เจาะเวลาหานายฮ้อย บทที่ 2 : เมื่อถูกอวยยศเป็นผีนางด้ง
โดย : นาคเหรา
เจาะเวลาหานายฮ้อย นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ อารมณ์ดีเรื่องล่าสุดจากปลายปากกาของ นาคเหรา นักเขียนรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอา เรื่องราวของพลอยจำปาที่ย้อนเวลากลับมาตามหานายฮ้อยคนเก่ง ผู้คุมฝูงควายจำนวนมหาศาลเดินทางไปสู่เมืองใหญ่ เมื่อเขาหายตัวไป เรื่องอลวนวุ่นวายจะเกิดขึ้น เธอจะทำให้สำเร็จไหม ไปลุ้นกันเลยตอนนี้
ในความฝันอันยาวนาน แต่ยาวนานแค่ไหนฉันไม่รู้ ฉันรู้แต่ว่าตัวเองต้องเดินตามเด็กสาวคนหนึ่งที่มีผมและตาดำสนิท ฉันก็สงสัยนะแต่มันเป็นทางเดียวที่ฉันจะเดินไปได้…
“ถึงแล้ว”
“ที่นี่ที่ไหน”
“บ้าน”
“บ้านงั้นเหรอ!? แต่ที่นี่ไม่ใช่บ้านของฉันนะ” พลอยจำปาแย้งแต่เด็กสาวคนนั้นก็ยิ้มให้เธอก่อนเอ่ย
“ฉันคิดว่าที่นี่เหมาะกับเธอมาก คิดว่ามันเป็นบ้านของเธอสิ”
“แต่คิดยังไงมันก็ไม่ใช่ มันน่าจะเหมาะกับเธอมากกว่า มันจะเหมาะกับฉันได้ยังไง”
พลอยจำปาเถียง เธอไม่ได้รู้สึกอย่างที่เด็กสาวคนนี้บอก ดวงตาคู่งามก็พยายามเพ่งพิศเข้าไปข้างในบ้าน แต่มันไม่มีใครอยู่เลย ไม่มีแม้กระทั่งเสียงของอะไรทั้งนั้น ชั่วระยะเวลาหนึ่งเธอก็คิดได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องสนุกเอาเสียเลยที่จะเดินเข้าไปในบ้านของคนอื่นตอนนี้ เด็กสาวปล่อยมือเธอช้าๆ ก่อนจะหันหลัง และเดินไปจูงมือหญิงสาวคนหนึ่งในชุดผ้าซิ่น เธอสวมเสื้อคอกระเช้าสีหม่นๆ พลอยจำปาไม่รู้ว่าพวกเธอสองคนกำลังพูดเรื่องอะไรกัน แต่แววตาที่ผู้หญิงคนนั้นที่มองมายังเธอ มันมีแววอาลัยปนเศร้าอยู่
“เฮาไปกันเถอะจ้ะแม่”
คนพูดปล่อยมือของพลอยจำปาและเดินไปตามทางที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
“นี่พวกเธอจะมาทิ้งฉันไว้อย่างนี้ไม่ได้นะ ที่นี่มันไม่ใช่บ้านฉัน…มันไม่ใช่”
หญิงสาวตะโกนสุดเสียง เธอพยายามจะเดินตามคนทั้งสอง แต่ทว่าก็เหมือนมีลมพายุวูบใหญ่พัดกระโชกจนเธอต้องถอยห่าง พลอยจำปาพยายามมองไปยังทางที่จากมา แต่ทางที่ว่ามันก็หายไปแล้ว
“ฉันจะกลับบ้าน!”
