้
“ใส่ใจความรู้สึกอีกคนไว้บ้างก็ดี ยังไงก็เป็นครอบครัวเดียวกัน แล้วอย่าย่ามใจว่าจะกำราบเมียตัวเองได้ตลอดไปนะภูมิ ถ้าเขาไม่พอใจแล้วเอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณพ่อขึ้นมา แม่ก็ช่วยอะไรไม่ได้”
“เขาไม่กล้าหรอกครับ” เขายิ้มอย่างมั่นใจ ถึงกีรดาจะคอยช่วยเหลือเขาหลายเรื่อง แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอเองก็ต้องพึ่งพาสามีอย่างเขาในอีกหลายเรื่องเช่นกัน และในความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่เสียผลประโยชน์นี้ ทำให้เขามั่นใจว่า คนอย่างกีรดาจะไม่กล้าหักหลังเขาอย่างแน่นอน
ขณะที่คนฟังนั้นได้แต่ถอนหายใจกับความลำพองของลูกชายตน ความมั่นใจในตัวเองของเขานั้นมีมากเกินไป จนบางทีเธอเองก็คิดว่าลูกชายอาจจะตามเมียตัวเองไม่ทัน
“ลูกประมาทกี้เกินไปแล้วนะ จำเรื่องเมื่อสองปีที่แล้วไม่ได้เหรอว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ช่วย ป่านนี้ลูกก็คงไม่ได้มานั่งอยู่ในห้องนี้หรอก”
คำพูดของมารดาทำให้ภาคภูมิได้คิด เรื่องเมื่อสองปีที่แล้วเป็นสิ่งที่เขาจำได้เป็นอย่างดี ตอนนั้นเขาตัดสินใจที่จะลงเล่นการเมืองเพื่อจะพิสูจน์ตัวเองกับบิดาอีกครั้ง หลังจากทำได้สำเร็จกับบริษัทผลิตสื่อออนไลน์ที่กำลังจะเจ๊งจนกลับมามีกำไรได้ ซึ่งนั่นทำให้เขาวางแผนที่จะลาออกจากทุกตำแหน่งในบริษัท รวมถึงการขายหุ้นทั้งหมดให้กับแม่ด้วย ซึ่งความจริงกีรดาควรได้รับหุ้นไปส่วนหนึ่งตามที่ตกลง
แต่ด้วยเหตุผลในเรื่องของการถือหุ้นสื่อของภรรยานั้น อาจทำให้เส้นทางการเมืองของเขามีปัญหา ภาคภูมิเลยต้องยกหุ้นทั้งหมดที่ถือให้กับพรพรรณผู้เป็นแม่ นั่นทำให้กีรดาไม่พอใจเป็นอย่างมากและเกือบจะทำทุกอย่างพัง หากเรื่องนี้ไม่ได้แม่ช่วยเจรจาแทน โดยการมอบตำแหน่งผู้บริหารให้เธอจนกว่าจะถึงปีที่เลือกตั้ง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปัญหานั้นจะจบลงอย่างไร
“แม่ก็แค่เตือน เพราะเท่าที่เห็นเมื่อวาน กี้ก็ยังรู้เรื่องปัญหาในพรรคเป็นอย่างดีด้วยไม่ใช่เหรอ” เธอเตือนเพราะไม่อยากให้ลูกชายเบาใจเกินไป
“เรื่องนั้นผมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีกครับคุณแม่” ภาคภูมิรับปาก
“เขาเป็นคนเก่งมาแต่แรก แม่เคยบอกแล้วว่าคนทะเยอทะยานอย่างกี้คงไม่ยอมตามหลังลูกตลอดไปแน่ แล้วไอ้ตำแหน่งที่ให้ทำอยู่ตอนนี้น่ะ อย่าคิดว่าเขาจะพอใจเพราะนั่นยังไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ” พรพรรณย้ำถึงตำแหน่งปัจจุบันที่ให้กีรดาทำ ที่สำคัญก็คือการเลือกตั้งที่จะมาถึงในปีหน้า ตามข้อตกลงกีรดาต้องลาออกจากบริษัทพีจีเอ็นภายในสิ้นปีเพื่อป้องกันปัญหา ซึ่งนั่นทั้งเธอและลูกยังไม่รู้เลยว่าควรจะจัดการอย่างไรดี
“ผมจะพยายามไม่ให้เกิดปัญหาครับ คุณแม่ไม่ต้องห่วง” พอฟังคำที่มารดาเตือนและคิดตามเขาก็รู้สึกเห็นด้วย จนลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่นั้นเขายังมองว่าเธอเป็นภรรยาที่แสนดีอยู่เลย
สองแม่ลูกคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เลขาฯ ส่วนตัวของภาคภูมิจะขัดจังหวะด้วยการนำกาแฟเข้ามาให้เจ้านาย และชาสำหรับผู้มาเยือน พอพรพรรณได้เห็นแก้วกาแฟพลาสติกที่สกรีนโลโก้สีแดงเด่น ก็อดที่จะแซวลูกชายไม่ได้
