เจาะเวลาหานายฮ้อย บทที่ 3 : หม้อไม่ไหวต้องไหถ่วงวิญญาณ!

เจาะเวลาหานายฮ้อย บทที่ 3 : หม้อไม่ไหวต้องไหถ่วงวิญญาณ!

โดย : นาคเหรา

Loading

เจาะเวลาหานายฮ้อย นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ อารมณ์ดีเรื่องล่าสุดจากปลายปากกาของ นาคเหรา นักเขียนรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอา เรื่องราวของพลอยจำปาที่ย้อนเวลากลับมาตามหานายฮ้อยคนเก่ง ผู้คุมฝูงควายจำนวนมหาศาลเดินทางไปสู่เมืองใหญ่ เมื่อเขาหายตัวไป เรื่องอลวนวุ่นวายจะเกิดขึ้น เธอจะทำให้สำเร็จไหม ไปลุ้นกันเลยตอนนี้

“ผีอะไรนะ!”

“ผีนางด้ง”

“หมายถึงอะไร เป็นผีก๊กไหน สปีชีส์ไหน คลาสอะไร” พลอยจำปาหันไปถามครูไสวที่ดูท่าว่าจะพูดกับเธอรู้เรื่องที่สุด ผู้สูงวัยกว่าเองก็ดูจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด เขาทำหน้างงๆ ก่อนถามย้ำอีกครั้ง

“คุณลุงคะ หนูหมายถึง…อะไรหมายถึงผีนางด้ง”

“ผีกระด้ง” ครูไสวเอ่ยเป็นภาษากลาง นั่นทำให้พลอยจำปาแทบจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาตรงนั้นเลย เหมือนใครใส่โปรแกรมยัดเยียดให้เป็นบ้า เด็กสาวหัวเราะจนหน้าแดง

“ผีกระด้ง หมายถึงผีกระหังใช่ไหม ไอ้ที่มีปีกเป็นกระด้ง แล้วบินได้ใช่ไหมคะ”

“บ่แม่น!”

เสียงของชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณนั้นพูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สีหน้าของทุกคนดูเป็นกังวลกับอาการที่ลูกเป็น ครูไสวเห็นอย่างนั้นก็กังวลเพราะจากที่ไม่เชื่อเรื่องผีสางก็มีใจเอนเอียงไปเชื่อบ้างแล้วว่าเรื่องผีสิงหรือเข้าทรงอาจจะมีจริง และด้วยติดนิสัยครูที่ต้องอธิบายความให้คนอื่นเข้าใจ เขาจึงจำใจอธิบายความหมายและประเภทของผีให้ลูกรู้

“ผีนางด้งไม่ใช่ผีกระหัง ผีนางด้งเป็นผีปู่ย่าหรืออาจจะเป็นเทวดา เป็นผีฝ่ายดี ส่วนผีกระหังเป็นพวกเล่นไสยศาสตร์ เล่นอาคมจนเป็นบ้าหรือของเข้าตัว ผีกระหังมีแต่ผู้ชายไม่ใช่ผีผู้หญิง ชอบกินของเน่าเหม็น โสโครก ขี้มันก็กินนะ”

“แหวะ! ทำไมไม่เลือกกินบิงซู ชาบูหรือหมูกระทะ กินทำไม ขี้น่ะ”

พลอยจำปาทำท่าคอแข็ง เมื่อรู้ความหมายจากชายวัยกลางคนที่ชื่อครูไสวแล้ว เธอมองไปรอบๆ เริ่มหยิกแขนตัวเอง พอมันเจ็บเธอก็รู้ว่านี่มันไม่ใช่ความฝันแต่ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ด้านครูไสวก็เอื้อมมือมาลูบหัวบุตรสาวคนเล็กพลางเอ่ย

“จำปา เป็นอะไรไหมลูก”

“หนูสบายดีค่ะ ไม่เป็นอะไรเลย”

“นี่บ่แม่นอีจำปา!”

