จระเข้คอยเธออยู่บนทางช้างเผือก : บทนำ (1)
โดย : คีตาญชลี แสงสังข์
จระเข้คอยเธออยู่บนทางช้างเผือก โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ผลงานจากโครงการช่องวันอ่านเอา เมื่อเจ๋งต้องกลับบ้านที่ไม่อยากกลับเพื่อเจอกบเพื่อนตุ๊ดที่เป็นรักแรกและการกลับไปครั้งนี้เจ๋งยังพบจดหมายที่อังศุมาลิน เพื่อนอีกคนทิ้งเอาไว้ก่อนตายไปในซ่อง มันจะนำพาเจ๋งและกบไปสู่จุดหมายปลายทางที่สุขสมหรือทุกข์ทนนั้น…ไม่มีใครจะล่วงรู้
นอกชานนั้นโล่งกว้าง ไม่มีราวกั้นกันตก เป็นเพียงพื้นที่เอนกประสงค์ทอดยาวต่อออกมาจากเฉลียงหน้าบ้านที่มีหลังคาคลุม
สมัยเป็นเด็กเขาชอบเล่นกระโดดนอกชานลงไปลานดินใต้ต้นมะม่วงกับน้องชาย เจ็บก็เจ็บ แต่ความสนุกมันมีมากกว่า เวลาที่แม่เข้ามาเห็นพวกเขาจะโดนดุ ถ้าแม่ฉุนมาหน่อยๆ พวกเขาจะโดนตี ตอนนั้นเขาเข้าใจว่าโดนลงโทษเพราะทำผิดคำสั่งแม่ แต่ในวันที่เขามีลูกเขาก็ซึ้งในใจแล้วว่า แม่ตีเพราะเป็นห่วง โมโหเพราะกลัวพวกเขาเจ็บ ไม่อยากให้เล่นแผลงๆ อีก
ความห่วงและหวงเป็นเรื่องแปลก มันมักมาคู่กับความโมโห ไม่เหมือนความลวงมันจะมาพร้อมกับคำอ้อนอ่อนหวาน
เขากลับมาเยือนบ้านหลังนี้ปีละสองหน ผ่านไปกี่ปีชานบ้านก็ยังหมือนเดิม ขวามือของเขายังมีมะม่วงตลับนากยืนเคียงอยู่กับต้นจำปา เหนือขึ้นไปยังเห็นดาวดารดาษ ลมหัวค่ำยังคงพัดฉิวผ่านสวนหลังบ้าน เย็นรื่น แม้ในฤดูที่ดวงอาทิตย์แผดเผาแทบเป็นจุล
ร้อนนี้มะม่วงตลับนากออกลูกดกดื่น ถึงจะค่ำแล้ว แต่ชายหนุ่มก็มองเห็นลูกกลมป้อมประดับรางเลือนอยู่ในพุ่มกว้างของใบ
ตลับนากเป็นมะม่วงโบราณ ภรรยาชาวกรุงเทพฯของเขาชอบนัก มันจะสุกกินได้ตอนที่เปลือกยังเขียวนวล เมื่อปอกแล้วเนื้อส่วนที่ติดเปลือกกรอบอร่อย เนื้อส่วนที่ติดเมล็ดสุกเหลืองหอมหวาน เวลาเอาใส่ปากราวกับว่าได้กินมะม่วงสุกและดิบในคราวเดียวกัน บางคนกินไม่เป็นเลือกที่เปลือกแต้มเหลือง ข้างในก็สุกมาก ได้กินแค่ความหอมหวานเหมือนกินมะม่วงอกร่อง ไม่ได้ความกรอบนอกนิ่มในอย่างได้กินตลับนาก
ปีนี้อากาศหนาวนาน มะม่วงออกดกทุกบ้าน ตอนกลางวันแดดดี แม่เลยทำส้มลิ้ม ส้มแผ่น ตากเอาไว้บนนอกชาน
ลูกสาวของเขาชอบส้มลิ้ม เธอเข้าใจมาตั้งแต่เกิดว่ามะม่วงกวนแบบก้อนเรียกส้มลิ้ม มะม่วงกวนแบบแผ่นเรียกส้มแผ่น ไม่เคยงงจนเขาต้องอธิบายเหมือนภรรยา ว่าเป็นมะม่วงทำไมถึงเรียกส้ม
การส่งตัวเด็กหญิงมาอยู่กับแม่ของเขาช่วงปิดเทอม แทนที่จะส่งเธอไปโรงเรียนกวดวิชาตามที่ภรรยาร้องขอ นับวันเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าคิดถูก