“ร้านกาแฟดีๆ แถวนี้มีตั้งมากมาย ทำไมถึงต้องสั่งจากเจ้านี้ทุกวันด้วย ไกลก็ไกล” เธอทักเพราะจำได้ว่าเคยถามเขาเรื่องนี้ไปแล้ว และไม่คิดว่าร้านนี้จะมีความพิเศษอะไรที่ถึงกับต้องสั่งให้มาส่งทุกวัน
“ถึงร้านที่ดีกว่านี้จะมีเยอะ แต่ผมถูกใจอยู่ร้านเดียวนี่ครับ” ภาคภูมิยิ้มแล้วมองแก้วกาแฟของตนเองอย่างมีความสุข จริงอยู่ที่จะหาร้านกาแฟที่ดีกว่าในย่านนี้นั้นมีมาก แต่นั่นคงไม่เท่ากับความถูกใจที่เขามีให้กับร้านนี้แน่นอน
ด้านคนที่อยู่กับการเฝ้ารอนั้น ก็ได้แต่นั่งถอนหายใจกับแก้วลาเต้ที่เย็นชืด หลายวันมานี้ไม่เพียงแต่ภาคภูมิจะเย็นชาใส่เธอเท่านั้น แต่ยังไม่กลับมานอนบ้านหลายวัน จนตอนนี้กีรดาเองก็ชักไม่มั่นใจแล้วว่าเขานั้นแค่ไม่พอใจในบางเรื่อง หรือไม่อยากอยู่กับเธอกันแล้วแน่
“เป็นอะไรรึเปล่ากี้ สีหน้าเธอดูไม่ค่อยดีเลยนะ” อรวีย์ที่นั่งอยู่ด้วยกันมานานเริ่มสงสัย เพราะเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นั่งคิดอะไรอยู่คนเดียว ทั้งที่เป็นฝ่ายชวนเธอออกมานั่งร้านกาแฟย่านชานเมืองแท้ๆ แต่กลับไม่มีกะใจจะสนทนากับเพื่อนเลย
“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดเรื่องงานน่ะ”
ทว่าคนรอคำตอบกลับไม่คิดเช่นนั้น ด้วยอาการใจลอยอย่างที่เพื่อนเป็น อรวีย์คิดได้อย่างเดียวว่านี่ต้องเป็นเรื่องส่วนตัวอย่างแน่นอน
“คงไม่ใช่หรอกมั้ง ช่วงนี้เธอใกล้จะต้องลาออกจากตำแหน่งแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนี้น้องสาวเธอก็จะมาเป็นผู้ช่วยเธอแล้วด้วย”
เธอตั้งข้อสังเกตตามที่ได้รับรู้ เพราะตอนนี้กีรดาควรจะวางเรื่องงานและเตรียมหาคนมาทำหน้าที่แทนได้แล้ว อีกทั้งงานตัวเองก็กำลังจะมีน้องสาวมาช่วยเหลือ หากจะมีเรื่องใดที่ทำให้เพื่อนเธอออกอาการแบบนี้ได้ ก็คงมีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น
“บอกฉันมาว่าที่เป็นแบบนี้เพราะว่าสามีเธอใช่ไหม” อรวีย์จ้องตาเพื่อนรักเขม็ง ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำท่าเหมือนจะยอมรับเสียเดี๋ยวนั้น
“ช่วงนี้ภูมิเขาไม่ค่อยกลับบ้านน่ะ” พูดเสร็จกีรดาก็ถอนหายใจออกมา แล้วทิ้งตัวพิงพนักโซฟาอย่างอ่อนใจ
“ว่าแล้วเชียว” พอได้ยินดังนั้น คนฟังก็ทำหน้าหนักใจไปด้วย ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา “ขอฉันพูดตรงๆ เถอะนะ ฉันไม่เคยเห็นด้วยเรื่องที่เธอปล่อยภูมิไปเที่ยวกับพวกไซด์ไลน์เลย โดยเฉพาะกับรัชนีอะไรนั่น ใครๆ ก็รู้ว่านางน่ะแสบแค่ไหน”
อรวีย์ละไว้ในฐานที่เข้าใจกันว่าเพื่อนเที่ยวของภาคภูมิที่ชื่อรัชนีนั้น เป็นหญิงสาวที่ค่อนข้างเจนจัดในเรื่องการหลอกผู้ชาย โดยเฉพาะกับคนรวย แน่นอนว่าเธอไม่อยากให้เพื่อนตกเป็นเหยื่อของผู้หญิงพวกนั้น ทว่าคนฟังกลับเห็นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“ผู้หญิงอย่างนั้นก็รับงานเที่ยวกับพวกไฮโซไปทั่วนั่นแหละ เรื่องนี้ฉันก็รู้อยู่แล้ว”
“โธ่เอ๊ยกี้…ทำไมเธอถึงได้ปิดหูปิดตาตัวเองขนาดนี้นะ แม่นั่นน่ะหลอกผู้ชายหมดตัวมากี่คนแล้วรู้บ้างไหม ยิ่งรวยๆ อย่างภูมิด้วย ของโปรดเลยละมั้ง” คนเตือนย้ำให้เห็นความน่ากลัวของผู้หญิงที่เธอเรียกว่าพวกหิวเงิน