เงียบ…ไม่มีเสียงตอบรับจากใครเลย พลอยจำปามองไปรอบๆ เธอไม่สามารถเดินกลับไปในทางที่จากมาได้เลย เด็กสาวมองเห็นท้องฟ้าสีดำมืดสนิท ความน่ากลัวไม่ใช่ลมพายุหรือสายฝนที่กำลังจะโปรยปรายลงมา แต่เป็นเงาของก้อนเมฆสีดำขนาดมหึมาที่ลอยเข้ามาใกล้ทุกขณะ แล้วฝูงค้างคาวผีก็วิ่งไล่กวดตามหลังมาอย่างบ้าคลั่ง จากที่ไม่คิดว่าจะเข้าไปในบ้านปริศนาหลังนั้น เธอก็ต้องจำใจวิ่งเข้าไปโดยที่ไม่รู้ตัวเองจะเจออะไรบ้าง
นางด้งเอย เข้าป่าระหง เข้าดงไม้หมาก
เข้าสากไม้แดง ตะแกรงร่อนข้าว
ด้งน้อยฝัดข้าว อ่อนแยะอ่อนยาย
ขนดินขนทรายให้แม่นางด้ง… (1)
เมื่อวิ่งเข้ามาข้างใน เธอคิดว่ามันเป็นเพียงบ้านไม้หลังเล็กๆ แต่กลับไม่ใช่ ข้างในกลับกว้างใหญ่ผิดกับสภาพที่เห็นด้านนอก ด้วยความกลัวเด็กสาวจึงหันกลับไปมองยังประตูไม้เก่า มันก็ค่อยๆ ปิดลง พร้อมกันนั้นเมื่อหันกลับมาเสียงเพลงก็ดังขึ้น จนกระทั่งดวงตาทั้งสองของเธอปิดสนิทลงอีกครั้ง
นางด้งเอย…ละป่าระหง …กระด้งใหม่ๆ …ของฝัดเครื่องแกง…
ข้าวแดง แมงเม่า… กระด้งฝัดข้าว ออกมาพึกๆ…
ออกมาผายๆ …ขอคืนกาย มาเข้านางด้ง…
ขอเชิญพระเจ้า มาเข้านางด้ง…(2)
ยโสธร พ.ศ.2485 บ้านภูแสนคำ
“จำปา…จำปา”
เสียงของใครคนหนึ่งที่อยู่ใกล้มาก ราวกับคนพูดนั้นกำลังเรียกชื่อของเธอ พลอยจำปารู้สึกหนักอึ้งที่เปลือกตา เธอพยายามจะลืมตา แต่กลับกลายว่ามันเป็นเรื่องที่ยากเสียแล้ว เสียงที่เรียกนั้นเป็นสำเนียงที่ไม่คุ้นเคย แม้แต่กลิ่นก็ไม่คุ้น
‘กลิ่นเหมือนยาหม้อ…’ พลอยจำปาคิด
“จำปา…จำปาตื่นรึยัง อีหล่า” เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกแล้ว
เหมือนคนคนนั้นจะเรียกเธอกระมัง เพราะเสียงอยู่ใกล้หูขนาดนี้ แต่นานแสนนานแล้วนะ ที่ไม่มีใครเรียกเธอด้วยชื่อว่าจำปา นอกจากคุณปู่ที่เสียไปเมื่อสิบปีก่อน พลอยจำปาลืมตาขึ้นจากพร่ามัวมันก็ชัดเจนขึ้นตามลำดับ ภาพนั้นช่างไม่คุ้นตาเอาเสียเลย
‘เอ…หรือว่านี่จะเป็นความฝันนะ ทำไมในฝันล่ะ เพราะมันสามารถรับรู้กลิ่นได้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิปนกับกลิ่นธูป และกลิ่นยาหม้อ’
เธอไม่อาจจะลืมตาได้นานจึงหลับลงเช่นเดิม ความอบอุ่นแปลกๆ ที่สัมผัสได้ เมื่อมีใครคนหนึ่งที่อยู่ใกล้เอามือแตะลงที่ต้นแขน
“จำปาหลับไปอีกแล้ว แม่”
“แต่แม่เห็นมันลืมตาแล้ว…บ่ต้องห่วง หมอฝั้นให้กินน้ำมนต์แล้วมันบ่ตายดอก อีจำปาน่ะ” เจ้าของเสียงแหบแห้งแบบคนแก่ๆ มือข้างหนึ่งลูบเสี้ยวหน้าแต่เพียงเบาๆ ในตอนนั้นเธอได้ยินคนพูดบ่นอะไรบางอย่างใกล้ๆ หู