ชายหนุ่มก้าวกลับมาที่เด็กหญิงตัวน้อย เขาทรุดตัวนั่งข้างเธอ ยิ้มปากแทบจะฉีกถึงหูเมื่อเห็นว่าลูกสาวกำลังเงยหน้านับดาว เขามองตาม ดาวเรียงดวงเป็นรูปทรงต่างๆ บางท้องที่เห็นเป็นหางหมี บางท้องที่เห็นเป็นคันกระบวย แต่คนไทยอย่างพ่อของเขาเห็นเป็นหางจระเข้ พ่อเคยบอกเขาว่า ดาวจระเข้ขึ้นและตกเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ถ้าช่วงไหนมันขึ้นเร็วก็แปลว่าปิดเทอมใหญ่เดินทางมาถึงแล้ว
พ่อเป็นครูใหญ่และเป็นนักพฤษศาสตร์กิติมาศักดิ์ด้วย ช่วงปิดเทอมคือช่วงที่นักพฤษศาสตร์อย่างพ่อจะออกทำงานในสวน ส่วนนักกีฏวิทยาอย่างเขาจะอยู่ตามโคนต้นไม้ หาคราบจักจั่นเอามาสะสมไปอวดเพื่อน แต่ก่อนที่เพื่อนจะได้เห็น เขาก็เอาไว้อวดน้องชายตัวเล็กๆ ทั้งสองคนก่อน
ตอนนี้นักพฤษศาสตร์ไปทำสวนอยู่บนดาวจระเข้เสียแล้ว เหลือแต่นักกีฏวิทยานี่แหละที่ยังต้องทำงานงกๆ หาเวลาว่างแทบไม่ได้ เขาเลยต้องถ่ายทอดภารกิจเก็บคราบจักจั่นไปให้ลูกสาวแทน
นึกถึงความหลังแล้วเขาก็ยิ้ม เสียงจักจั่นเรไรบรรเลงเพลงรับฤดูร้อน ยิ่งทำให้อดีตห่างไกลแสนจะชัดเจน เขาได้กลิ่นดอกไม้อ่อนหวานปนเปมากับกลิ่นลม ลมต่างจังหวัดนั้นมีกลิ่น บอกให้รู้สถานที่และฤดูกาล เขาสอนให้ลูกดมกลิ่นลม เหมือนที่ในฤดูร้อนเขาจะได้กลิ่นยางมะม่วงปะปนมากับกลิ่นแล้งของดินโดนแดดเผา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกลิ่นเขียวความสุขของต้นไม้ในฤดูฝน และกลิ่นโรแมนติกของฤดูหนาวที่อบอวลไปด้วยกลิ่นสดใบยาสูบ
เขาอยากให้จมูกลูกแยกแยะกลิ่น อยากให้มือสัมผัสดินและรู้ว่าอาหารที่ตักเข้าปากนั้นเริ่มต้นมาจากตรงไหน
เด็กหญิงละสายตาจากดาวบนฟ้าเอียงหน้ามองเขา ดวงตาใสแจ๋วเหมือนดาววิบวับเมื่อเธอยิ้ม เขาอดกดจมูกลงบนแก้มเธอไม่ได้
เด็กหญิงหัวเราะ ประคองใบหน้าเขาด้วยสองมือ ตอหนวดสีเขียวอ่อนดูระคาย แต่เธอไล้ฝ่ามือสัมผัสผิวสากกร้านด้วยความชอบใจ เขาเอียงหน้ารับสัมผัสนั่น นึกพอใจที่ดวงตายาวรี ล้อมกรอบด้วยขนตาหนาเหมือนตับหญ้าคาของเขา ประพิมพ์ประพายอยู่บนใบหน้าของเธอ
เธอชวนเขาเล่น “จูจุ๊บแบบตลก” ชายหนุ่มพยักหน้า เขาร้องให้สัญญาณแล้วพูดออกมาทีละคำ “หนึ่ง” เขาจุ๊บเธอที่หน้าผาก “สอง” เขาจุ๊บเธอที่แก้มซ้าย “สาม” เขาจุ๊บที่เธอแก้มขวา “สี่” เขาจุ๊บเธอที่จมูก “ห้า” เขาจุ๊บที่ปลายคาง ก่อนกะจังหวะที่หก เล็งตำแหน่งที่ริมฝีปากกระจิริด เขาฉกหน้าลงไป แต่เธอยกมือขึ้นบังการจู่โจมเอาไว้ทัน