“แต่ถ้าฉันไม่ปล่อยให้เขาหาความสุขนอกบ้านบ้าง ก็คงประคองชีวิตแต่งงานมาไม่ถึงทุกวันนี้หรอก เธอก็รู้” กีรดายอมจำนนกับความจริง ถึงในใจลึกๆ เธอจะไม่ได้อยากให้สามีไปเที่ยวกับหญิงอื่น แต่ก็รู้ตัวดีว่านี่อาจเป็นทางเดียวที่จะรักษาครอบครัวตัวเองเอาไว้
เห็นท่าทางอ่อนแอของเพื่อนอรวีย์ก็พลอยอ่อนใจไปด้วย นี่ถ้าเป็นสมัยเรียนบอกได้เลยว่าเธอจะไม่มีทางเห็นกีรดายอมภาคภูมิด้วยเหตุผลที่เอาเปรียบแบบนี้เด็ดขาด
“เธอน่ะย่ามใจเกินไป ฉันขอเตือนเอาไว้เลย” คนห่วงเพื่อนเอ่ยอย่างหัวเสีย จนลืมตัวว่าตนเองชักจะเตือนมากไปเสียแล้ว
“พูดเหมือนกับเธอไปรู้อะไรมา” คำเตือนของเพื่อนรักทำคนฟังฉุกคิด เพราะไม่บ่อยนักที่อรวีย์จะแสดงท่าทางร้อนรนออกนอกหน้า
ขณะที่คนเตือนพอรู้ว่าตัวเองชักจะพูดมากไป ก็รีบหุบปากฉับ ทว่าพอนึกถึงท่าทางซึมเศร้าของเพื่อนเมื่อครู่ในที่สุดเธอก็ยอม
“โอเค ฉันบอกก็ได้ แต่เรื่องนี้เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้นนะ” อรวีย์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้ “มีเพื่อนในกลุ่มนักเรียนเก่าบอกกับฉันว่า ภูมิน่ะกำลังจะซื้อบ้านหลังใหม่…”
“อะไรนะ ใครบอกเธอ” กีรดาสงสัย แล้วเพื่อนในกลุ่มนักเรียนเก่านั่นเป็นใครทำไมถึงบอกเรื่องนี้กับคนอื่น และที่สำคัญคนอย่างภาคภูมิจะซื้อบ้านทำไม หรือซื้อให้ใครกัน…
“ก็พวกเพื่อนสมัยมัธยมไง เธอก็รู้ว่าพวกนี้น่ะทั้งรวยทั้งกว้างขวาง เรื่องลับๆ ในแวดวงคนรวยน่ะ ยัยพวกนี้รู้เกือบหมดทุกอย่างแหละ”
พอได้ยินชื่อแหล่งข่าว ความน่าเชื่อถือสำหรับกีรดาก็ลดลงไปจนแทบไม่เหลือ เพราะอย่างที่รู้ว่าคนพวกนั้นไม่เคยพูดเรื่องดีของใครอยู่แล้ว ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตาม
“ไม่ยักรู้ว่าเธอจะกลับไปคบค้ากับคนพวกนั้นด้วย” เธอค่อนใส่เพื่อนรัก ด้วยมีความทรงจำไม่ดีสักเท่าไรกับพวกกลุ่มเพื่อนมัธยม เหตุเพราะเธอมักจะถูกพวกนั้นดูถูกเอาบ่อยๆ ด้วยเรื่องที่เธอเป็นนักเรียนทุน ซึ่งถือเป็นชนกลุ่มน้อยในโรงเรียนสตรีที่มีแต่พวกบ้านมีฐานะเข้ามาเรียน
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะกี้ แต่เรื่องที่ฉันได้ยินมามันก็พอมีมูลอยู่นะ เธอกับเขามีบ้านราคาเป็นร้อยล้านอยู่ด้วยกันยังไม่ทันจะถึงสิบปี จะมีความจำเป็นอะไรที่ภูมิต้องซื้อบ้านหลังใหม่”
อรวีย์ยังตอกย้ำความน่าเชื่อถือของข่าวที่เธอได้ยินมา ถึงคนพวกนั้นจะพูดแต่เรื่องแย่ๆ ของคนอื่น แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเรื่องจริงที่นำมานินทากันให้สนุกปาก ซึ่งกีรดาเองก็รู้ดีว่าเรื่องในลับๆ ของพวกคนมีเงินไม่มีเรื่องไหนที่แม่พวกนั้นมานินทาโดยไม่รู้จริง
“และถ้ามันเป็นความจริงละก็…นี่อาจไม่ใช่การหาความสุขชั่วคราวอย่างที่เธอเข้าใจก็ได้”
กีรดานำเรื่องที่ได้ยินจากอรวีย์มาครุ่นคิดอยู่หลายวัน จนบางครั้งเธอรู้สึกมวนท้องคล้ายจะอาเจียนออกมาเสียให้ได้ เหมือนว่าอาการเหล่านี้มันมักจะมาตอนที่กำลังนึกว่าเขาจะปิดบังเธอด้วยวิธีไหน ไม่น่าเชื่อว่าแค่ข่าวลือที่ยังไม่มีหลักฐานมารองรับ จะทำให้ตนเสียอาการมากขนาดนี้ ถึงกับวันทั้งวันเธอแทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไปมากกว่าการนั่งมองดูศิรตาน้องสาวของตนทำงานวันแรก