หมอผีประจำหมู่บ้านเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาชี้หน้าเธอพลางทำท่าบริกรรมคาถา สุดที่จะทนเมื่อโดนกระทำอย่างนั้นจากที่รู้สึกแค่งงๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หมอผีส่งสายตาที่ไม่ค่อยดีนักมายังเธอในมือก็กำหวายเตรียมพร้อมฟาดเต็มที่

“มึงสิออกหรือบ่ออก มึงเห็นหวายในมือกูบ่”

“ลุงเล่นอะไรเนี่ย แล้วหนูไม่ใช่ผีอะไรนั่นนะ”

ว่าแล้วพลอยจำปาก็ลุกขึ้น เธอมองชายวัยกลางคนคนนี้ ดูแล้วน่าจะเป็นจอมขมังเวทประจำหมู่บ้าน ปากก็ยังพร่ำมนต์ไล่ผี พวกชาวบ้านที่มุงดูเธอเมื่อสามนาทีที่แล้วต่างก็ถอยกรูเพื่อเคลียร์พื้นที่ให้ราวกับเรือนไม้หลังคามุงด้วยหญ้าแฝกเป็นเวทีกลางราชดำเนินก็ไม่ปาน หมอฝั้นเอาหวายชี้หน้าเธอ พูดเสียงดังจนน้ำหมากกระจายเป็นวงกว้าง

“ไผใช้มึงมา บอกกูเดี๋ยวนี้ มึงคิดสิลองดีกับกูเสียแล้ว มึงบ่ฮู้รึว่ากูเป็นไผ!”

“ไม่รู้…จะไปรู้ได้ไง ลุงยังไม่บอกชื่อหนูเลย อยากให้คนรู้ก็เอาป้ายไวนิลใหญ่ๆ มาแขวนไว้ที่คอสิ” เธอเถียง

“อีผีปากดี กูสิจับมึงใส่หม้อไปถ่วงน้ำ มึงสิบ่ได้ผุดได้เกิดอีก!”

หมอฝั้นพูดพลางกัดฟันกรอดๆ เพราะความโกรธ พลอยจำปามองหม้อที่หมอผีขู่

“จะบ้าเหรอ แค่หัวยังเข้าไม่ได้แล้วจะยัดทั้งตัวได้ยังไง บ้าไปแล้ว” เด็กสาวมองไปรอบๆ คิดแล้วว่าพูดไปหมอผีคนนี้คงไม่เข้าใจ เธอหันไปหาครูไสวคนที่คิดว่าคุยรู้เรื่องที่สุด ก่อนจะถามถึงเพื่อนๆ ที่มาด้วยกัน

“เอ่อ…เพื่อนๆ ของหนูอยู่ที่ไหนคะ พาหนูไปหาเขาหน่อยค่ะ คุณลุง”

แต่พูดไม่ทันจบดี หมอฝั้นก็เอาแส้ฟาดที่ร่างของเธอเต็มแรง จนสาวน้อยสะดุ้งสุดตัวเพราะความเจ็บปวดปนตกใจ แต่ด้วยความโกรธเธอก็หันมาหาหมอผีจอมขมังเวทท่าทางเอาเรื่อง

“โอ๊ย…เจ็บนะ ทำอะไรเนี่ย”

พลอยจำปาร้องสุดเสียง ส่วนยายคนที่ปลุกเธอเมื่อกี้ก็เอามือปิดหน้าร้องไห้รวมทั้งผู้หญิงที่ชื่อเพ็งด้วย ชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างพูดกันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าผีที่เข้ามาสิงเด็กสาวเป็นผีเป้า ผีป่า ผีโพง ผีปอบ หรือผีสายพันธุ์ใหม่ และยิ่งตกใจมากยิ่งขึ้นที่ได้ยินที่เธอพูดถึงเพื่อนๆ เพราะคิดว่าจะมีกองทัพผีมาถล่มภูแสนคำ!

“อ้อ มาตัวเดียวบ่พอเนาะ มึงยังสิพาหมู่มึงมาอีกติ…ลองดีซะแล้วพวกมึง”

หมอฝั้นทำท่าจะฟาดอีก แต่ทีนี้พลอยจำปาไวกว่า เธอเอามือไปแย่งไม้มาหักเป็นสองท่อนแล้วปาทิ้งลงต่อหน้าหมอฝั้น ซึ่งนาทีนี้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็รู้ว่าทั้งสองคนมาถึงจุดเดือดแล้ว เด็กสาวมองหมอผีจอมขมังเวทและทุกคนตาขวาง

“บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ผี หนูเป็นคนนะ ตีก็เจ็บเป็น หนูไปทำอะไรให้ ทำไมตีเอาๆ ลุงพอได้แล้วนะ”

“มึงบ่ย่านไม้ มึงต้องเจอนี่!”