“พ่อแพ้ พ่อแพ้แล้ว”
เด็กหญิงแอ่นหลัง หัวเราะถูกอกถูกใจ เขาต้องใช้สองแขนประคองลำตัวเธอเอาไว้ไม้ให้หงายลงบนพื้นกระดาน เสียงหัวเราะใสกระจ่างเหมือนระฆังแก้ว อดที่จะซุกใบหน้าลงข้างแก้มเธอไม่ได้ ไรหนวดเพิ่งขึ้นทำให้เธอหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ดิ้นเร่าๆ อยู่ในวงแขน
“หัวเราะเยาะพ่อใช่มั๊ย…ใช่มั๊ย” เขาไถคางลงไปบนหัวไหล่ของเธอ
“พ่อแพ้อีกแล้ว พ่อแพ้อีกแล้ว” เด็กหญิงยิ่งแกล้งตะเบ็งเสียง เขาหัวเราะตามก่อนดึงเธอมากอดแรงๆ
“จ้า… พ่อแพ้อีกแล้ว แม่จระเข้น้อยของพ่อ” ชายหนุ่มว่า เด็กหญิงทำหน้ามุ่ย
“ดาริกาแปลว่าดาวค่ะ ไม่ใช่จระเข้” เธอท้วง
“ก็จระเข้ก็เป็นดาว” เขาเถียง เธอทำท่าคิดหนักก่อนบอกว่า… ก็ได้ แล้วเรียกร้องให้เขาท่องบทกลอนดาวจระเข้ให้ฟังอีกหน
“เขาเรียกว่าบทสักวา” ชายหนุ่มบอกพลางปล่อยเธอออกจากตักแล้วเอนหลังลงบนพื้นกระดาน
เขาเหลือบไปมองสตรีชรา เห็นแม่ของเขากำลังนั่งพับใบเตย บิดมันเป็นเกลียวแล้วพับเข้า วนไปอย่างนั้นจนกลายเป็นดอกกุหลาบสีเขียวได้อย่างน่าพิศวง
หญิงชรามองตอบ ดวงตาเยือกเย็นทอประกายเหมือนดาวสุกสว่าง ก่อนมองเลยไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่เอนตัวลงนอนเลียนแบบเขาบ้าง
ชายหนุ่มละจากใบหน้าปรานีเงยหงายไปด้านหลัง เห็นหญิงสาวร่างโปร่งสวยแบบสาวในเมืองนั่งหน้ายุ่งพลิกหน้านิตยสาร ดูก็รู้ว่าเป็นคนใจร้อน เขาหัวเราะน้อยๆ อย่างนึกเอ็นดู ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นจับท้องฟ้า เหยียดสองแขนสองขาเต็มที่ เด็กหญิงทำตามในท่าเดียวกัน มือเล็กๆ ของเธอวางลงในอุ้งมือใหญ่ของเขา แล้วชายหนุ่มก็เริ่มท่องบทสักวาที่พ่อของเขาเคยท่องให้ฟัง เสียงเล็กๆ ว่าตามกระท่อนกระแท่น
สักวาดาวจระเข้ก็เหหก…. ศีรษะตกหันหางขึ้นกลางหาว..เป็นวันแรมแจ่มแจ้งด้วยแสงดาว……น้ำค้างพราวปรายโปรยโรยละออง…. ลมเรื่อยเรื่อยเฉื่อยฉิวต้องผิวเนื้อ…ความหนาวเหลือทานทนกมลหมอง… สกุณาดุเหว่าก็เร่าร้อง… พอแสงทองส่องฟ้าขอลาเอย
“พ่อแต่งเองหรือครับ” เขาจำได้ว่าเคยถาม
“ไม่ใช่หรอก มีคนแต่งเมื่อนานมาแล้ว แต่จะเป็นใครก็ไม่รู้ เขาให้พ่อสอนนักเรียน แต่รุ่นหลังๆ เขายกเลิกไปซะแล้ว” พ่อตอบเขาแล้วสอนท่องสักวาบทนั้น
ชายหนุ่มจ้องมองดาวจระเข้ ลมวูบหนึ่งพัดมาจากสวน เขากุมมือลูกสาวแน่นขึ้นเมื่อได้กลิ่นหวานหอมของมะม่วงสุก