“พี่กี้…”
เสียงเบาๆ จากใครสักคนเรียกกีรดาให้ได้สติ ก่อนจะหันไปแล้วพบกับใบหน้ารูปไข่ของน้องสาว ที่เท้าโต๊ะทำงานมองเธออยู่
“มีอะไรเหรอต้า”
“เป็นอะไรไป ต้าเรียกตั้งหลายครั้งแล้ว” ศิรตามองพี่สาวไม่วางตา หลังจากที่เรียกชื่ออยู่หลายครั้งก็ไม่ยอมขานรับ จนต้องมาจ้องหน้าแล้วเรียกชื่อดังๆ
“แค่คิดเรื่องงานน่ะ แล้วก็เป็นห่วงเราด้วย ทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้าง” พี่สาวผู้แสนดีเอ่ยถามน้องตนเอง กลบเกลื่อนความคิดวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องเดิมๆ
ดวงตาสดใสของศิรตาเปล่งประกาย แล้วเธอก็ยิ้มออกมาเหมือนกับจะเพิ่มความสว่างไสวให้กับห้องทำงาน แม้ว่าเจ้าตัวจะยังมีความกังวลเล็กๆ อยู่ก็ตาม
“สบายมากค่ะ เบากว่าตอนอยู่บริษัทเดิมเยอะ แต่ก็ยังมีเกร็งๆ นิดหน่อย ต้ากลัวว่าใครเขาจะมองว่าต้าเป็นเด็กเส้น”
“มาทำงานเป็นผู้ช่วยพี่มีอะไรต้องกลัว หรือถ้ากังวลก็หัดเรียนรู้งานจากคุณมลให้เร็วๆ แล้วกัน” เห็นรอยยิ้มของน้องสาวแล้ว กีรดาก็คลายความกังวลลงและหันไปหาผู้ช่วยของเธอ “ยังไงกี้ฝากดูแลต้าด้วยนะคะ”
“ได้ค่ะคุณกี้”
ผู้ช่วยของเธอรับปาก ก็พอจะทำให้กีรดาเบาใจได้ว่า เรื่องงานของศิรตาจะไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง จะมีก็แต่บางเรื่องเท่านั้นที่ยังติดอยู่ในใจ
“แล้วก็เรื่องที่กี้บอก คุณมลได้ข้อมูลบ้างไหมคะ”
“บ่ายนี้น่าจะทราบค่ะ ยังไงมลจะส่งเข้าไลน์คุณกี้นะคะ”
มลตอบอย่างรวดเร็วโดยที่หญิงสาวอีกคนในห้องไม่รู้สึกผิดสังเกต กีรดายิ้มรับ เป็นอันว่าเรื่องที่ต้องการจะรู้นั้น อีกไม่นานทุกอย่างก็จะชัดเจนแล้ว
“ขอบคุณค่ะ”
เธอกล่าวขอบคุณผู้ช่วยสาวแล้วมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเห็นว่าเป็นเวลาอันสมควรแล้วที่จะต้องไปงานอื่นต่อ
“นี่ก็ได้เวลาแล้ว วันนี้คุณภูมิมีบรรยายพิเศษพี่ต้องไปด้วย คงอยู่กินกลางวันกับต้าไม่ได้นะ” กีรดาอธิบายให้น้องสาวเข้าใจ ซึ่งศิรตาเองก็ไม่ได้ขัดข้อง
“ค่ะ พี่กี้ไปเถอะ”
“แล้วเย็นพี่จะมารับไปบ้านนะ” เธอเดินไปหยิกแก้มน้องสาวแล้วสวมกอดเอาไว้แน่น เพราะสำหรับโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายนี้ ศิรตาเป็นแค่ไม่กี่คนที่สร้างความอบอุ่นใจให้เธออย่างบริสุทธิ์ โดยไม่ต้องนึกถึงผลประโยชน์ใดๆ
หลังจากที่พี่สาวจากไปได้ไม่นาน ศิรตาก็ได้เวลาลงมาหามื้อเที่ยงของตน ถึงจะยังไม่ชินกับการอยู่ย่านออฟฟิศกลางกรุงที่ผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้ ซึ่งผิดกับที่ทำงานเก่าแถวชานเมืองที่ดูจะวุ่นวายน้อยกว่า แต่คนอย่างเธอก็ปรับตัวเข้ากับมันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
พอจัดการกับอาหารกลางวันเรียบร้อย เธอก็ไม่ลืมที่จะซื้อกาแฟสำหรับเพิ่มพลังในช่วงบ่ายสำหรับตัวเองและคนที่กำลังสอนงานเธอด้วย
แต่ก่อนที่เธอจะได้ไปขึ้นลิฟต์ เสียงโทรศัพท์จากในกระเป๋าก็ดังขึ้น พอหยิบออกมาแล้วเห็นว่าเป็นเบอร์โทร.ของใคร เธอก็นึกได้ว่าตนเองนั้นยังไม่ได้โทร.บอกเล่าเรื่องการทำงานครึ่งวันแรกกับแม่เลย