“กินน้ำมนต์จะช่วยได้เหรอครับ ทางที่ดีผมว่าเราน่าจะพาจำปาไปหาหมอที่สุขศาลา (3) ดีกว่า” ยายลุนไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่ลูกเขยที่มาจากเมืองล่างพูดนัก หญิงชรากลับยื่นด้ายสายสิญจน์ให้กับลูกเขย แม้เขาจะมีสีหน้าไม่ค่อยจะเชื่อถือในวิธีนี้เลยก็ตาม
“ครูมาผูกแขนให้ลูก ขอขมาผีนางด้งซะ” ยายลุนเอ่ยแต่ผู้เป็นลูกเขยกลับคิดว่า การเล่นผีนางด้งเท่าที่เขาเคยเห็นมาเป็นแค่การเสี่ยงทายเรื่องฟ้าฝนเสียมากกว่า มันไม่น่าจะเลยเถิดมาเป็นถึงขนาดนี้เลย แต่คนทั้งหมู่บ้านกลับเชื่อว่าที่จำปาลูกสาวของเขาเป็นเช่นนี้ เพราะผีนางด้งเข้าสิง
แต่ครูไสวผู้ที่ได้เรียนหนังสือมาบ้าง ย่อมไม่เชื่ออะไรที่งมงายแบบนี้
“แต่ผมไม่เชื่อว่าผีนางด้งจะมาเข้าสิงลูกผม จำปาก็แค่ป่วยไข้ไม่ใช่ผีเข้า”
“ครูเป็นคนหัวดื้อ เพราะครูบ่เชื่อ ผีบ้านผีเรือนถึงบ่ฮัก ถ้าอีจำปามันจะตาย มันบ่แม่นความผิดของไผเลย เป็นความผิดของพ่อมันนั่นแหละ”
เหตุผลของแม่ยาย ทำให้ครูไสวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เขาเชื่อว่าลูกแค่ป่วยและไม่ได้ถูกผีเข้าสิงอะไรทั้งนั้น แต่เขาก็ขัดแม่ยายไม่ได้ ชายวัยกลางคนมองร่างของบุตรสาวคนเล็กที่มีผิวกายซีดเผือดไร้สีเลือด ตอนนี้เธอกำลังหลับใหลบนที่นอน จำปาป่วยมาสองสามวันแล้ว อาการก็ทรุดหนักลงเรื่อยๆ ขนาดหมอที่สุขศาลามาตรวจก็บอกว่าลูกสาวของเขาอาจจะไม่รอด
การที่หมอบอกมาเขาเชื่อ แต่ถ้าแม่ยายจะปักใจเชื่อว่านี่คือการกระทำของผีนางด้ง บอกตรงๆ ว่ามันไม่น่าที่จะเป็นไปได้ และเขาก็ไม่เชื่อความคิดนี้เลย
แต่เขาก็ขัดไม่ได้…
ครูไสวมองด้ายสายสิญจน์ที่แม่ยายเขายื่นให้ มองหน้าเพ็งลูกสาวคนโตและดูเหมือนกับว่าเธอจะขอร้องให้เขาทำตามคำสั่งของผู้เป็นยาย
“ผูกแขนให้ลูกซะ เขาว่าพรของพ่อแม่เป็นพรประเสริฐ เผื่ออีจำปามันสิตื่นขึ้นมา”
ครูไสวถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ แต่ก็รับด้ายสายสิญจน์มาผูกแขนให้ลูก ปากก็พูดไปขอให้เด็กสาวที่นอนอยู่ลืมตาตื่นขึ้นมามองเขาสักครั้ง แม้ความจริงจะไม่ค่อยเชื่อว่ามันจะได้ผลก็ตาม แต่ไม่นานหลังจากนั้นพลอยจำปาก็ขยับตัวน้อยๆ
“เห็นบ่ จำปามันฟื้นแล้ว”