ว่าแล้วหมอฝั้นก็ล้วงเข้าไปในย่ามแล้วทำปากขมุบขมิบ ก่อนจะเอาอะไรบางอย่างขว้างใส่เธอเต็มแรงแล้วยิ้มแบบผู้มีชัย

“เป็นได๋มึง ฮ้อนบ่ นี่กูบอกแล้วนะ มึงอย่ามาหล่อแหล่กู ฮ่าๆ”

พลอยจำปามองข้าวสารเสกพลางพูดเยาะแกล้งยิ้มยั่วอารมณ์อีกฝ่าย

“ยุคนี้ข้าวสารแพงนะลุง เอามาทั้งกระสอบ หนูก็ไม่ตายร้อก”เธอพูดก่อนจะเดินกระแทกเท้าบนพื้นเรือนแบบโกรธจัด ด้วยความโมโหจึงเตะหม้อดินเผาที่หมอฝั้นคิดจะขังเธอไว้กระเด็นตกเรือนไป แต่ยังไม่ทันก้าวลงเรือนก็มีมือของชายสองคนมาจับตัวไว้

“สิไปไส กูสิจับมึงไปฝังให้ได้ ลากมันมานี่ สูสองคน!”

หมอฝั้นพูดพลางสั่งลูกศิษย์ให้จับตัวเด็กสาวมา แต่พอพลอยจำปาพลิกตัวจับแขนไพล่ไปด้านหลังเอาเท้าเตะอีกคนในแบบฉบับของเทควันโดกีฬาที่เธอถนัด ผู้ชายคนนั้นก็กระเด็นไปนอนอยู่ใกล้เท้าหมอฝั้นและอีกคนเธอได้จังหวะก็จับทุ่มจนตกบันไดไป เมื่อไร้คู่ต่อสู้พลอยจำปาจึงรีบวิ่งไปโดยไร้จุดหมายเช่นกันโดยไม่สนว่าจะมีคนอีกโขยงหนึ่งวิ่งตามมา

“เฮ้ย เอามันมากูจะจับมันใส่ไห หม้อดินคือสิเอาบ่อยู่แล้ว”

“พ่อหมอ ผีบ่แม่นปลาร้าเด้อ สิมาจับใส่ไห”

“กูบ่สนใจ ใส่หม้อบ่ไหว กูสิจับมันใส่ไหปลาร้า”

“แล้วถ้าไหบ่ไหวล่ะ พ่อหมอ”

“กูมีโอ่งใหญ่! มึงบ่ต้องห่วง”

หมอฝั้นบอกพลางสั่งบรรดาชาวบ้านและลูกศิษย์ เสียงตะโกนที่ตามไล่หลังมาทำให้หญิงสาววิ่งเร็วขึ้น เธอใช้เท้าเปลือยเปล่าย่ำไปบนพื้นดินร้อนๆ ในเวลาบ่ายแก่ๆ พลอยจำปาไม่รู้ว่าจะวิ่งไปที่ใด เพราะมองไปทางไหนมันก็มีภาพเดิมๆ ไม่ต่างกันหรอก

มีแต่ทุ่งนา…และควาย

ให้ตายเถอะ นี่เธอมาอยู่ที่ไหนกันแน่ ทำไมมันไม่เหมือนสถานที่ที่เธอคุ้นเคยเลย แต่ทำไมผู้คนที่นี่ถึงดูราวกับว่ารู้จักกับเธอเป็นอย่างดี หรือว่ารถประสบอุบัติเหตุแล้วคนเหล่านี้ได้ช่วยเธอไว้ แต่ทำไมต้องพูดและทำอะไรแปลกๆ แบบนี้เล่า วิ่งมาก็นานแล้ว บ้านคนแทบจะไม่มีให้เห็น เด็กสาวเสียวสันหลังวาบเพียงแค่คิดว่าถ้าคนพวกนั้นจับเธอได้ พวกเขาจะทำอย่างไรนะ หรือเธอจะถูกพวกคนนี้ตีหรือฝังยัดใส่ไหจริงๆ