“ค่ะแม่…”
“ทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้างลูก” เสียงปลายสายมีความเป็นห่วงลูกสาวอย่างเต็มเปี่ยม ต่างจากคนรับที่ยังคงอารมณ์ดีไร้กังวล ผิดจากคนที่เพิ่งมาทำงานเป็นวันแรก
“โอเคค่ะ พอดีพี่กี้ให้คนเก่งๆ มาช่วยสอนงานให้ เลยเข้าใจง่ายขึ้นเยอะ”
ปลายสายเหมือนจะสบายใจขึ้นมาบ้าง แล้วก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามถึงลูกสาวอีกคน
“แล้วกี้ล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดูสบายดีนะคะ แต่…” ศิรตาชั่งใจว่าควรจะบอกแม่หรือไม่ แต่ไหนๆ แล้วเธอก็ไม่อยากจะปิดบัง“ทำไมต้ารู้สึกเหมือนเขากับพี่ภูมิมีปัญหาอะไรสักอย่างกันอยู่”
“ต้าไปอยู่กับพี่เขา ก็คอยดูแลเขาด้วยนะลูก แม่ว่าตอนนี้เขาเองก็คงอยากมีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน” เสียงของมารดาแสดงความเป็นห่วงลูกสาวคนโต แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับรู้ก็ตาม
หญิงสาวถอนหายใจ ถึงงานใหม่จะดีกว่าเดิม แต่การที่ต้องย้ายไปอยู่กับพี่สาวนั้น ก็เป็นสิ่งที่เธอยังอดวิตกไม่ได้
“นั่นแหละค่ะที่ต้ากังวล จนชักจะไม่อยากไปอยู่กับพี่กี้แล้วสิ ทำไมแม่ไม่มาด้วยกันล่ะคะ บ้านพี่กี้ออกจะกว้าง ถ้าแม่มาพี่เขาคงดีใจมากแน่ๆ”
“อย่าเลย…แม่ไม่อยากให้คนบ้านนั้นเขามองเราไม่ดีอีก”
เสียงของแม่ดูเศร้าลง ซึ่งศิรตาเข้าใจดีว่าเพราะอะไร จะว่าไปเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่กินใจคนในครอบครัวมากพอสมควร แต่ทั้งเธอและแม่ก็พยายามจะเก็บเงียบไว้ เพราะไม่อยากให้พี่สาวต้องเป็นกังวล
“นั่นสินะคะ แค่ต้ามาคนเดียว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะพูดกับพี่กี้ว่าอะไรบ้าง โดยเฉพาะแม่ของพี่ภูมิด้วย แต่แม่ก็น่าจะบอกเหตุผลนี้กับพี่กี้นะคะ พี่เขาจะได้ไม่เข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นไปอีก”
เธอคุยกับมารดาจนเพลิน และลืมดูไปว่าตรงหน้านั้นมีใครบางคนกำลังเดินสวนมาพอดี
“อุ๊ย!…” เธอร้องตกใจเมื่อรู้ตัวว่ากำลังชนใครสักคน ก่อนจะเห็นว่ากาแฟที่ถือมานั้นหกใส่เสื้อสูทของเขาเต็มๆ “ตายแล้ว! แม่คะแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวต้าโทรกลับ”
ศิรตารีบวางสายแล้วหันมาสนใจกับคนที่เธอเพิ่งเทกาแฟใส่
“ขอโทษนะคะ ฉันคุยโทรศัพท์เพลินไปหน่อย ไม่ทันมองว่าคุณอยู่ตรงหน้าแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ” เสียงของเขาไม่แสดงอาการกังวลใดๆ ผิดกับคนที่ง่วนอยู่กับการหาทิชชูเปียกในกระเป๋า และพยายามเอามันมาซับคราบกาแฟที่เกาะเสื้อสูทของเขา
“แต่เสื้อคุณ…” หญิงสาวมองเสื้อสูทสีเทาที่มีคราบสีน้ำตาลกระจายเหมือนคนจะร้องไห้ “ต้องซักไม่ออกแล้วแน่ๆ เดี๋ยวฉันชดใช้ให้นะคะ”
ชายหนุ่มอมยิ้มเพราะไม่คิดว่าเธอจะชดใช้ค่าเสื้อให้กับเขาได้ ยิ่งถ้ารู้ราคาที่แท้จริงเธอคงไม่กล้าเอ่ยคำนั้นออกมาแน่ เว้นแต่เธอจะเป็นเจ้าของบริษัทสักแห่งในตึกแห่งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่
“เรื่องเล็กน้อยครับ แต่เราเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่าครับ หน้าตาคุณดูคุ้นมากเลย”