เสียงของยายลุนดูตื่นเต้น มือเหี่ยวย่นก็ลูบหน้าตาหลานสาวคนเล็กน้ำตาคลอ ในขณะเดียวกันนั้น หญิงสาวที่ชื่อเพ็งก็เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าตาให้น้องสาวเพื่อเรียกสติ และเมื่อพลอยจำปาลืมตาขึ้น ภาพที่เธอเห็นคือหลังคาที่มุงด้วยหญ้าแฝก ไม่เหมือนบ้านหรือหอพักในมหาวิทยาลัยที่เธอเคยอยู่เลย หญิงชราอายุราวเจ็ดสิบปีดวงตาปริ่มด้วยน้ำ มือข้างนั้นลูบดวงหน้าอ่อนเยาว์อย่างทะนุถนอม
“ตื่นแล้วติอีหล่าของยาย อย่าฟ้าว (4) ลุกเด้อ เพ็งเอ้ยมาซู (5) น้องดู๊”
เหมือนผู้หญิงที่ชื่อเพ็งจะมาพยุงเธอให้ลุกขึ้น แต่พลอยจำปาไม่ได้รอให้เพ็งมาพยุง เธอก็พรวดพราดลุกขึ้นมาราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน ยายลุนอ้าปากค้างเพราะตกใจ ตอนนี้มีดวงตาหลายสิบคู่มองเธอแปลกๆ หญิงสาวเหลียวมองไปรอบๆ…ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เธอรู้จัก
“หนูอยู่ที่ไหนคะ” พลอยจำปาถามเสียงสั่นๆ
“อยู่บ้าน…บ้านของเรา” ครูไสวตอบแทนทุกคนเป็นภาษาเมืองล่าง
“แต่ที่นี่ไม่ใช่บ้านของหนูนะคะ” พลอยจำปาแย้ง ว่าแล้วเธอก็เอามือขยี้ตาอีกรอบ แต่ภาพที่เห็นก็ไม่ได้หายไปเลย ทุกๆ อย่างเธอยังสัมผัสได้ว่าไม่ได้ฝันไป เด็กสาวลงทุนหยิกตัวเอง ใช่…มันเจ็บมากจนน้ำตาเล็ด ครูไสวเห็นอย่างนั้นก็รีบขยับไปจับมือของบุตรสาวไว้ พลอยจำปามองหน้าเขาอย่างงงๆ
“จำปา ลูกตั้งสติ นี่พ่อเองนะลูก” ครูไสวพูดภาษากลาง แต่พลอยจำปากลับส่ายหน้าไปมาพลางเอ่ย
“ไม่ใช่ค่ะ คุณไม่ใช่พ่อของหนู”
“บ่แม่นจังใด๋ นี่ครูไสวพ่อมึง นี่ก็อีเพ็งเอื้อย (6) มึง ส่วนนี่ก็ยายของมึง มึงป่วยไข้หลายจนเป็นบ้าติ”
หนึ่งในนั้นตะโกนออกมาแต่พลอยจำปากลับพูดสวนออกไปเหมือนกัน
“หนูไม่ได้บ้า คนบ้าอะไรจะจำครอบครัวตัวเองไม่ได้”
เธอเถียง นั่นทำให้คนที่ล้อมวงอยู่มองราวกับเธอเป็นตัวประหลาด เด็กสาวก็มองพวกเขาเช่นกัน ส่วนมากผู้หญิงจะใส่เสื้อแขนกุด บางคนก็คาดอกด้วยผ้าขาวม้ากับนุ่งผ้าซิ่นลายแปลกๆ ที่เธอไม่เคยเห็น ส่วนผู้ชายโดยมากจะไม่ใส่เสื้อหรือถ้าใส่ก็เป็นเสื้อสีมอๆ ชายวัยกลางคนที่เคี้ยวหมากหยับๆ อยู่มองเธอก่อนจะขยับตัวมาใกล้ๆ
“บ่ได้การแล้ว ข้อยว่าผีนางด้งต้องเข้าสิงอีจำปาแท้ๆ แถมยังมาไกล เป็นผีทางเมืองล่างอีกต่างหาก ตื่นมาเว้าภาษาเมืองล่างจ้อยๆ เฮ้ย! สูไปเอาแส้กับน้ำมนต์มาให้กูดู๊”
หัวใจเธอหล่นวูบ สิ่งที่เห็น มันไม่ใช่ความฝัน…
แล้วเธออยู่ไหนกันแน่!?
เชิงอรรถ :
(1) บทเพลงร้องเล่นผีนางด้ง
(2) บทเพลงร้องเล่นผีนางด้ง
(3) สถานบริการสาธารณสุขในระดับตำบลและหมู่บ้าน ปัจจุบันคือโรงพยาบาลชุมชน
(4) ฟ้าว หมายถึง รีบ
(5) ชู หมายถึง ประคอง
(6) เอื้อย พี่สาว