คิดแล้วก็สยอง ให้ตายเถอะ…มันคือที่ไหนของประเทศไทยเนี่ย มันยังมีอยู่เหรอการไล่ผีแบบโบราณๆ เธอนึกว่ามันจะมีจริงแค่ในการ์ตูนเล่มละสิบสองบาทเสียอีก และยังเสี่ยงมากถ้าต้องอยู่ที่นี่ต่อ อยู่นานไปต้องตายในไหแน่

นาทีนี้ถ้ามันคือความฝัน เธอก็อยากจะตื่นจริงๆ พลอยจำปาหยุดและมองไปเห็นคอกที่มีควายอยู่ประมาณสิบกว่าตัว รอบๆ ก็มีกองฟางขนาดใหญ่อยู่สองกองและบ่อที่น้ำยังพอมีอยู่บ้าง ถ้าเปรียบไปที่นี่เหมือนเป็นโอเอซิสกลางทะเลทรายเลยก็ว่าได้ เมื่อเห็นแล้วว่าตัวเองจะไปที่ไหนเธอก็รีบวิ่งออกตรงไปทันที

เด็กสาววิ่งสะดุดรากต้นมะม่วงที่ยืนต้นจนใบร่วงโกร๋น ล้มจนหัวคะมำ เธอรู้สึกว่าขาเจ็บเพราะกระแทกกับรากมะม่วงอย่างจัง พอเงยหน้าขึ้นเธอมองเห็นขาของใครคนหนึ่งก็สะดุ้ง เพราะตกใจทำไมพวกนั้นตามมาไวขนาดนี้นะ

“อ้าว…จำปามานอนหยังอยู่นี่”

ดวงตาคู่หนึ่งทอดมายังเธอพร้อมรอยยิ้ม มีอะไรบางอย่างที่เธอสัมผัสได้ว่าเจ้าของดวงตาคู่นี้เป็นมิตร เขายื่นมือมาดึงให้ลุกขึ้น เธอจับมือเขาพลางพูดขอร้อง

“พี่คะ ช่วยหนูด้วย เขาจะตีหนู จะจับหนูยัดใส่ไห”

“หือ…”

ชายคนนั้นรีบหุบยิ้ม เพราะสำเนียงที่พูดมันไม่ใช่จำปาสาวน้อยที่เขาเคยรู้จัก เขาปล่อยมือเธอทันที แต่พลอยจำปากลับจับมืออีกข้างของเขาไว้แน่น

“เขาบอกว่าจะฝังหนูใส่ไหหรือไม่ก็เอาถ่วงน้ำเหมือนผีแม่นาค พี่ช่วยหนูด้วยนะคะ”

ชายคนนั้นทำท่าจะวิ่งหนีเธอเพราะได้ยินคำว่าผีนี่แหละ แต่พลอยจำปาไม่ปล่อยคราวนี้เธอหมดความอดทนที่จะขอร้องและอธิบาย

เสียงตะโกนโหวกเหวกใกล้เข้ามาทุกที หรือวาระสุดท้ายของเธอใกล้เข้ามาแล้วนะ เจ้าของร่างสูงมีแววตระหนก มือข้างที่เธอจับอยู่มีเหงื่อเปียกแต่ก็เย็นเฉียบเหมือนเจ้าตัวจะกลัวจริงๆ

“ถ้าไม่ช่วยนะจะตามไปหักคอ จะควักตับ ควักไส้มากิน ลองดูสิ!!”

ดวงตาคู่โตขึงพลางขู่ เขานั่งลงกับพื้นเอามือไหว้เธอปลกๆ จนเธอเองก็นึกขำผู้ชายตัวสูงๆ ที่ดูท่าจะไม่น่ากลัวอะไรซึ่งเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับเด็กๆ

“โอ๊ย นอ…ย้านแล้ว ไปกินไก่หรือเป็ดพู้น อย่ามากินข้อยเลยบ่แซ่บดอก มันเค็ม”

“ไม่ ฉันชอบกินเครื่องในคนสดๆ ถ้าใครมาถามหาบอกไม่เห็นเข้าใจไหม ถ้าบอกนะจะกัดคอกินเลือดเลยคอยดู หรือจะเอาแบบผีซอมบี้เกาหลี…แฮ่!!”