สิ่งที่เขาพูดออกมาทำให้ศิรตานึกสงสัย ก่อนจะพยายามเงยหน้ามองชายหนุ่ม และเห็นเป็นหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ขนาดที่ความสูงของเธอยังอยู่แค่อกของเขา และคิดกับตัวเองว่าถ้าจะมีใครที่ตัวใหญ่ขนาดนี้ที่เธอเคยรู้จัก ตนเองจะต้องจำได้แน่ อีกทั้งการแต่งตัวที่เรียกว่าน่าจะเป็นระดับเดียวกับพี่สาวนั้น ไม่มีทางอยู่รายชื่อคนรู้จักของเธออย่างแน่นอน
“ไม่นะคะ…”
ใบหน้าใสซื่อที่พูดอย่างตรงไปตรงมานั้นทำเขาหลุดหัวเราะ
“นั่นสินะ เอาเป็นว่าเสื้อตัวนี้ผมฝากคุณซักด้วยแล้วกัน เสร็จแล้วค่อยเอามาให้ผมก็ได้” เขาถอดเสื้อสูทและยื่นมันให้กับเธอก่อนจะเดินจากมา
“เดี๋ยวสิคะ แล้วจะให้ฉันเอาไปส่งคืนที่ไหนล่ะ”
“ผมทำงานอยู่ในตึกนี้แหละ เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีก”
แล้วเขาก็เดินจากไปทิ้งให้หญิงสาวอยู่กับเสื้อสูทเปื้อนกาแฟ และคำถามมากมายในหัวว่าเธอจะเจอเขาได้อย่างไร
ส่วนคนที่เพิ่งจากมาก็ได้แต่ยิ้มกับตัวเองอย่างถูกใจ
“เจอกันจนได้นะ คุณน้องสาว…” เขาพูดกับตัวเองแล้วหันไปหาเธออีกครั้ง ก่อนจะพบหญิงสาวที่เพิ่งชนตนนั้นได้หายเข้าไปในลิฟต์ ต่อจากนี้เขาและเธอคงมีเรื่องให้เจอกันบ่อยขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพี่สาวของเธออย่าง…กีรดา
การบรรยายพิเศษของภาคภูมิในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากบรรยายเสร็จก็มามอบเงินบริจาคให้กับคณะ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอจะให้คนที่เชิญเขามาในวันนี้ พลอยได้ผลประโยชน์เป็นที่เชิดหน้าชูตาอยู่ไม่น้อย
อรวีย์พาเพื่อนทั้งสองกลับมาพักผ่อนที่ห้องทำงานของเธอหลังจากเสร็จจากงาน แม้ทุกอย่างในวันนี้จะดูสมบูรณ์แบบอย่างที่ควรจะเป็น แต่สำหรับกีรดาแล้วเธอก็เหมือนมาเป็นเพียงแค่เครื่องประดับหน้าฉากของสามีเท่านั้น
และถ้าเรื่องที่อรวีย์เล่าให้ฟังเป็นเรื่องจริง นั่นหมายถึงคนที่กำลังใช้เธอเป็นเครื่องมือแสดงฉากสามีที่แสนดีในสายตาคนอื่นนั้น เขากำลังหลอกลวงคนทั้งโลกด้วยความสวยหรูที่เธอเองก็หลงกลไปด้วย
กีรดาครุ่นคิดกับตัวเองจนไม่ได้สนว่าตอนนี้อรวีย์กำลังให้ลูกศิษย์นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ
“นั่งพักดื่มกาแฟกันก่อนสิ ทีแรกว่าจะพาไปนั่งที่ร้าน แต่เห็นคนเยอะ เลยสั่งมาที่นี่ดีกว่าจะได้คุยกันสะดวกด้วย”
เจ้าของงานในวันนี้หยิบแก้วกาแฟพลาสติกให้กับเพื่อน กีรดารับมาตามมารยาทจนไม่ทันมองว่ากระดาษที่พันแก้วนั้นหลุดออกไป แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับโลโก้สีแดงเด่นบนแก้วเข้าพอดี
“นี่มัน…เหมือนกับร้านที่คุณดื่มทุกวันเลย ใช่ไหมคะ” เธอทักเพราะจำได้ว่านี่เป็นโลโก้เดียวกับร้านที่สามีเธอดื่มเป็นประจำ ครั้งล่าสุดที่เห็นก็น่าจะเป็นเมื่ออาทิตย์ก่อนที่เจอในรถเขา
“นี่ฉันซื้อร้านใต้คณะมานะ” อรวีย์บอกความจริง เธอไม่อยากสั่งร้านไกลเพราะกลัวจะรอนาน แต่ถ้าคนอยากภาคภูมิจะมีร้านประจำ ก็ไม่น่าจะมาเลือกร้านใต้ตึกคณะที่รสชาติไม่ได้มีความพิเศษอะไร
“ใต้คณะเหรอ จำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้นะ” กีรดาค้าน เท่าที่จำได้ร้านใต้คณะไม่ได้มีโลโก้แบบนี้ แต่เธอก็ไม่ได้สังเกตโลโก้ที่แก้วสักที เพราะปกติจะมีกระดาษทิชชูพันอยู่
“เขาเปลี่ยนโลโก้ที่แก้วมาสักพักแล้ว ปกติเธอสั่งแต่เมนูร้อนถึงได้ไม่รู้น่ะสิ นี่สงสัยงบหมดเลยยังไม่ได้เปลี่ยนโลโก้หน้าร้าน”
คำอธิบายของอรวีย์ทำให้กีรดาพอเข้าใจมากขึ้น ปกติถ้าเธอเข้าร้านนั้นก็จะสั่งแต่ลาเต้ร้อน ซึ่งร้านจะเสิร์ฟมาพร้อมกับแก้วเซรามิกที่ไม่มีลวดลาย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เธอจะจำโลโก้ของร้านไม่ได้
“แบบนี้เอง คุณติดใจกาแฟที่นี่เหรอคะ ถึงได้สั่งไปส่งที่ทำงานทุกวัน”
คนที่กำลังสนใจอยู่กับกาแฟของตนนั้นชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะวางแก้วกาแฟลง
“ก็คุณเป็นคนแนะนำร้านนี้ให้ผมเองเมื่อตอนมาบรรยายปีที่แล้ว”
“เหรอคะ ดีใจนะคะที่คุณชอบ กี้เองถ้าไม่ได้มาหาอรก็เกือบลืมร้านนี้ไปแล้ว” เธอประชด เพราะปกติเขาแทบไม่เคยใส่ใจกับสิ่งที่เธอแนะนำเลยสักครั้ง หรือถ้าเขาจะใส่ใจเขาก็ไม่มีทางยอมรับว่ามันเป็นเพราะเธอ
“อะไรกันสองคนนี้ เดี๋ยวนี้เรียกกันว่าคุณตั้งแต่เมื่อไร ฟังแล้วขัดหูชะมัด เมื่อก่อนตอนเรียนพวกเธอไม่ได้เรียกกันแบบนี้สักหน่อย” อรวีย์มองคู่แต่งงานที่ต่างเป็นเพื่อนร่วมคณะทั้งคู่ แล้วนึกสงสัยว่าอะไรที่ทำให้คนที่คบกันตั้งแต่สมัยเรียน กลายเป็นคนห่างเหินแล้วแทนตัวเองด้วยคำว่าคุณเช่นนี้
“ก็อยู่นอกบ้านต้องเรียกกันแบบนี้บ่อยๆ มันเลยติดปากน่ะ”
กีรดาตอบ พร้อมกับหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่มีเสียงข้อความเข้ามา และพบว่าเป็นหมายเลขจากคนที่ทำงานตัวเอง
“ฉันขอตัวก่อนนะ สงสัยต้าจะถามเรื่องงาน”
พูดเสร็จเธอก็เดินออกไปนอกห้อง ทำให้ในห้องทำงานของอรวีย์ตอนนี้ มีเพียงเจ้าของห้องกับภาคภูมิเท่านั้น และเมื่อเห็นว่ากีรดาน่าจะเดินออกจากห้องไปไกลพอสมควรแล้ว อรวีย์ก็เป็นฝ่ายเปิดฉากก่อนทันที
“ไงล่ะ มีอะไรจะพูดกับฉันไหม”
“พูดเรื่องอะไร” ภาคภูมิไม่เข้าใจกับคำพูดที่ดูเหมือนจะมีความหมายอย่างอื่นแฝง
แต่มีหรือที่คนอย่างอรวีย์จะหยุด โดยเฉพาะกับเรื่องที่เธอมีข้อมูลมากพอที่จะเชื่อได้ว่าเป็นเรื่องจริง
“เจ้าของร้านกาแฟนั่นน่ะ เป็นน้องสาวของยัยรัชนีใช่ไหมล่ะ แล้วเขาก็เคยเป็นลูกศิษย์ฉันด้วย” เธอพูดถึงอดีตลูกศิษย์ที่กลายเป็นเจ้าของร้านกาแฟใต้คณะ และยิ่งกว่านั้นเธอรู้ดีว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นน้องสาวของเพื่อนเที่ยวชั่วคราวที่เขาเรียกใช้ประจำ ซึ่งพอเขาได้ยินก็หันมามองหน้าเธอทันที
“เหมือนเธอจะรู้อะไรมาเยอะเหมือนกันนะอร” ภาคภูมิเริ่มสนใจในสิ่งที่เพื่อนรู้
“ก็ไม่เยอะหรอก แค่อยากเตือนในฐานะเพื่อนว่ากี้เองก็คงรู้เรื่องเร็วๆ นี้เหมือนกัน ระวังตัวเอาไว้หน่อยก็ดี” อรวีย์ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตาบ่งบอกว่าสิ่งที่เธอรู้นั้นถูกต้อง และเรื่องนี้กีรดาน่าจะยังไม่รู้ ถึงเขาและกีรดาจะเป็นเพื่อนของเธอ แต่ในตอนนี้คำว่าเพื่อนอาจมีค่าน้อยกว่าผลประโยชน์บางอย่าง และสำคัญเกินกว่าการเก็บความลับเอาไว้นินทาเล่น
ภาคภูมิรู้ดีว่ามูลค่าของความลับในครั้งนี้อาจไม่มีราคามิตรภาพ หรือต่อให้เขาจะจ่ายมากแค่ไหน ก็ไม่อาจปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้อีกต่อไป แล้วเขาควรจะทำเช่นไรดี