เด็กสาวพูดขู่เขาพลางมุดเข้าไปในกองฟาง เขาได้แต่นั่งอยู่ที่เดิมพลางพนมมือหน้าจอมปลวกขนาดใหญ่มือสั่นเทา จนพวกชาวบ้านพากันวิ่งมาที่โรงนาของเขา

“ไส…ผีนางด้งมันไปไส…มาไหว้โพน (1) อีกหยังอยู่นี่น้อ บักบุญสิงห์”

เสียงหมอฝั้นพูดพลางเอามือเท้าสะเอว บุญสิงห์เอามือลงแต่มันยังไม่หายสั่นซะที เขาฝืนยิ้มแบบไม่เต็มใจนัก

“ผมกำลังไหว้ขอฝน ปีนี้มันคือแล้งคักแท้ เมื่อวานก่อนไปก่นปูกะบ่ได้ บักหอยกะบ่มี ว่าแต่ว่า มะ…มา…หยังลุงฝั้น”

“ผีมันเข้าสิงอีจำปาลูกครูไหว มันแล่น (2) มาทางนี้แหละ ไปไสแล้วล่ะ ไวปานลิง เห็นมันบ่บุญสิงห์”

บุญสิงห์หันหน้าหนี พลางหันไปดูควายตัวหนึ่งที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยอะไรบางอย่างในแววตา ก่อนจะหันมาทางกลุ่มคนที่กำลังมองหาร่างเด็กสาวอยู่

“ผมเห็นมันวิ่งไปทางตีนโคกหมากไฟพู้น ถามอีหยังมันกะบ่เว้า มิหน่าล่ะ ผีเข้ามันติลุง”

เขาแกล้งตีหน้าซื่อๆ เพราะไม่อยากให้หมอฝั้นจับได้

“แม่น…มันฮ้ายหลาย หักหวายกู เตะหม้อกูแตก แถมข้าวสารเสกมันกะบ่ย้าน ต้องจับมันให้ได้ไวๆ บ่จังชั่นมันต้องกินไก่กินหมูกินควายหมดหมู่บ้านแท้ๆ”

พอหมอฝั้นพูดจบ บุญสิงห์ได้แต่ยิ้ม และถ้ามีใครสังเกตดีๆ หน้าของเขาซีดราวกับเป็นผีดิบเสียเอง ว่าแล้วพวกหมอฝั้นและชาวบ้านส่วนหนึ่งก็พากันวิ่งไปทางโคกหมากไฟเพื่อตามหาเด็กสาวที่วิ่งหนีมา

ด้านบุญสิงห์ได้แต่นั่งลงกับพื้นสีหน้าโล่งใจ พลอยจำปาออกมาจากกองฟางทันทีที่เหตุการณ์สงบแล้ว ชายหนุ่มทำท่าจะวิ่งหนีแต่ก็ถูกมือเล็กๆ จับไว้อีก

“อีหยังอีก…ข้อยย้านแล้ว บอกให้เฮ็ดหยังกะเฮ็ดเบิดแล้ว สิเอาหยังอีก!”

“ไม่มีอะไรหรอก วิ่งหนีมาเหนื่อยแทบตายจนนี่ก็จะค่ำแล้ว หิวน่ะ หาข้าวให้กินหน่อยสิ”

“ผีหิวข้าว!!”

พลอยจำปายิ้ม แต่บุญสิงห์ใจหายวาบ หรือว่าเขาจะต้องเสียไก่กับเป็ดหมดเล้าให้ผีตัวนี้จริงๆ พ่อเขาต้องหักคอเขาเหมือนปลาช่อนแน่ๆ…เฮ้อ

 

เชิงอรรถ : 

(1) จอมปลวก

(2) แล่น หมายถึง วิ่ง

 



Don`t copy text!