และทันทีที่กีรดาออกมาจากห้องทำงานของอรวีย์ได้ เธอก็รีบกดโทรศัพท์หาผู้ช่วยส่วนตัวด้วยความร้อนใจ และความอยากรู้ในเรื่องที่ต้องการ
“ค่ะคุณมล ได้เรื่องไหมคะ”
“ได้ภาพมาแล้วค่ะ กำลังส่งไปให้คุณกี้นะคะ”
เสียงจากปลายสายนั้นไม่ได้ทำให้กีรดารู้สึกสบายใจ กลับกันเธอเริ่มเป็นกังวลว่าหากมันเป็นอย่างที่คิด แล้วเธอควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
เมื่อวางสายจากผู้ช่วยส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็เปิดโปรแกรมสนทนาขึ้นมาพร้อมกับกดดูภาพที่ได้รับทีละภาพด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ใบแรกคือสัญญาการซื้อขายบ้านเดี่ยวสองชั้นโครงการใหม่ในย่านที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้นัก ถึงชื่อคนซื้อจะเป็นคนอื่น ทว่าหลักฐานการจ่ายเงินด้วยเช็คนั้น สั่งจ่ายโดยชื่อสามีของเธอเอง
กีรดามือสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ หลักฐานที่เห็นบ่งบอกชัดว่าสามีของเธอกำลังซื้อบ้านในชื่อของคนอื่น ซึ่งเป็นจริงตามคำบอกเล่าของอรวีย์ และแน่นอนว่าแม้แต่กลุ่มคนที่เธอรังเกียจหนักหนา ก็รู้เรื่องนี้และกำลังนินทาชีวิตคู่ที่มีแต่การสร้างภาพของเธออย่างสนุกสนาน
ในบรรดาสิ่งที่ได้เห็นนั้น ภาพที่ตอกย้ำความจริงมากที่สุด ก็คือรูปของภาคภูมิและผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินเข้าบ้านหลังนั้น พอมองให้ถนัดหญิงสาวคนนั้นมีรูปร่างหน้าตาคุ้นเคยอย่างประหลาด ทั้งผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวถึงกลางหลัง ชุดพอดีกับหุ่นที่สวมใส่อย่างไม่เป็นทางการนัก ใบหน้าเยาว์วัยกับรอยยิ้มที่เพลินตานั้น ทำให้เธอจำได้ว่านั่นคือคนเดียวกับเจ้าของร้านกาแฟใต้ตึกคณะนี้เอง
‘คุณติดใจกาแฟที่นี่เหรอคะ ถึงได้สั่งไปส่งที่ทำงานทุกวัน’
‘ก็คุณเป็นคนแนะนำร้านนี้ให้ผมเองเมื่อตอนมาบรรยายปีที่แล้ว’
คำพูดเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วยังดังก้องในหู กีรดารีบเดินลงบันไดไปยังชั้นล่างด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ และความหวาดหวั่นบังเกิดขึ้นในทันใด ด้วยตระหนักดีว่าหากได้รับรู้เรื่องนี้เสียแล้ว ความรู้สึกที่เธอมีให้เขาจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป
หญิงสาวปะปนอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักศึกษาที่เดินสวนกันไปมาใต้ตึกคณะ มองดูร้านกาแฟที่เธอเพิ่งชมการตกแต่งใหม่ไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ราวกับจะเย้ยหยันตัวเองให้สาแก่ใจ โลโก้สีแดงที่ปรากฏอยู่บนแก้วทุกใบที่คนถือผ่านประตูร้านออกมายิ่งเด่นชัด
เธอกวาดสายตามองหาคนที่ต้องการจะเจออย่างเย็นชา และเย็นวาบด้วยความตื่นตกใจ เมื่อชั่วขณะนั้นปรากฏร่างของหญิงสาวเจ้าของร้าน พร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ทำให้คนเห็นถึงกับต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ ด้วยเธอคือคนเดียวกับที่ปรากฏอยู่ในรูปร่วมกับสามีของตน
หรือจะเรียกง่ายๆ ก็คือ ผู้หญิงคนนั้นคือเมียอีกคนของสามีเธอ